เลือดล้างแค้น

-

เขียนโดย C18CR

วันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2564 เวลา 10.31 น.

  2 บท
  3 วิจารณ์
  2,123 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2564 10.43 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) เจอกันจนได้นะ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

“นี่เป็นรายชื่อทั้งหมดของคนที่บริจาคเลือดวันนั้นครับ” เป็นอีกครั้งที่คนเป็นหมอต้องรู้สึกแปลกใจ เมื่อชายหนุ่มคนเดิมที่ตนเคยร่วมธุรกิจเล็กๆ ด้วยได้กลับมายืนอยู่ต่อหน้าเขาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อซื้อเลือดแต่เป็นการตามหาประวัติผู้บริจาคเลือดต่างหาก และหากเขาทำงานสำเร็จก็จะได้รับเงินก้อนโตอย่างครั้งที่แล้วและนายหมอไม่เห็นว่าตนจะต้องปฏิเสธงานนี้

 

“ขอบคุณครับ” ผู้ว่าจ้างเพียงชายตามองที่ซองสีน้ำตาลขนาดเท่ากระดาษเอสี่ในมือตนแว็บเดียวก่อนยื่นเงินก้อนโตให้คนตรงหน้าแล้วขับรถออกไปอย่างไม่ใส่ใจเหมือนครั้งที่แล้ว แต่นายหมอเองก็ไม่ได้สนใจเช่นกันเพียงยิ้มกว้างให้กับเงินในมือตนเท่านั้น

 

กระดาษข้อมูลของผู้บริจาคเลือดหลายแผ่นถูกแจกให้กับลูกน้องหลายสิบคนเพื่อตามหาบุคคลนั้นๆ ศดิสสั่งลูกน้องที่มีฐานะต่ำกว่าตนอย่างรอบคอบ ให้ตามหาตัวคนเหล่านั้น ทำยังไงก็ได้ให้ได้กลิ่นเลือดของคนพวกนั้นเพื่อยืนยันว่าใช่คนที่พวกเขาตามหา จะใช้วิธีอุบัติเหตุปลอมๆ หรืออะไรก็ได้แต่อย่าให้ตายและอย่าให้เกิดปัญหา ศดิสหวังว่าเพียงไม่กี่วันเขาจะได้ตัวคนคนนั้นมาให้นายตน

 

สนามบิน

“อะไร อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ แค่สามอาทิตย์เอง เดียวฉันก็กลับมา” ท่าทางเหมือนเด็กจะจากแม่ของรุจิราทำให้รติรสอดที่จะกอดเพื่อนสาวของเธอไม่ได้ เพื่อนสาวต่างล่ำลากันราวกับว่าอีกนานจะเจอกัน

 

“ก็ฉันไม่อยากอยู่หอคนเดียวนี่ ไม่อยากกลับบ้านด้วย เบื่อพวกผู้ชายที่แม่หาให้” รติรสเพียงคลี่ยิ้มน้อยๆ พลางหัวเราะให้กับคนเป็นเพื่อนที่ทำหน้ามุ่ยยามนึกถึงเรื่องที่เธอไม่ชอบก่อนหันไปลาบิดามารดาของตนที่มาส่งตนถึงสนามบินเพื่อเดินทางไปเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนที่จีนด้วย

 

“หนูไปก่อนนะพ่อแม่ เจอกันเดือนหน้า ไปละนะรุจ สายละ บ๊ายบาย” รุจิรากึ่งวิ่งกึ่งเดินออกไปเมื่อรู้ว่าตนสายแล้ว ปล่อยให้ทั้งสามชีวิตที่รอส่งตนยืนมองตามหลังของตนเอง

 

รติรสตื่นเต้นไม่น้อย ถึงเธอจะไม่ได้เรียนเก่งมากแต่เธอก็ชอบภาษาจีน การสอบชิงทุนไปต่างประเทศถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แค่สามอาทิตย์แต่มันไม่ง่าย เธอจบมหาลัยปีสองจะขึ้นปีสามอยู่แล้ว การไปหาประสบการณ์ในต่างประเทศก็เป็นสิ่งที่ดีสำหรับตัวเธอ และบางทีการไปต่างประเทศช่วงนี้ก็นี้สิ่งที่ดีสำหรับเธอด้วย และหวังว่าเวลาสามอาทิตย์นี้จะช่วยเธอได้เยอะ

 

ติ๊งต่องง….

 

เพียงไม่นานหลังจากเสียงกดกริ่งดังสาวรับใช้ในบ้านตรงดิ่งวิ่งมารายงานคุณหนูของบ้านอย่างรู้งาน

 

“คุณหนูคะ มีคนมาพบค่ะ” สาวใช้ในวัยสี่สิบต้นๆ พูดกับคนอ่อนวัยกว่าอย่างสุภาพ เจ้าของใบหน้าหวานเงยหน้าจากงานในมือตนพลางจ้องมองไปที่สาวรับใช้ก่อนถามด้วยความสงสัย

 

“ใครมาหารุจหรือคะ ป้า?”

 

“ไม่ทราบค่ะ เห็นบอกว่าเป็นเพื่อนคุณหนูค่ะ”

 

‘เพื่อน?’ รุจิราขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ก็พยักหน้าให้คู่สนทนาก่อนลุกออกไปหน้าบ้านเพราะเพื่อนที่ว่านี้กลับไม่ยอมเข้ามานั่งรอในบ้านของตน เจ้าของหน้าหวานมุ่ยหน้ากึ่งสงสัยกึ่งหัวเสีย มีที่ไหนมาพบตนแต่กลับไม่ยอมเข้ามานั่งรอในบ้าน จากห้องทำงานเธอไปหน้าบ้านก็ไม่ใช่ใกล้ๆ คงไม่ใช่รติรสอย่างแน่นอน เพราะคนนั้นตอนนี้คงยุ่งวุ่นวายอยู่กับการเก็บประสบการณ์อยู่ที่จีนนู่น กว่าจะกลับมาก็เดือนหน้า

 

รุจิราหยุดอยู่หน้าประตูรั้วเหล็กขนาดใหญ่สีน้ำเงินทองลวดลายสวยงามก่อนสังเกตว่าคนที่อ้างว่าเป็นเพื่อนตนนั้นไม่จริงเลย เพราะรุจิราไม่คุ้นกับคนคนนี้สักนิด หรือเรียกได้ว่าไม่รู้จักเลย

 

“ผมมาหาคุณรุจิรา ปัญญาดีครับ” ชายหนุ่มคนแปลกหน้ากล่าวน้ำเสียงเรียบ หญิงสาวขมวดคิ้วเล็กน้อยยามมองชายหนุ่มหน้าขาว ผมและคิ้วสีน้ำตาลเข้มจนเกือบเป็นสีดำ ใบหน้าเรียวยาว ตาคม ดั้งโด่ง ริมฝีปากสีแดงอ่อน ตัวสูงกว่าเธอ ใส่สูทสีดำมีราคา ดวงตากลมโตหวานของรุจิราค่อยๆ เลื่อนมองชายหนุ่มตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้า ศดิสไม่แน่ใจว่าคนตรงหน้ามองตนด้วยสายตายังไงระหว่างแปลกใจกับไม่เคยเห็นมาก่อน เขากระแอมเบาๆ เพื่อเป็นการเรียกสติหญิงสาวตรงหน้า รุจิรารีบเลื่อนกลับสายตากลับมามองใบหน้าหล่อก่อนจะรู้ตัวว่าเผลอเสียมารยาทจ้องมากเกินไป

 

“อะ เอ่อ ไม่มีนะคะ” รุจิราตอบตามความจริงในเมื่อบ้านหลังนี้ไม่มีนามสกุลนั้น มีแต่คุณหนูรุจิรา ภักดีวัชรสกุล ต่างหาก

 

“ถ้าอย่างนั้นผมคงมาผิดบ้านครับ ต้องขอโทษด้วยครับ” ศดิสเพียงก้มหัวเล็กน้อยเพื่อเป็นการขอโทษที่มารบกวน ใบหน้าหวานของรุจิราที่บัดนี้ยังคงเผยให้เห็นคิ้วที่ขมวดเล็กน้อย พยักหน้า อย่างงงๆ ราวกับมีคำถามว่า ‘แค่นี้หรอ’ แต่ก็ยอมหันหลังเดินจากไป ไม่ทันที่เธอจะก้าวออกห่างจากประตู รุจิรารู้สึกเหมือนมีมือผลักเธอจากข้างหลังจนเธอล้มลงไป รุจิราที่ใส่เพียงเสื้อแขนกุดตัวสวยกับกางเกงขาสั้นทำให้ไม่สามารถเป็นเกราะป้องกันผิวนุ่มๆ ของเธอได้มากนัก เข่าข้างซ้ายของเธอกระแทกพื้นอย่างจังจนเลือดสีแดงซึมออกมา คนที่ล้มลงไปนั่งอยู่กับพื้นทั้งเจ็บทั้งอาย บ้าหรือเปล่าเธอล้มได้ยังไง รุจิราค่อยๆ พยุงตัวเองลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก นานๆ ทีคุณหนูอย่างเธอจะมีแผลเหมือนคนอื่นบ้าง

 

“เป็นอะไรรึเปล่าครับ” ร่างสูงหลังรั้วเหล็กส่งคำถามเสียงเรียบไปให้กับคนที่ลุกขึ้นจากพื้นได้สำเร็จหลังจากล้มลงไปอย่างแรง ไม่รู้ทำไมรุจิราถึงรู้สึกแปลกๆ ถ้าคนตรงหน้าห่วงใยกันในฐานะเพื่อนมนุษย์คนหนึ่งจริงก็ควรจะถามเธอด้วยความตกใจตั้งแต่เธอล้มลงไปแล้ว แถมน้ำเสียงที่ใช้ในการถามมันยังดู...ไม่ตกใจเลยสักนิด ราวกับว่าจงใจถามไปแบบนั้น รุจิราเพียงอ้าปากน้อยๆ หันขวับไปหาคนถามก่อนส่งสายตาแบบ ‘จริงหรอนี่’ ไปให้คนถาม นี่เขาปล่อยให้เธอล้มลงไปแล้วยืนดูเฉยๆ โดยไม่ตกใจแล้วถามเธอสักนิดเลยหรอ เธออาย คุณหนูรุจิราอาย ถ้าผู้ชายคนนี้คือหนึ่งในคนที่แม่เธอหามาให้แล้วละก็..เธอคงต้องไปปรับความเข้าใจกับคุณหญิงแม่ของเธอใหม่แล้ว

 

“ฉันไม่เป็นไรค่ะ เชิญคุณกลับไปได้ บ้านนี้ไม่มีคนชื่อแบบนั้นหรอกค่ะ” สิ้นประโยค รุจิราหันหลังขวับเดินกะเผลกอย่างทุลักทุเล ออกห่างจากคนบ้าที่ทำเธอเสียเวลาแถมเสียเลือด คนอะไร โกหกป้าแม่บ้านว่าเป็นเพื่อนเธอ แถมไม่ยอมเข้ามารอในบ้าน แล้วยังถามหาชื่อเธอแต่คนละนามสกุลกับเธออีก แค่เห็นเขาใส่สูทเนี๊ยบท่ามกลางแดดเมืองไทยตอนกลางวันเธอก็ร้อนแทนแล้ว แถมยังทำตัวเหมือนคนโดนบังคับให้ถามเธออีก เขาควรจะเพิ่มความตกใจในน้ำเสียงของเขาหน่อยมันจะได้ฟังดูสมจริง บางทีเธออาจจะรู้สึกอายน้อยกว่านี้ก็ได้

 

“ไม่ใช่” ชายหนุ่มพูดกับตนเองพลางจ้องมองไปที่แผ่นหลังของคนที่ตนพึ่งใช้เพียงความคิดในหัวผลักจากด้านหลังของเธอ ทั้งที่ไม่แรงมาก (มั้ง) แต่ก็ทำให้เธอก็ล้มลงไปจริงๆ ในเมื่อผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่คนที่เขาตามหา บางทีการกลับไปที่คฤหาสน์เพื่อไปเอาคำตอบจากลูกน้องคนอื่นๆ อาจจะเป็นวิธีที่ดี คิดได้ดังนั้นศดิสไม่รอช้าที่จะบึ่งรถกลับทันที

 

“เป็นไง” หลังจากช่วยตามหาคนที่นายต้องการตัวแต่ก็ไม่พบศดิสต้องรีบกลับมา เผื่อว่าจะมีเบาะแสจากลูกน้องคนอื่น แต่สิ่งที่เขาได้กับสิ่งที่เขาคิดกลับตรงกันข้ามกัน ลูกน้องทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวว่าไม่พบ ไม่มีใครมีเลือดที่กลิ่นเหมือนหอมเหมือนเลือดในถุงนั้นเลย แต่ก่อนที่คนถามจะคิดมากไปกว่านั้น ลูกน้องคนหนึ่งก็เอ่ยประโยคหนึ่งออกมาและหวังว่าจะเป็นประโยชน์ให้กับหัวหน้าของตน

 

“แต่คุณศดิสครับ ผมยังเหลืออีกหนึ่งคนที่ยังหาไม่เจอครับ” เขาพูดก่อนยื่นซองสีน้ำตาลในมือตนให้อีกฝ่าย

 

“ผมไปหาเธอที่บ้าน แต่ไม่เจอครับ พ่อแม่เธอบอกแค่ว่าเธอไปต่างประเทศอาทิตย์หน้าก็จะกลับมาแล้วครับ” สิ้นคำรายงานของลูกน้อง คนเป็นหัวหน้าถึงกับถอนหายใจออกมาเบาๆ จะต้องรออีกเป็นอาทิตย์กว่าเขาจะส่งเลือดให้นายตน เขาคงไม่ต้องรีบเร่งอะไรมากถ้านายของเขาไม่ดื่มเลือดนั้นตั้งแต่แรก เพราะหลังจากฐิติวัตรได้ลิ้มเลือดสีแดงสดที่ไม่เข้มข้นนั้นไป ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปหมด เขาไม่เคยดื่มเลือดจากที่อื่นอีก ฟังดูเป็นการเอาแต่ใจแต่มันไม่ใช่ เพราะร่างกายของเขาไม่ตอบสนองต่อเลือดสีแดงข้นพวกนั้นอีกต่อไป เลือดที่เคยหอมก็กลายเป็นเลือดที่ไม่มีกลิ่น เขาต้องการเพียงเลือดสีแดงอ่อนจากคนคนนั้นเท่านั้น จากที่ต้องการเลือดทุกวันกลายเป็นว่าอาทิตย์ละครั้งก็เพียงพอ หลังจากที่ฐิติวัตรดื่มเลือดอีกครึ่งจากถุงที่มีสีอ่อนกว่าเลือดถุงอื่นๆ ไป เขาสามารถอยู่ได้อีกเป็นอาทิตย์ แต่ก็นั่นแหละที่ศดิสกังวล หากคนอย่างพวกเขาขาดเลือดไปสิ่งที่เป็นเหมือนคำสาปร้ายก็จะทำงาน ยิ่งขาดนานเท่าไหร่ยิ่งคลุ้มคลั่งมากเท่านั้น ต่อให้เขาดื่มเลือดที่ดีมีสีแดงเข้มไปมากเท่าไหร่ก็จะไม่เป็นผลเพราะร่างกายจะต้องการเพียงเลือดพิเศษนั่นเท่านั้น

 

กว่าสามร้อยกว่าปีที่ฐิติวัตรและลูกน้องตนต้องอยู่ในสภาพแบบนี้ สภาพที่เขาเองก็ไม่รู้จะเรียกมันว่าอะไร สัตว์ประหลาดหรือ แต่พวกเขาก็ยังคงมีร่างกายที่เหมือนคนทุกอย่าง อาจจะเเค่เหนือกว่าตรงที่ไม่ต้องการน้ำไม่ต้องการอาหาร ไม่ต้องกลัวว่าตนจะตายเมื่อไหร่และจะตายเพราะอะไร มีชีวิตอยู่ไปเรื่อยๆ ไม่แก่ ไม่เจ็บป่วย ฟังดูดี แต่ทว่ามันไม่ใช่ สิทธิพิเศษที่เขามีเหล่านี้เขาไม่ต้องการมัน มันไม่ใช่รางวัลหรือพรวิเศษอะไรทั้งนั้น แต่มันคือบทลงโทษ คือคำสาป ใช่ทั้งเขาและลูกน้องทั้งหมดถูกสาป ถูกสาปให้ต้องอยู่กับอดีตอันแสนเจ็บปวด ให้ทำความผิดซ้ำๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เหมือนเป็นการเพิ่มบาปให้กับตัวเอง เคยทำให้ผู้คนต้องหลั่งเลือดอย่างไรเขาก็ต้องทำอย่างนั้นต่อไป ใช้เลือดในการหล่อเลี้ยงชีวิตจนกว่าคำสาปนั้นจะสิ้นสุด หากไม่ทำให้ผู้คนหลั่งเลือด พวกเขาเองก็ต้องอยู่อย่างทรมานเหมือนดั่งปลาขาดน้ำ อาการขาดเลือดของฐิติวัตรทำให้เขากระวนกระวาย อยู่นิ่งไม่ได้ สติไม่อยู่กับตัว แต่ดีที่เขายังไม่ถึงขั้นขาดสติแต่หากจะให้อดทนต่อไปแบบนี้ก็ไม่แน่

 

ฐิติวัตรเดินไปเดินมาราวกับหนูติดจั่นอยู่ในห้องนอนของตนเองหลังจากฟังคำรายงานของลูกน้องคนสนิทเมื่อสองวันก่อน อาการของเขายิ่งรุนแรงขึ้น ชายหนุ่มพยายามคุมสติของตนเองให้อยู่กับตัว เดินบ้าง นั่งบ้าง นอนบ้าง เขาทำแบบนี้มาเป็นอาทิตย์กว่าแล้ว ร่างสูงนั่งกุมขมับตนเองอยู่ที่ขอบเตียงขนาดใหญ่ เหงื่อมากมายไหลซึมออกมาหยดลงพื้นไม้มันมันเงา เสียงหอบน้อยๆ ดังออกมาอย่างสม่ำเสมอ เขาไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน

 

สนามบิน

 

ทันทีที่เครื่องลงจอดรติรสแทบจะหุบยิ้มไม่ได้เมื่อนึกถึงสีหน้าของพ่อแม่และเพื่อนของตน ถ้ารู้ว่าตนบินกลับมาก่อนหนึ่งวันเพื่อเป็นการเซอร์ไพรส์พวกเขาจะมีสีหน้าอย่างไรบ้าง คนขี้แกล้งอย่างเธอแทบจะหัวเราะออกมากลางสนามบินเสียแต่ว่าเธอยังมีสติดีและรู้ว่าเธอยืนอยู่กลางสนามบิน ไม่งั้นคนอื่นคงจะคิดว่าเธอสติไม่ดีเป็นอย่างแน่ เจ้าของใบหน้ารูปไข่ต้องเม้มปากบางของเธอเพื่อกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ก่อนจะเดินออกจากสนามบินเพื่อไปหารถแท็กซี่ซักคันเพื่อที่จะพาเธอกลับบ้านไปทำในสิ่งที่เธออยากทำ

 

“เซอร์ไพรส์ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

 

“ยัยรส!” ทันทีที่คนเป็นแม่เปิดประตูรั้วบ้านสีขาวเพื่อดูว่าใครกันที่มาบ้านตนในเวลานี้ ก็ต้องตกใจก่อน เพราะแขกที่มาไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นลูกสาวตัวแสบของตนต่างหาก ทั้งๆ ที่บอกพ่อแม่ว่าจะกลับจากต่างประเทศวันไหนแต่เอาเข้าจริงก็กลับมาเซอร์ไพรส์ตนกับสามีก่อนซะงั้น ยังไงรติรสลูกสาวตัวเเสบคนนี้ของตนก็ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย รติรสไม่รอช้ารีบเดินอย่างรวดเร็วจนแทบจะเป็นกระโดดเข้าไปกอดคนเป็นแม่ก่อนทั้งสองคนจะเดินกอดกันเข้าบ้านเพื่อไปหาคนเป็นพ่อเหยื่อรายต่อไปของลูกสาวตัวแสบของบ้าน ต่อด้วยเพื่อนสาวคนสนิทของตนอย่างรุจิรา

 

ศดิสแทบพูดไม่ออกหลังจากฟังคำรายงานของลูกน้องตนหลังจากกลับมาจากสนามบินเพื่อไปดักรอใครบางคนที่มีศักดิ์เป็นเจ้าของเลือดแปลกประหลาดนั้น

 

“ไหนแกบอกว่าวันนี้ไง” ศดิสกระชากคอเสื้อลูกน้องตนเข้าใกล้ ใบหน้าของตนที่เรียกได้ว่าโมโหอย่างสุดขีด ทั้งเป็นห่วงนายตนทั้งโกรธลูกน้อง ทั้งๆ ที่มันไม่ควรจะที่อะไรผิดพลาดอีกแต่มันก็มีจนได้ เขาไม่อยากให้นายตนต้องทรมานอีก เพราะเมื่อวานเขาจำเป็นต้องมัดนายตนเอาไว้ ตอนนี้ฐิติวัตรเป็นราวกับหมาป่าที่ที่หิวกระหาย อาการของฐิติวัตรแย่ลงจนเขาไม่สามารถคุมอารมณ์ของตนได้อีกต่อไป หากปล่อยเอาไว้นายของตนอาจจะทำสิ่งไม่ดีออกไปโดยไม่รู้ตัว

 

ศดิสคลายมือออกจากคอเสื้อของลูกน้องตนลงพลันก่อนหลับตาแน่นราวกับว่ากำลังคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไป จะให้ไปจับตัวเจ้าของเลือดนั่นมาเลยก็ไม่ได้เพราะเขาเองก็ไม่ได้แน่ใจว่าคนคนนี้คือคนที่ตามหาร้อยเปอร์เซ็นต์หรือไม่ ถึงจับได้ก็ใช่ว่าจะไม่มีปัญหาตามมาเพราะเวลานี้จะล่อให้เจ้าตัวออกมาก็คงยาก

 

ศดิสไล่ลูกน้องทุกคนออกไปก่อนที่ตนจะเดินไปที่ตู้เย็นเครื่องใหญ่ ข้างในตัวตู้เก็บขวดเลือดไว้มากมายหรือเรียกได้ว่ามีแต่ขวดเลือดทั้งนั้น แต่ศดิสรู้ดีว่านายของตนไม่ต้องการเลือดสักหยดจากในตู้เย็นนี้ และถึงแม้จะรู้อย่างนั้นแต่เขาเองก็อดที่จะหยิบเลือดขวดหนึ่งออกมาพร้อมกับแก้วใบสวยเพื่อนำไปให้นายตนไม่ได้

 

ยังไม่ทันก้าวไปถึงหน้าห้องของคนขาดเลือด ศดิสก็ได้ยินเสียงร้องโอดโอยของนายตนดังลั่นออกมา เขาค่อยๆ ผลักประตูบานใหญ่เข้าไปหานายของตนที่บัดนี้แขนทั้งสองข้างถูกมัดขึงเอาไว้ที่คนละมุมของหัวเตียง แถมยังมีเชือกหนาพันรอบๆ ตัวของเขาไว้กับหัวเตียงเอาไว้ ทำให้ตอนนี้ฐิติวัตรอยู่ในท่านั่งพิงตัวไว้กับหัวเตียง ศดิสมองดูผลงานของตนและลูกน้องอีกหลายคนก่อนถอนหายใจ เขาเดินเข้าไปยืนข้างเตียงใหญ่พร้อมกับขวดเลือดและแก้วในมืออีกข้าง แต่ฐิติวัตรไม่แม้แต่มองเลือดในมือราวกับว่าเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีเลือดอยู่ข้างๆ ตน เสียงโหยหวนดังขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับสายตาอำมหิตน่ากลัวที่มองมาทางลูกน้องตนราวกับว่าเขากำลังบอกให้ศดิสปล่อยตัวเขาไป คนเป็นลูกน้องเพียงค่อยๆ ละสายตาออกจากนายตนเพื่อที่จะรินเลือดในมือ แต่ไม่ทันที่เลือดจะไหลลงสู่แก้ว

 

‘เคร้ง!!’ ทั้งแก้ว ทั้งขวดบรรจุเลือด และเลือดสีแดงเข้มปลิวลงไปกองเป็นเศษเล็กๆ อยู่ที่พื้นไม้ราวกับว่ามีมือทิพย์ปัดพวกมันออกจากมือของศดิส คนถูกมัดดิ้นอย่างแรงพยายามจะทำลายเชือกที่รัดร่างกายตนเอาไว้ หากเป็นเชือกธรรมดาป่านนี้ก็คงจะขาดไปนานสองนาน ยังดีที่มันไม่ใช่

 

ศดิสที่มองตามเศษแก้วและน้ำเลือดสีแดงจากมือตนตกลงที่พื้นอย่างเหนื่อยหน่าย เขาเองก็เป็นห่วงนายตน ในเมื่อเขาทั้งสองเป็นดั่งพี่น้องกันถึงแม้จะเกิดจากคนละพ่อแม่ก็เถอะ ตั้งแต่เล็กจนโตพี่ชายคนนี้ไม่เคยทิ้งตนเลยสักครั้ง สอนเขาทุกๆ อย่าง อยู่เคียงข้างกันในวันที่แย่ที่สุด หากไม่มีฐิติวัตรเขาคงไม่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้ด้วยซ้ำ เด็กข้างถนนอย่างเขาไม่เคยลืมพระคุณของเขา ถึงแม้ตนจะถูกคำสาปติดตามตัวไปด้วย แต่ศดิสก็ขอยืนยันว่าจะช่วยนายของตนให้ได้

 

“พรุ่งนี้ผมจะเอาตัวเธอมาให้ได้ครับนาย” ศดิสกล่าวเสียงเข้มก่อนก้มตัวเล็กน้อยเพื่อเป็นการลาและเดินออกจากห้องไปถึงแม้เสียงโอดโอยจะยังตามหลังมาไม่หาย เขาจะต้องเอาเลือดนั้นมาให้นายตนให้ได้และเขาจะจัดการเรื่องนี้เอง

 

 

ทันทีที่เสียงเครื่องยนต์จากรถยุโรปคันหรูสีดำดับลง ศดิสแทบจะจ้องเขม็งไปที่บ้านหลังหนึ่งอย่างไม่กะพริบตา เขาหวังเพียงจะมีใครสักคนออกมา แค่ใครก็ได้เขาก็สามารถควบคุมจิตของคนคนนั้นให้ทำตามอย่างที่เขาต้องการได้ทันที ยังไม่ทันสิ้นความคิดประตูรั้วบานใหญ่สีขาวก็ค่อยๆ เปิดออกมา ปรากฏให้เห็นร่างร่างหนึ่งหลังประตูรั้วนั้น ในมือของเธอถือถุงขยะสีดำขนาดใหญ่ และถือมันออกมาอย่างทุลักทุเลเพื่อนำมันไปใส่ในถังขยะที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากหน้าบ้านเธอนัก

 

ศดิสจ้องเขม็งนัยน์ตาเบิกกว้างไปที่ร่างของหญิงสาวคนหนึ่ง เธอใส่เพียงเสื้อยืดสีดำธรรมดาๆ และกางเกงขาสั้นที่ยาวถึงเข่าสีเดียวกับเสื้อยืด และถึงแม้ตัวเธอจะอยู่ไกลจากรถของเขาไปมากแต่ชายหนุ่มกลับได้กลิ่นเลือดอันแสนหอมหวานที่เขาตามหาโดยเธอไม่ต้องหลั่งเลือดซักหยด เพียงคิดถึงตรงนี้ศดิสเเทบหยุดความคิดไม่ทันก่อนเปิดประตูรถตนวิ่งตรงดิ่งไปหาหญิงสาวที่อยู่อีกฟากนึงของถนนทันที ดีที่เป็นเพียงซอยที่ไม่ใหญ่มาก

 

รติรสที่หันหลังเตรียมเดินเข้าบ้านหลังจากทำการทิ้งถุงดำขนาดใหญ่เสร็จรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ดูเหมือนว่าจะตรงมาหาเธอ หญิงสาวเพียงหยุดเดินก่อนหันหลังกลับไปดูว่าสิ่งนั้นคืออะไร คิ้วสีดำขมวดเล็กน้อยหลังจากนัยน์ตาของเธอประสานเข้ากับนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มของศดิสก่อนเธอจะได้ยินคำพูดของคนตรงหน้าที่เธอเองก็ไม่เข้าใจนัก

 

“เจอกันจนได้นะ รติรส”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา