คุณพฤกษ์รวยมาก (สนพ.Onederwhy)

-

เขียนโดย ฟ้ามุ่ย

วันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564 เวลา 22.49 น.

  41 ตอน
  0 วิจารณ์
  22.35K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564 23.11 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

11) 00 11

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

00 11

 

“เกิดอะไรขึ้น ทำไมคุณถึงดูรีบร้อนขนาดนี้” ฉัตรตะวันพูดขึ้นขณะที่ก้าวลงมาจากรถของตนเองหลังจากที่ขับไล่หลังพฤกษ์มาตลอดทาง ร่างสูงกำยำกวาดสายตามองโดยรอบ เห็นว่าจุดหมายปลายทางเป็นโรงเรียนเอกชนชื่อดังก็พลันนึกสงสัยขึ้นมา

พฤกษ์หันหลังกลับมามองเพื่อนตนเอง คิ้วสวยขมวดขึ้นเป็นปม พูดว่า

“คุณฉัตรตามมาตั้งแต่เมื่อไหร่”

ชายหนุ่มถอนหายใจ “ผมขับจ่อท้ายขนาดนั้น คุณไม่สังเกตเลยหรือ”

พฤกษ์ส่ายหน้า ขณะนั้นในหัวของเขาหมกมุ่นอยู่กับมาลีวัลย์จนไม่ได้สังเกตสิ่งรอบข้าง

“ช่างมันเถอะ” เขาพูดพลางจ้องมองไปที่ตึกเรียน

“คุณมาทำอะไรที่นี่หรือครับ”

พฤกษ์กดล็อกรถยนต์เรียบร้อยดีแล้ว พูดว่า

“เด็ก ..มีเรื่องนิดหน่อย”

ฉัตรตะวันโคลงศีรษะ

“เด็ก? น้องคุณพฤกษ์? ”

เขาไม่ได้ยอมรับกับคำถามของอีกฝ่าย เพียงแต่ล้วงกระเป๋ากางเกงข้างหนึ่งและเดินนำเข้าไปในอาคารเรียน ฉัตรตะวันยืนคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเดินตามแผ่นหลังเหยียดตรงนั้นไปเงียบ ๆ ทั้งสองขึ้นมายังชั้นเรียนประถม เดินผ่านเด็กนักเรียนตัวน้อยที่เพิ่งพักกลางวันเสร็จ ฉัตรตะวันแอบชำเลืองมองเข้าไปในห้องเรียนที่พวกเขาเดินผ่าน ได้ยินเสียงวิ่งเล่นตึงตังและเสียงหัวเราะประปราย มุมปากเขาโค้งขึ้น รีบก้าวให้เร็วอีกสักนิดจนในที่สุดก็ตามทันอีกคน

“คิดถึงตอนเด็ก ๆ ขึ้นมาเหมือนกัน”

พฤกษ์หันมามอง เห็นฉัตรตะวันยิ้มอ่อนโยนส่งมาให้

“นั่นสิ” เขาหัวเราะ “ตอนนั้นเวลาแบบนี้เราทำอะไรกันอยู่”

“ผมเตะฟุตบอล ส่วนคุณนั่งมองเงียบ ๆ อยู่ข้างสนาม”

“อืม” พฤกษ์ครางรับในคอ ดูเหมือนเรื่องราวของเขาและอีกฝ่ายในวัยเด็กยังคงเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนไปสักนิด

“มันร้อนนี่เนอะ แต่คุณก็ลากผมไปนั่งเฝ้าอยู่ได้ทุกวัน”

ฉัตรตะวันเกาแก้ม พูดเสียงเบาหวิว “ถ้านั่งอยู่ตรงนั้น.. ถึงอยู่ในสนามแต่ก็มองเห็นคุณอยู่ในสายตาตลอด”

พฤกษ์ที่ได้ยินคำพูดนั้นหยุดเดินไปชั่วขณะก่อนจะตั้งสติได้ ตอบว่า

“ไม่เปลี่ยนไปเลย” เขาหันมายิ้ม

ฉัตรตะวันเลิกคิ้วขึ้น มองเห็นความวูบไหวน้อย ๆ ในดวงตาสีดำสนิทหลังกรอบแว่น

“ตั้งแต่เด็กก็มีคุณคอยอยู่ข้าง ๆ ตลอดเวลา คอยเป็นห่วง เป็นเพื่อนเล่น เพื่อนสนิท เป็นพี่ชาย คุณเป็นที่รักของทุกคน มีเพื่อนมากมายอยู่รอบตัวแต่กลับมาตัวติดอยู่กับผมที่ไม่สุงสิงกับใคร ..กลายเป็นว่าเราคบกันอยู่สองคนเสียอย่างนั้น นี่.. คุณฉัตร บางครั้งผมก็คิดเล่น ๆ นะ ว่าผมไปถ่วงชีวิตคุณอยู่หรือเปล่า”

มุมปากของชายหนุ่มโค้งขึ้นเมื่อดวงตาสีเข้มจับจ้องไปยังใบหน้านุ่มนวลที่กำลังหงอย เขาขยับตัวเข้าไปใกล้อีกฝ่าย ตัดสินใจวางมือลงบนกลุ่มผมสีดำนุ่มลื่นก่อนจะออกแรงขยี้ไปมาด้วยความเอ็นดูที่ล้นทะลักอยู่ในอก

“ทำอย่างกับหมา” พฤกษ์ว่าก่อนจะจับมือใหญ่นั้นออกจากศีรษะของตนเอง ทว่าเป็นฉัตรตะวันกลับฉวยโอกาสนี้โถมตัวเข้ามาชิดใกล้และใช้แขนข้างหนึ่งวางพาดบนไหล่บาง

“ใครจะกล้าคิดว่าคุณพฤกษ์เป็นหมา” ชายหนุ่มยิ้มแย้ม ใบหน้าชื่นมื่น พูดต่อไปว่า

“ไม่อยากให้คิดแบบนี้เลย คุณพฤกษ์อย่าคิดแบบนี้อีกนะครับ”

“ก็บอกไปหยก ๆ ว่าคิดเล่น ๆ ”

“คิดเล่น ๆ ก็แปลว่าคิดอยู่ดี” เขาพูดเสียงราบเรียบ “มันก็จริงที่ผมรู้จักคนมากมาย แต่ใช่ว่าจะเข้ากับทุกคนได้หมด ผมน่ะเวลาอยู่กับคุณพฤกษ์แล้วสบายใจที่สุดเลยรู้ไหม อีกอย่าง ความคิด ทัศนคติและการใช้ชีวิตของเรามันอยู่ในระนาบเดียวกันมาตลอด เพราะแบบนี้ล่ะมั้งถึงได้คบกันยืด”

“อือ” พฤกษ์รับในคออย่างว่าง่ายก่อนจะเดินต่อไปโดยมีแขนหนัก ๆ ของร่างสูงพาดอยู่บนบ่า ฉัตรตะวันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียว แอบเอาหน้าถูไถกับเส้นผมนุ่มลื่นของอีกฝ่ายอย่างแนบเนียน

 

ไม่นานพฤกษ์กับฉัตรตะวันก็เดินมาถึงที่หมาย ตรงหน้านี้คือทางเดินลาดยาว ทั่วทั้งชั้นและบริเวณโดยรอบไม่มีห้องเรียน ความทรงจำครั้งล่าสุดที่พฤกษ์มาเหยียบสถานที่แห่งนี้คือวันศุกร์ที่แล้ว ..ซึ่งเพิ่งจะผ่านมาได้ไม่กี่วันนี้เอง

ห้องปกครองอยู่ไม่ไกลแล้ว ทว่ากลับเห็นคนสองคนยืนรออยู่ตรงหน้าห้องนั้น พฤกษ์ดึงแขนของฉัตรตะวันที่พาดบ่าออกทันทีก่อนจะเร่งก้าวเท้าให้เร็วขึ้น เมื่ออยู่ในระยะที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน พฤกษ์จึงรู้ว่านั่นคือมาลีวัลย์และคุณครูประจำชั้น

เด็กหญิงมีสีหน้าคล้ายจะร้องไห้ขณะที่กำลังพูดคุยอยู่กับคุณครู นั่นทำให้หัวใจเขาแกว่งไปหลายจังหวะทีเดียว

“มะลิ! ”

ร่างเล็กค่อย ๆ หันกลับมามอง เสียงที่คุ้นเคยทำให้เด็กน้อยทั้งรู้สึกทรมานและดีใจไปในคราวเดียวกัน ..ด้วยความซื่อสัตย์ เธอไม่เคยรู้สึกโล่งอกเมื่อได้เห็นพี่ชายต่างแม่ขนาดนี้มาก่อน ซ้ำความรู้สึกนั้นยังส่งผลให้เรียวขาเล็กออกวิ่งไปโดยไม่สนเสียงเรียกของคุณครูประจำชั้นเลยสักนิด

มาลีวัลย์วิ่งตึง ๆ ทั้งน้ำตานองหน้าไปใกล้ก่อนจะกระโดดเข้าใส่ เอาขาเกี่ยวรัดเอวบางพร้อมกับกอดคอเขาไว้แน่น พฤกษ์แทบตั้งตัวไม่ติดแต่ก็ยังมีสติพอที่จะกระชับร่างของเด็กน้อยเอาไว้ไม่ให้หล่นลงสู่พื้น ส่วนฉัตรตะวันตกใจจนผงะถอยออกไปก้าวหนึ่งอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง

“คุณพฤกษ์ค้า.. อึก ฮือ” เสียงหวานใสเรียกชื่อเขาอย่างสั่นเครือขณะที่กำลังซบหน้ากับบ่า พฤกษ์ขานรับ ‘อืม’ อยู่ในคอ ยกมือข้างหนึ่งลูบแผ่นหลังเล็ก ๆ ที่สั่นกลัวอย่างน่าสงสาร

“ไม่เป็นไร” เขาพูดพลางลูบตามศีรษะและหลังเล็กด้วยความนุ่มนวลอย่างที่ไม่เคยปฏิบัติกับน้องสาวมาก่อน และด้วยการกระทำเช่นนี้ทำให้มาลีวัลย์ยิ่งร้องไห้สะอึกสะอื้นมากขึ้นไปอีก ทำเอาเชิ้ตสีขาวที่สวมใส่อยู่เปียกชื้นเป็นวงกว้าง

ผู้ที่พฤกษ์คิดว่าน่าจะเป็นคุณครูประจำชั้นเดินตามมาทีหลัง เธอทำหน้าอ่อนอกอ่อนใจก่อนจะพูดขึ้นว่า

“ผู้ปกครองเชิญทางนี้นะคะ”

พฤกษ์พยักหน้าไปทีก่อนจะกระชับร่างของเด็กหญิงให้แน่นและหันมามองฉัตรตะวันที่ยืนทำหน้าประหลาดใจอยู่ข้างหลัง

“คุณจะเข้าไปด้วยไหม? ”

ฉัตรตะวันกระพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะส่ายหน้าหวืด น้ำเสียงทุ้มนุ่มพูดออกมาอย่างเลื่อนลอย

“ผม ..เอ่อ รอข้างนอกดีกว่า”

ฉัตรตะวันมองตามแผ่นหลังเหยียดตรงที่กำลังกระเตงอุ้มเด็กหญิงตัวน้อยเข้าไปในห้องปกครองด้วยความรู้สึกพิลึกพิลั่น ร่างสูงทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ยาวที่อยู่บริเวณนั้นก่อนจะลูบหน้าตนเองโดยแรงเพื่อเรียกสติ

“มีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับเขาหรือเปล่านะ”

 

ทันทีที่พฤกษ์ก้าวเข้ามาในห้องปกครอง สายตาหลายคู่ก็หันขวับมามองเขาที่กระเตงอุ้มมาลีวัลย์อยู่เป็นตาเดียว แม้จะรู้สึกกระดากแต่ร่างเล็กก็ยังคงเกาะกอดเขาแน่นหนึบราวกับลูกลิงติดแม่ของมัน พฤกษ์ใช้มือตบเบา ๆ ที่ไหล่เล็กเป็นเชิงว่าให้ลงไปยืนได้แล้ว แต่เด็กหญิงกลับส่ายหน้าเป็นพัลวันพร้อมทั้งซุกหน้าหลบสายตาผู้คนอยู่ที่บ่าของเขา

พฤกษ์จนปัญญาจึงเดินไปนั่งบนเก้าอี้ที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ทั้งอย่างนั้น เขาหันหน้าไปมองโดยรอบ คราวนี้ไม่เห็นอินทรชิตและพงพีอยู่ร่วมด้วย คงเป็นเพราะกำลังเรียนอยู่อาจจะไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นก็เป็นไปได้ ข้างกันกับเขานั้นคือเด็กคนเดิมกับเมื่อคราวก่อน เด็กหญิงมีชื่อว่าวิชุดาหรือใบข้าว พฤกษ์จำชื่อได้อย่างแม่นยำเลยเชียวล่ะ แต่รู้สึกว่าผู้ปกครองของเด็กคนนี้จะไม่ใช่แม่เหมือนคราวก่อน คนที่นั่งข้าง ๆ และคอยปลอบโยนเด็กน้อยคือคุณครูที่เขาคุ้นหน้าคุ้นตา คล้ายกับว่าคุณครูท่านนี้จะเป็นคนเดียวกับเจ้าของประโยคที่ว่า

‘ขอโทษด้วยนะนักเรียน แต่ครูต้องเป็นกลาง เห็นอะไรก็พูดไปอย่างนั้น’

แล้วคำพูดหนึ่งของพงพีที่คุยกับอินทรชิตก็แว่บเข้ามาในหัว

‘ครูพิมลรู้จักแม่ยายนั่น’

พฤกษ์ยิ้มเยาะออกมา นี่น่ะหรือความเป็นกลางของคนที่เรียกตนเองว่าคุณครู

“แล้วผู้ปกครองของนักเรียนล่ะครูพิมล” คุณครูปกครองท่านเดิมพูดขึ้น พฤกษ์เหลือบมองป้ายชื่อที่โชว์หราอยู่บนโต๊ะจึงได้รู้ในที่สุดว่าอีกฝ่ายชื่อคุณครูวิโรจน์

“ติดธุระไม่สามารถมาได้ค่ะ แต่เดี๋ยวดิฉันจะขอรับผิดชอบแทน”

“หน้าที่นี้เป็นของครูประจำชั้นไม่ใช่หรือครับ? ”

พฤกษ์พูดแทรกขึ้นมากลางปล้องก่อนที่ทุกอย่างในห้องจะเงียบกริบ

ดวงตาเรียวรีภายใต้กรอบแว่นปรายตาไปมองคุณครูประจำชั้นคนเมื่อครู่ เธอยืนอยู่ด้านหลังสุดของห้อง ท่าทางสงบเสงี่ยมไปยอมมองหน้าใคร พอพฤกษ์พูดถึง เธอจึงค่อยรู้ตัวและเงยหน้าขึ้นมาสบตาเขาพลางทำสีหน้าตื่นกังวล พฤกษ์ถอนสายตากลับไปยังคุณครูพิมลที่นั่งหน้าชาอยู่ฝั่งตรงข้าม พูดยิ้ม ๆ ว่า

“ผมพูดถูกไหมครับ? ”

คุณครูพิมลนั่งตัวแข็ง สายตาหลุกหลิก ข้างกันนั้นเด็กหญิงที่เป็นคู่กรณีอย่างใบข้าวก็โพล่งขึ้นเสียงใสแจ๋วตามประสาเด็ก

“ครูพิมลรู้จักแม่หนู! ”

“ใบข้าว! ” เธอเอ็ดเสียงดุก่อนจะกระตุกแขนของเด็กหญิงให้เงียบ เป็นจังหวะเดียวกันกับที่พฤกษ์อุ้มมาลีวัลย์ออกจากตักและวางลงบนเก้าอี้ข้าง ๆ เด็กน้อยที่พอรู้ตัวว่าไม่มีอะไรให้ยึดเหนี่ยวจึงโพเข้ากอดแขนข้างหนึ่งของเขาแทนในทันที

พฤกษ์หันมองมาลีวัลย์เพียงครู่เดียว สบกับดวงตากลมโตรื้นน้ำนั่นก่อนจะยอมโอนอ่อนให้เด็กน้อยใช้แขนข้างนั้นเป็นที่พักพิงแต่โดยดี

“อืม มันก็ถูกอย่างที่ผู้ปกครองพูดนะครูมล ให้ครูประจำชั้นจัดการไม่ดีกว่าหรือ นั่นหน้าที่ครูกานต์เขา” ครูวิโรจน์พูดพลางพยักพเยิดหน้าไปทางครูกานต์ที่ยืนอยู่ เธอมีสีหน้าตื่นตระหนกเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้ามาใกล้

“แต่การปกป้องนักเรียนคือหน้าที่ของครูทุกคนนี่คะ ดิฉันว่าไม่จำเป็นต้องจำเพาะว่าต้องเป็นครูประจำชั้นหรอกค่ะ”

ครูกานต์ได้ยินดังนั้นจึงหน้าเจื่อนลงในทันทีก่อนจะถอยกลับไปยืนที่เดิม

“ปกป้องนักเรียนทุกคนจริงหรือครับ? ” พฤกษ์พูดขึ้น เรียกความสนใจจากทุกคนให้หันมองตนเอง

“คุณพูดว่าอะไรนะคะ” คุณครูพิมลถามเสียงแข็ง

“ครูมลใจเย็น ๆ ” 

“ผมพูดว่าคุณครูปกป้องนักเรียนทุกคนจริงหรือครับ? ”

“นี่..”

“ตั้งแต่คราวก่อน ผมเห็นคุณเอาแต่เข้าข้างเด็กคนนี้มาตลอดเลยนี่นา คุณบอกว่าเป็นกลาง แต่เคยคิดจะถามหาความจริงหรือเปล่า หรือความเป็นกลางมันมีให้เฉพาะแค่เด็กที่ได้รับอภิสิทธิ์? ”

คุณครูพิมลเลิกคิ้วขึ้นสูง ริมฝีปากแดงสดเหยียดยิ้มออกมา เธอหัวเราะน้อย ๆ หันไปทางคุณครูวิโรจน์ทีกลับมาทางพฤกษ์ที พูดขึ้นว่า

“พูดให้ดิฉันขำหรือไงคะ” เธอเอียงหน้ามองมาลีวัลย์ที่กอดแขนเขาแน่น

“มะลิ” เธอเรียกเสียงอ่อน เด็กหญิงพลันตัวสั่นกอดแขนพฤกษ์แน่นขึ้นไปอีก

“คราวก่อนเธอพูดเองไม่ใช่หรือว่าเรื่องที่ใบข้าวพูดเป็นความจริงน่ะ แล้วทำไมผู้ปกครองเธอถึงกล่าวหาครูแบบนี้? หื้ม? ”

มาลีวัลย์ไม่ตอบอะไร เด็กหญิงได้แต่ทำหน้าเหมือนอยากจะร้องไห้ออกมา ในใจพลันคิดโทษถึงคำพูดโป้ปดของตนที่ในตอนนี้ได้ย้อนกลับมาทำคุณพฤกษ์อีกแล้ว

ถ้าหากว่าย้อนกลับไปได้ …ถ้าย้อนกลับไปได้

เด็กหญิงซุกหน้าลงกับต้นแขนของพฤกษ์ราวกับคนขี้ขลาดก่อนจะพูดขึ้นมาซ้ำ ๆ คล้ายพึมพำกับตนเอง

“ขอโทษค่ะ ..ขอโทษ หนูขอโทษ..”

พฤกษ์ได้ยินน้ำเสียงที่สั่นเครือนั่นอย่างชัดเจน เขาเพียงแค่ถอนหายใจออกมายาวเหยียด พูดว่า

“เรื่องคราวนั้นเด็กของผมผิดเองนั่นแหละ”

คุณครูพิมลยิ้มเย็นเมื่อฟังคำพูดนั้น เธอเชิดคอขึ้น ทว่าพฤกษ์กลับพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ผิดที่ไม่ยอมพูดความจริง” พฤกษ์พูดประโยคนั้นออกมาซ้ำยังจับจ้องไปที่เด็กหญิงฝั่งตรงข้ามด้วยสีหน้านิ่งเฉยไร้ความรู้สึกใด ๆ

เด็กน้อยรู้สึกเย็นท้ายทอยวูบวาบยามเมื่อสายตาเย็นเยียบของพฤกษ์มองลงมาที่ตน วิชุดาหลบสายตานั้นอย่างขลาดกลัวเสมือนว่าถูกอีกฝ่ายจ้องมองจนทะลุปรุโปร่งไปทั่วร่าง มือเล็กที่กำอยู่หน้าตักกลับสั่นเทิ้มขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล

เด็กหญิงกำลังหวาดกลัวอะไรบางอย่างจากผู้ชายตรงหน้า

“คะ ครูพิมลคะ” เด็กหญิงเรียกเสียงตะกุกตะกักทว่าคุณครูของเธอกลับไม่ได้สนใจเสียงเรียกนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว

“อะแฮ่ม ..” เสียงคุณครูวิโรจน์ดังขึ้นกลบบรรยากาศอันน่ากระอักกระอ่วนนี้ ชายหนุ่มหน้าเข้มพูดว่า

“เรื่องที่ผ่านมาแล้วให้มันผ่านไปเถอะ เรามาเข้าเรื่องกันดีกว่าไหมครับ? ”

พฤกษ์หันมายิ้มบาง ๆ พยักหน้าตอบก่อนจะนั่งหลังเหยียดตรงดูสง่าและภูมิฐาน

“ผมกำลังรออยู่ อยากรู้เหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้น”

“จะเกิดอะไรขึ้นล่ะคะ ถ้าไม่ใช่เพราะมะลิมารังแกนักเรียนของดิฉัน”

“ครูมล” คุณครูวิโรจน์พูดปรามเสียงเขียว แต่กระนั้นเธอก็ยังคงทำเป็นทองไม่รู้ร้อน วางท่าวางทีราวกับตนเองถูกต้องอยู่เสมอ

“หืม” พฤกษ์โคลงศรีษะมอง ดวงตาภายใต้กรอบแว่นเป็นประกายเจ้าเล่ห์

“คำพูดนั่นดูไม่เหมือนกับคุณครูที่เคยบอกว่าตัวเองเป็นกลางเลยนะครับ นักเรียนของคุณมีแค่เด็กคนนั้นหรือ แล้วเด็กคนนี้ล่ะครับ? ไม่ใช่นักเรียนของคุณหรอกหรือ? ”

“นี่! ”

“ครูมล”

หญิงสาวขบกรามแน่นก่อนจะนิ่งเงียบด้วยความรู้สึกหงุดหงิดอยู่ในอก เธอหายใจกระฟัดกระเฟียดรุนแรงพาลให้เด็กหญิงที่นั่งข้างกายรู้สึกตื่นตระหนกไปด้วย

คุณครูหันมาทางพฤกษ์ เขาพูดว่า

“ผู้ปกครองใจเย็นลงสักนิดเถอะครับ”

พฤกษ์ยกมือขึ้นคล้ายจะยอมแพ้ ดูเหมือนชายหนุ่มจะรู้ว่าเขาตั้งใจพูดจายั่วยุปั่นหัวอีกฝ่าย เมื่อสถานการณ์ผ่อนคลายลงบ้างแม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม ผู้ที่แบกตำแหน่งคุณครูฝ่ายปกครองอย่างวิโรจน์จึงค่อยหายใจหายคอได้คล่องขึ้นมาหน่อย

“อย่างที่ครูกานต์เล่าไปทางโทรศัพท์” ชายหนุ่มพูดขึ้นพลางชำเลืองมองใบหน้านุ่มนวลของพฤกษ์

“อ่า” พฤกษ์ร้อง “เท่าที่ทราบ ครูกานต์บอกว่าเด็กสองคนนี้เอาหัวโขกกัน”

“มะลิต่างหากเอาหัวมาโขกหนู! ” วิชุดาตวาดลั่นพลางถลึงตาใส่มาลีวัลย์อย่างเอาเรื่อง เด็กหญิงกัดริมฝีปากตัวเองแน่นก่อนจะถูกพฤกษ์จับคางให้แหงนหน้าขึ้น เขาใช้มืออีกข้างรวบผมหน้าม้าให้เปิดขึ้น บนหน้าผากขาวเนียนปรากฏรอยริ้วสีแดงจาง ๆ

พฤกษ์ใช้นิ้วจิ้มบริเวณนั้นอย่างแผ่วเบา พูดว่า

“เจ็บไหม”

มาลีวัลย์กัดริมฝีปากจนสั่น พยักหน้ารับหงึกหงักว่าเจ็บอย่างที่ถูกถาม

“แล้วยังไงต่อหรือครับ เอาหัวโขกกันเพราะอะไร มีสาเหตุใช่ไหม ผมว่าคงไม่มีใครที่ไหนอยู่ดี ๆ ก็เอาหัวโขกคนอื่นไปทั่วหรอกนะครับ”

“เรื่องนี้คงต้องให้นักเรียนเล่าเองแล้วล่ะครับ” คุณครูวิโรจน์พูดจบก็มองมาที่เด็กทั้งสอง มาลีวัลย์เป็นฝ่ายก้มหน้าหลบทุกสายตาอยู่หลังต้นแขนของพฤกษ์ สุดท้ายหน้าที่นี้จึงตกไปยังคู่กรณีอย่างวิชุดา

“มะลิโกรธเรื่องคราวก่อนค่ะ” เด็กหญิงลุกขึ้นและพูดเสียงใสแจ๋ว

“วันนี้พอมาเรียน เพื่อน ๆ ไม่มีใครเล่นกับมะลิเลยเพราะเขาไม่ชอบที่มะลิโกหกว่าหนูไปแกล้งค่ะ”

พฤกษ์รู้สึกได้ถึงแรงจากฝ่ามือเล็กที่กำเชิ้ตนักศึกษาของเขาไว้แน่นจนเนื้อผ้ายับยู่ยี่ เสียงใสแจ๋วของวิชุดายังคงพูดต่อไปว่า

“มะลิโกรธก็เลยมาตีหนู เอาหัวโขกด้วย หนูก็ไม่ยอมค่ะ โขกกลับไป ..ละ เลย”

วิชุดาหันมาสบตากับพฤกษ์ที่จ้องมองอยู่ในตอนที่พูดจบ เด็กหญิงเย็นวาบไปทั่วทั้งร่าง ความรู้สึกบางอย่างสั่งให้เธอรีบเงียบปากและนั่งลงทันที

พฤกษ์หรี่ตามองปฏิกิริยานั้นก่อนจะแย้มรอยยิ้มบาง ๆ ส่งไปให้ ทว่าเมื่อเด็กหญิงได้เห็นกลับรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาเสียอย่างนั้น

“จริงหรือเปล่า” คุณครูวิโรจน์พูดขึ้นขณะที่มองมาลีวัลย์ พฤกษ์เห็นดังนั้นจึงก้มลงมองเด็กหญิงข้างกาย มือข้างหนึ่งวางลงบนไหล่บางที่สั่นเทา เขาพูดอย่างใจเย็น

“จริงหรือเปล่า”

เด็กน้อยช้อนดวงตากลมโตขึ้นมองพฤกษ์ด้วยความรู้สึกหลายหลาก ทั้งเศร้าเสียใจ ทั้งรู้สึกผิด เขาเข้าใจความรู้สึกนั้นผ่านดวงตาของมาลีวัลย์เป็นอย่างดี มือที่วางอยู่บนไหล่ออกแรงบีบเบา ๆ

“ฉันอยู่ข้างแก ..รู้ใช่ไหม ไม่ว่าแกจะพูดอะไรฉันจะเชื่อทั้งหมด”

มาลีวัลย์ไม่อาจห้ามน้ำตาที่กักขังอยู่ให้ไหลออกมาได้ เด็กหญิงร้องไห้ในที่สุดก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างช้า ๆ

แต่ทว่าหนักแน่นที่สุดในชีวิต

“ไม่จริงค่ะ”

 

พฤกษ์อุ้มมาลีวัลย์ออกมาในท่าเดิมเหมือนกับตอนที่เข้าไป เด็กหญิงร้องไห้จนหลับปุ๋ยเกยอยู่บนบ่าของเขา ซ้ำใบหน้ายังมีคราบน้ำตาแห้งกรังเปื้อนอยู่ คุณครูกานต์เดินตามออกมาก่อนจะปิดประตูห้องปกครองลง เธอถอนหายใจออกมายาวเหยียดในขณะที่มองมาที่นักเรียนของตนเอง

“ขอโทษนะคะผู้ปกครอง ครูไม่ดีเองที่ดูนักเรียนไม่ทั่วถึง” เธอพูดขึ้นขณะที่เดินส่งพฤกษ์ ฉัตรตะวันเงยหน้าจากจอโทรศัพท์ ทำทีจะลุกไปหาแต่ทว่าเห็นอีกฝ่ายกำลังคุยอยู่จึงเลือกที่จะนั่งลงและรออย่างใจเย็น

“ไม่เคยรู้มาก่อนว่ามะลิจะถูกแกล้งแบบนั้นมานานแล้ว ครูเห็นแกเป็นเด็กเงียบ ๆ ไม่พูดไม่จา ไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้เลย”

“การที่เห็นเด็กไม่พูดก็ใช่ว่ามันจะไม่มีอะไรนะครับ”

หญิงสาวหน้าเจื่อนลง พูดว่า

“มันจะไม่มีเหตุการณ์แบบนี้อีกค่ะ ครูรับรองได้ จะไม่มีใครรังแกแกอีก”

พฤกษ์หันมายิ้ม “ผมว่าคงไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแล้วล่ะครับ หลักฐานจากกล้องวงจรปิดชัดเจนขนาดนั้น”

คำพูดนั้นของพฤกษ์ทำให้คุณครูกานต์หวนนึกไปถึงเหตุการณ์ในห้องปกครองอีกครั้ง เธอยังรู้สึกชื่นชมและประทับใจในความสง่างามและความเด็ดขาดของพฤกษ์ไม่ลืมเลือน ในตอนที่มาลีวัลย์พูดความในใจออกมาจนหมดเปลือกทั้งน้ำตานองหน้า ในตอนที่วิชุดาและคุณครูพิมลต่างชี้หน้าว่าเด็กหญิงกำลังโกหก ในตอนที่แม้แต่เธอเองยังไม่เห็นทางออกของเรื่องราวตรงหน้านี้ พฤกษ์กลับเป็นคนเดียวในห้องนั้นที่ยังคงนั่งมองเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างเยือกเย็นพร้อมทั้งพูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่อินังขังขอบต่อสิ่งเร้ารอบกาย

‘ผมจำได้ว่าที่นี่มีกล้องวงจรปิดติดไว้ทั่วโรงเรียนไม่ใช่หรือครับ? คงไม่เป็นอะไรใช่ไหมถ้าหากผมจะขอดูภาพจากกล้องวงจรปิด ว่าอย่างไรครับ? เรามาดูย้อนหลังกลับไปเมื่อวันพุธด้วยดีไหมครับ? ’

หญิงสาวจดจำได้อย่างแม่นยำว่าคุณครูพิมลและวิชุดานักเรียนของเธอมีสีหน้าท่าทีอย่างไรเมื่อเห็นภาพเหตุการณ์ทั้งหมดจากกล้องวงจรปิด..

“คุณครูว่าเด็กพวกนั้นจะได้บทเรียนอะไร”

พฤกษ์ถามขึ้นด้วยความสงสัยเพราะภาพจากกล้องวงจรปิดไม่มีเพียงนักเรียนคนเดียวที่ร่วมกันรังแกมาลีวัลย์

“คุณครูจะตีพวกแกหรือเปล่าครับ”

“ต้องตีอยู่แล้วค่ะ แกจะได้หลาบจำกันเสียบ้าง ครูคิดว่าจะทำเรื่องถึงผู้ปกครองเป็นรายคนด้วย ให้พ่อแม่รับทราบพฤติกรรมของลูกตัวเอง ถ้ายังมีอีกคงต้องให้ลงทัณฑ์บน”

พฤกษ์หยุดเดินในทันทีก่อนจะยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาลูบแผ่นหลังของเด็กน้อย ใบหน้านุ่มนวลหันมามองหญิงสาว มุมปากสวยโค้งขึ้นเล็กน้อยทว่าดวงตากลับไม่ได้ยิ้มตามไปด้วยเลยสักนิด พฤกษ์พูดเสียงต่ำ สีหน้าไร้อารมณ์

“ไม่ใช่คิดว่าจะทำ แต่ผมขอสั่งให้คุณทำ รวมไปถึงเรื่องลงทัณฑ์บนกับเด็กพวกนั้นทุกคนด้วย ผมต้องการหลักประกันและเอกสารที่เป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อรับรองว่าต่อไปมันจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก”

“...”

“แต่ถ้ามันยังมีอีก ผมจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด ทั้งโรงเรียนนี้ ทั้งครูทั้งเด็กพวกนั้น และคุณที่ไม่ใส่ใจนักเรียนของตัวเอง”

หญิงสาวไม่รู้ว่าตนเองนิ่งค้างกับคำพูดของชายหนุ่มไปนานเท่าไหร่ รู้สึกตัวอีกทีก็เป็นตอนที่อีกฝ่ายส่งยิ้มบาง ๆ ซ้ำยังมีสีหน้านุ่มละมุนมาให้ผิดกับท่าทีจริงจังจนน่าหวาดหวั่นเมื่อครู่

น่ากลัว.. ผู้ชายคนนี้น่ากลัว

“คุณครูว่าอะไรไหมครับถ้าผมจะพาแกกลับก่อนเวลาเรียนสักวัน”

เธอพูดตอบไปอย่างตะกุกตะกัก รู้สึกกดดันจนอยากจะรีบหนีหายไปจากตรงนี้โดยเร็ว

“ดะ ได้ค่ะ เดี๋ยวครูจะไปเอากระเป๋ามาให้นะคะ”

 

 

“คุณมองอะไรผมนักหนาคุณฉัตร” พฤกษ์ถามขึ้นขณะที่พวกเขาเดินออกมาจากอาคารเรียน ฉัตรตะวันที่เดินตามหลังมาพร้อมกระเป๋าจาคอปสีดำเมี่ยมในมือตอบไปว่า

“แปลกตาดี ผมไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน”

เขาพูดพลางมองไปที่บ่าข้างหนึ่งของพฤกษ์ เห็นเด็กหญิงใช้มันเป็นที่หนุนนอนจนแก้มย้วยราบไปกับผิวเสื้อสีขาวแล้วอดไม่ได้ที่จะยื่นนิ้วไปบีบ ๆ บี้ ๆ ความนุ่มหยุ่นของเด็กน้อยเล่นด้วยความเอ็นดู

“อะไร? คุณไม่เคยเล่นแก้มเด็กหรือไง”

ฉัตรตะวันหัวเราะ ยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายภาพพฤกษ์เอาไว้ก่อนจะพูดว่า

“ไม่เคยเห็นคุณอุ้มแกมาก่อน พอได้เห็นแล้วรู้สึกว่าคุณน่ารักขึ้นเยอะ”

พฤกษ์นิ่งค้างไปทันที ชั่วครู่หนึ่งกลับรู้สึกถึงความเห่อร้อนทั่วใบหน้า เขารีบบอกปัด

“ตลกแล้ว น่ารักอะไร เพ้อเจ้อ”

“คุณเขินหรือ”

“ใครจะเขินกับอีแค่ถูกชมว่าน่ารัก”

“อืม นั่นสิ” ฉัตรตะวันทำหน้าล้อเลียน พูดไปว่า

“ที่เห็นแก้มแดง ๆ ผมคงตาฝาดไปเอง”

“อาการร้อนหรอก” พฤกษ์พูดเสียงเบาก่อนจะเดินไปที่รถยนต์

“อืม อาการร้อน” ฉัตรตะวันเดินตามไปเปิดประตูให้ก่อนจะช่วยประคองมาลีวัลย์ลงนอนราบที่เบาะหลัง วางกระเป๋าลงแล้วปิดประตูเสร็จสรรพด้วยความเรียบร้อย ทว่าหันมาอีกทีก็เห็นอีกฝ่ายยืนพิงท้ายรถด้วยสีหน้าเป็นกังวล ชายหนุ่มเดินเข้าไปใกล้ เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงเป็นใย

“เกิดอะไรขึ้นหรือครับ เล่าให้ผมฟังได้นะ”

พฤกษ์ถอนหายใจยาวเหยียด มองเข้าไปในรถพร้อมพูดว่า

“คุณฉัตรอยากรู้หรือครับ”

เขาพยักหน้าหงึกหงัก ดวงตาเป็นประกาย เห็นดังนั้นพฤกษ์จึงเริ่มต้นเล่าเรื่องของมาลีวัลย์ให้ชายหนุ่มฟังโดยไม่อิดออด

ฉัตรตะวันที่ได้รับรู้เรื่องราวนั้นถึงกับประหลาดใจจนแสดงออกมาทางสีหน้าอย่างไม่ปกปิด ชายหนุ่มถามขึ้นอย่างสงสัย

“คุณ ..” เขาลูบหน้า “คุณเป็นใคร ใช่คุณพฤกษ์จริงหรือ”

พฤกษ์ทำหน้านิ่งตอบไปว่า

“ผมก็คือผม ถึงจะไม่ใช่แต่ก็คือผม”

“ไม่เข้าใจ”

เขาโบกมือไหว ๆ “ช่างมันเถอะครับ”

“คุณเปลี่ยนไปนะ” พฤกษ์หันมามองอีกฝ่าย ฉัตรตะวันก็จ้องมาที่เขาด้วยแววตาที่เหมือนจะเจาะทะลุร่างจนพรุน พฤกษ์หลบสายจริงจังนั้นและแสร้งพูดขึ้นว่า

“คุณเคยพูดคำนี้แล้ว”

“เกิดนึกอะไรขึ้นมา คุณทำผมประหลาดใจมาสองเรื่องแล้วนะ” เรื่องแรกคือหลี่เหมาเหมา น้องรหัสที่เขาไม่คิดจะเหลียวแล เรื่องที่สองคือมาลีวัลย์ น้องสาวที่เขาเกลียดชังเสียยิ่งกว่าอะไร ฉัตรตะวันคงตกใจเป็นแน่ถ้ารู้ว่าเขาก็วางแผนเกี่ยวกับพงพีและอินทรชิตเอาไว้ในหัวเรียบร้อยแล้วเหมือนกัน

“นึกอะไรขึ้นมางั้นหรือ..” พฤกษ์ทวนคำถามนั้นก่อนจะหวนนึกถึงเรื่องราวของตนเองในกาลก่อน..

“คงจะกลัวตายขึ้นมาล่ะมั้ง”

ภาพสุดท้ายนั้นพฤกษ์ยังจำได้ดีเชียว ภาพที่ตัวเขาโงนเงนไปด้านหลังเพราะแรงยิงจากกระสุนที่เจาะทะลุขั้วหัวใจและภาพสีหน้ารวมไปถึงแววตาตกใจสุดขีดของอินทรชิตยามที่มันรับรู้ว่าตนเองเป็นคนปลิดชีพพี่ชายบุญธรรมด้วยปืนกระบอกนั้น

ปั้ง!

 

⚠ warning | drug abuse ??”?

พฤกษ์ไปตามคำเชิญชวนของพี่รหัสอย่างริต้าในที่สุด สถานที่สำหรับเลี้ยงสายคือผับหรูแห่งหนึ่ง เมื่อเท้าก้าวพ้นประตูสิ่งแรกที่เห็นคือแสงไฟสีฉูดฉาดและเสียงเพลงที่ดังกระหึ่มจนหูเกือบบอด คืนนี้เขาใส่คอนแทคเลนส์แทนแว่นสายตาเพื่อที่จะได้ไม่เกะกะเวลาเมาแล้วเรื้อน ฉีดน้ำหอมพร้อมทั้งยังสวมชุดสบาย ๆ อย่างเสื้อเชิ้ตเนื้อนิ่มแขนสั้นสีดำ ปลดกระดุมสองเม็ดโชว์แผงอกขาวผ่องตัดกับสีเสื้อ

ดวงตาเรียวรีที่เคยไร้อารมณ์ส่องประกายในความสลัวของแสงสี ด้วยเพราะคนมากมายที่เต้นเร่าเบียดเสียดกันไปมา ร่างโปร่งจึงเดินชนกับใครบางคนที่ตัวใหญ่กว่า พฤกษ์ช้อนตาขึ้นมอง อีกฝ่ายเป็นคนต่างชาติที่รูปร่างหน้าตาจัดว่าดีเยี่ยม

“sorry ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเซ็กซี่พลางเอามือดันอกอีกฝ่ายออกเบา ๆ แล้วเดินจากไป ถึงจะไม่หันกลับไปมองแต่พฤกษ์รู้ได้ทันทีว่าสายตาร้อนแรงคู่นั้นยังคงมองตามร่างของตนอย่างไม่ลดละ

swallow the bait

การบริหารเสน่ห์ถือเป็นเรื่องดี ว่าไหม ?

 

เขาเดินเข้ามาในส่วนลึกของผับตามที่ริต้าส่งข้อความมาหา คล้ายว่ามันเป็นโซนเฉพาะวีไอพีที่ตัดขาดจากภายนอก แสงสีและดนตรีบาดหูดังขึ้นให้ได้ยินพร้อมกับควันจาง ๆ ที่ลอยละล่องในอากาศ พฤกษ์มองควันกลุ่มนั้นที่กำลังลอยผ่านจมูกไป กลิ่นของมันคล้ายกับหญ้าสดหรือใบชาที่ถูกเผาจนไหม้และเจือความหอมหวานกว่ายาสูบ ด้วยประสบการณ์ชีวิตที่กร้านโลกมาหมดเกือบทุกรูปแบบในกาลก่อน พฤกษ์จึงรู้ได้ในทันทีว่ามันคือกลิ่นที่หลงเหลือจากการเสพกัญชา

ร่างโปร่งหันมองที่มาของกลุ่มควันเหล่านั้น เห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังล้อมวงหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน บางคนมีอาการตาแดง สีหน้าเคลิ้มฝัน บางคนเกี่ยวคอจูบปากกันอย่างดูดดื่ม ตรงกลางวงมีบ้องกัญชาที่ทำจากแก้ววางเอาไว้ถึงสองบ้อง ใครคนหนึ่งในนั้นสังเกตเห็นพฤกษ์ที่ยืนอยู่จึงชูบ้องแก้วในมือขึ้นมาเป็นการเชิญชวนให้ร่วมด้วย ทว่าพฤกษ์เพียงแค่ยกยิ้มตอบก่อนจะเดินผ่านไป

เขาเดินสวนคนมากมายที่เต้นเร่าบดเบียดร่างกายคล้ายกับปลาที่ว่ายวนรวมกันอยู่ในบ่อ กระทั่งเห็นกลุ่มคนคุ้นหน้าที่นั่งรวมกันอยู่ที่โซฟาตัวใหญ่ พฤกษ์เดินไปใกล้ ทักทายรุ่นพี่คนอื่น ๆ รอบโต๊ะก่อนจะทิ้งตัวลงข้าง ๆ ฉัตรตะวันที่นั่งซึมกะทือไร้วิญญาณขัดแย้งกับบรรยากาศรอบตัว

“เขาดื่มไปเยอะหรือยัง” พฤกษ์หันมาถามคนข้างตัว เธอชื่อมิวด้า เป็นพี่รหัสของฉัตรตะวัน หญิงสาวกระดกเครื่องดื่มในมือลงคอรวดเดียว พูดว่า

“กรึ่มได้ที่แล้วล่ะ”

“พี่ริต้าไปไหน” มิวด้าไม่ได้ตอบเพียงแต่ยกยิ้มก่อนจะพยักพเยิดหน้าไปอีกทาง พฤกษ์หันตามไป เห็นคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่รหัสกำลังเด้งเร่าสะโพกคร่อมขี่ชายคนหนึ่งอยู่บนโซฟาที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล เขาหรี่ตามองภาพนั้นสลับกับบรรยากาศโดยรอบ นอกจากผู้คนที่มาเพื่อดื่มและเต้นเร่าไปตามจังหวะเพลง ยังมีคนอีกจำนวนมากที่รวมกลุ่มกันเสพยาเสพติดและมีเซ็กซ์กันอย่างโจ่งแจ้งโดยไม่สนใจรอบข้าง

“ปาร์ตี้มั่วยาหรือไง” พฤกษ์พูดขึ้นขณะที่รับแก้วเหล้าจากมิวด้า หญิงสาวหัวเราะร่า ท่าทางคงเริ่มเมาไม่ต่างจากคนอื่น

“ที่นี่ปลอดภัยนะ มีแต่พวกเรา”

คำว่าที่นี่ปลอดภัยและพวกเรา พฤกษ์แปลความหมายได้ว่าที่แห่งนี้คงเปิดขึ้นมาเพื่อใช้เป็นแหล่งมั่วสุมสำหรับคนที่มีฐานะร่ำรวยรวมไปถึงคนดังในสังคมโดยเฉพาะ

การมีอยู่ของสถานที่นี้มันผิดกฎหมายแต่พฤกษ์เชื่อเหลือเกินว่าคนพวกนี้ใช้เงินซื้อกฎหมายได้

“คุณฉัตร” พฤกษ์ตบเบา ๆ ที่แก้มของอีกฝ่าย ฉัตรตะวันปรือตามองเขาก่อนจะยิ้มออกมา

“นึกว่าจะไม่มา อึ่ก แล้ว”

“อืม” เขาครางรับจากนั้นฉัตรตะวันก็ขยับตัวโถมเข้ามาเบียด พฤกษ์ยกเหล้าขึ้นดื่ม ดวงตาเรียวรีเหลือบมองเสี้ยวหน้าด้านหนึ่งของคนที่เกยอยู่บนไหล่ พูดว่า

“นอกจากเหล้าแล้วคุณเล่นยาด้วยหรือเปล่า”

ฉัตรตะวันกดใบหน้าตนเองลงกับไหล่บาง สูดเอาความหอมเย้ายวนก่อนจะตอบ

“ดื่มอย่างเดียวครับ”

“....” พฤกษ์หรี่ตา

“จริง ๆ นะ”

มิวด้าที่นั่งมองอยู่จึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ

“พี่เป็นพยานได้ ฉัตรมาถึงก็ซดอย่างเดียวเลย ปุ๊นไม่ดูด โค้กไม่สูด สาวมายั่วก็ไม่ลุก นับถือ ๆ เอิ้ก! ”

เขาพยักหน้ารับ หันมามองฉัตรตะวันที่วนเวียนอยู่ตรงหัวไหล่ ซ้ำยังเลื่อนมือมาโอบเอวไม่ยอมปล่อย

“ไหวนะ” มิวด้ามองพฤติกรรมของน้องรหัสตัวเองก็พลันขบขัน พูดขึ้นว่า

“ที่เขาลือว่าฉัตรแอบชอบเพื่อนตัวเองคงเป็นความจริง”

“เขาเมาแล้วเรื้อนต่างหาก”

“พี่เมาแล้วก็ไปเรื้อนใส่ผู้ชาย ไม่มาเรื้อนกับเพื่อนหรอก”

“แบบนั้นคงไม่เรียกว่าเรื้อนนะครับ น่าจะเรียกยั่ว”

“แหม เกลียดคนรู้ทัน เอ้า ลองนี่สิ” มิวด้าดึงแก้วในมือของพฤกษ์ออกก่อนจะแทนด้วยแก้วกระดาษ เขามองของเหลวสีเข้มในนั้นสลับกับมองหญิงสาวด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม

“น้ำอัดลมอย่างที่พฤกษ์ชอบไงจ๊ะ” พฤกษ์มองรอยยิ้มหวานของมิวด้าพลันคิดในใจว่าเขาน่ะหรือชอบน้ำอัดลม มือเรียวยกแก้วกระดาษขึ้นจ่อริมฝีปาก ของเหลวในนั้นมีกลิ่นหอมของน้ำอัดลมรสองุ่นอย่างที่เธอบอกจริง ๆ ทว่าพฤกษ์กลับไม่ได้คิดว่านี่คือน้ำอัดลมปกติ เขาวางแก้วกระดาษลงบนโต๊ะโดยที่ยังไม่ได้ดื่มลงไปสักหยด

“ผมไม่เล่นลีน ขอเหล้าปกติดีกว่า”

“ว้าว” รุ่นพี่ปีสามผู้ชายร้องขึ้น “เปลี่ยนไปนะเนี่ยน้องพฤกษ์ อ่ะ ไม่กินด้าก็อย่าไปเร้าหรือน้องมัน มา ๆ ๆ เดี๋ยวพี่ชงเข้ม ๆ ให้ดีกว่า”

 

ฉัตรตะวันสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาด้วยอาการมึนศีรษะก่อนจะพบว่าตนเองถูกทิ้งให้นอนหมดสภาพอยู่บนโซฟา พี่ ๆ น้อง ๆ ที่มาด้วยกันต่างพากันออกไปเต้นอยู่ตรงกลาง เหลือเพียงตัวเขาที่เพิ่งสร่างและมิวด้าที่อยู่ในอาการเลื่อนลอยผิดปกติ

เขาเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าพี่รหัส ตรึงหัวไหล่เธอไว้แน่นก่อนจะถามออกไป

“คุณพฤกษ์ล่ะพี่ เขาอยู่ไหน”

มิวด้าทำราวกับเสียงของเขาเป็นเพียงอากาศธาตุ หญิงสาวมองเห็นภาพตรงหน้าผิดแผกไปจากความเป็นจริง สีสันมากมายบิดเบี้ยวไปมาคล้ายกับหลุดไปอยู่อีกโลก หัวใจของเธอเต้นเร่า ซ้ำยังรู้สึกเคลิบเคลิ้มราวกับล่องลอยอยู่บนอากาศ

“สีแดง ..สีชมพู ..สีฟ้า” เธอชี้นิ้ววาดไปมาในความว่างเปล่า ฉัตรตะวันตบแก้มของหญิงสาวสองสามครั้งเพื่อเรียกสติแต่กลับไม่เป็นผล ดูเหมือนสารเสพติดที่เธอเสพเข้าไปก่อนหน้ากำลังออกฤทธิ์หลอนประสาทเสียแล้ว

ฉัตรตะวันเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างจำนวนหนึ่งที่วางกระจายอยู่บนโต๊ะ เขาหยิบมันขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นยาเม็ดที่มีลักษณะกลมแบน ด้านหนึ่งเป็นรอยขีดผ่ากลาง พลิกกลับอีกด้านเป็นรูปหน้ายิ้ม ฉัตรตะวันลุกขึ้นพรวดเพราะสังหรณ์ใจไม่ดีเกี่ยวกับเพื่อนสนิทก่อนจะทรุดลงไปเพราะความมึนจากแอลกอฮอล์ที่ยังหลงเหลืออยู่ เขาขยี้หัวอย่างแรงและพยุงตัวเองขึ้น สบถออกมาด้วยความหงุดหงิดว่า

“แม่งเอ๊ย! เล่นแรงไปแล้วพวกเหี้ย”

 

“น้องพฤกษ์”

“หืออ” พฤกษ์ที่เมาจนไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ส่วนไหนของผับปรือตาขึ้น เขาเห็นรุ่นพี่คนเดิมที่คอยชงเหล้าให้ยื่นมือมาตบเบา ๆ ที่แก้ม เมื่อยันตัวลุกได้กลับพบว่านี่ไม่ใช่โซฟาตัวเดียวกับที่นั่งดื่มก่อนหน้านี้แต่ทว่าก็ยังคงอยู่ในโซนวีไอพี เพียงแค่เปลี่ยนเป็นการย้ายมานั่งอีกมุมก็เท่านั้น

“น้องมันเมาแล้วเหรอวะ”

“เออ เมาปลิ้น”

“ซัดไปขนาดนั้นไม่เมากูก็นับถือ”

“เห็นตัวบาง ๆ แต่กินเยอะนะมึง”

“แล้วริต้าไปไหนวะ ไม่มาดูน้อง”

“นู่น อัพยาเสร็จก็ดีดต่อ แม่งน่ากลัวชิบหายเลย”

“ยังเหลือเปล่าวะ เอามาเม็ดนึงดิ”

“เอ้า เพื่อสุขภาพ”

พฤกษ์คล้ายได้ยินเสียงของพวกรุ่นพี่พูดคุยกันแต่กลับไม่สามารถจับใจความของเนื้อหานั้นได้ เขารู้สึกปวดศีรษะเหมือนถูกถ่วงเอาไว้ด้วยของตะกั่วหนัก ๆ ซ้ำยังรู้สึกง่วงซึมจนเสียการทรงตัว รุ่นพี่คนเดิมขยับเข้ามาใกล้ ฝ่ามือหยาบกร้านแตะเบา ๆ ที่แก้มนุ่มเพื่อเรียกสติก่อนจะยื่นยาเม็ดเล็ก ๆ มาตรงหน้าพฤกษ์พร้อมเชื้อเชิญว่า

“ลูกอมหน่อยไหมน้อง”

“ลูก..อม อะไร” พฤกษ์พูดช้า ๆ เพราะไม่สามารถประคองสติสัมปชัญญะตัวเองได้อีกต่อไป เขาเมามายเกินกว่าจะพิจารณาสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้ถี่ถ้วนว่าวัตถุทรงกลมที่อีกฝ่ายถืออยู่ในมือคือสารเสพติดไม่ใช่ลูกอมอย่างที่ปากอ้าง

“ของดี” ชายหนุ่มตอบและใช้ขวดเหล้ากดยาเม็ดนั้นจนแหลกเป็นผงก่อนจะนำไปผสมกับเหล้าแล้วยกขึ้นจ่อที่ริมฝีปากของพฤกษ์

“ปกติต้องเคี้ยวเองนะ แต่เห็นว่าครั้งแรกเลยละลายให้”

พฤกษ์ไม่ได้ยินที่รุ่นพี่คนนี้พูด แต่เมื่อรู้สึกถึงความเย็นของขอบแก้วที่แตะลงบนริมฝีปากล่างเขาจึงเผลอตัวเผยอปากออกเพื่อเตรียมรับของเหลวเข้ามาในร่างกาย

เพล้ง!

เหล้าแก้วนั้นถูกปัดจนหล่นและแตกเป็นเสี่ยง ๆ กระจายไปทั่วพื้น ส่งผลให้ผู้คนที่กำลังเคลิบเคลิ้มไปกับเสียงดนตรีหันมาสนใจพวกเขาเป็นจุดเดียว พฤกษ์พยายามหรี่ตามองเงาของร่างสูงที่ยืนอยู่ แต่เขากลับไม่มีเรี่ยวแรงพอที่ขยับตัวหรือส่งเสียงออกมาได้สักคำ

“กำลังทำอะไร” เสียงทุ้มเข้มเอ่ยขึ้นพร้อมดวงตาดุดันที่กวาดมองไปยังกลุ่มของคนที่เรียกตนเองว่าเป็นรุ่นพี่

“นึกว่าใครที่ไหน ไอ้น้องเดือนปีสองนี่เอง ~ ” ชายหนุ่มลากเสียงยาวก่อนจะลุกขึ้นไปกอดคอของฉัตรตะวัน ทว่าร่างสูงกำยำกลับยืนแข็งไม่ยอมขยับเขยื้อนตามแรงดึงของอีกฝ่าย

“หูแตกหรือไง”

“? ”

“ผมถามว่าพี่จะทำอะไรเพื่อนผม” ฉัตรตะวันถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก ดวงตาที่เคยเปล่งประกายบัดนี้กลับเหลือเพียงความดำมืด

รุ่นพี่คนเดิมผงะถอยออกมาด้วยสัญชาตญาณบางอย่างก่อนจะหัวเราะกลบเกลื่อน

“เปล่านี่ แค่กินเหล้าปกติ”

ฉัตรตะวันเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นสูง ชูยาเม็ดหนึ่งที่เก็บได้จากโต๊ะของมิวด้าขึ้น พูดว่า

“แล้วนี่อะไร”

กลุ่มรุ่นพี่มีสีหน้าตื่นตกใจเล็กน้อย บางคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก บางคนหน้าซีดนำไปก่อนแล้ว แต่กระนั้นรุ่นพี่คนเดิมกลับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงร่าเริงเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร

“ยาเลิฟไง ทำไม? มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนี่ ใคร ๆ ก็ใช้กันทั้งนั้น”

“แต่พวกผมมาที่นี่เพื่อกินเหล้า ไม่ได้มามั่วยา”

ไม่มีใครพูดอะไรต่อ ต่างคนต่างเงียบกริบ ฉัตรตะวันจึงใช้จังหวะนั้นเดินเข้าไปดึงพฤกษ์ที่นอนตัวอ่อนปวกเปียกในลุกขึ้น ร่างโปร่งโงนเงนเพราะความมึนเมา สุดท้ายจึงโถมตัวชนกับอกแกร่ง เขายกแขนพฤกษ์โอบรอบคอตนเองและสอดมืออีกข้างโอบเอวบาง พยุงกันเดินออกไปจากบริเวณนั้นอย่างเงียบเชียบ ทว่าเมื่อกำลังผ่านกลุ่มรุ่นพี่ที่ยืนแข็งอยู่ ฉัตรตะวันจึงพูดยิ้ม ๆ ขึ้นมาว่า

“พวกพี่จะมั่วสุมกันยังไงก็ได้ แต่อย่ามายุ่งกับเพื่อนผม”

พวกเขาที่ได้ยินคำพูดนั้นก็พลันหายใจติดขัด ซ้ำขนอ่อนทั่วสรรพางค์ยังลุกชันอย่างไม่ทราบสาเหตุ

“เตือนด้วยฐานะที่ยังเห็นเป็นพี่เป็นน้องกันอยู่นะครับ”

 

เหตุการณ์อันน่าอึดอัดผ่านพ้นไปหลังจากรุ่นน้องปีสองทั้งคู่เดินลับหายออกไปจากโซนวีไอพี ชายหนุ่มคนหนึ่งถุยน้ำลายลงพื้น กระแทกแก้วเหล้ากับโต๊ะอย่างรุนแรง พูดว่า

“ไอ้เหี้ยนั่นเป็นใครวะ เด็กปีสองแท้ ๆ ”

“เออ พวกกูปีสูงกว่าเห็น ๆ ไอ้กรแม่งกลัวไรวะ เมื่อกี้นะถ้ามึงเปิดกูก็ตามแล้ว หน้าแม่งกวนเส้นฉิบหาย”

คนที่ชื่อกรนั่งหน้าเครียด เขาหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดทั้งที่มือกำลังสั่น

สั่นเพราะหวาดกลัว..

ควันสีขาวนวลกลุ่มหนึ่งถูกพ่นออกมาจากปาก เมื่อรู้สึกว่าร่างกายเป็นปกติ ไม่อาการสั่นเขาจึงพูดขึ้นมา

“มึงอย่าไปยุ่งกับมันดีกว่า”

ชายหนุ่มอีกคนหันขวับมามองด้วยสายตาสงสัย

“ทำไมวะ แบ็กใหญ่หรือไง พ่อกูเป็นตำรวจเหอะ”

“มึงไม่รู้อะไร” เขาพูด “ขนาดตำรวจแม่งยังไม่กล้ายุ่งกับบ้านมันเลย”

หลังจากประโยคนั้นก็ไม่มีใครหยิบเอาเรื่องนี้ขึ้นมาพูดอีกเลยตลอดทั้งคืน

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา