คุณพฤกษ์รวยมาก (สนพ.Onederwhy)
-
เขียนโดย ฟ้ามุ่ย
วันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564 เวลา 22.49 น.
41 ตอน
0 วิจารณ์
22.35K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564 23.11 น. โดย เจ้าของนิยาย
23) 00 23
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ00 23
“!!!” อินทรชิตสะดุ้งตื่นขึ้นมาและเขาก็รู้ตัวว่ามันเป็นเพียงแค่ความฝันจากครั้งวัยเยาว์
เขาฝันถึงตอนเป็นเด็ก ตอนที่คุณพฤกษ์ช่วยเขาจากการจมน้ำ หลังจากนั้นคุณเขาก็จับไข้ล้มป่วยอยู่เป็นอาทิตย์ก่อนจะกลับมาเป็นคุณพฤกษ์ใจร้ายคนเดิม ทว่าพอมีใครถามว่าทำไมถึงป่วยได้ก็เอาแต่เงียบ อินทรชิตคิดว่าคงเพราะไม่อยากปริปากบอกใครเรื่องที่ลงไปช่วยเขา แน่ล่ะ คุณเขาเกลียดขนาดนี้ คงจะไม่อยากมีเรื่องมีราวเกี่ยวพันกับเขาแม้แต่เรื่องเดียว
ทว่าหลังจากวันนั้นมา ความรู้สึกที่ปลูกฝังก็ค่อย ๆ ผลิบานที่ละนิดอยู่ในหัวใจดวงน้อย อินทรชิตรู้สึกว่าตนเองเริ่มจะเข้าใจคุณพฤกษ์มากขึ้นอีกหน่อย แม้อีกฝ่ายจะร้ายกาจมากเพียงใดแต่ลึก ๆ แล้วเป็นคนที่มีพื้นฐานจิตใจดีมาตั้งแต่ต้น ท้ายที่สุดของแล้วจึงไม่สามารถปล่อยให้เขาตายได้จริง ๆ
ไม่ว่าจะเรื่องที่ช่วยเขาจากการจมน้ำหรือเรื่องที่เอาตนเองมารับกระสุนแทนอัครา ทั้งหมดก็ทำเพียงเพื่อไม่อยากให้ใครสักคนต้องมาตาย
ทุกครั้งที่มีโอกาสเขามักจะได้ยินเรื่องของคุณพฤกษ์จากคุณลุงหรือแม่พลอยอยู่บ่อยครั้ง อินทรชิตจึงได้รู้ว่าสมัยคุณพฤกษ์เป็นเด็กนั้นน่ารักและอ่อนหวานกับทุกคนมาก กระทั่งปัญหาครอบครัวมาเปลี่ยนเด็กที่อ่อนโยนที่สุดคนหนึ่งให้กลายเป็นคนแข็งกระด้างและก้าวร้าวกับผู้อื่น เปลี่ยนจากคนที่เคยชอบเด็กมากให้กลายเป็นคนที่เกลียดเด็กชนิดเข้ากระดูกดำ เขาก็เพิ่งมารู้ไม่นานหลังจากวันนั้นว่าเหตุผลที่คุณเขาเกลียดน้อง ๆ รวมไปถึงพวกเด็ก ๆ ก็เพราะเคยสูญเสียน้องสาวที่อยู่ในครรภ์ไป มันจึงเป็นแผลใจคอยตอกย้ำว่าทำไมเด็กพวกนั้นถึงได้เกิดมาในขณะที่น้องสาวของเขาต้องตายอย่างทรมานทั้งที่ยังไม่ได้ออกมาลืมตาดูโลกเสียด้วยซ้ำ
คุณพฤกษ์ก็เหมือนกันกับเขา ..ยามปกติที่ไม่ใช่เวลาหงุดหงิดหรือหาเรื่องกลั่นแกล้งใคร อีกฝ่ายก็มักจะชอบหลบหลีกความวุ่นวายของทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก เลือกหามุมสงบ ๆ สักที่ในคฤหาสน์เพื่อนั่งอ่านหนังสืออยู่คนเดียว ...ทุกครั้งที่อินทรชิตเห็นอีกฝ่ายอยู่กับหนังสือสักเล่มก็ราวกับว่าบรรยากาศรอบตัวหยุดหมุนไปโดยปริยาย นิ้วเพรียวยาว ใบหน้านุ่มนวลและแววตาอ่อนโยนภายใต้กรอบแว่นนั้นสะกดให้เขาไม่สามารถละสายตาไปไหนได้เลย กว่าจะรู้ตัวว่าเผลอมองก็เป็นตอนที่คุณเขาตวาดไล่ให้ออกไปเสียทุกครั้ง
อินทรชิตนึกถึงตอนที่เขาเจอคุณพฤกษ์ครั้งแรกที่สถานสงเคราะห์ เด็กชายผู้มีดวงตาแสนเศร้า ผิวกายขาวผุดผ่อง น้ำเสียงนุ่มนวลและความใจดีเล็ก ๆ นั่นยังคงตรึงอยู่ในใจไม่เคยเลือนหาย เขาอมยิ้มราวกับคนโง่งมก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงนอน อินทรชิตเดินผ่านกระจก เขาหยุดยืนพินิจพิเคราะห์รูปร่างของตนเองอย่างตื่นเต้น
“เหลือเชื่อจริง ๆ” เขาพูดขณะที่มองร่างของตนเองในวัยสิบห้าปี ใครจะรู้ ข้างในตอนนี้เขาคือชายหนุ่มอายุสามสิบเข้าไปแล้ว
ร่างโปร่งเดินไปยังโต๊ะเขียนหนังสือ เขาเปิดลิ้นชักชั้นแรกออกก่อนจะหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมา
...เจ้าชายน้อย หนังสือเล่มโปรดและของเพียงสิ่งเดียวที่เขาคิดว่ามันมีค่ามากกว่าสิ่งอื่นใดบนโลก
ดวงตาคมก้มลงมองหน้าปกที่คุ้นเคย ภาพความทรงจำแสนสุขผุดขึ้นมาในหัวราวกับเพิ่งผ่านมาเมื่อวาน อินทรชิตอมยิ้มก่อนมือเรียวจะค่อย ๆ ลูบไล้ตัวอักษรสีดำซีดจางจนแทบจะเลือนหายไปตามกาลเวลา เป็นตัวอักษรสีดำลายมือตัวบรรจงสวยงามที่เขียนว่า อินทรชิต (น้องอินทร์)
อินทรชิตเดินลงมาชั้นล่างในเช้าวันเสาร์ ช่วงหลังมานี้เด็กหนุ่มเริ่มปรับตัวในเข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันได้อย่างแนบเนียนจนไม่มีใครรู้สึกสงสัยหรือตะขิดตะขวงใจว่าเขาไม่ใช่อินทรชิตคนเดิม
เด็กหนุ่มรู้สึกว่าอดีตเมื่อสิบกว่าปีก่อนเป็นอย่างไร ตอนนี้มันก็ยังคงเป็นอย่างนั้น ครอบครัวนี้แตกร้าวเช่นไร ตอนนี้ก็ยังคงแตกร้าวเช่นนั้น แต่สิ่งหนึ่งที่เขาไม่อาจเข้าใจได้คือมีบางอย่างเปลี่ยนไปเล็กน้อย ..เขาคิดว่าอาจจะเล็กน้อยล่ะนะ
นั่นก็คือเรื่องของฉัตรตะวัน
อินทรชิตจำได้ว่าฉัตรตะวันหรือคุณฉัตรอย่างที่ใคร ๆ เรียกคนนี้เป็นเพื่อนสนิทสมัยเด็กเพียงคนเดียวของคุณพฤกษ์ สองคนนี้มักตัวติดกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร จะพูดให้ถูกคือคุณฉัตรต่างหากที่เที่ยวตามติดคุณพฤกษ์ไปไหนมาไหนอยู่ตลอด เป็นเพื่อนสนิทที่ต่างกันสุดขั้ว คนหนึ่งสดใส อบอุ่น เป็นมิตรเหมือนดวงตะวัน แต่อีกคนกลับนิ่งเฉย สันโดษ ไม่เอาใครเหมือนดอกไม้บนหน้าผาสูงชัน อินทรชิตรู้สึกมาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วว่าคุณฉัตรอาจจะรู้สึกกับคุณพฤกษ์มากกว่าเพื่อนสนิท เพราะด้วยสายตา ด้วยการกระทำหลายอย่างที่ดูเอาใจใส่เกินกว่าที่เพื่อนจะพึงกระทำให้กัน แต่โชคร้ายที่คุณฉัตรเป็นคนอายุสั้น ไม่ทันจบมัธยมปลายก็มาเสียชีวิตไปด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ช่วงนั้นเหมือนเป็นช่วงหลุมดำของคุณพฤกษ์เลยก็ว่าได้ เพราะก่อนหน้านั้นแม่พลอยก็เพิ่งเสียชีวิตไปได้ไม่นานด้วยโรคชรา ตอนนี้ก็ต้องมาสูญเสียเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวไปอีกคน
เขาคิดว่าคุณพฤกษ์เป็นอีกคนหนึ่งที่พบเจอกับความสูญเสียอยู่ตลอดเวลา สูญเสียแล้ว ..สูญเสียอีก ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ครั้งแล้วครัังเล่า นับวันก็ยิ่งว่างเปล่าและแตกสลายโดยสมบูรณ์แบบ
กระทั่งคุณพฤกษ์ได้เจอกับผู้ชายอย่างอัครา
และความรักก็มักเข้ามาเติมเต็มช่องว่างของชีวิต เป็นกาวใจผสานรอยร้าว บรรเทาความทุกข์ทั้งปวง
คุณพฤกษ์กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งนั่นเป็นเรื่องที่น่ายินดี ทว่าสำหรับคนที่เฝ้ามองอย่างเขากลับรู้สึกเจ็บปวดทุกขณะลมหายใจ เป็นความเจ็บปวดลึกซึ้งที่คุณพฤกษ์ไม่อาจได้รับรู้
แต่อัคราก็เป็นเพียงแค่เรื่องในกาลก่อน นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขากังวลเพราะจนป่านนี้ก็ยังไม่มีวี่แววว่าเจ้าของชื่อจะโผล่ออกมาให้เห็น ไม่แน่ว่าอัคราในกาลนี้อาจจะไม่มีตัวตนอยู่ก็ได้ แต่กลับกันนั้น การมีตัวตนของคนที่ควรจะตายไปแล้วอย่างฉัตรตะวันก็ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ
หวังว่ามันคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นในอนาคตหรอกนะ
“?” อินทรชิตหยุดนิ่ง ขณะที่เดินคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย เสียงเปียโนที่คุ้นเคยก็ดังก้องกังวานไปทั่วคฤหาสน์ ฉับพลันหัวใจของเด็กหนุ่มเต้นเร่าอยู่ไม่สุขทันที นั่นเพราะเขารู้ดีว่าใครกำลังเล่นเปียโนอยู่ในตอนนี้ ไม่รอช้า สองเท้าของเขาวิ่งไปยังต้นตอของเสียง นั่นคือห้องหนังสือ ประตูบานโตถูกเปิดกว้างทิ้งเอาไว้ เขารีบซ่อนตัวอยู่หลังเสาสลักโรมันที่อยู่ใกล้ ๆ ก่อนจะยื่นหน้าออกมาชะโงกดูภายในห้อง
เขาเห็นแผ่นหลังเปลือยเปล่าของคุณพฤกษ์นั่งอยู่หน้าเปียโนหลังใหญ่ สองมือไม้ สิบนิ้วมือบรรจงกรีดกรายไปบนคีย์บอร์ด บรรเลงท่วงทำนองไปตามอย่างที่ใจปรารถนา แสงแดดยามเช้าลอดผ่านผ้าม่านกระทบลงบนผิวขับให้ดูขาวผ่องสว่างไสวจบแสบตา คุณพฤกษ์ยามนี้ช่างราวกับบุคคลที่ไม่มีตัวตนอยู่จริง ราวกับภาพวาดที่ถูกรังสรรค์มาอย่างประณีต เหมือนกับปีศาจรูปงามแสนยั่วยวนที่ล่อลวงเหล่าคนบาปอย่างไรอย่างนั้น
ตึง…
“นั่นใคร ? มีคนอยู่ตรงนั้นใช่ไหม”
เสียงเปียโนหยุดลงพร้อมกับเสียงราบเรียบดังขึ้น เด็กหนุ่มพลันแข็งทื่อ ไม่มีเรี่ยวแรงจะหันหนี สมองสั่งการให้หลบหลีกแต่ร่างกายกลับไม่ตอบสนอง เสียงฝีเท้าของคุณพฤกษ์เริ่มใกล้เข้ามา กระทั่งร่างสูงโปร่งปรากฏอยู่ตรงหน้า เด็กหนุ่มก็ไร้ซึ่งหนทางจะบ่ายเบี่ยง
“นี่แก.. ” คุณเขาขมวดคิ้ว เท้าแขนกับเสาสลักโรมันต้นนั้น “มาทำบ้าอะไรตรงนี้”
อินทรชิตถอยร่นไปด้านหลัง ก่อนสายตาไม่รักดีจะเลื่อนลงมองท่อนบนเปล่าเปลือยของคุณเขาเข้าไปเต็มสองตา เด็กหนุ่มตาถลน ไม่ใช่ว่าไม่เคยเห็น อันที่จริงเขาเห็นคุณพฤกษ์เปลือยท่อนบนเดินไปเดินมาแบบนี้จนเอือนเลยเชียวล่ะ ทว่าตอนนั้นเขายังเด็กและไม่ประสีประสาเกินกว่าที่จะคิดอะไรกับเรือนร่างขาวผุดผ่องตรงหน้าเหมือนอย่างตอนนี้
อย่าลืมเสียสิ ข้างในนี้คือผู้ชายอายุสามสิบที่หลงรักคุณพฤกษ์อย่างหัวปักหัวปำเชียวนะ
แล้วจะไม่ให้คิดเพ้อเจ้อได้หรือ..
“แกไม่ได้ยินที่ฉันถามหรือไงไอ้เขี้ยว”
หัวใจของเขาสูญเสียการควบคุม เลือดในกายสูบฉีดพลุ่งพล่านอีกครั้งเมื่อคุณเขาเรียกชื่อ ‘ไอ้เขี้ยว’ นั่นเป็นชื่อที่คุณพฤกษ์ใช้เรียกเขา อีกฝ่ายบอกว่ามันน่าเกลียดเหมาะสมกับเขาดี แต่อินทรชิตกลับดีใจจนเนื้อเต้นเสียอีกที่ได้ชื่อนั้นมา มันเป็นชื่อที่คุณพฤกษ์จะเรียกได้เพียงคนเดียวในโลกและนั่นย่อมหมายความว่ามันมีความหมายพิเศษต่อเขา
“!!!” แต่แล้วก็มีบางอย่างเกิดขึ้น เขาเพิ่งจะสังเกตเมื่อครู่นี้เองว่าตรงหน้าอกขาวของคุณพฤกษ์มีรอยแผลประหลาดปรากฏอยู่
รอยแผลเป็นที่ราวกับ ...รอยกระสุน
หัวใจที่เต้นระรัวเพราะความเก้อเขินก่อนหน้านี้กลับกลายเป็นการบีบรัดจนทรมานแสนสาหัส อินทรชิตทรุดฮวบลงไปกับพื้นแทบจะทันทีหลังจากที่เห็นรอยแผลเป็นบนอกคุณพฤกษ์ เด็กหนุ่มนั่งคุดคู้ตัวงอเป็นกุ้งถูกลวกจนสุก ใช้ฝ่ามือกดลงที่หัวใจอย่างแรง มันเจ็บแปลบคล้ายกำลังถูกของมีคมกรีดแทงซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาเริ่มหายใจติดขัด หอบรุนแรง รู้สึกราวกับกำลังจมน้ำอย่างไรอย่างนั้น
“เฮ้ย.. เขี้ยว ไอ้เขี้ยว..” ร่างโปร่งย่อตัวลงเสมอกับเขา อินทรชิตไม่รู้ตัวว่าฝันไปหรือเปล่าเพราะเขาเห็นใบหน้าของคุณพฤกษ์มองมาด้วยสายตาเป็นกังวลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“คุณ ..คุณ” เขาเอ่ยเสียงขาด ๆ หาย ๆ รู้สึกแน่นหน้าอกจนหายใจแทบไม่ออก
ภาพเหตุการณ์ที่เขาอยากจะลืมไปมากที่สุดกลับพรั่งพรูและฉายซ้ำขึ้นมาในสมอง อินทรชิตได้ยินเสียงดัง ปัง! ขึ้นในหูและภาพต่อมาก็เห็นร่างกายของคุณพฤกษ์หงายเอนไปด้านหลังพร้อมกับเลือดสีแดงฉานที่ทะลักออกมาจากอก เขามองเห็นแขนของตนเองและในมือนั้นกำลังถือกระบอกปืนสีดำ
ใช่ สิ่งที่เขาอยากลืมมากที่สุด... คือเรื่องที่เขาเป็นคนทำให้คุณพฤกษ์ต้องตาย!
“แกเป็นอะไร เฮ้ย ตอบฉันสิ”
มือเรียวยาววางลงหัวไหล่ก่อนจะออกแรงเขย่าเบา ๆ ขณะที่ฝ่ามืออีกข้างตบลงบนแก้มนุ่มหลายที กลิ่นหอมอ่อน ๆ กำจายออกมาจากร่างกายคนตรงหน้าพลันช่วยปัดเป่าเอาความเจ็บปวดที่อกค่อย ๆ หายไปทีละเล็กทีละน้อย
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้น สิ่งสุดท้ายที่ตนเห็นคือใบหน้านุ่มนวลและดวงตาแสนเย็นชาคู่นั้นของคุณพฤกษ์กำลังทอดมองลงมา ก่อนสติสัมปชัญญะจะดับวูบลงไปพร้อม ๆ กับร่างของตนที่โถมเข้าหาอกของคนตรงหน้า
อินทรชิตตื่นขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะได้ยินเสียงเปียโนดังขึ้นคลอเบา ๆ เด็กหนุ่มสะดุ้งเฮือกก่อนจะเห็นแผ่นหลังเปลือยเปล่าที่คุ้นเคยกำลังจดจ่อกับการเล่นเปียโนไม่เปลี่ยนแปลง
‘คุณยังอยู่กับผม ยังมีชีวิตอยู่สินะ..’
เขาถอนหายใจยาวเหยียดเพราะคิดว่าตนเองจะไม่ได้เห็นคนตรงหน้าอีกครั้งก่อนจะฉุกคิดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้
รอยแผลเป็น? รอยกระสุนแน่นอน? แต่แล้วทำไมล่ะ? เป็นไปได้อย่างไรกัน?
เด็กหนุ่มลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะค้นพบว่าผ้าห่มที่ตนเองห่มนอนอยู่ตลอดนั้นคือเสื้อคลุมผ้าซาตินตัวยาวที่คุณเขาสวมใส่อยู่เป็นประจำ เขารู้ดีว่าคุณพฤกษ์มักมีนิสัยขี้ร้อน เวลานอนไม่ใส่เสื้อ บางทีถ้าไม่ได้ออกไปไหนหรือไม่มีเรียนก็มักจะใส่แค่ชุดคลุมบาง ๆ อยู่ตลอดทั้งวัน
ตึกตัก.. ตึกตัก
อินทรชิตใจเต้นรัวอีกครั้ง เด็กหนุ่มหันกลับไป ยังคงเห็นคุณพฤกษ์บรรเลงบทเพลงโดยไม่รู้ตัวว่าเขาได้ตื่นขึ้นมาแล้วสลับกับมองเสื้อคลุมนั้นบนตัก อินทรชิตลังเลคล้ายกำลังต่อสู้กับจิตใต้สำนึกดีชั่วของตนเอง ณ ขณะความคิดหนึ่งเขาอยากลองสูดดมมันดูสักครั้ง อยากสัมผัสถึงกลิ่นกายหอมละมุนของคุณเขาอย่างใกล้ชิด อีกความคิดหนึ่งก็คอยฉุดรั้งว่านี่คือสิ่งที่ไม่ควรกระทำโดยเด็ดขาด
สุดท้ายแล้ว.. สิ่งที่เด็กหนุ่มตัดสินใจกระทำคือการเดินเข้าไปข้างหลังและค่อย ๆ กางเสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้มนั้นสวมทับบนหัวไหล่ทั้งสอง ถึงคุณพฤกษ์จะขี้ร้อนขนาดไหนแต่เขาก็กลัวว่าอีกฝ่ายจะป่วยขึ้นมาอยู่ดี อินทรชิตคิดดังนั้นก่อนจะถอยร่นออกมาอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว
คุณพฤกษ์ไม่มีทีท่าดุด่าหรือรังเกียจอย่างเช่นทุกครั้ง นั่นนับเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจมากกว่าที่เขาจะดีใจ เราพูดคุยกันเล็กน้อย แม้จะเป็นประโยคคำถามธรรมดาแต่สำหรับเขามันกลับพิเศษล้ำยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด กระทั่งในตอนที่เขาพูดว่า
“คุณพฤกษ์อาจจะไม่เชื่อ ผมเองก็ยังรู้สึกว่ามัน.. ค่อนข้างแปลก แต่ที่ผมสลบไปก็เพราะเห็นรอยแผลเป็นบนอกของคุณพฤกษ์นะครับ”
ไม่รู้ว่าเพราะอะไรดลใจให้เขาพลั้งปากพูดออกไป ทว่าลึก ๆ แล้วอินทรชิตต้องการพิสูจน์อะไรบางอย่างจากปฏิกิริยาของคนตรงหน้า
คุณพฤกษ์ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา อีกฝ่ายนิ่งไปราวกับกำลังคิดอะไรอยู่ ใบหน้าเรียบเฉย แววตาเย็นเยียบไร้ความรู้สึก หากจะมีสิ่งผิดปกติก็เห็นจะเป็นเพียงแค่การเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น
“อย่างนั้นหรอกหรือ” เงียบไปครู่ใหญ่ คล้ายว่าคุณเขากำลังขบคิดอะไรบางอย่างกับตนเองแล้วจึงตัดสินใจพูดออกมา
“แล้วแกรู้สึกอย่างไรตอนที่เห็นมันล่ะ? ”
คำถามนั้นทำเอาอินทรชิตสะท้านไปทั้งร่าง เขานึกถึงความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้และนึกถึงความเจ็บปวดที่ตนเองต้องเผชิญมาตลอดหลังจากคุณพฤกษ์จากไป
“ทรมานครับ” เขาเสียงสั่น แต่กระนั้นก็ยังพยายามควบคุมสติตนเองให้เป็นปกติ สายตาของอีกฝ่ายที่จ้องมองมาทำให้เขาต้องพูดต่อไปว่า
“...”
“เจ็บเหมือนจะตายให้ได้เลย”
อินทรชิตเห็นแววตาของคุณพฤกษ์มีประกายบางอย่างวูบไหวอยู่ คล้ายกับความรู้สึกบางอย่างกำลังเอ่อล้นออกมาแต่อินทรชิตไม่ทราบว่ามันคืออะไร
คุณเขาเงียบไปอีกครั้งก่อนจะหัวเราะเยาะเด็กหนุ่มอยู่ในคอ จากนั้นคุณพฤกษ์ก็โบกมือไล่ให้เขาออกไปให้พ้นหน้า อินทรชิตแทบจะเดินออกไปในทันที แต่ไม่ทันจะเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ทรุดลงตรงหลังประตูบานใหญ่ เป็นอีกครั้งที่เขาอยากจะร้องไห้เพราะนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น เด็กหนุ่มพยายามสลัดมันออกไปจากหัวเท่าไหร่ก็ยิ่งสลัดไม่ออก มันยังคงติดตา สลักแน่นและหยั่งรากลึกราวกับภาพหลอนที่ตามติดเป็นเงาในใจ
อินทรชิตสูดหายใจลึก เขาต้องรีบลุกขึ้นและออกไปก่อนที่คุณพฤกษ์จะมาเจอ ทว่าเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมา..
“ตอนที่ยิงฉัน ..แกรู้สึกแบบไหนอยู่นะ”
อินทรชิตค่อย ๆ หันกลับไป เด็กหนุ่มเห็นเพียงแค่แผ่นหลังเหยียดตรงของคุณพฤกษ์ที่ยืนอยู่
และเขาไม่รู้เลยว่าหัวใจของตนเองเต้นรัวจนน่าหวาดกลัวมากขนาดไหน
“ฮัดชิ่ว! ”
อินทรชิตจามออกมาเสียงดังขณะที่ยืนใส่รองเท้าอยู่หน้าประตูใหญ่ เขาสูดน้ำมูกหนึ่งครั้งก่อนจะยกมือขึ้นถูจมูกโดยแรงและหันไปเห็นพงพีทำหน้าเหยเก
“เราจะตายกันหมด” เด็กชายพูดขึ้นเสียงซึมกะทือ
“ใครตายหรือคะพี่พีร์ ฟื้ดดด..”
“มะลิคนแรก” พงพีหยอก ตั้งท่าเหมือนจะจามและ “ฮัดเช้ย!!! ” ออกมาเสียดังสนั่น
“สกปรกจริงเชียว” เสียงราบเรียบดังขึ้น ตามด้วยร่างสูงโปร่งในชุดคลุมยาวตัวโปรด คุณพฤกษ์เดินเข้ามาใกล้พวกเด็ก ๆ อีกฝ่ายเพิ่งจะตื่นนอน ดวงตายังแทบลืมไม่ขึ้น มิหนำซ้ำเส้นผมนุ่มสลวยยังชี้ฟูขึ้นเล็กน้อยแต่กระนั้นก็ยังคงดูดีในสายตาคนมอง อินทรชิตอมยิ้มขณะแอบลอบสังเกตคุณเขาอย่างระมัดระวัง
‘คุณพฤกษ์ดูดีที่สุดเลย’ เขาคิด ‘ถึงจะเพิ่งตื่นก็เถอะ’
“ฮัดชิ่ว! ” มาลีวัลย์ยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดปาก เด็กหญิงพอเห็นคุณพฤกษ์ก็ปรี่เข้าไปจับขากางเกงอีกฝ่ายแน่น
“คุณพฤกษ์ค้า..”
อินทรชิตคิ้วกระตุกอยู่เล็กน้อยที่ได้ยินเสียงออดอ้อนจากน้องสาว อันที่จริงเขารักและเอ็นดูมาลีวัลย์มากแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้อีกเช่นกันว่าเขาในตอนนี้กำลังอิจฉาริษยาเด็กสาวตัวน้อยอย่างถึงที่สุด มันเป็นความรู้สึกที่แย่ทีเดียวที่ต้องมารู้สึกเช่นนี้กับอีกฝ่าย เขาไม่ควรจะคิดแบบนี้เลยให้ตายสิ
แต่จะไม่ให้รู้สึกอิจฉาได้อย่างไร ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาคุณพฤกษ์หรือจะยอมให้น้อง ๆ ที่ตนเองเกลียดนักหนาเข้าใกล้คลอเคลียขนาดนี้
แต่ดูตอนนี้สิ…
“หื้ม” ร่างโปร่งก้มลงมอง “มีอะไร”
สายตาและน้ำเสียงนุ่มนวลสุภาพที่ใช้ทำเอาคนขี้อิจฉาถึงกับอยากกระอักเลือดออกมาให้รู้แล้วรู้รอดไป อินทรชิตหงอยลงทันตาเห็นขณะที่เฝ้าดูน้องสาวออเซาะคุณพฤกษ์
“วันนี้สอบวันสุดท้ายแล้วค่ะ”
คุณพฤกษ์นิ่งไปก่อนจะหันมาทางเด็กหนุ่มและนึกออกในที่สุด
“สอบวันสุดท้ายแล้วหรือ” ฝ่ามือเรียวเกลี่ยผมหน้าม้า พูดว่า “ฉันไม่ลืมหรอกนะ ว่าไง? อยากได้อะไรก็บอก”
ในใจลึก ๆ อินทรชิตก็นึกอยากให้คุณพฤกษ์จำไม่ได้ว่าเคยสัญญาอะไรไว้กับน้อง แต่อีกใจเขาก็ไม่อยากเห็นมาลีวัลย์ต้องร้องไห้อีก เด็กหนุ่มได้แต่หงุดหงิดงุ่นง่านอยู่ในใจ ความรู้สึกดีชั่วสับสนปนเปกันไปหมดจนไม่เป็นตัวของตัวเอง
“วันนี้อยากให้ไปรับจังค่ะ” เด็กหญิงยิ้มแป้น
อินทรชิตหูผึ่งขณะเดียวกันก็แสร้งทำเป็นเช็ดน้ำมูกให้พงพีด้วยความเป็นห่วงตามประสาพี่ชาย
“พวกแกก็มีรถไปรับนี่”
“ฮื่อออ” มาลีวัลย์กระเซ้า “รับมะลิแค่คนเดียวไงคะ” เปลี่ยนจากเกาะขากางเกงเป็นกอดรอบเอวบางแน่น ใบหน้ากลมถูไถไปมาอยู่ที่หน้าท้อง อินทรชิตที่เห็นภาพนั้นเข้าถึงกับเผลอบีบจมูกพงพีเสียแน่น
“โอ๊ยยยย!! ” เด็กชายร้องลั่นก่อนจะปัดมือพี่ชายออก มือเล็กถูจมูกตัวเอง พูดว่า “พี่อินทร์!! พีร์–เจ็บ–นะ! ทำบ้าอะไรเนี่ยยย”
“เงียบน่า! ” เขาปรามน้องพลางโยนผ้าเช็ดหน้าให้ส่ง ๆ พงพีรับมาไว้ได้ทันก่อนจะใช้เช็ดน้ำมูกใสที่ยืดยาวของตนเอง เด็กชายทำจมูกฟุดฟิดอยู่หลายครั้งแต่กลิ่นเหม็นฉุนของต้นตีนเป็ดก็ยังลอยคละคลุ้งอยู่ในอากาศไม่จางหายไปไหน เขาสุดจะทน หันไปมองคุณพฤกษ์ตาละห้อยก่อนจะก้าวเร็ว ๆ เข้าไปนั่งรอในรถ
“เด็กนั่นมันเป็นอะไรของมันน่ะ” คุณพฤกษ์เอ่ยหลังจากที่เห็นท่าทีของพงพีเมื่อครู่ อินทรชิตปรับสีหน้าอย่างรวดเร็วก่อนจะหันมาตอบคุณเขาหน้าซื่อตาใส
“คงจะหงุดหงิดมั้งครับ” เปล่า เขาเองนี่แหละที่หงุดหงิด “เห็นบ่นมาสองสามวันแล้วว่าไม่ชอบกลิ่นตีนเป็ด”
“งั้นหรือ” ร่างโปร่งเลิกคิ้วพลางยกมือขึ้นลูบศีรษะเด็กหญิง พูดว่า
“ฉันว่ามันออกจะหอม” คุณพฤกษ์ว่า ไม่ได้สนใจมาลีวัลย์ที่สูดน้ำมูกฟืดฟาดอยู่ที่เอวเลยแม้แต่น้อย
“เป็นหวัดหรือมะลิ นี่ ..พุงฉันไม่ใช่ที่เช็ดน้ำมูกของแกนะ”
‘ฮัดชิ่ว’ อินทรชิตจามขึ้นมาเสียงเบาหวิวก่อนจะอมยิ้มกริ่มเพราะคำพูดคำจาของคุณเขา
พุงหรือ.. ใช้คำว่าพุงสินะ น่ารักชะมัดเลย!
“เปล่าค่ะ” มาลีวัลย์สั่นศรีษะ ตอบว่า “แพ้กลิ่นตีนเป็ดต่างหาก”
คิ้วสวยเลิกขึ้นสูง มือเรียวอังไว้ที่หน้าผากเล็กก่อนจะหันมาถามเด็กหนุ่ม “แพ้กันทุกคนเลยงั้นสิ”
“เปล่าครับ” อินทรชิตส่ายหน้าอย่างแรง พูดว่า “ผมไม่ได้แพ้ ฮัดชิ่ว! ”
“แกควรจะปิดปากทุกครั้งก่อนจาม” คุณพฤกษ์ว่าพลางขยับตัวออกห่างจากเด็กหนุ่มไปไกลโข อินทรชิตมองคุณเขาตาละห้อย คุณพฤกษ์ทำอย่างกับเขาเป็นตัวเชื้อโรคก็มิปานทั้งที่มาลีวัลย์ดูจะอาการหนักกว่าเขาเสียด้วยซ้ำ
เจ็บปวดหัวใจเหลือเกิน! เขาคิดก่อนจะยกมือไหว้อีกฝ่ายด้วยท่าทางหงอยเหงาและเดินคอตกขึ้นไปรอบนรถอีกคน
ทีนี้ก็เหลือเพียงแค่ชายหนุ่มและสาวน้อย
“คุณพฤกษ์ค้า..”
“นี่ก็ขยันเรียกจริง” พฤกษ์ก้มลงมอง พอเห็นดวงตากลมโตเป็นประกายความหวังก็พลันใจอ่อนยวบยาบขึ้นมาเสียอย่างนั้น เขายกมือขึ้นเกลี่ยแก้มนุ่ม พูดขึ้นว่า
“อยากให้ไปรับหรือ? ”
“อื้อ! ”
“มีที่ ๆ ที่อยากไปอย่างนั้นสิ? แกอยากให้ฉันพาเที่ยวหรือเปล่า? ”
เด็กหญิงกระพริบตาปริบ ๆ มองอย่างออดอ้อน พฤกษ์คันยุบยิบขึ้นมาในใจทันที เขาเพิ่งจะรู้ตัววันนี้เองว่าน้องสาวคนเล็กที่เขาเกลียดชังที่จริงแล้วเป็นเด็กที่ช่างออดอ้อนและน่าเอ็นดูมากทีเดียว พฤกษ์ไม่เคยรู้เลย หรือนี่จะเป็นเพราะเขามองอีกฝ่ายด้วยอคติมาโดยตลอดก็อาจจะเป็นไปได้
ชายหนุ่มถอนหายใจยาวเหยียด ตอบว่า
“ก็ได้ วันนี้ฉันจะไปรับแล้วกัน”
พอได้รับคำตอบ หัวใจของสาวน้อยก็พองโตขึ้นทันที มาลีวัลย์ยิ้มแป้น โผเข้ากอดร่างโปร่งเสียเต็มรัก
“แหม นึกว่าฝันไปเสียอีก” พนาพูดขึ้นหลังจากที่ซุ่มดูอยู่นาน เขาก้าวมายืนข้างลูกชายคนโตก่อนจะมองรถตู้โดยสารขับออกไปจนสุดสายตา พฤกษ์ขมวดคิ้วเพราะเสียงที่ได้ยินมันอู้อี้พิกล เขาหันกลับมาและเห็นว่าผู้เป็นพ่อได้ใส่หน้ากากอนามัย
มันขนาดนี้แล้วหรือนี่ ..กะอีแค่ต้นตีนเป็ด
“แปลกมากหรือครับ” เขากอดอก พนาไอในคออยู่สองสามที พูดว่า
“แหงสิ ใครเห็นก็ว่าแปลก แต่แกดีกับน้องแบบนี้พ่อก็โล่งใจแล้วล่ะนะ” ชายวัยกลางคนดวงตาหม่นลง พูดด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย
“พ่อนึกว่าแกจะเกลียดน้องไปตลอดเสียแล้ว..”
พฤกษ์เบือนหน้าหนีไปอีกทาง หัวใจของเขาปวดหนึบขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ ชายหนุ่มฝืนทำสีหน้าราบเรียบ ตอบผู้เป็นพ่อไปด้วยท่าทีสบาย ๆ
“ช่างเถอะ” เขาว่า “เด็กมันไม่รู้เรื่องอะไรด้วย”
พนาอมยิ้มใต้หน้ากากอนามัย ก่อนจะทำจมูกฟุดฟิดและมีสีหน้าย่ำแย่ ชายวัยกลางคนถอยร่นเข้ามาข้างในโดยเร็ว
“เป็นอะไรหรือครับคุณพ่อ ทำตัวประหลาดจริง”
พนาทำหน้าแหยง บ่งบอกว่าสุดจะทนแล้ว เขาตอบลูกชายไปว่า
“ให้ตายเถอะ” พนาเกริ่นพร้อมกับวางมือลงบนบ่า “พ่อขอใช้คำนี้เลยนะพฤกษ์ กลิ่นตีนเป็ดอุบาทว์มาก อุบาทว์ที่สุด พ่อทนไม่ไหวแล้วพฤกษ์ เราจะตายกันทั้งบ้านยกเว้นแก”
พฤกษ์ร้อง ‘ห๊ะ!? ’ ในคอก่อนจะปัดมือผู้เป็นพ่อตกลงจากบ่าไปอย่างหงุดหงิด ชายหนุ่มขมวดคิ้วแน่น
“คุณพ่อกล้าดียังไงมาว่าอุบาทว์ หยาบคายที่สุด! ” พฤกษ์ว่า ท่าทางขึงขังสุดชีวิต
“ขอร้องเถอะ โค่นมันทิ้งสักที” พนาโอดครวญสุดชีวิตไม่แพ้กัน
“ฝันเอาเถอะ” ชายหนุ่มตอบ “มันเป็นต้นไม้ที่คุณแม่ปลูก ผมไม่มีทางโค่นเด็ดขาด”
“แม่แกปลูกเพราะคิดว่ามันเป็นไม้มงคลต่างหาก แต่ไม่ได้คิดเผื่อว่ามันจะเหม็นบัดซบขนาดนี้”
พฤกษ์ยกมือขึ้นปรามให้พนาหยุดพูด
“ผมว่าเราพูดเรื่องนี้จนปากเปียกปากแฉะแล้วนะ” เขาบอกอย่างเอือมระอา
“ไม่โค่นก็คือไม่โค่น ถ้าคุณพ่อทนไม่ได้ก็แค่ออกไปอยู่ที่อื่นแล้วค่อยกลับมาเหมือนทุกทีสิครับ”
“แต่เด็ก ๆ ..โดยเฉพาะเจ้าอินทร์”
“ไม่ฟังครับ ขอตัว” พฤกษ์พูดก่อนจะเดินผ่านหน้าผู้เป็นพ่อไป พนามองตามหลังลูกชายแสนเอาแต่ใจพร้อมกับถอนหายใจออกมา
“ฮัดเช้ย!!! ” เสียงหนึ่งดังขึ้น เขาชะโงกหน้าออกไปดู เห็นชายร่างโตสองคนกำลังเดินมา
“อ้าว เจ้าบิ๊ก เจ้าเบิ้ม” พนาทักทายสองบอร์ดี้การ์ดของตนเอง
“ซื้ดดด” เบิ้มผู้เป็นพี่สูดน้ำมูก ส่วนคนน้องอย่างบิ๊กถูจมูกตนเองเสียแดงก่ำ
“ทำไมแกไม่ใส่แมสก์เล่า” เขาเอ็ดลูกน้อง
“แมสก์ที่ห้องหมดครับเจ้าสัว” บิ๊กตอบเจ้านาย
“อ่าว หมดงั้นเรอะ” พนากวักมือเรียกทั้งสอง ชายวัยกลางคนพูด “มา ๆ ที่ครัวมีอยู่เป็นลัง พวกแกมาเอาไปใช้เสียสิ”
อินทรชิตอยู่ไม่เป็นสุขเลยตลอดทั้งวันหลังจากที่รู้ว่าคุณพฤกษ์จะมารับมาลีวัลย์ด้วยตนเอง เขารีบทำข้อสอบวิชาที่สองของคาบบ่ายให้เสร็จโดยเร็วก่อนจะได้เป็นนักเรียนคนแรกที่สามารถขออนุญาตไปนั่งอ่านหนังสือเตรียมสอบวิชาต่อไปได้ที่หน้าระเบียงห้อง
อินทรชิตไม่จำเป็นต้องอ่านหนังสือ เขาอายุตั้งเท่าไหร่แล้วไม่ใช่เด็ก ๆ ที่ตื่นสนามสอบจนจำบทเรียนไม่ได้ ข้อสอบระดับนี้แทบไม่คณามือคนที่จบเกียรตินิยมอันดับหนึ่งอย่างเขาแม้แต่น้อย ดังนั้นแทนที่จะหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน เด็กหนุ่มกลับวิ่งหน้าตั้งเพื่อที่จะลงไปด้านล่าง ตอนนี้ฝั่งเด็กประถมคงสอบเสร็จกันหมดแล้ว เมื่อครู่เขาก็เหมือนจะเห็นรถยนต์ของคุณพฤกษ์ขับเข้ามาในโรงเรียน
แย่ล่ะสิ ถ้าช้าไปมากกว่านี้เขาอาจจะไม่ทันได้เจอคุณพฤกษ์ก็ได้
“อินทร์! ” เสียงใสเรียก เด็กหนุ่มหันกลับไปมอง พอเห็นว่าเป็นลูกหว้าเจ้าเก่าก็หันกลับไปโดยไม่สนใจให้เสียเวลาสักนิด กลับกันกับเด็กสาว พอเห็นคนว่าที่กำลังสนใจไม่ยอมสนใจตนก็เกิดอาการหงุดหงิดขึ้นมาเสียอย่างนั้น ร่างบางวิ่งไล่หลังอีกฝ่ายไปจนถึงด้านล่าง
“อินทร์!? ” ลูกหว้าเรียก “จะ–ไป–ไหน! ”
ทว่าอินทรชิตกลับวิ่งต่อไปเรื่อย ๆ ไม่ยอมหยุดและไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะไม่ใส่ใจเสียงเรียกของเด็กสาว แถมยังทำทีราวกับว่าเธอเป็นอากาศธาตุเสียด้วยซ้ำ กระทั่งร่างโปร่งหยุดชะงักกะทันหัน เธอเกือบหน้าคะมำลงไปกับพื้นหากไม่ได้แผ่นหลังกว้างของอีกฝ่ายขวางเอาไว้
อินทรชิตหยุดยืนนิ่ง ขณะกำลังมองร่างสูงโปร่งของคุณพฤกษ์ที่ยืนพิงสะโพกอยู่ข้างรถยนต์
“ทันสินะ..” เขาเอ่ยเสียงหอบ พอสังเกตเห็นว่าคุณพฤกษ์อยู่ในชุดนักศึกษา หัวใจของเด็กหนุ่มก็เต้นโครมครามขึ้นมา อินทรชิตยิ้มบาง เขาชอบตนเองที่เป็นแบบนี้เวลาแอบมองอีกฝ่ายที่สุดเลยล่ะ
ชอบที่ดวงตาเบิกกว้างขึ้นนิดหน่อยเพราะจับจ้องอย่างตั้งใจ
ชอบที่หัวใจดวงน้อยเต้นเร่าระรัว คล้ายจะทรมานก็ไม่ เป็นสุขก็ไม่เชิง
ชอบที่แก้มทั้งสองมักจะปวดหนึบหนับเพราะมีสาเหตุจากการที่ยิ้มไม่ยอมหุบ
นั่นแหละ ...ชอบทั้งหมดเลย
“!!!” อินทรชิตสะดุ้งตื่นขึ้นมาและเขาก็รู้ตัวว่ามันเป็นเพียงแค่ความฝันจากครั้งวัยเยาว์
เขาฝันถึงตอนเป็นเด็ก ตอนที่คุณพฤกษ์ช่วยเขาจากการจมน้ำ หลังจากนั้นคุณเขาก็จับไข้ล้มป่วยอยู่เป็นอาทิตย์ก่อนจะกลับมาเป็นคุณพฤกษ์ใจร้ายคนเดิม ทว่าพอมีใครถามว่าทำไมถึงป่วยได้ก็เอาแต่เงียบ อินทรชิตคิดว่าคงเพราะไม่อยากปริปากบอกใครเรื่องที่ลงไปช่วยเขา แน่ล่ะ คุณเขาเกลียดขนาดนี้ คงจะไม่อยากมีเรื่องมีราวเกี่ยวพันกับเขาแม้แต่เรื่องเดียว
ทว่าหลังจากวันนั้นมา ความรู้สึกที่ปลูกฝังก็ค่อย ๆ ผลิบานที่ละนิดอยู่ในหัวใจดวงน้อย อินทรชิตรู้สึกว่าตนเองเริ่มจะเข้าใจคุณพฤกษ์มากขึ้นอีกหน่อย แม้อีกฝ่ายจะร้ายกาจมากเพียงใดแต่ลึก ๆ แล้วเป็นคนที่มีพื้นฐานจิตใจดีมาตั้งแต่ต้น ท้ายที่สุดของแล้วจึงไม่สามารถปล่อยให้เขาตายได้จริง ๆ
ไม่ว่าจะเรื่องที่ช่วยเขาจากการจมน้ำหรือเรื่องที่เอาตนเองมารับกระสุนแทนอัครา ทั้งหมดก็ทำเพียงเพื่อไม่อยากให้ใครสักคนต้องมาตาย
ทุกครั้งที่มีโอกาสเขามักจะได้ยินเรื่องของคุณพฤกษ์จากคุณลุงหรือแม่พลอยอยู่บ่อยครั้ง อินทรชิตจึงได้รู้ว่าสมัยคุณพฤกษ์เป็นเด็กนั้นน่ารักและอ่อนหวานกับทุกคนมาก กระทั่งปัญหาครอบครัวมาเปลี่ยนเด็กที่อ่อนโยนที่สุดคนหนึ่งให้กลายเป็นคนแข็งกระด้างและก้าวร้าวกับผู้อื่น เปลี่ยนจากคนที่เคยชอบเด็กมากให้กลายเป็นคนที่เกลียดเด็กชนิดเข้ากระดูกดำ เขาก็เพิ่งมารู้ไม่นานหลังจากวันนั้นว่าเหตุผลที่คุณเขาเกลียดน้อง ๆ รวมไปถึงพวกเด็ก ๆ ก็เพราะเคยสูญเสียน้องสาวที่อยู่ในครรภ์ไป มันจึงเป็นแผลใจคอยตอกย้ำว่าทำไมเด็กพวกนั้นถึงได้เกิดมาในขณะที่น้องสาวของเขาต้องตายอย่างทรมานทั้งที่ยังไม่ได้ออกมาลืมตาดูโลกเสียด้วยซ้ำ
คุณพฤกษ์ก็เหมือนกันกับเขา ..ยามปกติที่ไม่ใช่เวลาหงุดหงิดหรือหาเรื่องกลั่นแกล้งใคร อีกฝ่ายก็มักจะชอบหลบหลีกความวุ่นวายของทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก เลือกหามุมสงบ ๆ สักที่ในคฤหาสน์เพื่อนั่งอ่านหนังสืออยู่คนเดียว ...ทุกครั้งที่อินทรชิตเห็นอีกฝ่ายอยู่กับหนังสือสักเล่มก็ราวกับว่าบรรยากาศรอบตัวหยุดหมุนไปโดยปริยาย นิ้วเพรียวยาว ใบหน้านุ่มนวลและแววตาอ่อนโยนภายใต้กรอบแว่นนั้นสะกดให้เขาไม่สามารถละสายตาไปไหนได้เลย กว่าจะรู้ตัวว่าเผลอมองก็เป็นตอนที่คุณเขาตวาดไล่ให้ออกไปเสียทุกครั้ง
อินทรชิตนึกถึงตอนที่เขาเจอคุณพฤกษ์ครั้งแรกที่สถานสงเคราะห์ เด็กชายผู้มีดวงตาแสนเศร้า ผิวกายขาวผุดผ่อง น้ำเสียงนุ่มนวลและความใจดีเล็ก ๆ นั่นยังคงตรึงอยู่ในใจไม่เคยเลือนหาย เขาอมยิ้มราวกับคนโง่งมก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงนอน อินทรชิตเดินผ่านกระจก เขาหยุดยืนพินิจพิเคราะห์รูปร่างของตนเองอย่างตื่นเต้น
“เหลือเชื่อจริง ๆ” เขาพูดขณะที่มองร่างของตนเองในวัยสิบห้าปี ใครจะรู้ ข้างในตอนนี้เขาคือชายหนุ่มอายุสามสิบเข้าไปแล้ว
ร่างโปร่งเดินไปยังโต๊ะเขียนหนังสือ เขาเปิดลิ้นชักชั้นแรกออกก่อนจะหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมา
...เจ้าชายน้อย หนังสือเล่มโปรดและของเพียงสิ่งเดียวที่เขาคิดว่ามันมีค่ามากกว่าสิ่งอื่นใดบนโลก
ดวงตาคมก้มลงมองหน้าปกที่คุ้นเคย ภาพความทรงจำแสนสุขผุดขึ้นมาในหัวราวกับเพิ่งผ่านมาเมื่อวาน อินทรชิตอมยิ้มก่อนมือเรียวจะค่อย ๆ ลูบไล้ตัวอักษรสีดำซีดจางจนแทบจะเลือนหายไปตามกาลเวลา เป็นตัวอักษรสีดำลายมือตัวบรรจงสวยงามที่เขียนว่า อินทรชิต (น้องอินทร์)
อินทรชิตเดินลงมาชั้นล่างในเช้าวันเสาร์ ช่วงหลังมานี้เด็กหนุ่มเริ่มปรับตัวในเข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันได้อย่างแนบเนียนจนไม่มีใครรู้สึกสงสัยหรือตะขิดตะขวงใจว่าเขาไม่ใช่อินทรชิตคนเดิม
เด็กหนุ่มรู้สึกว่าอดีตเมื่อสิบกว่าปีก่อนเป็นอย่างไร ตอนนี้มันก็ยังคงเป็นอย่างนั้น ครอบครัวนี้แตกร้าวเช่นไร ตอนนี้ก็ยังคงแตกร้าวเช่นนั้น แต่สิ่งหนึ่งที่เขาไม่อาจเข้าใจได้คือมีบางอย่างเปลี่ยนไปเล็กน้อย ..เขาคิดว่าอาจจะเล็กน้อยล่ะนะ
นั่นก็คือเรื่องของฉัตรตะวัน
อินทรชิตจำได้ว่าฉัตรตะวันหรือคุณฉัตรอย่างที่ใคร ๆ เรียกคนนี้เป็นเพื่อนสนิทสมัยเด็กเพียงคนเดียวของคุณพฤกษ์ สองคนนี้มักตัวติดกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร จะพูดให้ถูกคือคุณฉัตรต่างหากที่เที่ยวตามติดคุณพฤกษ์ไปไหนมาไหนอยู่ตลอด เป็นเพื่อนสนิทที่ต่างกันสุดขั้ว คนหนึ่งสดใส อบอุ่น เป็นมิตรเหมือนดวงตะวัน แต่อีกคนกลับนิ่งเฉย สันโดษ ไม่เอาใครเหมือนดอกไม้บนหน้าผาสูงชัน อินทรชิตรู้สึกมาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วว่าคุณฉัตรอาจจะรู้สึกกับคุณพฤกษ์มากกว่าเพื่อนสนิท เพราะด้วยสายตา ด้วยการกระทำหลายอย่างที่ดูเอาใจใส่เกินกว่าที่เพื่อนจะพึงกระทำให้กัน แต่โชคร้ายที่คุณฉัตรเป็นคนอายุสั้น ไม่ทันจบมัธยมปลายก็มาเสียชีวิตไปด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ช่วงนั้นเหมือนเป็นช่วงหลุมดำของคุณพฤกษ์เลยก็ว่าได้ เพราะก่อนหน้านั้นแม่พลอยก็เพิ่งเสียชีวิตไปได้ไม่นานด้วยโรคชรา ตอนนี้ก็ต้องมาสูญเสียเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวไปอีกคน
เขาคิดว่าคุณพฤกษ์เป็นอีกคนหนึ่งที่พบเจอกับความสูญเสียอยู่ตลอดเวลา สูญเสียแล้ว ..สูญเสียอีก ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ครั้งแล้วครัังเล่า นับวันก็ยิ่งว่างเปล่าและแตกสลายโดยสมบูรณ์แบบ
กระทั่งคุณพฤกษ์ได้เจอกับผู้ชายอย่างอัครา
และความรักก็มักเข้ามาเติมเต็มช่องว่างของชีวิต เป็นกาวใจผสานรอยร้าว บรรเทาความทุกข์ทั้งปวง
คุณพฤกษ์กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งนั่นเป็นเรื่องที่น่ายินดี ทว่าสำหรับคนที่เฝ้ามองอย่างเขากลับรู้สึกเจ็บปวดทุกขณะลมหายใจ เป็นความเจ็บปวดลึกซึ้งที่คุณพฤกษ์ไม่อาจได้รับรู้
แต่อัคราก็เป็นเพียงแค่เรื่องในกาลก่อน นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขากังวลเพราะจนป่านนี้ก็ยังไม่มีวี่แววว่าเจ้าของชื่อจะโผล่ออกมาให้เห็น ไม่แน่ว่าอัคราในกาลนี้อาจจะไม่มีตัวตนอยู่ก็ได้ แต่กลับกันนั้น การมีตัวตนของคนที่ควรจะตายไปแล้วอย่างฉัตรตะวันก็ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ
หวังว่ามันคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นในอนาคตหรอกนะ
“?” อินทรชิตหยุดนิ่ง ขณะที่เดินคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย เสียงเปียโนที่คุ้นเคยก็ดังก้องกังวานไปทั่วคฤหาสน์ ฉับพลันหัวใจของเด็กหนุ่มเต้นเร่าอยู่ไม่สุขทันที นั่นเพราะเขารู้ดีว่าใครกำลังเล่นเปียโนอยู่ในตอนนี้ ไม่รอช้า สองเท้าของเขาวิ่งไปยังต้นตอของเสียง นั่นคือห้องหนังสือ ประตูบานโตถูกเปิดกว้างทิ้งเอาไว้ เขารีบซ่อนตัวอยู่หลังเสาสลักโรมันที่อยู่ใกล้ ๆ ก่อนจะยื่นหน้าออกมาชะโงกดูภายในห้อง
เขาเห็นแผ่นหลังเปลือยเปล่าของคุณพฤกษ์นั่งอยู่หน้าเปียโนหลังใหญ่ สองมือไม้ สิบนิ้วมือบรรจงกรีดกรายไปบนคีย์บอร์ด บรรเลงท่วงทำนองไปตามอย่างที่ใจปรารถนา แสงแดดยามเช้าลอดผ่านผ้าม่านกระทบลงบนผิวขับให้ดูขาวผ่องสว่างไสวจบแสบตา คุณพฤกษ์ยามนี้ช่างราวกับบุคคลที่ไม่มีตัวตนอยู่จริง ราวกับภาพวาดที่ถูกรังสรรค์มาอย่างประณีต เหมือนกับปีศาจรูปงามแสนยั่วยวนที่ล่อลวงเหล่าคนบาปอย่างไรอย่างนั้น
ตึง…
“นั่นใคร ? มีคนอยู่ตรงนั้นใช่ไหม”
เสียงเปียโนหยุดลงพร้อมกับเสียงราบเรียบดังขึ้น เด็กหนุ่มพลันแข็งทื่อ ไม่มีเรี่ยวแรงจะหันหนี สมองสั่งการให้หลบหลีกแต่ร่างกายกลับไม่ตอบสนอง เสียงฝีเท้าของคุณพฤกษ์เริ่มใกล้เข้ามา กระทั่งร่างสูงโปร่งปรากฏอยู่ตรงหน้า เด็กหนุ่มก็ไร้ซึ่งหนทางจะบ่ายเบี่ยง
“นี่แก.. ” คุณเขาขมวดคิ้ว เท้าแขนกับเสาสลักโรมันต้นนั้น “มาทำบ้าอะไรตรงนี้”
อินทรชิตถอยร่นไปด้านหลัง ก่อนสายตาไม่รักดีจะเลื่อนลงมองท่อนบนเปล่าเปลือยของคุณเขาเข้าไปเต็มสองตา เด็กหนุ่มตาถลน ไม่ใช่ว่าไม่เคยเห็น อันที่จริงเขาเห็นคุณพฤกษ์เปลือยท่อนบนเดินไปเดินมาแบบนี้จนเอือนเลยเชียวล่ะ ทว่าตอนนั้นเขายังเด็กและไม่ประสีประสาเกินกว่าที่จะคิดอะไรกับเรือนร่างขาวผุดผ่องตรงหน้าเหมือนอย่างตอนนี้
อย่าลืมเสียสิ ข้างในนี้คือผู้ชายอายุสามสิบที่หลงรักคุณพฤกษ์อย่างหัวปักหัวปำเชียวนะ
แล้วจะไม่ให้คิดเพ้อเจ้อได้หรือ..
“แกไม่ได้ยินที่ฉันถามหรือไงไอ้เขี้ยว”
หัวใจของเขาสูญเสียการควบคุม เลือดในกายสูบฉีดพลุ่งพล่านอีกครั้งเมื่อคุณเขาเรียกชื่อ ‘ไอ้เขี้ยว’ นั่นเป็นชื่อที่คุณพฤกษ์ใช้เรียกเขา อีกฝ่ายบอกว่ามันน่าเกลียดเหมาะสมกับเขาดี แต่อินทรชิตกลับดีใจจนเนื้อเต้นเสียอีกที่ได้ชื่อนั้นมา มันเป็นชื่อที่คุณพฤกษ์จะเรียกได้เพียงคนเดียวในโลกและนั่นย่อมหมายความว่ามันมีความหมายพิเศษต่อเขา
“!!!” แต่แล้วก็มีบางอย่างเกิดขึ้น เขาเพิ่งจะสังเกตเมื่อครู่นี้เองว่าตรงหน้าอกขาวของคุณพฤกษ์มีรอยแผลประหลาดปรากฏอยู่
รอยแผลเป็นที่ราวกับ ...รอยกระสุน
หัวใจที่เต้นระรัวเพราะความเก้อเขินก่อนหน้านี้กลับกลายเป็นการบีบรัดจนทรมานแสนสาหัส อินทรชิตทรุดฮวบลงไปกับพื้นแทบจะทันทีหลังจากที่เห็นรอยแผลเป็นบนอกคุณพฤกษ์ เด็กหนุ่มนั่งคุดคู้ตัวงอเป็นกุ้งถูกลวกจนสุก ใช้ฝ่ามือกดลงที่หัวใจอย่างแรง มันเจ็บแปลบคล้ายกำลังถูกของมีคมกรีดแทงซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาเริ่มหายใจติดขัด หอบรุนแรง รู้สึกราวกับกำลังจมน้ำอย่างไรอย่างนั้น
“เฮ้ย.. เขี้ยว ไอ้เขี้ยว..” ร่างโปร่งย่อตัวลงเสมอกับเขา อินทรชิตไม่รู้ตัวว่าฝันไปหรือเปล่าเพราะเขาเห็นใบหน้าของคุณพฤกษ์มองมาด้วยสายตาเป็นกังวลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“คุณ ..คุณ” เขาเอ่ยเสียงขาด ๆ หาย ๆ รู้สึกแน่นหน้าอกจนหายใจแทบไม่ออก
ภาพเหตุการณ์ที่เขาอยากจะลืมไปมากที่สุดกลับพรั่งพรูและฉายซ้ำขึ้นมาในสมอง อินทรชิตได้ยินเสียงดัง ปัง! ขึ้นในหูและภาพต่อมาก็เห็นร่างกายของคุณพฤกษ์หงายเอนไปด้านหลังพร้อมกับเลือดสีแดงฉานที่ทะลักออกมาจากอก เขามองเห็นแขนของตนเองและในมือนั้นกำลังถือกระบอกปืนสีดำ
ใช่ สิ่งที่เขาอยากลืมมากที่สุด... คือเรื่องที่เขาเป็นคนทำให้คุณพฤกษ์ต้องตาย!
“แกเป็นอะไร เฮ้ย ตอบฉันสิ”
มือเรียวยาววางลงหัวไหล่ก่อนจะออกแรงเขย่าเบา ๆ ขณะที่ฝ่ามืออีกข้างตบลงบนแก้มนุ่มหลายที กลิ่นหอมอ่อน ๆ กำจายออกมาจากร่างกายคนตรงหน้าพลันช่วยปัดเป่าเอาความเจ็บปวดที่อกค่อย ๆ หายไปทีละเล็กทีละน้อย
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้น สิ่งสุดท้ายที่ตนเห็นคือใบหน้านุ่มนวลและดวงตาแสนเย็นชาคู่นั้นของคุณพฤกษ์กำลังทอดมองลงมา ก่อนสติสัมปชัญญะจะดับวูบลงไปพร้อม ๆ กับร่างของตนที่โถมเข้าหาอกของคนตรงหน้า
อินทรชิตตื่นขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะได้ยินเสียงเปียโนดังขึ้นคลอเบา ๆ เด็กหนุ่มสะดุ้งเฮือกก่อนจะเห็นแผ่นหลังเปลือยเปล่าที่คุ้นเคยกำลังจดจ่อกับการเล่นเปียโนไม่เปลี่ยนแปลง
‘คุณยังอยู่กับผม ยังมีชีวิตอยู่สินะ..’
เขาถอนหายใจยาวเหยียดเพราะคิดว่าตนเองจะไม่ได้เห็นคนตรงหน้าอีกครั้งก่อนจะฉุกคิดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้
รอยแผลเป็น? รอยกระสุนแน่นอน? แต่แล้วทำไมล่ะ? เป็นไปได้อย่างไรกัน?
เด็กหนุ่มลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะค้นพบว่าผ้าห่มที่ตนเองห่มนอนอยู่ตลอดนั้นคือเสื้อคลุมผ้าซาตินตัวยาวที่คุณเขาสวมใส่อยู่เป็นประจำ เขารู้ดีว่าคุณพฤกษ์มักมีนิสัยขี้ร้อน เวลานอนไม่ใส่เสื้อ บางทีถ้าไม่ได้ออกไปไหนหรือไม่มีเรียนก็มักจะใส่แค่ชุดคลุมบาง ๆ อยู่ตลอดทั้งวัน
ตึกตัก.. ตึกตัก
อินทรชิตใจเต้นรัวอีกครั้ง เด็กหนุ่มหันกลับไป ยังคงเห็นคุณพฤกษ์บรรเลงบทเพลงโดยไม่รู้ตัวว่าเขาได้ตื่นขึ้นมาแล้วสลับกับมองเสื้อคลุมนั้นบนตัก อินทรชิตลังเลคล้ายกำลังต่อสู้กับจิตใต้สำนึกดีชั่วของตนเอง ณ ขณะความคิดหนึ่งเขาอยากลองสูดดมมันดูสักครั้ง อยากสัมผัสถึงกลิ่นกายหอมละมุนของคุณเขาอย่างใกล้ชิด อีกความคิดหนึ่งก็คอยฉุดรั้งว่านี่คือสิ่งที่ไม่ควรกระทำโดยเด็ดขาด
สุดท้ายแล้ว.. สิ่งที่เด็กหนุ่มตัดสินใจกระทำคือการเดินเข้าไปข้างหลังและค่อย ๆ กางเสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้มนั้นสวมทับบนหัวไหล่ทั้งสอง ถึงคุณพฤกษ์จะขี้ร้อนขนาดไหนแต่เขาก็กลัวว่าอีกฝ่ายจะป่วยขึ้นมาอยู่ดี อินทรชิตคิดดังนั้นก่อนจะถอยร่นออกมาอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว
คุณพฤกษ์ไม่มีทีท่าดุด่าหรือรังเกียจอย่างเช่นทุกครั้ง นั่นนับเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจมากกว่าที่เขาจะดีใจ เราพูดคุยกันเล็กน้อย แม้จะเป็นประโยคคำถามธรรมดาแต่สำหรับเขามันกลับพิเศษล้ำยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด กระทั่งในตอนที่เขาพูดว่า
“คุณพฤกษ์อาจจะไม่เชื่อ ผมเองก็ยังรู้สึกว่ามัน.. ค่อนข้างแปลก แต่ที่ผมสลบไปก็เพราะเห็นรอยแผลเป็นบนอกของคุณพฤกษ์นะครับ”
ไม่รู้ว่าเพราะอะไรดลใจให้เขาพลั้งปากพูดออกไป ทว่าลึก ๆ แล้วอินทรชิตต้องการพิสูจน์อะไรบางอย่างจากปฏิกิริยาของคนตรงหน้า
คุณพฤกษ์ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา อีกฝ่ายนิ่งไปราวกับกำลังคิดอะไรอยู่ ใบหน้าเรียบเฉย แววตาเย็นเยียบไร้ความรู้สึก หากจะมีสิ่งผิดปกติก็เห็นจะเป็นเพียงแค่การเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น
“อย่างนั้นหรอกหรือ” เงียบไปครู่ใหญ่ คล้ายว่าคุณเขากำลังขบคิดอะไรบางอย่างกับตนเองแล้วจึงตัดสินใจพูดออกมา
“แล้วแกรู้สึกอย่างไรตอนที่เห็นมันล่ะ? ”
คำถามนั้นทำเอาอินทรชิตสะท้านไปทั้งร่าง เขานึกถึงความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้และนึกถึงความเจ็บปวดที่ตนเองต้องเผชิญมาตลอดหลังจากคุณพฤกษ์จากไป
“ทรมานครับ” เขาเสียงสั่น แต่กระนั้นก็ยังพยายามควบคุมสติตนเองให้เป็นปกติ สายตาของอีกฝ่ายที่จ้องมองมาทำให้เขาต้องพูดต่อไปว่า
“...”
“เจ็บเหมือนจะตายให้ได้เลย”
อินทรชิตเห็นแววตาของคุณพฤกษ์มีประกายบางอย่างวูบไหวอยู่ คล้ายกับความรู้สึกบางอย่างกำลังเอ่อล้นออกมาแต่อินทรชิตไม่ทราบว่ามันคืออะไร
คุณเขาเงียบไปอีกครั้งก่อนจะหัวเราะเยาะเด็กหนุ่มอยู่ในคอ จากนั้นคุณพฤกษ์ก็โบกมือไล่ให้เขาออกไปให้พ้นหน้า อินทรชิตแทบจะเดินออกไปในทันที แต่ไม่ทันจะเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ทรุดลงตรงหลังประตูบานใหญ่ เป็นอีกครั้งที่เขาอยากจะร้องไห้เพราะนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น เด็กหนุ่มพยายามสลัดมันออกไปจากหัวเท่าไหร่ก็ยิ่งสลัดไม่ออก มันยังคงติดตา สลักแน่นและหยั่งรากลึกราวกับภาพหลอนที่ตามติดเป็นเงาในใจ
อินทรชิตสูดหายใจลึก เขาต้องรีบลุกขึ้นและออกไปก่อนที่คุณพฤกษ์จะมาเจอ ทว่าเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมา..
“ตอนที่ยิงฉัน ..แกรู้สึกแบบไหนอยู่นะ”
อินทรชิตค่อย ๆ หันกลับไป เด็กหนุ่มเห็นเพียงแค่แผ่นหลังเหยียดตรงของคุณพฤกษ์ที่ยืนอยู่
และเขาไม่รู้เลยว่าหัวใจของตนเองเต้นรัวจนน่าหวาดกลัวมากขนาดไหน
“ฮัดชิ่ว! ”
อินทรชิตจามออกมาเสียงดังขณะที่ยืนใส่รองเท้าอยู่หน้าประตูใหญ่ เขาสูดน้ำมูกหนึ่งครั้งก่อนจะยกมือขึ้นถูจมูกโดยแรงและหันไปเห็นพงพีทำหน้าเหยเก
“เราจะตายกันหมด” เด็กชายพูดขึ้นเสียงซึมกะทือ
“ใครตายหรือคะพี่พีร์ ฟื้ดดด..”
“มะลิคนแรก” พงพีหยอก ตั้งท่าเหมือนจะจามและ “ฮัดเช้ย!!! ” ออกมาเสียดังสนั่น
“สกปรกจริงเชียว” เสียงราบเรียบดังขึ้น ตามด้วยร่างสูงโปร่งในชุดคลุมยาวตัวโปรด คุณพฤกษ์เดินเข้ามาใกล้พวกเด็ก ๆ อีกฝ่ายเพิ่งจะตื่นนอน ดวงตายังแทบลืมไม่ขึ้น มิหนำซ้ำเส้นผมนุ่มสลวยยังชี้ฟูขึ้นเล็กน้อยแต่กระนั้นก็ยังคงดูดีในสายตาคนมอง อินทรชิตอมยิ้มขณะแอบลอบสังเกตคุณเขาอย่างระมัดระวัง
‘คุณพฤกษ์ดูดีที่สุดเลย’ เขาคิด ‘ถึงจะเพิ่งตื่นก็เถอะ’
“ฮัดชิ่ว! ” มาลีวัลย์ยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดปาก เด็กหญิงพอเห็นคุณพฤกษ์ก็ปรี่เข้าไปจับขากางเกงอีกฝ่ายแน่น
“คุณพฤกษ์ค้า..”
อินทรชิตคิ้วกระตุกอยู่เล็กน้อยที่ได้ยินเสียงออดอ้อนจากน้องสาว อันที่จริงเขารักและเอ็นดูมาลีวัลย์มากแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้อีกเช่นกันว่าเขาในตอนนี้กำลังอิจฉาริษยาเด็กสาวตัวน้อยอย่างถึงที่สุด มันเป็นความรู้สึกที่แย่ทีเดียวที่ต้องมารู้สึกเช่นนี้กับอีกฝ่าย เขาไม่ควรจะคิดแบบนี้เลยให้ตายสิ
แต่จะไม่ให้รู้สึกอิจฉาได้อย่างไร ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาคุณพฤกษ์หรือจะยอมให้น้อง ๆ ที่ตนเองเกลียดนักหนาเข้าใกล้คลอเคลียขนาดนี้
แต่ดูตอนนี้สิ…
“หื้ม” ร่างโปร่งก้มลงมอง “มีอะไร”
สายตาและน้ำเสียงนุ่มนวลสุภาพที่ใช้ทำเอาคนขี้อิจฉาถึงกับอยากกระอักเลือดออกมาให้รู้แล้วรู้รอดไป อินทรชิตหงอยลงทันตาเห็นขณะที่เฝ้าดูน้องสาวออเซาะคุณพฤกษ์
“วันนี้สอบวันสุดท้ายแล้วค่ะ”
คุณพฤกษ์นิ่งไปก่อนจะหันมาทางเด็กหนุ่มและนึกออกในที่สุด
“สอบวันสุดท้ายแล้วหรือ” ฝ่ามือเรียวเกลี่ยผมหน้าม้า พูดว่า “ฉันไม่ลืมหรอกนะ ว่าไง? อยากได้อะไรก็บอก”
ในใจลึก ๆ อินทรชิตก็นึกอยากให้คุณพฤกษ์จำไม่ได้ว่าเคยสัญญาอะไรไว้กับน้อง แต่อีกใจเขาก็ไม่อยากเห็นมาลีวัลย์ต้องร้องไห้อีก เด็กหนุ่มได้แต่หงุดหงิดงุ่นง่านอยู่ในใจ ความรู้สึกดีชั่วสับสนปนเปกันไปหมดจนไม่เป็นตัวของตัวเอง
“วันนี้อยากให้ไปรับจังค่ะ” เด็กหญิงยิ้มแป้น
อินทรชิตหูผึ่งขณะเดียวกันก็แสร้งทำเป็นเช็ดน้ำมูกให้พงพีด้วยความเป็นห่วงตามประสาพี่ชาย
“พวกแกก็มีรถไปรับนี่”
“ฮื่อออ” มาลีวัลย์กระเซ้า “รับมะลิแค่คนเดียวไงคะ” เปลี่ยนจากเกาะขากางเกงเป็นกอดรอบเอวบางแน่น ใบหน้ากลมถูไถไปมาอยู่ที่หน้าท้อง อินทรชิตที่เห็นภาพนั้นเข้าถึงกับเผลอบีบจมูกพงพีเสียแน่น
“โอ๊ยยยย!! ” เด็กชายร้องลั่นก่อนจะปัดมือพี่ชายออก มือเล็กถูจมูกตัวเอง พูดว่า “พี่อินทร์!! พีร์–เจ็บ–นะ! ทำบ้าอะไรเนี่ยยย”
“เงียบน่า! ” เขาปรามน้องพลางโยนผ้าเช็ดหน้าให้ส่ง ๆ พงพีรับมาไว้ได้ทันก่อนจะใช้เช็ดน้ำมูกใสที่ยืดยาวของตนเอง เด็กชายทำจมูกฟุดฟิดอยู่หลายครั้งแต่กลิ่นเหม็นฉุนของต้นตีนเป็ดก็ยังลอยคละคลุ้งอยู่ในอากาศไม่จางหายไปไหน เขาสุดจะทน หันไปมองคุณพฤกษ์ตาละห้อยก่อนจะก้าวเร็ว ๆ เข้าไปนั่งรอในรถ
“เด็กนั่นมันเป็นอะไรของมันน่ะ” คุณพฤกษ์เอ่ยหลังจากที่เห็นท่าทีของพงพีเมื่อครู่ อินทรชิตปรับสีหน้าอย่างรวดเร็วก่อนจะหันมาตอบคุณเขาหน้าซื่อตาใส
“คงจะหงุดหงิดมั้งครับ” เปล่า เขาเองนี่แหละที่หงุดหงิด “เห็นบ่นมาสองสามวันแล้วว่าไม่ชอบกลิ่นตีนเป็ด”
“งั้นหรือ” ร่างโปร่งเลิกคิ้วพลางยกมือขึ้นลูบศีรษะเด็กหญิง พูดว่า
“ฉันว่ามันออกจะหอม” คุณพฤกษ์ว่า ไม่ได้สนใจมาลีวัลย์ที่สูดน้ำมูกฟืดฟาดอยู่ที่เอวเลยแม้แต่น้อย
“เป็นหวัดหรือมะลิ นี่ ..พุงฉันไม่ใช่ที่เช็ดน้ำมูกของแกนะ”
‘ฮัดชิ่ว’ อินทรชิตจามขึ้นมาเสียงเบาหวิวก่อนจะอมยิ้มกริ่มเพราะคำพูดคำจาของคุณเขา
พุงหรือ.. ใช้คำว่าพุงสินะ น่ารักชะมัดเลย!
“เปล่าค่ะ” มาลีวัลย์สั่นศรีษะ ตอบว่า “แพ้กลิ่นตีนเป็ดต่างหาก”
คิ้วสวยเลิกขึ้นสูง มือเรียวอังไว้ที่หน้าผากเล็กก่อนจะหันมาถามเด็กหนุ่ม “แพ้กันทุกคนเลยงั้นสิ”
“เปล่าครับ” อินทรชิตส่ายหน้าอย่างแรง พูดว่า “ผมไม่ได้แพ้ ฮัดชิ่ว! ”
“แกควรจะปิดปากทุกครั้งก่อนจาม” คุณพฤกษ์ว่าพลางขยับตัวออกห่างจากเด็กหนุ่มไปไกลโข อินทรชิตมองคุณเขาตาละห้อย คุณพฤกษ์ทำอย่างกับเขาเป็นตัวเชื้อโรคก็มิปานทั้งที่มาลีวัลย์ดูจะอาการหนักกว่าเขาเสียด้วยซ้ำ
เจ็บปวดหัวใจเหลือเกิน! เขาคิดก่อนจะยกมือไหว้อีกฝ่ายด้วยท่าทางหงอยเหงาและเดินคอตกขึ้นไปรอบนรถอีกคน
ทีนี้ก็เหลือเพียงแค่ชายหนุ่มและสาวน้อย
“คุณพฤกษ์ค้า..”
“นี่ก็ขยันเรียกจริง” พฤกษ์ก้มลงมอง พอเห็นดวงตากลมโตเป็นประกายความหวังก็พลันใจอ่อนยวบยาบขึ้นมาเสียอย่างนั้น เขายกมือขึ้นเกลี่ยแก้มนุ่ม พูดขึ้นว่า
“อยากให้ไปรับหรือ? ”
“อื้อ! ”
“มีที่ ๆ ที่อยากไปอย่างนั้นสิ? แกอยากให้ฉันพาเที่ยวหรือเปล่า? ”
เด็กหญิงกระพริบตาปริบ ๆ มองอย่างออดอ้อน พฤกษ์คันยุบยิบขึ้นมาในใจทันที เขาเพิ่งจะรู้ตัววันนี้เองว่าน้องสาวคนเล็กที่เขาเกลียดชังที่จริงแล้วเป็นเด็กที่ช่างออดอ้อนและน่าเอ็นดูมากทีเดียว พฤกษ์ไม่เคยรู้เลย หรือนี่จะเป็นเพราะเขามองอีกฝ่ายด้วยอคติมาโดยตลอดก็อาจจะเป็นไปได้
ชายหนุ่มถอนหายใจยาวเหยียด ตอบว่า
“ก็ได้ วันนี้ฉันจะไปรับแล้วกัน”
พอได้รับคำตอบ หัวใจของสาวน้อยก็พองโตขึ้นทันที มาลีวัลย์ยิ้มแป้น โผเข้ากอดร่างโปร่งเสียเต็มรัก
“แหม นึกว่าฝันไปเสียอีก” พนาพูดขึ้นหลังจากที่ซุ่มดูอยู่นาน เขาก้าวมายืนข้างลูกชายคนโตก่อนจะมองรถตู้โดยสารขับออกไปจนสุดสายตา พฤกษ์ขมวดคิ้วเพราะเสียงที่ได้ยินมันอู้อี้พิกล เขาหันกลับมาและเห็นว่าผู้เป็นพ่อได้ใส่หน้ากากอนามัย
มันขนาดนี้แล้วหรือนี่ ..กะอีแค่ต้นตีนเป็ด
“แปลกมากหรือครับ” เขากอดอก พนาไอในคออยู่สองสามที พูดว่า
“แหงสิ ใครเห็นก็ว่าแปลก แต่แกดีกับน้องแบบนี้พ่อก็โล่งใจแล้วล่ะนะ” ชายวัยกลางคนดวงตาหม่นลง พูดด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย
“พ่อนึกว่าแกจะเกลียดน้องไปตลอดเสียแล้ว..”
พฤกษ์เบือนหน้าหนีไปอีกทาง หัวใจของเขาปวดหนึบขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ ชายหนุ่มฝืนทำสีหน้าราบเรียบ ตอบผู้เป็นพ่อไปด้วยท่าทีสบาย ๆ
“ช่างเถอะ” เขาว่า “เด็กมันไม่รู้เรื่องอะไรด้วย”
พนาอมยิ้มใต้หน้ากากอนามัย ก่อนจะทำจมูกฟุดฟิดและมีสีหน้าย่ำแย่ ชายวัยกลางคนถอยร่นเข้ามาข้างในโดยเร็ว
“เป็นอะไรหรือครับคุณพ่อ ทำตัวประหลาดจริง”
พนาทำหน้าแหยง บ่งบอกว่าสุดจะทนแล้ว เขาตอบลูกชายไปว่า
“ให้ตายเถอะ” พนาเกริ่นพร้อมกับวางมือลงบนบ่า “พ่อขอใช้คำนี้เลยนะพฤกษ์ กลิ่นตีนเป็ดอุบาทว์มาก อุบาทว์ที่สุด พ่อทนไม่ไหวแล้วพฤกษ์ เราจะตายกันทั้งบ้านยกเว้นแก”
พฤกษ์ร้อง ‘ห๊ะ!? ’ ในคอก่อนจะปัดมือผู้เป็นพ่อตกลงจากบ่าไปอย่างหงุดหงิด ชายหนุ่มขมวดคิ้วแน่น
“คุณพ่อกล้าดียังไงมาว่าอุบาทว์ หยาบคายที่สุด! ” พฤกษ์ว่า ท่าทางขึงขังสุดชีวิต
“ขอร้องเถอะ โค่นมันทิ้งสักที” พนาโอดครวญสุดชีวิตไม่แพ้กัน
“ฝันเอาเถอะ” ชายหนุ่มตอบ “มันเป็นต้นไม้ที่คุณแม่ปลูก ผมไม่มีทางโค่นเด็ดขาด”
“แม่แกปลูกเพราะคิดว่ามันเป็นไม้มงคลต่างหาก แต่ไม่ได้คิดเผื่อว่ามันจะเหม็นบัดซบขนาดนี้”
พฤกษ์ยกมือขึ้นปรามให้พนาหยุดพูด
“ผมว่าเราพูดเรื่องนี้จนปากเปียกปากแฉะแล้วนะ” เขาบอกอย่างเอือมระอา
“ไม่โค่นก็คือไม่โค่น ถ้าคุณพ่อทนไม่ได้ก็แค่ออกไปอยู่ที่อื่นแล้วค่อยกลับมาเหมือนทุกทีสิครับ”
“แต่เด็ก ๆ ..โดยเฉพาะเจ้าอินทร์”
“ไม่ฟังครับ ขอตัว” พฤกษ์พูดก่อนจะเดินผ่านหน้าผู้เป็นพ่อไป พนามองตามหลังลูกชายแสนเอาแต่ใจพร้อมกับถอนหายใจออกมา
“ฮัดเช้ย!!! ” เสียงหนึ่งดังขึ้น เขาชะโงกหน้าออกไปดู เห็นชายร่างโตสองคนกำลังเดินมา
“อ้าว เจ้าบิ๊ก เจ้าเบิ้ม” พนาทักทายสองบอร์ดี้การ์ดของตนเอง
“ซื้ดดด” เบิ้มผู้เป็นพี่สูดน้ำมูก ส่วนคนน้องอย่างบิ๊กถูจมูกตนเองเสียแดงก่ำ
“ทำไมแกไม่ใส่แมสก์เล่า” เขาเอ็ดลูกน้อง
“แมสก์ที่ห้องหมดครับเจ้าสัว” บิ๊กตอบเจ้านาย
“อ่าว หมดงั้นเรอะ” พนากวักมือเรียกทั้งสอง ชายวัยกลางคนพูด “มา ๆ ที่ครัวมีอยู่เป็นลัง พวกแกมาเอาไปใช้เสียสิ”
อินทรชิตอยู่ไม่เป็นสุขเลยตลอดทั้งวันหลังจากที่รู้ว่าคุณพฤกษ์จะมารับมาลีวัลย์ด้วยตนเอง เขารีบทำข้อสอบวิชาที่สองของคาบบ่ายให้เสร็จโดยเร็วก่อนจะได้เป็นนักเรียนคนแรกที่สามารถขออนุญาตไปนั่งอ่านหนังสือเตรียมสอบวิชาต่อไปได้ที่หน้าระเบียงห้อง
อินทรชิตไม่จำเป็นต้องอ่านหนังสือ เขาอายุตั้งเท่าไหร่แล้วไม่ใช่เด็ก ๆ ที่ตื่นสนามสอบจนจำบทเรียนไม่ได้ ข้อสอบระดับนี้แทบไม่คณามือคนที่จบเกียรตินิยมอันดับหนึ่งอย่างเขาแม้แต่น้อย ดังนั้นแทนที่จะหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน เด็กหนุ่มกลับวิ่งหน้าตั้งเพื่อที่จะลงไปด้านล่าง ตอนนี้ฝั่งเด็กประถมคงสอบเสร็จกันหมดแล้ว เมื่อครู่เขาก็เหมือนจะเห็นรถยนต์ของคุณพฤกษ์ขับเข้ามาในโรงเรียน
แย่ล่ะสิ ถ้าช้าไปมากกว่านี้เขาอาจจะไม่ทันได้เจอคุณพฤกษ์ก็ได้
“อินทร์! ” เสียงใสเรียก เด็กหนุ่มหันกลับไปมอง พอเห็นว่าเป็นลูกหว้าเจ้าเก่าก็หันกลับไปโดยไม่สนใจให้เสียเวลาสักนิด กลับกันกับเด็กสาว พอเห็นคนว่าที่กำลังสนใจไม่ยอมสนใจตนก็เกิดอาการหงุดหงิดขึ้นมาเสียอย่างนั้น ร่างบางวิ่งไล่หลังอีกฝ่ายไปจนถึงด้านล่าง
“อินทร์!? ” ลูกหว้าเรียก “จะ–ไป–ไหน! ”
ทว่าอินทรชิตกลับวิ่งต่อไปเรื่อย ๆ ไม่ยอมหยุดและไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะไม่ใส่ใจเสียงเรียกของเด็กสาว แถมยังทำทีราวกับว่าเธอเป็นอากาศธาตุเสียด้วยซ้ำ กระทั่งร่างโปร่งหยุดชะงักกะทันหัน เธอเกือบหน้าคะมำลงไปกับพื้นหากไม่ได้แผ่นหลังกว้างของอีกฝ่ายขวางเอาไว้
อินทรชิตหยุดยืนนิ่ง ขณะกำลังมองร่างสูงโปร่งของคุณพฤกษ์ที่ยืนพิงสะโพกอยู่ข้างรถยนต์
“ทันสินะ..” เขาเอ่ยเสียงหอบ พอสังเกตเห็นว่าคุณพฤกษ์อยู่ในชุดนักศึกษา หัวใจของเด็กหนุ่มก็เต้นโครมครามขึ้นมา อินทรชิตยิ้มบาง เขาชอบตนเองที่เป็นแบบนี้เวลาแอบมองอีกฝ่ายที่สุดเลยล่ะ
ชอบที่ดวงตาเบิกกว้างขึ้นนิดหน่อยเพราะจับจ้องอย่างตั้งใจ
ชอบที่หัวใจดวงน้อยเต้นเร่าระรัว คล้ายจะทรมานก็ไม่ เป็นสุขก็ไม่เชิง
ชอบที่แก้มทั้งสองมักจะปวดหนึบหนับเพราะมีสาเหตุจากการที่ยิ้มไม่ยอมหุบ
นั่นแหละ ...ชอบทั้งหมดเลย
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ