คุณพฤกษ์รวยมาก (สนพ.Onederwhy)
-
เขียนโดย ฟ้ามุ่ย
วันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564 เวลา 22.49 น.
41 ตอน
0 วิจารณ์
22.37K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564 23.11 น. โดย เจ้าของนิยาย
10) 00 10
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ00 10
วันหยุดมักผ่านไปรวดเร็วเสมอ เสาร์อาทิตย์ที่ควรเป็นเวลาพักผ่อนแต่พฤกษ์กลับใช้มันหมดไปกับสารพัดปัญหาของคนรอบกายจนไม่มีเรี่ยวแรงเหลือให้ใช้ชีวิตของตนเองต่อ ร่างโปร่งยืนมองกระจกบานใหญ่ สิ่งที่สะท้อนกลับมาคือตัวเขาเหมือนอย่างเช่นทุกวัน พฤกษ์ลูบใบหน้าซีกหนึ่งของตนอย่างพินิจ รูปหน้าเรียวรี คางโค้งมน จมูกโด่งเป็นสัน คิ้วเรียงสวย ริมฝีปากอิ่มสีแดงเรื่อตัดกับผิวขาวผุดผ่อง เรือนผมสีดำขลับตัดและซอยอย่างทันสมัย โดยรวมถือว่าดีเพียบพร้อม ทว่าข้อเสียเพียงอย่างเดียวของพฤกษ์คือแววตาเย็นเยียบไร้อารมณ์ เขาไม่ทราบว่ามันเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่แววตาของตนเองมักเป็นที่ปรปักษ์แก่ผู้อื่น หากจะย้อนกลับไป พฤกษ์จำได้ว่าเคยเป็นคนที่ร่าเริงและมีดวงตาเป็นประกายสุกใสเหมือนกับเด็กคนอื่น
เริ่มจะจำได้เลือนลาง คงเป็นตอนที่ครอบครัวแตกระแหงและผู้เป็นแม่ที่รักยิ่งจากไป ตอนนั้นพฤกษ์เริ่มเก็บตัวและต่อต้านทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ นิสัยนั้นฝังรากและหยั่งลึกจนติดเป็นสันดาน
ทุกอย่างบ่มเพาะให้เขากลายเป็นคนแบบนี้
พฤกษ์หยิบแว่นสายตาขึ้นมาสวม ระหว่างที่เดินลงบันไดก็เริ่มวางแผนที่จะทำเลสิกรักษาสายตาสั้นในระยะยาวอยู่ในหัว ซ้ำยังคิดเผื่อไปถึงเรื่องของพงพีและมาลีวัลย์อีกด้วย เรื่องของเด็กพงพี พฤกษ์มีทางออกอยู่ในใจแล้วจึงไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วงนัก คนที่ควรใช้คำว่า ‘น่าเป็นห่วง’ ในตอนนี้ก็คงหลีกหนีไม่พ้นน้องสาวคนเล็กอย่างมาลีวัลย์
พฤกษ์เดินลงมายังห้องทานอาหาร ดูเหมือนวันนี้เขาจะตื่นสายเล็กน้อยจากปกติถึงไม่มีใครนั่งรับประทานมื้อเช้าอยู่เลยสักคน พฤกษ์เดินออกมาก็ได้ยินเสียงจอแจของเด็ก ๆ ดังขึ้นอยู่ไม่ไกลจึงก้าวฉับ ๆ ไปยังหน้าประตูใหญ่ที่เปิดกว้าง ตรงหน้านั้นนอกจากโตโยต้าแอลฟาร์ดสีขาวและเบนซ์สีดำที่จอดเคียงคู่กัน พฤกษ์ยังเห็นเหล่าเด็กนักเรียนกำลังยืนพูดคุยกันด้วยท่าทางมีปัญหา
มาลีวัลย์ที่ยืนน้ำตารื้นอยู่กลางวงคงจะเป็นต้นเหตุสินะ
“คุณพฤกษ์..” อินทรชิตที่สังเกตเห็นเขาเป็นคนแรก ปรี่เข้ามาหาทันที พฤกษ์มองหน้าเซ่อซ่าของเด็กหนุ่มครั้งหนึ่ง พูดว่า
“เป็นอะไรของมันแต่เช้า”
“น้องไม่อยากไปเรียนครับ”
“อ้อ” พฤกษ์ร้องในคอเสียงแหลม ก้าวยาว ๆ สามสี่ทีก็สามารถไปถึงตัวของมาลีวัลย์ที่ยืนสั่นอยู่ข้างพี่ชาย เขาใช้นิ้วชี้ดันคางกลมขึ้น เผยให้เห็นดวงตากลมโตที่มีน้ำใส ๆ คลอหน่วยใกล้จะปะทุอยู่รอมร่อ
มาลีวัลย์เบะปาก พร้อมทำหน้าเหยเก ระเบิดใกล้ลงในอีก..
“ห้ามร้อง”
พงพีที่แอบอยู่ข้างหลังอินทรชิตแอบสูดปากอย่างแรงเพราะหวั่นใจกลัวน้องจะถูกคุณพฤกษ์ตีแต่เช้า
ทว่าคำพูดของพฤกษ์ราวกับเสกคาถาได้ผลชะงัด มาลีวัลย์เม้มริมฝีปากจิ้มลิ้มแน่นกริบ ซ้ำยังยกมือขึ้นปาดเอาน้ำหูน้ำตาเก็บกลับไปอย่างรวดเร็ว เด็กหญิงเอาความใจกล้ามาจากไหนไม่ทราบถึงได้ทิ้งกระเป๋าและเดินเตาะแตะไปกอดเอวร่างโปร่งไว้แน่น
ดวงตาของพฤกษ์กระตุกวูบไหวก่อนมันจะกลับมานิ่งเรียบไร้อารมณ์เช่นเดิม เขากระแอมเบา ๆ ส่งเสียงเข้มไปว่า
“อึดอัด ปล่อย”
มาลีวัลย์ที่ซบอยู่ตรงหน้าท้องส่ายหน้าหวืดไปมา ดวงตากลมโตสุกใสช้อนขึ้นมอง ดูราวกับสัตว์ตัวเล็กกำลังหวาดกลัว
“คุณพฤกษ์ขา” เด็กหญิงเรียก น้ำเสียงน่าเอ็นดู
“ไม่ไปโรงเรียนไม่ได้หรือคะ”
พฤกษ์หรี่ตาลงมอง สีหน้าไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งที่ได้ยิน อินทรชิตเห็นน้องสาวได้กอดเอวคุณพฤกษ์ถึงกับนิ่งค้างไปในบัดดล รู้สึกเจ็บแปลบไปทั่วทรวงอก ความริษยากำลังแผ่ขยาย ลืมกระทั่งว่าตรงหน้านั้นคือน้องสาว เด็กหนุ่มเผลอขบฟันแน่นจนสันกรามนูนเด่นออกมา
พฤกษ์ยังคงมีสีหน้าเดิมไม่เปลี่ยน พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ได้สิ” เขากระตุกยิ้ม ท่าทางน่ากลัว
“ไม่อยากไปก็ไม่ต้องไป หลบอยู่แต่ในบ้านนี่แหละ ส่วนปัญหาก็ช่างหัวมัน”
มาลีวัลย์มีสีหน้าหม่นหมองทันทีที่ได้ยินคำตอบนั้น เด็กหญิงปล่อยแขนจากเอวบางก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงหงอย ๆ ว่า
“ก็ได้ค่ะ ...ไปก็ได้”
พงพีอาสาเก็บกระเป๋าบนพื้นส่งคืนให้น้องก่อนจะตบหลังปุ ๆ เป็นการปลอบใจ สุดท้ายเด็กทั้งสองจึงยกมือไหว้พฤกษ์ก่อนจะพากันขึ้นไปรอในรถตู้ ส่วนอินทรชิตเพิ่งได้สติหลังจากตบตีกับความคิดของตนเองอยู่นาน เด็กหนุ่มหนีบกระเป๋าจาคอปไว้ใต้รักแร้ข้างหนึ่งก่อนจะประนมมือขึ้นไหว้สวยงามก่อนจะขึ้นรถตามไปเป็นคนสุดท้าย พฤกษ์เดินเข้าไปใกล้ มือข้างหนึ่งยันกรอบประตูเอาไว้ พูดว่า
“มะลิ”
เจ้าของชื่อหูผึ่งพร้อมทั้งกระตือรือร้นทันทีที่ได้ยิน
“คะ? คุณพฤกษ์..”
“หนึ่งเดือน” พฤกษ์ชูนิ้วชี้ขึ้น พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ถ้าแกทนอยู่ได้จนสอบปลายภาคจบ ไม่ว่าอะไรที่แกต้องการหรืออยากได้”
เด็กทั้งสามที่นั่งฟังอยู่พลันนิ่งไป รวมถึงลุงแสงคนขับรถ พฤกษ์สูดหายใจลึก พูดต่อจนจบอย่างที่ตั้งใจว่า
“ฉันจะหามาให้ทุกอย่าง”
มาลีวัลย์ลงจากรถด้วยสีหน้าชื่นมื่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน อินทรชิตกับพงพีเห็นดังนั้นจึงหันมายิ้มให้กันก่อนจะจูงมือน้องคนละข้างเข้าโรงเรียน
พี่ชายทั้งสองกำลังอาสาเดินขึ้นมาส่งถึงห้องเรียน ทว่าเป็นเด็กหญิงที่ปฏิเสธขอขึ้นไปเอง พงพีกับอินทรชิตมองหน้ากันไปมองหน้ากันมา ท่าทางยังคงหวาดระแวงกลัวน้องสาวจะถูกรังแกอีก
“มะลิไม่เป็นไรค่ะ” มาลีวัลย์ตอบเสียงใสพลางกอดแขนอินทรชิตไว้แน่น
“แน่ใจหรือ พี่เป็นห่วงนะ”
“อื้อ! ” เด็กหญิงร้อง “คราวนี้มะลิจะไม่ยอมเขาอีกแล้วค่ะ คุณพฤกษ์บอกว่าเขาไม่ใช่เพื่อน! ”
“ดีมากค่ะ” อินทรชิตลูบหัวน้องเบา ๆ “คุณพฤกษ์พูดถูกเสมอ”
ส่วนพงพีตีมือดังฉาด พูดอย่างสะอกสะใจว่า
“มันต้องอย่างนี้!! ”
ซ้ำยังยุยงน้องไปอีกกระบุงโกย
“ถ้าพวกนั้นดึงผมอีกก็กระชากกลับไปเลย ถ้าถูกตีก็ชกกลับไปสักหมัด! ถ้าจะมีเรื่องก็ตบตีให้ถึงที่สุด เราเจ็บมันก็เจ็บ! อย่าเจ็บอยู่ฝ่ายเดียวเข้าใจไหม! อย่าไปกลัว พ่อเราใหญ่เสียอย่าง ใครจะทำอะไรได้! ”
มาลีวัลย์คล้ายจะฟังพี่ชายไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่นักจึงได้แต่ส่งยิ้มแห้งกลับไป ส่วนอินทรชิตดึงแก้มน้องชายจนย้วยก่อนจะดุว่า
“พีร์ สอนอะไรน้อง มันไม่ดีนะ”
พงพีทำหน้ายู่ “ไม่ดีตรงไหน! ถูกแกล้งจะให้อยู่เฉยหรือพี่อินทร์”
“เปล่า ไม่ใช่” อินทรชิตยกขาขึ้นเตะก้นน้อง
“พี่กำลังจะบอกว่าการใช้ความรุนแรงมันไม่ดีต่างหาก อีกอย่างพีร์กำลังใช้คุณลุงเป็นเกราะกำบังเวลาทำเรื่องไม่ดีนะ กลายเป็นว่าเราไปต่อยตีกับคนอื่นไปทั่วเพราะเส้นใหญ่ แบบนี้เขาเรียกว่ากร่าง ไม่ใช่นักเรียนรู้ไหม”
พงพีนิ่งฟัง อินทรชิตเห็นแบบนั้นจึงค่อยโล่งอกที่น้องคงกำลังคิดได้ว่าสิ่งที่ตนเองพูดมาเมื่อครู่มันไม่ดี ทว่าพงพีกลับทำปากยื่น พูดด้วยน้ำเสียงเนือย ๆ ว่า
“พี่อินทร์พูดอะไร ทำไมเข้าใจยากจัง พีร์โง่ ไม่เข้าใจหรอก”
อินทรชิตถอนหายใจออกยาวเหยียดก่อนยกมือตีเหม่งน้องชายด้วยความหมั่นไส้อย่างเหลืออด
วันนี้พฤกษ์มีเรียนคาบแรกในช่วงสิบโมง หลังรับประทานมื้อเช้าเรียบร้อยดีจึงออกมาเดินเล่นในสวนหย่อมเพื่อย่อยอาหารก่อนไปมหาวิทยาลัย เขาเห็นแม่พลอยยืนมือไพล่หลังและมองพุ่มต้นโมกด้วยสีหน้าอิ่มเอมอยู่ไม่ไกล พฤกษ์เดินเข้าไปใกล้จากข้างหลัง ยกมือขึ้นโอบเอวของร่างท้วมก่อนจะกดริมฝีปากลงที่แก้มนุ่มข้างหนึ่งเรียกเสียงหัวเราะจากหญิงชราได้เป็นอย่างดี
“คุณพฤกษ์นี่เอง ยายตกใจหมดเลยค่ะ”
“โธ่..” พฤกษ์ลากเสียงหวาน ปล่อยแขนจากเอวอีกฝ่ายเปลี่ยนเป็นโอบไหล่ “ขวัญเอ๋ยขวัญมานะครับ”
แม่พลอยยิ้มอ่อนโยน พูดว่า
“ยายเห็นคุณพฤกษ์ดุคุณมะลิหน้าบ้านเมื่อเช้า มีอะไรหรือคะ? ”
พฤกษ์ฟังคำถามก็ถอนหายใจยาวเหยียดออกมา ประคองหญิงชราชราเดินชมสวนไปพูดไปว่า
“ไม่ได้ดุเสียหน่อย” เขาเลิกคิ้ว “เด็กมันไม่ยอมไปเรียนนี่ครับ”
“โธ่.. เห็นตัวสั่นขนาดนั้นจะไม่โดนดุได้อย่างไรคะ คุณมะลิยังเด็ก คุณอย่าไปดุเธอนักเลย ยายเอ็นดู”
“พักหลังมานี้ผมไม่ค่อยไปรังแกอะไรพวกมันเลยนะครับ”
“อีกแล้ว” ฝ่ามือเหี่ยวย่นตีเบา ๆ ที่แขน พฤกษ์เหยียดริมฝีปากเป็นเส้นตรงอย่างไม่สบอารมณ์นัก
“ยายสอนคุณพฤกษ์จนเหนื่อยแล้วนะคะ ว่าอย่าเรียกน้องแบบนั้น พูดไม่เพราะเลย”
“ครับ” เขาหัวเราะแห้ง สีหน้ายิ้มคล้ายไม่ยิ้ม แววตายังคงราบเรียบ
“ไม่เรียกแล้วก็ได้”
หญิงชราหันมามองด้วยสีหน้าอ่อนโยนก่อนจะเอื้อมมือมาลูบหลังมือเขาอย่างแผ่วเบาคล้ายจะปลอบประโลมจิตใจที่แตกร้าว ด้วยเรื่องราวในอดีตอันน่าเจ็บปวดของครอบครัวนี้ นอกจากตัวพฤกษ์ เจ้าของคฤหาสน์อย่างเจ้าสัวพนาและญาติภายในเพียงไม่กี่คน ก็เห็นจะมีเธอนี่แหละที่รับรู้และอยู่ในเหตุการณ์มาตั้งแต่ต้น ดังนั้นแล้ว ไม่ว่าคุณพฤกษ์ของเธอจะเติบโตมาเป็นคนอย่างไร มีนิสัยต่อต้านคนทั้งโลกเพียงไร เธอเป็นเพียงคนเดียวที่เข้าใจและเห็นใจเขามากที่สุด
แม้จะทัดทานความเอาแต่ใจบางอย่างของพฤกษ์ไม่ได้ อย่างเช่นความรู้สึกที่มีต่อน้องบุญธรรม น้องชายและน้องสาวต่างมารดาเป็นต้น ทว่าเรื่องบางเรื่องก็มีเธอคอยเตือนสติและสะกิดให้เขารู้สึกตัวว่าสิ่งที่ทำนั้นมันผิดหรือถูก
โดยปกติแล้วนั้น คุณพฤกษ์ของเธอดื้อรั้นและมาดร้ายต่อเด็กทั้งสามมากกว่าใคร ไม่ว่าเธอจะติเตือนหรือห้ามปรามอย่างไรก็ไม่เป็นผลเสียที สิ่งที่ทำได้ก็เห็นจะมีเพียงแค่คอยปลอบขวัญยามเมื่อเด็กทั้งสามถูกคุณเขาดุด่าและหยิกตีจนเนื้อเขียว แต่ในระยะหลังมานี้ หญิงชราเธอได้สังเกตเห็นว่าภายในคฤหาสน์หลังนี้กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างทีละเล็กละน้อย
..เล็กน้อย กระทั่งที่ว่าถ้าไม่สังเกตก็คงไม่เห็นแน่ ๆ
แต่ทว่าเธอก็สังเกตเห็นมัน เห็นความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยนั้นในตัวของพฤกษ์
“แม่พลอยยิ้มอะไรหรือครับ”
พฤกษ์ถามขึ้นหลังจากที่สังเกตเห็นใบหน้าของแม่พลอยมีรอยยิ้มจาง ๆ มาตั้งแต่เมื่อครู่
“ยิ้มก็แปลว่ามีความสุขอยู่ไงคะ”
ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย
พฤกษ์และฉัตรตะวันออกจากลิฟต์ด้วยสภาพอิดโรยจนแทบจะเรียกว่าตายซากก็คงไม่เกินจริงนัก ทั้งสองร่างเดินไปข้างหน้าอย่างไร้จุดมุ่งหมายสวนทางกับนักศึกษามากมายที่เดินผ่านเข้าไปใช้ลิฟต์ พฤกษ์มีใบหน้าไร้ความรู้สึก แววตาเลื่อยลอยไปไกลแสนไกล ข้างกันนั้น ฉัตรตะวันก็อยู่ในอากัปกิริยาที่ไม่ต่างกันนัก
ฉัตรตะวันพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงทื่อ ๆ
“เมื่อกี้คุณทำได้ไหม”
“คุณฉัตร” พฤกษ์คล้ายจะรู้สึกตัว เขาส่ายหน้าอย่างไร้วิญญาณ ตอบไปว่า
“ไม่มีอะไรอยู่ในสมองผมเลย”
“ควิซครั้งก่อนก็พูดแบบนี้ สุดท้ายก็เห็นท็อปทุกครั้ง”
“ไม่” พฤกษ์ยกมือขึ้นลูบหน้า “ครั้งนี้ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ ผมอ่านมานิดเดียว”
ชายหนุ่มเห็นท่าทางนั้นของเพื่อนสนิทจึงเข้าไปบีบเบา ๆ ที่บ่าข้างหนึ่งพร้อมยิ้มอ่อนโยน
“อย่าคิดมาก” เขาพูด “คุณเก่งอยู่แล้ว”
“อือ” พฤกษ์พยักหน้าหงึก ๆ ริมฝีปากแดงเรื่อยื่นออกมาเล็กน้อย ท่าทางราวกับเด็กที่ไม่ได้ดั่งใจนั้นเผลอแสดงออกมาอย่างไม่รู้ตัว พาลให้คนที่เฝ้ามองอย่างฉัตรตะวันรู้สึกคันยุบยับอยู่ในใจ
“นั่นเธอ..” พฤกษ์พูดขึ้น เขาหันไปทางที่อีกฝ่ายจ้องมอง เห็นหลี่เหมาเหมากำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่เงียบ ๆ ตรงมุมหนึ่งของใต้ตึกคณะเหมือนครั้งก่อน
คิ้วเข้มขมวดแน่นจนเครียดตึง เขาคว้าต้นแขนบางไว้แน่นยามเมื่อเห็นอีกฝ่ายก้าวเดินออกไป
“มีอะไรหรือครับ” ฉัตรตะวันคล้ายจะทำลงไปตามสัญชาตญาณบางอย่าง ชายหนุ่มปล่อยมือจากต้นแขน พูดว่า
“เปล่า คุณจะไปหาเธอหรือ”
“อา..” เขาเห็นดวงตาที่เคยราบเรียบมีความวูบไหวบางอย่าง “ไปทักทายน้องรหัสเสียหน่อย”
ฉัตรตะวันมองแผ่นหลังเหยียดตรงของอีกฝ่ายกำลังเดินออกห่าง รู้สึกราวกับอยู่ห่างไกลกันเหลือเกินทั้งที่อยู่ข้างกายตลอด ชายหนุ่มเจ็บปวดในอกแปล๊บที่ทำอะไรไม่ได้ สุดท้ายจึงเลือกที่จะเดินตามไปอย่างเงียบเชียบ
ฉัตรตะวันหย่อนตัวลงนั่งข้างหลี่เหมาเหมาเพื่อไม่ให้พฤกษ์ได้ใกล้ชิดกับหญิงสาวอย่างที่ตั้งใจ อีกฝ่ายไม่ได้มีทีท่าเฉลียวใจอะไรมากนัก เดินอ้อมไปนั่งฝั่งตรงข้ามแทนอย่างว่าง่าย หลี่เหมาเหมาสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นว่าใครที่นั่งลงตรงหน้า เธอมีริ้วสีแดงบนแก้มเล็กน้อย พูดว่า
“สวัสดีค่ะพี่พฤกษ์ พี่ฉัตร” พฤกษ์พยักหน้าพร้อมมุมปากที่โค้งขึ้น ส่วนฉัตรตะวันนั่งนิ่งเป็นต้นไม้
“ขยันจัง” เขาพูด มองไปที่หนังสือและชีทเรียนที่ถูกไฮไลท์เป็นลายพร้อยจนไม่เหลือพื้นที่ว่างสีขาวให้เห็น
“เหมาเหมาไม่ค่อยเข้าใจเลยอ่านทบทวนค่ะ วิชานี้อาจารย์สอบบ่อยด้วย”
“อืม” พฤกษ์พยักหน้า “ปีหนึ่งก็ทนเอาหน่อย เดี๋ยวก็ปีสองแล้ว”
หลี่เหมาเหมาตาโต “ปีสองไม่หนักหรือคะ!? ”
พฤกษ์ทำหน้าห่อเหี่ยว จิ้มหน้าผากเธอจนหงายไปเล็กน้อย พูดว่า
“เธอเห็นสภาพฉันตอนนี้ไหมล่ะเหมาเหมา”
หญิงสาวลูบหน้าผากตัวเองป้อย ๆ พลางกวาดสายตามองพี่รหัสของตนเอง
“เห็นค่ะ”
พฤกษ์เลิกคิ้วข้างหนึ่ง “เป็นอย่างไรบ้าง? ”
“ตัวสูง หล่อ หน้าสวย ผิวขาวจั๊วะ”
“อะแฮ่ม..” ฉัตรตะวันกระแอมในคอขึ้นมา แม้สายตากำลังก้มลงดูโทรศัพท์ทว่าหูทั้งสองกลับผึ่งออกอย่างกระเหี้ยนกระหือรือ
“เพ้อเจ้อ” พฤกษ์หัวเราะ ดันแว่นสายตาที่ตกอยู่ขึ้น
“เพ้อเจ้อตรงไหนคะ”
“หล่อแล้วจะสวยได้ยังไง”
“อะแฮ่ม! ”
“ไม่รู้สิคะ เหมาเหมาว่าพี่พฤกษ์หล่อนะ แต่มองดี ๆ ก็หน้าสวย จมูกโด่ง หน้าเรียว แถมปากก็แด๊งแดงเหมือนทาลิปเลยค่ะ”
พฤกษ์ได้ยินดังนั้นจึงยกฝ่ามือขึ้นถูริมฝีปากก่อนจะยื่นฝ่ามือข้างที่ใช้ถูไปตรงหน้าหญิงสาว
“เห็นไหมไม่ได้ทาอะไรเลย มันแดงของมันตามธรรมชาติ”
“ฮึ่ม.. แค่ก! แค่ก! ”
หลี่เหมาเหมาหัวเราะ
“อย่างพี่พฤกษ์ธรรมชาติคงสร้างสรรค์มา ส่วนเหมาเหมาธรรมชาติคงลงโทษมาแหง็ม ๆ ”
“ไปกันใหญ่” พฤกษ์โบกมือ
“เธอไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไรเลยนะ อย่าตีค่าตัวเองตกต่ำนักสิ” เขาพูดยิ้ม ๆ และทอดมองหญิงสาวอย่างอ่อนโยน ในหัวหวนนึกไปถึงหลี่เหมาเหมาจากกาลก่อน เธอเป็นถึงเลขาสาวที่สวยสง่า บุคลิกดี มีความมั่นใจ ผู้บริหารทุกคนยังให้การยอมรับความสามารถในการทำงาน ซ้ำผู้ชายทั่วบริษัทยังพากันเหลียวมองจนคอแทบเคล็ด
หลี่เหมาเหมาที่ถูกสายตาคมของพฤกษ์จ้องมองอย่างไม่ปิดบังก็พลันหน้าแดงซ่านขึ้นมาเสียดื้อ ๆ ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่นอย่างเขินอาย ฉัตรตะวันที่เห็นภาพนั้นก็พาลหงุดหงิดจนร้อนไปหมดทั้งร่าง เขาเสแสร้งกระแอมหนัก ๆ ออกมาอีกหลายครั้งดัง ๆ
“อะแฮ่ม! แฮ่ม! แค่ก ๆ! ”
พฤกษ์ได้สติหลังจากได้ยินเสียงนั้น เขาหันไปมองฉัตรตะวันด้วยสีหน้าวิตกก่อนพูดขึ้นว่า
“คอเป็นอะไรหรือคุณฉัตร ผมเห็นคุณไออยู่สักพักแล้ว”
ชายหนุ่มทำสีหน้าไม่สู้ดีนัก ยกมือขึ้นแตะลำคอตนเอง พูดว่า
“สงสัยผมคงเป็นไข้แน่ ๆ เลย”
“เมื่อกี้เหมาเหมาเห็นพี่ฉัตรยังดี ๆ อยู่เลยนี่…..คะ”
หลี่เหมาเหมาหยุดพูดแทบไม่ทันเมื่อเห็นสายตาน่ากลัวของฉัตรตะวันจ้องเขม็งมาที่เธอ ขนอ่อนทั่วร่างพลันลุกชัน! หญิงสาวเม้มริมฝีปากแน่นก่อนจะค่อย ๆ ขยับตัวออกห่างจากชายหนุ่มข้างกายอย่างแนบเนียน
“จริงหรือ” พฤกษ์พูดขึ้นพลางยื่นหลังมือนาบไปกับหน้าผากและแก้มของอีกคน วินาทีเดียวกันนั้น หลี่เหมาเหมาจึงได้เห็นฉัตรตะวันยิ้มเยาะเธอจากมุมปาก หญิงสาวขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า แต่ที่พอจะเข้าใจได้คือชายหนุ่มกำลังไม่พอใจที่เธอพูดคุยกับพฤกษ์
หลี่เหมาเหมาคิด ..หรือจะเป็นอย่างที่เขาคุยกันปากต่อปากไปทั่วคณะว่าเดือนปีสอง ‘ฉัตรตะวัน’ ชอบหวงและชอบกันไม่ให้คนอื่นเข้าใกล้เพื่อนตนเอง
มิน่าล่ะ ..เธอจึงไม่เคยเห็นสองคนนี้สุงสิงกับใครเลย
“ตัวรุม ๆ นิดหน่อย คุณโอเคนะ? ”
ฉัตรตะวันพยักหน้าอย่างเซื่องซึม พฤกษ์รู้สึกคล้ายจะเห็นไซบีเรียฮัสกี้ตัวใหญ่กำลังทำหน้าหงอย
ช่วงนี้เขารู้สึกว่าตนเองจะเบลอหนักไปแล้ว ..เดี๋ยวเห็นคนนั้นคนนี้เป็นสุนัขอยู่เรื่อย
“จริงสิเหมาเหมา” เขาหันไปหาน้องรหัสที่ก้มหน้าราวกับกำลังหลบสายตาใครอยู่
“คะ คะ? ” เธอกระตือรือร้นตอบทันที
“ยังไม่ตัดแว่นใหม่อีกหรือ” พฤกษ์นึกขึ้นได้เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้สวมแว่นสายตาและคราวที่แล้วก็บอกเสียอย่างดิบดีว่าจะพาไปตัดอันใหม่ให้
“ยะ ยังคะ เงินเดือนยังไม่ออกเลย”
“หือ” คิ้วสวยขมวดเข้าหากัน
“ฉันก็บอกอยู่ว่าจะออกให้”
หลี่เหมาเหมาส่ายหน้าจะเส้นผมสยาย เขาถอนหายใจยาวเหยียดก่อนจะเคาะหน้าผากเธอด้วยหลังมือ
“ทำไมดื้อ”
น้ำเสียงที่ราวกับว่าเอ็นดูอีกฝ่ายทำให้ฉัตรตะวันกำหมัดแน่นจนข้อนิ้วขาวซีด ซ้ำคิ้วเข้มยังกระตุกถี่จนน่ากลัว
“เอาอย่างนี้สิ” พฤกษ์เคาะปลายนิ้วลงกับโต๊ะไปมา พูดว่า
“มาทำงานให้ฉัน ฉันจะจ้างเอง”
“งานอะไร” เป็นฉัตรตะวันที่พูดขึ้นมากลางปล้องด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
“งานง่าย ๆ อย่างดูแลเด็กคนหนึ่ง ช่วยสอนการบ้าน ทำกิจกรรมหรืออะไรก็ได้ที่ฝึกสมาธิให้ดีขึ้น”
พฤกษ์ยิ้มบาง ชูนิ้วขึ้นห้านิ้ว
“ชั่วโมงละห้าร้อย เฉพาะวันอาทิตย์ ตั้งแต่เก้าโมงเช้าถึงสี่โมงเย็น มีอาหารให้สามเวลา จะรับเงินเป็นรายอาทิตย์หรือรายเดือนก็ได้ สนใจไหม? ”
ฉัตรตะวันขบฟันแน่นเมื่อนั่งฟังจนจบประโยค ส่วนหลี่เหมาเหมาดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ แต่ก่อนจะมีฝ่ายใดโต้แย้งขึ้น ใครบางคนก็เดินตรงมาที่โต๊ะที่พวกเขานั่งอยู่
เธอคือริต้านั่นเอง
หลี่เหมาเหมาและพฤกษ์นิ่งไป ฉัตรตะวันจึงตวัดสายตามองอย่างเอาเรื่องทันที ริต้าปากสั่นเล็กน้อยก่อนจะรีบพูดธุระของตนเองให้จบ ๆ
“ไม่ต้องมามองฉันอย่างนั้นเลยนะฉัตร” เธอพูด
“พฤกษ์ก็ด้วย พี่ไม่ได้มาหาเรื่อง! ”
พฤกษ์เลิกคิ้ว จากนั้นจึงผ่อนคลายลงเล็กน้อย
“พี่ริต้ามีอะไรหรือเปล่า”
“พี่ปีสี่เลี้ยงคืนนี้” ริต้าพูดจบก็หันมาทางฉัตรตะวัน “สายของฉัตรก็ด้วย พี่รหัสฝากมาชวน”
ฉัตรตะวันพยักหน้าขอไปที ไม่ได้มีท่าทางสนใจอะไรมากนัก ริต้าหันมาหาหลี่เหมาเหมาเป็นคนสุดท้าย พูดด้วยน้ำเสียงเหน็บแนมว่า
“ส่วนเธอ.. ไม่ไปก็ไม่มีใครว่าอะไรหรอกนะ”
หลี่เหมาเหมาไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองเธอ หญิงสาวได้แต่ก้มหน้ากัดฟันอย่างเงียบเชียบ
ริต้าเดินจากไปแล้ว พฤกษ์ถอนหายใจเฮือก พูดกับน้องรหัสว่า
“เหมาเหมา คืนนี้เธอไม่ต้องไป”
หลี่เหมาเหมาเงยหน้าขึ้นมามองเขา น้ำตาที่อุตส่าห์กลั้นเอาไว้ไหลออกมาอาบแก้ม
“แม้แต่พี่พฤกษ์..”
“ไม่ใช่” เขายกมือห้าม “ฉันไม่อยากให้เธอไปแล้วกลายเป็นตัวตลกในสายตาคนพวกนั้น”
“....”
“รู้ใช่ไหม? พวกนั้นอาจจะทำให้เธอรู้สึกอับอายหรือรู้สึกแย่ เธอคงไม่อยากเป็นแบบนั้นใช่ไหม? ”
หลี่เหมาเหมาสะอื้นก่อนจะค่อย ๆ พยักหน้าตอบ
“ถ้าอยากไป เอาไว้ฉันจะพาไปทีหลัง”
ฉัตรตะวันหันขวับมามองคนพูดทันที
“คุณชอบเธอ” ฉัตรตะวันพูดขึ้นเมื่อเขาทั้งสองเดินมายังที่จอดรถ พฤกษ์มองรถยนต์ของอีกฝ่ายที่วันนี้ก็มาจอดอยู่ข้าง ๆ เหมือนเดิมก่อนจะพูดขึ้นว่า
“คุณจะบ้าหรือ ผมเป็นเกย์”
“อาการคุณออก”
“ออกยังไง”
“คุณพูดดีกับเธอ”
“แปลกตรงไหน”
“คุณหยอกล้อเธอ”
“หยอกน้องรหัสผิดด้วยหรือ”
“คุณช่วยเหลือเธอ”
“ปกตินี่ ..ผมช่วยเหลือคนรู้จัก เป็นคุณก็คงทำ”
“คุณเอ็นดูเธอ”
“เธอนิสัยน่ารัก”
“นั่นไง คุณรักเธอใช่ไหมล่ะ”
“โอ๊ย! ” พฤกษ์กุมขมับอย่างแรง รู้สึกปวดจี๊ดขึ้นมาเสียดื้อ ๆ
“ทำไมยัดเยียดผมจัง ก็บอกแล้วไงว่าเป็นเกย์! เกย์ก็คือชอบผู้ชาย! เอาอย่างนี้ไหม ผมคบผู้ชายสักคนเลยเป็นไง คุณฉัตรจะได้สบายใจ”
“ห้ามเลยนะ! คุณพฤกษ์จะไปคบใครไม่ได้ทั้งนั้น”
“เอ๊ะ นี่ยังไงครับ มีสิทธิ์อะไรในตัวผมหรือครับ? ”
“สิทธิ์ของ ..เพื่อน” ฉัตรตะวันพูดเสียงแผ่วตรงคำสุดท้ายของประโยค
พฤกษ์เอียงหน้า ควงกุญแจรถยนต์ในมือเล่น
“เพื่อนหรือพ่อ”
“อยากให้เป็นมากกว่านั้นไหมล่ะครับ”
พฤกษ์ถูกคำพูดสองแง่สองง่ามของอีกฝ่ายทำให้เป็นอัมพาตไปครู่หนึ่ง กุญแจรถยนต์ที่ควงเล่นอยู่ที่นิ้วหลุดร่วงไปไหนไม่อาจทราบ รู้ตัวอีกทีก็เป็นตอนที่ฉัตรตะวันวางกุญแจรถยนต์ลงบนฝ่ามือ ดวงตาสีเข้มนั้นสบกับดวงตาของเขาเล็กน้อยก่อนที่เจ้าตัวจะแสร้งพูดขึ้น
“ขอโทษครับ” รอยยิ้มอบอุ่นปรากฏขึ้นที่มุมปาก ทว่าดวงตาของเขาไม่ได้ยิ้มตามไปด้วย
“ดูท่าผมคงจะหงุดหงิดแล้วพาลใส่คุณพฤกษ์เสียแล้ว”
“หงุดหงิดที่ผมคุยกับเธอหรือไง”
“อืม” ฉัตรตะวันยอมรับในที่สุด เขาเลือกแล้วที่จะซื่อสัตย์กับตนเอง
“เหมือนเด็กหวงของเล่นเลย”
ชายหนุ่มหัวเราะ “คุณไม่ใช่ของเล่น”
ฉัตรตะวันคล้ายจะพูดอะไรต่อ ทว่าเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น พฤกษ์หยิบออกมาดูแต่ก็ไม่คุ้นเคยกับหมายเลขที่โทรเข้ามา เมื่อกดรับ ปลายสายจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงร้อนรน
(ผู้ปกครองเด็กหญิงมาลีวัลย์ใช่ไหมคะ? ดิฉันเป็นครูประจำชั้นค่ะ คือตอนนี้เกิดเรื่องขึ้นที่โรงเรียน พอดีแก...)
พฤกษ์คล้ายกำลังรู้สึกอะไรบางอย่าง …
สิ่งที่เรียกว่าเดจาวู
วันหยุดมักผ่านไปรวดเร็วเสมอ เสาร์อาทิตย์ที่ควรเป็นเวลาพักผ่อนแต่พฤกษ์กลับใช้มันหมดไปกับสารพัดปัญหาของคนรอบกายจนไม่มีเรี่ยวแรงเหลือให้ใช้ชีวิตของตนเองต่อ ร่างโปร่งยืนมองกระจกบานใหญ่ สิ่งที่สะท้อนกลับมาคือตัวเขาเหมือนอย่างเช่นทุกวัน พฤกษ์ลูบใบหน้าซีกหนึ่งของตนอย่างพินิจ รูปหน้าเรียวรี คางโค้งมน จมูกโด่งเป็นสัน คิ้วเรียงสวย ริมฝีปากอิ่มสีแดงเรื่อตัดกับผิวขาวผุดผ่อง เรือนผมสีดำขลับตัดและซอยอย่างทันสมัย โดยรวมถือว่าดีเพียบพร้อม ทว่าข้อเสียเพียงอย่างเดียวของพฤกษ์คือแววตาเย็นเยียบไร้อารมณ์ เขาไม่ทราบว่ามันเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่แววตาของตนเองมักเป็นที่ปรปักษ์แก่ผู้อื่น หากจะย้อนกลับไป พฤกษ์จำได้ว่าเคยเป็นคนที่ร่าเริงและมีดวงตาเป็นประกายสุกใสเหมือนกับเด็กคนอื่น
เริ่มจะจำได้เลือนลาง คงเป็นตอนที่ครอบครัวแตกระแหงและผู้เป็นแม่ที่รักยิ่งจากไป ตอนนั้นพฤกษ์เริ่มเก็บตัวและต่อต้านทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ นิสัยนั้นฝังรากและหยั่งลึกจนติดเป็นสันดาน
ทุกอย่างบ่มเพาะให้เขากลายเป็นคนแบบนี้
พฤกษ์หยิบแว่นสายตาขึ้นมาสวม ระหว่างที่เดินลงบันไดก็เริ่มวางแผนที่จะทำเลสิกรักษาสายตาสั้นในระยะยาวอยู่ในหัว ซ้ำยังคิดเผื่อไปถึงเรื่องของพงพีและมาลีวัลย์อีกด้วย เรื่องของเด็กพงพี พฤกษ์มีทางออกอยู่ในใจแล้วจึงไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วงนัก คนที่ควรใช้คำว่า ‘น่าเป็นห่วง’ ในตอนนี้ก็คงหลีกหนีไม่พ้นน้องสาวคนเล็กอย่างมาลีวัลย์
พฤกษ์เดินลงมายังห้องทานอาหาร ดูเหมือนวันนี้เขาจะตื่นสายเล็กน้อยจากปกติถึงไม่มีใครนั่งรับประทานมื้อเช้าอยู่เลยสักคน พฤกษ์เดินออกมาก็ได้ยินเสียงจอแจของเด็ก ๆ ดังขึ้นอยู่ไม่ไกลจึงก้าวฉับ ๆ ไปยังหน้าประตูใหญ่ที่เปิดกว้าง ตรงหน้านั้นนอกจากโตโยต้าแอลฟาร์ดสีขาวและเบนซ์สีดำที่จอดเคียงคู่กัน พฤกษ์ยังเห็นเหล่าเด็กนักเรียนกำลังยืนพูดคุยกันด้วยท่าทางมีปัญหา
มาลีวัลย์ที่ยืนน้ำตารื้นอยู่กลางวงคงจะเป็นต้นเหตุสินะ
“คุณพฤกษ์..” อินทรชิตที่สังเกตเห็นเขาเป็นคนแรก ปรี่เข้ามาหาทันที พฤกษ์มองหน้าเซ่อซ่าของเด็กหนุ่มครั้งหนึ่ง พูดว่า
“เป็นอะไรของมันแต่เช้า”
“น้องไม่อยากไปเรียนครับ”
“อ้อ” พฤกษ์ร้องในคอเสียงแหลม ก้าวยาว ๆ สามสี่ทีก็สามารถไปถึงตัวของมาลีวัลย์ที่ยืนสั่นอยู่ข้างพี่ชาย เขาใช้นิ้วชี้ดันคางกลมขึ้น เผยให้เห็นดวงตากลมโตที่มีน้ำใส ๆ คลอหน่วยใกล้จะปะทุอยู่รอมร่อ
มาลีวัลย์เบะปาก พร้อมทำหน้าเหยเก ระเบิดใกล้ลงในอีก..
“ห้ามร้อง”
พงพีที่แอบอยู่ข้างหลังอินทรชิตแอบสูดปากอย่างแรงเพราะหวั่นใจกลัวน้องจะถูกคุณพฤกษ์ตีแต่เช้า
ทว่าคำพูดของพฤกษ์ราวกับเสกคาถาได้ผลชะงัด มาลีวัลย์เม้มริมฝีปากจิ้มลิ้มแน่นกริบ ซ้ำยังยกมือขึ้นปาดเอาน้ำหูน้ำตาเก็บกลับไปอย่างรวดเร็ว เด็กหญิงเอาความใจกล้ามาจากไหนไม่ทราบถึงได้ทิ้งกระเป๋าและเดินเตาะแตะไปกอดเอวร่างโปร่งไว้แน่น
ดวงตาของพฤกษ์กระตุกวูบไหวก่อนมันจะกลับมานิ่งเรียบไร้อารมณ์เช่นเดิม เขากระแอมเบา ๆ ส่งเสียงเข้มไปว่า
“อึดอัด ปล่อย”
มาลีวัลย์ที่ซบอยู่ตรงหน้าท้องส่ายหน้าหวืดไปมา ดวงตากลมโตสุกใสช้อนขึ้นมอง ดูราวกับสัตว์ตัวเล็กกำลังหวาดกลัว
“คุณพฤกษ์ขา” เด็กหญิงเรียก น้ำเสียงน่าเอ็นดู
“ไม่ไปโรงเรียนไม่ได้หรือคะ”
พฤกษ์หรี่ตาลงมอง สีหน้าไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งที่ได้ยิน อินทรชิตเห็นน้องสาวได้กอดเอวคุณพฤกษ์ถึงกับนิ่งค้างไปในบัดดล รู้สึกเจ็บแปลบไปทั่วทรวงอก ความริษยากำลังแผ่ขยาย ลืมกระทั่งว่าตรงหน้านั้นคือน้องสาว เด็กหนุ่มเผลอขบฟันแน่นจนสันกรามนูนเด่นออกมา
พฤกษ์ยังคงมีสีหน้าเดิมไม่เปลี่ยน พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ได้สิ” เขากระตุกยิ้ม ท่าทางน่ากลัว
“ไม่อยากไปก็ไม่ต้องไป หลบอยู่แต่ในบ้านนี่แหละ ส่วนปัญหาก็ช่างหัวมัน”
มาลีวัลย์มีสีหน้าหม่นหมองทันทีที่ได้ยินคำตอบนั้น เด็กหญิงปล่อยแขนจากเอวบางก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงหงอย ๆ ว่า
“ก็ได้ค่ะ ...ไปก็ได้”
พงพีอาสาเก็บกระเป๋าบนพื้นส่งคืนให้น้องก่อนจะตบหลังปุ ๆ เป็นการปลอบใจ สุดท้ายเด็กทั้งสองจึงยกมือไหว้พฤกษ์ก่อนจะพากันขึ้นไปรอในรถตู้ ส่วนอินทรชิตเพิ่งได้สติหลังจากตบตีกับความคิดของตนเองอยู่นาน เด็กหนุ่มหนีบกระเป๋าจาคอปไว้ใต้รักแร้ข้างหนึ่งก่อนจะประนมมือขึ้นไหว้สวยงามก่อนจะขึ้นรถตามไปเป็นคนสุดท้าย พฤกษ์เดินเข้าไปใกล้ มือข้างหนึ่งยันกรอบประตูเอาไว้ พูดว่า
“มะลิ”
เจ้าของชื่อหูผึ่งพร้อมทั้งกระตือรือร้นทันทีที่ได้ยิน
“คะ? คุณพฤกษ์..”
“หนึ่งเดือน” พฤกษ์ชูนิ้วชี้ขึ้น พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ถ้าแกทนอยู่ได้จนสอบปลายภาคจบ ไม่ว่าอะไรที่แกต้องการหรืออยากได้”
เด็กทั้งสามที่นั่งฟังอยู่พลันนิ่งไป รวมถึงลุงแสงคนขับรถ พฤกษ์สูดหายใจลึก พูดต่อจนจบอย่างที่ตั้งใจว่า
“ฉันจะหามาให้ทุกอย่าง”
มาลีวัลย์ลงจากรถด้วยสีหน้าชื่นมื่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน อินทรชิตกับพงพีเห็นดังนั้นจึงหันมายิ้มให้กันก่อนจะจูงมือน้องคนละข้างเข้าโรงเรียน
พี่ชายทั้งสองกำลังอาสาเดินขึ้นมาส่งถึงห้องเรียน ทว่าเป็นเด็กหญิงที่ปฏิเสธขอขึ้นไปเอง พงพีกับอินทรชิตมองหน้ากันไปมองหน้ากันมา ท่าทางยังคงหวาดระแวงกลัวน้องสาวจะถูกรังแกอีก
“มะลิไม่เป็นไรค่ะ” มาลีวัลย์ตอบเสียงใสพลางกอดแขนอินทรชิตไว้แน่น
“แน่ใจหรือ พี่เป็นห่วงนะ”
“อื้อ! ” เด็กหญิงร้อง “คราวนี้มะลิจะไม่ยอมเขาอีกแล้วค่ะ คุณพฤกษ์บอกว่าเขาไม่ใช่เพื่อน! ”
“ดีมากค่ะ” อินทรชิตลูบหัวน้องเบา ๆ “คุณพฤกษ์พูดถูกเสมอ”
ส่วนพงพีตีมือดังฉาด พูดอย่างสะอกสะใจว่า
“มันต้องอย่างนี้!! ”
ซ้ำยังยุยงน้องไปอีกกระบุงโกย
“ถ้าพวกนั้นดึงผมอีกก็กระชากกลับไปเลย ถ้าถูกตีก็ชกกลับไปสักหมัด! ถ้าจะมีเรื่องก็ตบตีให้ถึงที่สุด เราเจ็บมันก็เจ็บ! อย่าเจ็บอยู่ฝ่ายเดียวเข้าใจไหม! อย่าไปกลัว พ่อเราใหญ่เสียอย่าง ใครจะทำอะไรได้! ”
มาลีวัลย์คล้ายจะฟังพี่ชายไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่นักจึงได้แต่ส่งยิ้มแห้งกลับไป ส่วนอินทรชิตดึงแก้มน้องชายจนย้วยก่อนจะดุว่า
“พีร์ สอนอะไรน้อง มันไม่ดีนะ”
พงพีทำหน้ายู่ “ไม่ดีตรงไหน! ถูกแกล้งจะให้อยู่เฉยหรือพี่อินทร์”
“เปล่า ไม่ใช่” อินทรชิตยกขาขึ้นเตะก้นน้อง
“พี่กำลังจะบอกว่าการใช้ความรุนแรงมันไม่ดีต่างหาก อีกอย่างพีร์กำลังใช้คุณลุงเป็นเกราะกำบังเวลาทำเรื่องไม่ดีนะ กลายเป็นว่าเราไปต่อยตีกับคนอื่นไปทั่วเพราะเส้นใหญ่ แบบนี้เขาเรียกว่ากร่าง ไม่ใช่นักเรียนรู้ไหม”
พงพีนิ่งฟัง อินทรชิตเห็นแบบนั้นจึงค่อยโล่งอกที่น้องคงกำลังคิดได้ว่าสิ่งที่ตนเองพูดมาเมื่อครู่มันไม่ดี ทว่าพงพีกลับทำปากยื่น พูดด้วยน้ำเสียงเนือย ๆ ว่า
“พี่อินทร์พูดอะไร ทำไมเข้าใจยากจัง พีร์โง่ ไม่เข้าใจหรอก”
อินทรชิตถอนหายใจออกยาวเหยียดก่อนยกมือตีเหม่งน้องชายด้วยความหมั่นไส้อย่างเหลืออด
วันนี้พฤกษ์มีเรียนคาบแรกในช่วงสิบโมง หลังรับประทานมื้อเช้าเรียบร้อยดีจึงออกมาเดินเล่นในสวนหย่อมเพื่อย่อยอาหารก่อนไปมหาวิทยาลัย เขาเห็นแม่พลอยยืนมือไพล่หลังและมองพุ่มต้นโมกด้วยสีหน้าอิ่มเอมอยู่ไม่ไกล พฤกษ์เดินเข้าไปใกล้จากข้างหลัง ยกมือขึ้นโอบเอวของร่างท้วมก่อนจะกดริมฝีปากลงที่แก้มนุ่มข้างหนึ่งเรียกเสียงหัวเราะจากหญิงชราได้เป็นอย่างดี
“คุณพฤกษ์นี่เอง ยายตกใจหมดเลยค่ะ”
“โธ่..” พฤกษ์ลากเสียงหวาน ปล่อยแขนจากเอวอีกฝ่ายเปลี่ยนเป็นโอบไหล่ “ขวัญเอ๋ยขวัญมานะครับ”
แม่พลอยยิ้มอ่อนโยน พูดว่า
“ยายเห็นคุณพฤกษ์ดุคุณมะลิหน้าบ้านเมื่อเช้า มีอะไรหรือคะ? ”
พฤกษ์ฟังคำถามก็ถอนหายใจยาวเหยียดออกมา ประคองหญิงชราชราเดินชมสวนไปพูดไปว่า
“ไม่ได้ดุเสียหน่อย” เขาเลิกคิ้ว “เด็กมันไม่ยอมไปเรียนนี่ครับ”
“โธ่.. เห็นตัวสั่นขนาดนั้นจะไม่โดนดุได้อย่างไรคะ คุณมะลิยังเด็ก คุณอย่าไปดุเธอนักเลย ยายเอ็นดู”
“พักหลังมานี้ผมไม่ค่อยไปรังแกอะไรพวกมันเลยนะครับ”
“อีกแล้ว” ฝ่ามือเหี่ยวย่นตีเบา ๆ ที่แขน พฤกษ์เหยียดริมฝีปากเป็นเส้นตรงอย่างไม่สบอารมณ์นัก
“ยายสอนคุณพฤกษ์จนเหนื่อยแล้วนะคะ ว่าอย่าเรียกน้องแบบนั้น พูดไม่เพราะเลย”
“ครับ” เขาหัวเราะแห้ง สีหน้ายิ้มคล้ายไม่ยิ้ม แววตายังคงราบเรียบ
“ไม่เรียกแล้วก็ได้”
หญิงชราหันมามองด้วยสีหน้าอ่อนโยนก่อนจะเอื้อมมือมาลูบหลังมือเขาอย่างแผ่วเบาคล้ายจะปลอบประโลมจิตใจที่แตกร้าว ด้วยเรื่องราวในอดีตอันน่าเจ็บปวดของครอบครัวนี้ นอกจากตัวพฤกษ์ เจ้าของคฤหาสน์อย่างเจ้าสัวพนาและญาติภายในเพียงไม่กี่คน ก็เห็นจะมีเธอนี่แหละที่รับรู้และอยู่ในเหตุการณ์มาตั้งแต่ต้น ดังนั้นแล้ว ไม่ว่าคุณพฤกษ์ของเธอจะเติบโตมาเป็นคนอย่างไร มีนิสัยต่อต้านคนทั้งโลกเพียงไร เธอเป็นเพียงคนเดียวที่เข้าใจและเห็นใจเขามากที่สุด
แม้จะทัดทานความเอาแต่ใจบางอย่างของพฤกษ์ไม่ได้ อย่างเช่นความรู้สึกที่มีต่อน้องบุญธรรม น้องชายและน้องสาวต่างมารดาเป็นต้น ทว่าเรื่องบางเรื่องก็มีเธอคอยเตือนสติและสะกิดให้เขารู้สึกตัวว่าสิ่งที่ทำนั้นมันผิดหรือถูก
โดยปกติแล้วนั้น คุณพฤกษ์ของเธอดื้อรั้นและมาดร้ายต่อเด็กทั้งสามมากกว่าใคร ไม่ว่าเธอจะติเตือนหรือห้ามปรามอย่างไรก็ไม่เป็นผลเสียที สิ่งที่ทำได้ก็เห็นจะมีเพียงแค่คอยปลอบขวัญยามเมื่อเด็กทั้งสามถูกคุณเขาดุด่าและหยิกตีจนเนื้อเขียว แต่ในระยะหลังมานี้ หญิงชราเธอได้สังเกตเห็นว่าภายในคฤหาสน์หลังนี้กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างทีละเล็กละน้อย
..เล็กน้อย กระทั่งที่ว่าถ้าไม่สังเกตก็คงไม่เห็นแน่ ๆ
แต่ทว่าเธอก็สังเกตเห็นมัน เห็นความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยนั้นในตัวของพฤกษ์
“แม่พลอยยิ้มอะไรหรือครับ”
พฤกษ์ถามขึ้นหลังจากที่สังเกตเห็นใบหน้าของแม่พลอยมีรอยยิ้มจาง ๆ มาตั้งแต่เมื่อครู่
“ยิ้มก็แปลว่ามีความสุขอยู่ไงคะ”
ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย
พฤกษ์และฉัตรตะวันออกจากลิฟต์ด้วยสภาพอิดโรยจนแทบจะเรียกว่าตายซากก็คงไม่เกินจริงนัก ทั้งสองร่างเดินไปข้างหน้าอย่างไร้จุดมุ่งหมายสวนทางกับนักศึกษามากมายที่เดินผ่านเข้าไปใช้ลิฟต์ พฤกษ์มีใบหน้าไร้ความรู้สึก แววตาเลื่อยลอยไปไกลแสนไกล ข้างกันนั้น ฉัตรตะวันก็อยู่ในอากัปกิริยาที่ไม่ต่างกันนัก
ฉัตรตะวันพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงทื่อ ๆ
“เมื่อกี้คุณทำได้ไหม”
“คุณฉัตร” พฤกษ์คล้ายจะรู้สึกตัว เขาส่ายหน้าอย่างไร้วิญญาณ ตอบไปว่า
“ไม่มีอะไรอยู่ในสมองผมเลย”
“ควิซครั้งก่อนก็พูดแบบนี้ สุดท้ายก็เห็นท็อปทุกครั้ง”
“ไม่” พฤกษ์ยกมือขึ้นลูบหน้า “ครั้งนี้ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ ผมอ่านมานิดเดียว”
ชายหนุ่มเห็นท่าทางนั้นของเพื่อนสนิทจึงเข้าไปบีบเบา ๆ ที่บ่าข้างหนึ่งพร้อมยิ้มอ่อนโยน
“อย่าคิดมาก” เขาพูด “คุณเก่งอยู่แล้ว”
“อือ” พฤกษ์พยักหน้าหงึก ๆ ริมฝีปากแดงเรื่อยื่นออกมาเล็กน้อย ท่าทางราวกับเด็กที่ไม่ได้ดั่งใจนั้นเผลอแสดงออกมาอย่างไม่รู้ตัว พาลให้คนที่เฝ้ามองอย่างฉัตรตะวันรู้สึกคันยุบยับอยู่ในใจ
“นั่นเธอ..” พฤกษ์พูดขึ้น เขาหันไปทางที่อีกฝ่ายจ้องมอง เห็นหลี่เหมาเหมากำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่เงียบ ๆ ตรงมุมหนึ่งของใต้ตึกคณะเหมือนครั้งก่อน
คิ้วเข้มขมวดแน่นจนเครียดตึง เขาคว้าต้นแขนบางไว้แน่นยามเมื่อเห็นอีกฝ่ายก้าวเดินออกไป
“มีอะไรหรือครับ” ฉัตรตะวันคล้ายจะทำลงไปตามสัญชาตญาณบางอย่าง ชายหนุ่มปล่อยมือจากต้นแขน พูดว่า
“เปล่า คุณจะไปหาเธอหรือ”
“อา..” เขาเห็นดวงตาที่เคยราบเรียบมีความวูบไหวบางอย่าง “ไปทักทายน้องรหัสเสียหน่อย”
ฉัตรตะวันมองแผ่นหลังเหยียดตรงของอีกฝ่ายกำลังเดินออกห่าง รู้สึกราวกับอยู่ห่างไกลกันเหลือเกินทั้งที่อยู่ข้างกายตลอด ชายหนุ่มเจ็บปวดในอกแปล๊บที่ทำอะไรไม่ได้ สุดท้ายจึงเลือกที่จะเดินตามไปอย่างเงียบเชียบ
ฉัตรตะวันหย่อนตัวลงนั่งข้างหลี่เหมาเหมาเพื่อไม่ให้พฤกษ์ได้ใกล้ชิดกับหญิงสาวอย่างที่ตั้งใจ อีกฝ่ายไม่ได้มีทีท่าเฉลียวใจอะไรมากนัก เดินอ้อมไปนั่งฝั่งตรงข้ามแทนอย่างว่าง่าย หลี่เหมาเหมาสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นว่าใครที่นั่งลงตรงหน้า เธอมีริ้วสีแดงบนแก้มเล็กน้อย พูดว่า
“สวัสดีค่ะพี่พฤกษ์ พี่ฉัตร” พฤกษ์พยักหน้าพร้อมมุมปากที่โค้งขึ้น ส่วนฉัตรตะวันนั่งนิ่งเป็นต้นไม้
“ขยันจัง” เขาพูด มองไปที่หนังสือและชีทเรียนที่ถูกไฮไลท์เป็นลายพร้อยจนไม่เหลือพื้นที่ว่างสีขาวให้เห็น
“เหมาเหมาไม่ค่อยเข้าใจเลยอ่านทบทวนค่ะ วิชานี้อาจารย์สอบบ่อยด้วย”
“อืม” พฤกษ์พยักหน้า “ปีหนึ่งก็ทนเอาหน่อย เดี๋ยวก็ปีสองแล้ว”
หลี่เหมาเหมาตาโต “ปีสองไม่หนักหรือคะ!? ”
พฤกษ์ทำหน้าห่อเหี่ยว จิ้มหน้าผากเธอจนหงายไปเล็กน้อย พูดว่า
“เธอเห็นสภาพฉันตอนนี้ไหมล่ะเหมาเหมา”
หญิงสาวลูบหน้าผากตัวเองป้อย ๆ พลางกวาดสายตามองพี่รหัสของตนเอง
“เห็นค่ะ”
พฤกษ์เลิกคิ้วข้างหนึ่ง “เป็นอย่างไรบ้าง? ”
“ตัวสูง หล่อ หน้าสวย ผิวขาวจั๊วะ”
“อะแฮ่ม..” ฉัตรตะวันกระแอมในคอขึ้นมา แม้สายตากำลังก้มลงดูโทรศัพท์ทว่าหูทั้งสองกลับผึ่งออกอย่างกระเหี้ยนกระหือรือ
“เพ้อเจ้อ” พฤกษ์หัวเราะ ดันแว่นสายตาที่ตกอยู่ขึ้น
“เพ้อเจ้อตรงไหนคะ”
“หล่อแล้วจะสวยได้ยังไง”
“อะแฮ่ม! ”
“ไม่รู้สิคะ เหมาเหมาว่าพี่พฤกษ์หล่อนะ แต่มองดี ๆ ก็หน้าสวย จมูกโด่ง หน้าเรียว แถมปากก็แด๊งแดงเหมือนทาลิปเลยค่ะ”
พฤกษ์ได้ยินดังนั้นจึงยกฝ่ามือขึ้นถูริมฝีปากก่อนจะยื่นฝ่ามือข้างที่ใช้ถูไปตรงหน้าหญิงสาว
“เห็นไหมไม่ได้ทาอะไรเลย มันแดงของมันตามธรรมชาติ”
“ฮึ่ม.. แค่ก! แค่ก! ”
หลี่เหมาเหมาหัวเราะ
“อย่างพี่พฤกษ์ธรรมชาติคงสร้างสรรค์มา ส่วนเหมาเหมาธรรมชาติคงลงโทษมาแหง็ม ๆ ”
“ไปกันใหญ่” พฤกษ์โบกมือ
“เธอไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไรเลยนะ อย่าตีค่าตัวเองตกต่ำนักสิ” เขาพูดยิ้ม ๆ และทอดมองหญิงสาวอย่างอ่อนโยน ในหัวหวนนึกไปถึงหลี่เหมาเหมาจากกาลก่อน เธอเป็นถึงเลขาสาวที่สวยสง่า บุคลิกดี มีความมั่นใจ ผู้บริหารทุกคนยังให้การยอมรับความสามารถในการทำงาน ซ้ำผู้ชายทั่วบริษัทยังพากันเหลียวมองจนคอแทบเคล็ด
หลี่เหมาเหมาที่ถูกสายตาคมของพฤกษ์จ้องมองอย่างไม่ปิดบังก็พลันหน้าแดงซ่านขึ้นมาเสียดื้อ ๆ ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่นอย่างเขินอาย ฉัตรตะวันที่เห็นภาพนั้นก็พาลหงุดหงิดจนร้อนไปหมดทั้งร่าง เขาเสแสร้งกระแอมหนัก ๆ ออกมาอีกหลายครั้งดัง ๆ
“อะแฮ่ม! แฮ่ม! แค่ก ๆ! ”
พฤกษ์ได้สติหลังจากได้ยินเสียงนั้น เขาหันไปมองฉัตรตะวันด้วยสีหน้าวิตกก่อนพูดขึ้นว่า
“คอเป็นอะไรหรือคุณฉัตร ผมเห็นคุณไออยู่สักพักแล้ว”
ชายหนุ่มทำสีหน้าไม่สู้ดีนัก ยกมือขึ้นแตะลำคอตนเอง พูดว่า
“สงสัยผมคงเป็นไข้แน่ ๆ เลย”
“เมื่อกี้เหมาเหมาเห็นพี่ฉัตรยังดี ๆ อยู่เลยนี่…..คะ”
หลี่เหมาเหมาหยุดพูดแทบไม่ทันเมื่อเห็นสายตาน่ากลัวของฉัตรตะวันจ้องเขม็งมาที่เธอ ขนอ่อนทั่วร่างพลันลุกชัน! หญิงสาวเม้มริมฝีปากแน่นก่อนจะค่อย ๆ ขยับตัวออกห่างจากชายหนุ่มข้างกายอย่างแนบเนียน
“จริงหรือ” พฤกษ์พูดขึ้นพลางยื่นหลังมือนาบไปกับหน้าผากและแก้มของอีกคน วินาทีเดียวกันนั้น หลี่เหมาเหมาจึงได้เห็นฉัตรตะวันยิ้มเยาะเธอจากมุมปาก หญิงสาวขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า แต่ที่พอจะเข้าใจได้คือชายหนุ่มกำลังไม่พอใจที่เธอพูดคุยกับพฤกษ์
หลี่เหมาเหมาคิด ..หรือจะเป็นอย่างที่เขาคุยกันปากต่อปากไปทั่วคณะว่าเดือนปีสอง ‘ฉัตรตะวัน’ ชอบหวงและชอบกันไม่ให้คนอื่นเข้าใกล้เพื่อนตนเอง
มิน่าล่ะ ..เธอจึงไม่เคยเห็นสองคนนี้สุงสิงกับใครเลย
“ตัวรุม ๆ นิดหน่อย คุณโอเคนะ? ”
ฉัตรตะวันพยักหน้าอย่างเซื่องซึม พฤกษ์รู้สึกคล้ายจะเห็นไซบีเรียฮัสกี้ตัวใหญ่กำลังทำหน้าหงอย
ช่วงนี้เขารู้สึกว่าตนเองจะเบลอหนักไปแล้ว ..เดี๋ยวเห็นคนนั้นคนนี้เป็นสุนัขอยู่เรื่อย
“จริงสิเหมาเหมา” เขาหันไปหาน้องรหัสที่ก้มหน้าราวกับกำลังหลบสายตาใครอยู่
“คะ คะ? ” เธอกระตือรือร้นตอบทันที
“ยังไม่ตัดแว่นใหม่อีกหรือ” พฤกษ์นึกขึ้นได้เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้สวมแว่นสายตาและคราวที่แล้วก็บอกเสียอย่างดิบดีว่าจะพาไปตัดอันใหม่ให้
“ยะ ยังคะ เงินเดือนยังไม่ออกเลย”
“หือ” คิ้วสวยขมวดเข้าหากัน
“ฉันก็บอกอยู่ว่าจะออกให้”
หลี่เหมาเหมาส่ายหน้าจะเส้นผมสยาย เขาถอนหายใจยาวเหยียดก่อนจะเคาะหน้าผากเธอด้วยหลังมือ
“ทำไมดื้อ”
น้ำเสียงที่ราวกับว่าเอ็นดูอีกฝ่ายทำให้ฉัตรตะวันกำหมัดแน่นจนข้อนิ้วขาวซีด ซ้ำคิ้วเข้มยังกระตุกถี่จนน่ากลัว
“เอาอย่างนี้สิ” พฤกษ์เคาะปลายนิ้วลงกับโต๊ะไปมา พูดว่า
“มาทำงานให้ฉัน ฉันจะจ้างเอง”
“งานอะไร” เป็นฉัตรตะวันที่พูดขึ้นมากลางปล้องด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
“งานง่าย ๆ อย่างดูแลเด็กคนหนึ่ง ช่วยสอนการบ้าน ทำกิจกรรมหรืออะไรก็ได้ที่ฝึกสมาธิให้ดีขึ้น”
พฤกษ์ยิ้มบาง ชูนิ้วขึ้นห้านิ้ว
“ชั่วโมงละห้าร้อย เฉพาะวันอาทิตย์ ตั้งแต่เก้าโมงเช้าถึงสี่โมงเย็น มีอาหารให้สามเวลา จะรับเงินเป็นรายอาทิตย์หรือรายเดือนก็ได้ สนใจไหม? ”
ฉัตรตะวันขบฟันแน่นเมื่อนั่งฟังจนจบประโยค ส่วนหลี่เหมาเหมาดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ แต่ก่อนจะมีฝ่ายใดโต้แย้งขึ้น ใครบางคนก็เดินตรงมาที่โต๊ะที่พวกเขานั่งอยู่
เธอคือริต้านั่นเอง
หลี่เหมาเหมาและพฤกษ์นิ่งไป ฉัตรตะวันจึงตวัดสายตามองอย่างเอาเรื่องทันที ริต้าปากสั่นเล็กน้อยก่อนจะรีบพูดธุระของตนเองให้จบ ๆ
“ไม่ต้องมามองฉันอย่างนั้นเลยนะฉัตร” เธอพูด
“พฤกษ์ก็ด้วย พี่ไม่ได้มาหาเรื่อง! ”
พฤกษ์เลิกคิ้ว จากนั้นจึงผ่อนคลายลงเล็กน้อย
“พี่ริต้ามีอะไรหรือเปล่า”
“พี่ปีสี่เลี้ยงคืนนี้” ริต้าพูดจบก็หันมาทางฉัตรตะวัน “สายของฉัตรก็ด้วย พี่รหัสฝากมาชวน”
ฉัตรตะวันพยักหน้าขอไปที ไม่ได้มีท่าทางสนใจอะไรมากนัก ริต้าหันมาหาหลี่เหมาเหมาเป็นคนสุดท้าย พูดด้วยน้ำเสียงเหน็บแนมว่า
“ส่วนเธอ.. ไม่ไปก็ไม่มีใครว่าอะไรหรอกนะ”
หลี่เหมาเหมาไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองเธอ หญิงสาวได้แต่ก้มหน้ากัดฟันอย่างเงียบเชียบ
ริต้าเดินจากไปแล้ว พฤกษ์ถอนหายใจเฮือก พูดกับน้องรหัสว่า
“เหมาเหมา คืนนี้เธอไม่ต้องไป”
หลี่เหมาเหมาเงยหน้าขึ้นมามองเขา น้ำตาที่อุตส่าห์กลั้นเอาไว้ไหลออกมาอาบแก้ม
“แม้แต่พี่พฤกษ์..”
“ไม่ใช่” เขายกมือห้าม “ฉันไม่อยากให้เธอไปแล้วกลายเป็นตัวตลกในสายตาคนพวกนั้น”
“....”
“รู้ใช่ไหม? พวกนั้นอาจจะทำให้เธอรู้สึกอับอายหรือรู้สึกแย่ เธอคงไม่อยากเป็นแบบนั้นใช่ไหม? ”
หลี่เหมาเหมาสะอื้นก่อนจะค่อย ๆ พยักหน้าตอบ
“ถ้าอยากไป เอาไว้ฉันจะพาไปทีหลัง”
ฉัตรตะวันหันขวับมามองคนพูดทันที
“คุณชอบเธอ” ฉัตรตะวันพูดขึ้นเมื่อเขาทั้งสองเดินมายังที่จอดรถ พฤกษ์มองรถยนต์ของอีกฝ่ายที่วันนี้ก็มาจอดอยู่ข้าง ๆ เหมือนเดิมก่อนจะพูดขึ้นว่า
“คุณจะบ้าหรือ ผมเป็นเกย์”
“อาการคุณออก”
“ออกยังไง”
“คุณพูดดีกับเธอ”
“แปลกตรงไหน”
“คุณหยอกล้อเธอ”
“หยอกน้องรหัสผิดด้วยหรือ”
“คุณช่วยเหลือเธอ”
“ปกตินี่ ..ผมช่วยเหลือคนรู้จัก เป็นคุณก็คงทำ”
“คุณเอ็นดูเธอ”
“เธอนิสัยน่ารัก”
“นั่นไง คุณรักเธอใช่ไหมล่ะ”
“โอ๊ย! ” พฤกษ์กุมขมับอย่างแรง รู้สึกปวดจี๊ดขึ้นมาเสียดื้อ ๆ
“ทำไมยัดเยียดผมจัง ก็บอกแล้วไงว่าเป็นเกย์! เกย์ก็คือชอบผู้ชาย! เอาอย่างนี้ไหม ผมคบผู้ชายสักคนเลยเป็นไง คุณฉัตรจะได้สบายใจ”
“ห้ามเลยนะ! คุณพฤกษ์จะไปคบใครไม่ได้ทั้งนั้น”
“เอ๊ะ นี่ยังไงครับ มีสิทธิ์อะไรในตัวผมหรือครับ? ”
“สิทธิ์ของ ..เพื่อน” ฉัตรตะวันพูดเสียงแผ่วตรงคำสุดท้ายของประโยค
พฤกษ์เอียงหน้า ควงกุญแจรถยนต์ในมือเล่น
“เพื่อนหรือพ่อ”
“อยากให้เป็นมากกว่านั้นไหมล่ะครับ”
พฤกษ์ถูกคำพูดสองแง่สองง่ามของอีกฝ่ายทำให้เป็นอัมพาตไปครู่หนึ่ง กุญแจรถยนต์ที่ควงเล่นอยู่ที่นิ้วหลุดร่วงไปไหนไม่อาจทราบ รู้ตัวอีกทีก็เป็นตอนที่ฉัตรตะวันวางกุญแจรถยนต์ลงบนฝ่ามือ ดวงตาสีเข้มนั้นสบกับดวงตาของเขาเล็กน้อยก่อนที่เจ้าตัวจะแสร้งพูดขึ้น
“ขอโทษครับ” รอยยิ้มอบอุ่นปรากฏขึ้นที่มุมปาก ทว่าดวงตาของเขาไม่ได้ยิ้มตามไปด้วย
“ดูท่าผมคงจะหงุดหงิดแล้วพาลใส่คุณพฤกษ์เสียแล้ว”
“หงุดหงิดที่ผมคุยกับเธอหรือไง”
“อืม” ฉัตรตะวันยอมรับในที่สุด เขาเลือกแล้วที่จะซื่อสัตย์กับตนเอง
“เหมือนเด็กหวงของเล่นเลย”
ชายหนุ่มหัวเราะ “คุณไม่ใช่ของเล่น”
ฉัตรตะวันคล้ายจะพูดอะไรต่อ ทว่าเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น พฤกษ์หยิบออกมาดูแต่ก็ไม่คุ้นเคยกับหมายเลขที่โทรเข้ามา เมื่อกดรับ ปลายสายจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงร้อนรน
(ผู้ปกครองเด็กหญิงมาลีวัลย์ใช่ไหมคะ? ดิฉันเป็นครูประจำชั้นค่ะ คือตอนนี้เกิดเรื่องขึ้นที่โรงเรียน พอดีแก...)
พฤกษ์คล้ายกำลังรู้สึกอะไรบางอย่าง …
สิ่งที่เรียกว่าเดจาวู
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ