เลือดล้างแค้น

-

เขียนโดย C18CR

วันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2564 เวลา 10.31 น.

  2 บท
  3 วิจารณ์
  2,187 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2564 10.43 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) บทที่ 1 ความฝันจากอดีต

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

     “หากท่านจะฆ่าคนที่นี่ทั้งหมดเพียงเพราะสามีข้า ขอท่านไว้ชีวิตลูกสาวของข้าด้วย เพราะนางไม่มีความผิด ได้โปรด ไว้ชีวิตนาง...ด้วย..ฮึ ” หญิงสาวร่างบางนั่งคุกเข่าตัวสั่นเทาอยู่บนพื้นหญ้ากล่าวน้ำเสียงอ้อนวอนต่อมัจจุราชมืดผู้กำชีวิตตนและลูกน้อยไว้ในมือ ก่อนจะสะอื้นไห้น้ำตาไหลพรากออกมาด้วยความเจ็บปวด มือทั้งสองกอดทารกน้อยในอกเอาไว้ดั่งเป็นการบอกลาว่าชีวิตนี้จะไม่ได้เจอกันอีก

อีกฝ่ายมองหญิงสาวตรงหน้าอดีตนายหญิงคนสำคัญแห่งตระกูลผู้ยิ่งใหญ่ ที่บัดนี้ไม่หลงเหลืออะไรแม้แต่หัวหน้าตระกูลที่ควรจะออกมาปกป้องภรรยาตนและลูกน้อย ไม่มีแม้แต่ข้ารับใช้ซักคนที่จะยอมเสี่ยงตัวเองเพื่อหญิงสาวคนสำคัญคนนี้ ต่างคนต่างหนีเอาชีวิตรอดในเมื่อมนุษย์นั้นเห็นแก่ตัวยิ่งกว่าอะไร

 

สิ้นความคิดนั้น มือแกร่งของมัจจุราชผู้แสนโหดร้ายไม่รีรอช้า รีบก้มลงคว้าตัวเด็กน้อยในอกของคนเป็นแม่ด้วยมือเพียงข้างเดียวอย่างรวดเร็ว ไม่ทันที่แม่ของทารกน้อยจะอ้าปากแย้ง ดาบสีเงินเล่มยาวในมือของฝ่ายตรงข้ามก็ได้เฉือนผ่านคอขาวระหง ชั่วพริบตาเดียวน้ำสีแดงกลิ่นคาวเลือดก็คลุ้งกระจายไปทั่วพื้นหญ้าสีเขียวและตามเสื้อผ้าของร่างสูงที่ยืนอยู่ตรงหน้าร่างไร้วิญญาณที่บัดนี้คงไม่มีโอกาสได้ตื่นขึ้นมาดูโลกอีกแล้ว

 

มัจจุราชหนุ่มยืนนิ่งเงียบแววตาไร้ความสำนึกผิดก่อนจะพาร่างเล็กกว่าในอ้อมแขนที่หลับสนิทตามประสาเด็กทารกออกไปจากป่าทันทีด้วยท่าทีนิ่งสงบ

 

     “เฮือก” ตาคมโพล่งเปิดกว้างตื่นจากห้วงนิทราด้วยความตกใจ พลันชันตัวลุกขึ้นนั่งบนฟูกนุ่มบนเตียงไม้ใหญ่แกะสลักสวยงามอย่างรวดเร็วราวกลับว่ามีพลังมหาศาลฉุดดึงให้เขาลุกขึ้นนั่ง ร่างบนเตียงเหนื่อยหอบราวกับว่าเขาพึ่งวิ่งหนีสัตว์ประหลาดนับสิบที่คอยไล่ล่าตามเขาอยู่ไม่ห่าง หน้าผากขาวเผยให้เห็นเม็ดเหงื่อซึมไหลลงผ่านข้างแก้มและคอลงสู่เสื้อเชิตสีราตรีที่ปลดกระดุมเอาไว้ให้หลวมพอเหมาะเผยให้เห็นแผ่นอกกว้างขาวที่บัดนี้เปียกไปด้วยเหงื่อ แววตาสีดำคลายความกังวลลงพลันทันทีเมื่อตระหนักได้ว่าเหตุการณ์ที่แล่นเข้ามาในหัวเมื่อกี้เป็นเพียงความฝันที่เขาเห็นมันอยู่เสมอ แต่ทั้งที่เป็นความฝันเขากลับรู้สึกเจ็บที่กล้ามเนื้อในอกราวกลับว่าเป็นความเจ็บเดียวกันกับหญิงสาวที่เขาลงมือดับชีวิตเธอ

 

มือแกร่งกุมขมับตนเองก่อนถอนหายใจพลันลุกพรวดออกจากเตียงกว้างทันที ร่างสูงเดินก้าวฉับไวๆก่อนเดินเข้าห้องน้ำกว้างตกแต่งด้วยไม้เก่าแก่แต่ดูสวยและแพงไม่น้อยแบบเดียวกับห้องนอนของตน ทันทีที่ปิดประตูไม้บานใหญ่ลงชายหนุ่มไม่รอช้าที่จะเดินไปหยุดที่หน้ากระจกสวยบานใหญ่ เขาปลดกระดุมเสื้อตัวแพงออกเผยให้เห็นแผ่นอกกว้างเป็นลอน ผิวสีขาวจัดของเขาทำให้หน้าอกลอนนั้นดูน่ามองมากขึ้น มือแกร่งยกขึ้นเสยเส้นผมสีดำสนิทดูมีสเน่ห์ไปมาเบาๆก่อนเลื่อนสายตาว่างเปล่ามองที่เขาอีกคนในกระจก ร่างตรงหน้าสูงเกือบถึง 180 เซนติเมตร ใบหน้าของเขาหล่อเหลาเรียวยาว ซ้ำยังมีส่วนที่คมคาย ผิวขาวจัดราวกับว่ามีเลือดหล่อเลี้ยงเพียงเล็กน้อย จมูกเป็นสันคมโด่งเข้ากับหน้า คิ้วดกสีเดียวกับเส้นผมที่พลิ้วไปมา นัยตาสีดำสนิทราวกับว่าดวงตาคู่นี้ไม่เคยสะท้อนภาพสิ่งใดออกมา มันว่างเปล่าและไร้ความรู้สึกใดๆทั้งสิ้น มีเพียงแต่ริมฝีปากหยักลึกสีแดงอ่อนธรรมชาติของเขาที่ยังคงเป็นสัญลักษณ์ว่าเลือดในร่างกายของเขายังพอมีเหลืออยู่บ้าง เพียงไม่นานที่ฐิติวัตรมองดูตัวเองอีกคนที่สะท้อนกระจกกลับมาก็ทำให้เขาอดคิดถึงภาพในอดีตที่ทำให้เขาต้องกลายมาเป็นแบบนี้อย่างเสียไม่ได้ แต่จะให้โทษชายหนุ่มคนเดียวคงจะไม่ถูกต้องนักในเมื่อคนพวกนั้นเป็นคนเริ่มต้นทุกอย่างเอง….และถึงแม้เวลาจะผ่านไปกี่ร้อยปีภาพเหล่านั้นก็เป็นเหมือนคำสาปที่ผูกติดอยู่กับตัวเขามาตั้งแต่วันนั้น

 

สามร้อยกว่าปีก่อน

     “ท่าน...พ่อ” เสียงของชายหนุ่มผู้ที่เคยหนักแน่นแต่บัดนี้กลับเหมือนไม่มีแรงแม้แต่จะพูด แขนขาไร้ความรู้สึกและแข็งกระด้างราวกับถูกโซ่ตรวนยาวพันเอาไว้ ร่างกายแทบจะล้มลงเมื่อภาพตรงหน้ามันหนักเกินกว่าที่เขาจะแบกมันเอาไว้ได้ ตัวชายหนุ่มสั่นน้อยๆอยู่ตรงหน้าศพของคนเป็นพ่อ ไม่ไกลจากนั้นร่างบางของหญิงผู้เป็นแม่ของเขาก็นอนแน่นิ่งจมกองเลือดไม่ต่างจากสามีของตนในห้องนอน หัวใจแทบสลาย ไม่มีการสะอึก ไม่มีแม้แต่น้ำตา คนเป็นลูกเจ็บจนร้องไห้ไม่ออก มีเพียงแค่เสียงหอบน้อยๆเล็ดลอดออกมาให้ได้ยินเพียงเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเดาให้เสียเวลาเพราะคนอย่างเขารู้ดีว่าฝีมือใคร

 

     “คุณชายหนึ่ง….พวกมัน..” ยังไม่ทันจบคำรายงานของลูกน้องคนสนิทที่ยืนอยู่ข้างตน ชายหนุ่มเอ่ยแทรกด้วยน้ำเสียงเย็นราวกับว่าหากคนทำผิดยืนอยู่ตรงหน้าเขาคงจัดการเองไปแล้ว

 

     “ฆ่ามันทุกคน ทุกๆคนในครอบครัว ฆ่าให้หมด อย่าให้เหลือแม้แต่คนเดียว” คนยืนฟังตอบรับคำสั่งเเสนเยือกเย็นอย่างรวดเร็วและหนักแน่นราวกับว่าเป็นคำยืนยันว่าตนจะทำตามคำสั่งของนายน้อยตนให้ดีที่สุดต่อจากนี้

 

โรงพยาบาล

     “แกแน่ใจนะว่าจะไม่บริจาคเลือด?”

     

     “อื้อ..ไม่อ่ะ….ฉันเป็นเบาหวานบริจาคเลือดไม่ได้หรอก ฮ่าฮ่า” ถึงแม้น้ำเสียงที่ตอบคำถามกลับไปจะแฝงด้วยมุกตลกขบขันไม่จริงจังนัก แต่หากฟังดูดีๆแล้ว มันกลับมีเสียงหัวเราะกลบเกลื่อนปิดท้าย เป็นเพราะ คนอย่างรติรสไม่มีทางทำความดีโดยการบริจาคเลือดเด็ดขาด เพราะพูดถึงเรื่องนี้ทีไร เธอก็นึกถึงเข็ม ยิ่งเข็มเจาะเลือด ยิ่งทั้งใหญ่และน่ากลัว ย้อนกลับไปในสมัยที่เธอยังเด็กและป่วย มีครั้งนึงที่หญิงสาวป่วยเป็นโรคหายาก ต้องนอนโรงพยาบาลหลายอาทิตย์เพราะหาสาเหตุไม่เจอซักที หมอเอยพยาบาลเอยก็มัวแต่มาเจาะเลือดเธอไปตรวจหาสาเหตุทุกๆเช้าเย็นและเป็นอย่างนั้นได้ 3-4 วัน กว่าจะเจอโรค ไม่ใช่แค่นั้นคนป่วยขี้กลัวยังจะต้องนอนอยู่โรงพยาบาลอีกเป็นเดือนเพราะจะต้องให้ยาทางสายน้ำเกลือหรือไอ่ที่สายยาวๆ แล้วมีเข็มเจาะอยู่ที่ฝ่ามือนั้นแหละ โชคดีหน่อยหลังจากนอนโรงพยาบาลเกือบเดือนครั้งนั้นอาการของสาวเจ้าเกิดกำเริบแค่ครั้งเดียวก็ไม่มีอีกเลยจนถึงปัจจุบัน นี่คงเป็นสาเหตุให้คนอย่างรติรสกลัวการฉีดยามากๆ จะฉีดวัคซีนทีก็ต้องทำใจไปหลายวัน

 

     “บริจาคเถอะนะแก เอบวกเลยนะ นานๆทีอาจารย์จะแจกคะแนน ยิ่งวิชานี้นะได้เกรดยาก เอาเหอะๆ” เสียงใสยังคงตื้อไม่เลิก มือเร็วเล็กทั้งสองข้างจับหมับที่แขนของเพื่อนตนพลางเขย่าเบาๆท่าทางเหมือนเด็กเล็กๆขอซื้อของเล่นชิ้นใหม่อย่างไม่ผิด ดูน่ารัก ในเมื่อสาวเจ้าเองก็มีหน้าตาเป็นอาวุธอย่างที่ใครเห็นก็หลงเอาได้ง่ายๆ รติรสเองหากเป็นผู้ชายก็คงจะอดใจไม่ไหวเหมือนกัน ใบหน้ารูปวงรี ดวงตากลมโตนัยตาสีน้ำตาลเข้มทะเล้นร่าเริง ฉายแววอ้อนวอน แถมยังมีขนตางอนยาวๆทำให้ดวงตาเธอมีเสน่ห์ไม่น้อย พวงแก้มสีชมพูระเรื่อสดใสเป็นธรรมชาติยากที่จะห้ามใจสัมผัส ปากบางกระจับได้รูปสีชมพูสวยด้วยลิปสติกราคาแพงบวกกับจมูกโด่งทรงสวยเข้ากับหน้าทำให้เธอดูดีไม่น้อย ผมสีน้ำตาลอ่อนที่ย้อมให้เข้ากับผิวขาวสว่างที่ปล่อยยาวถึงกลางหลังขยับไปมาเบาๆในเมื่อเธอยังไม่หยุดเขย่าแขนเพื่อนสนิทอย่างรติรสให้ยอมบริจาคเลือดเป็นเพื่อนเธอซักที รุจิรายังคงหวังให้เพื่อนกลัวเข็มอย่างเธอก้าวผ่านอุปสรรคนี้เพื่อจะได้คะแนนพิเศษจากอาจารย์ของพวกเธอที่อยู่ๆเกิดอยากเป็นคนดีขึ้นมาโดยการให้นักเรียนไปบริจาคเลือดเเลกกับคะแนนพิเศษ

 

     “หรือว่าแกได้เอในคลาสนี้ฮื้อ” ยังไม่ทันจะที่เพื่อนผู้แสนดีอย่างรุจิราจะทำการหว่านล้อมสำเร็จเธอก็เริ่มส่งคำถามแทงใจดำคนขี้กลัวแทน และดูเหมือนว่ามันจะได้ผลไม่น้อย เมื่อคนถูกถามชะงักพลัน สีหน้าจ๋อยลงทันใด เมื่อนึกได้ว่าเมื่อวานคะแนนสอบของเธอพึ่งออกและมันก็...ไม่ได้ดูดีนัก รุจิราไม่รอช้ารีบคว้าแขนเพื่อนตัวดีของเธอกรอกข้อมูลทันที แม้จะไม่เต็มใจนักแต่ก็ยอมเดินตามเเต่โดยดี แต่กว่าจะบริจาคได้ก็คงอีกนานเพราะต้องรอให้ความดันโลหิตของคนจะโดนเข็มเจาะอยู่ในเกณฑ์ปกติก่อน

 

รติรสมองตามถุงเลือดสีแดงไม่มากนักของตนที่ถูกพยาบาลเดินถือเข้าไปห้องห้องหนึ่งเธอคงเดาว่าเป็นห้องเก็บเลือด สภาพของคนกลัวเข็มที่พึ่งถูกบังคับให้บริจาคเลือดครั้งแรกในชีวิตตอนอายุ 22 ปี ไม่ต่างจากคนป่วย ใบหน้ารูปไข่ของเธอไม่หลงเหลือสีจากเลือดแต่งแต้มให้ดูเป็นธรรมชาติเลย ริมฝีบากซีดเม้มน้อยๆ ดวงตาที่เคยโตและฉายแววสนุกสนานอยู่บ่อยๆบัดนี้กลับฉายแววอ่อนเพลียชัดเจน จมูกโด่งรั้นนิดๆหายใจเข้าออกช้าๆอย่างคนอ่อนแรง

 

     “รส แกไหวปะเนี่ย ฉันขอโทษไม่คิดว่าแกจะ…” รุจิราที่ยืนให้กำลังใจเพื่อนสนิทตนเองพูดขึ้นมาหลังจากที่เธอถอดเข็มเจาะเลือดออกตั้งนานแล้วพลางหยุดพูดแล้วมองหน้าซีดๆของเพื่อนสาวตัวเองอย่างรู้สึกสงสารกึ่งขำเพราะนานๆทีจะได้เห็นคนอย่างรติรสนอนหมดสภาพแบบนี้ ทั้งๆที่คนอย่างเธอออกจะแข็งแรงอึดทน แต่ก็อย่างว่าทุกคนก็มีจุดอ่อนของตนเอง

 

     “จะหมดสภาพแบบนี้” รติรสรู้สึกว่าท้ายประโยคของเพื่อนตนมีน้ำเสียงขบขันแฝงอยู่ สภาพเธอคงดูไม่ได้อย่างที่เพื่อนเธอว่าจริงๆนั้นแหละ แต่รติรสเองก็ไม่ได้คิดว่าตนจะดูแย่เกินไป เพราะหน้าตอนเธอปกติก็ไม่ได้ดูดีนัก ก็บอกแล้วว่าเธอไม่ถูกกับการเจาะเลือด ครั้งหน้าถ้าเธอจะต้องบริจาคเลือดเพื่อคะแนนพิเศษก็คงต้องพิจารณาใหม่เสียก่อน

 

กล่องใส่ถุงบรรจุเลือดสีแดงหลายถุงถูกย้ายออกจากห้องเก็บเลือดไปไว้ในรถของใครคนหนึ่งเพื่อรอส่งถึงมือผู้ซื้อ เพียงเพราะนายหมอใหญ่เป็นคนติดต่อซื้อขายเองกับมือ คงจะดีไม่น้อยหากเลือดบริจาคพวกนี้ได้นำไปใช้ต่อชีวิตคนอื่นอีกมากมายและครั้งนี้เองก็เช่นกัน

 

     “เลือดเยอะแยะขนาดนี้..ไม่ทราบว่าคุณศดิสจะเอาไปทำอะไรครับ” นายหมอใหญ่ถามเสียงไม่เต็มนักพลางเหลือบมองคู่สนทนาตน ไม่รู้ว่าเพราะจำนวนของเลือดที่คนอ่อนวัยกว่าตรงหน้าติดต่อเข้ามาซื้อ หรือเพราะกริยาท่าทางที่ดูน่าเกรงกลัวของคนซื้อกันแน่ ศดิสชายหนุ่มวัย 30 ต้นๆ ผิวขาวจัด ผมสีน้ำตาลเข้มจนแทบจะเป็นสีดำ คิ้วหนาเป็นสีเดียวกับเส้นผม หน้าตาดูเป็นคนพูดน้อย และคงไม่ชอบให้คนอื่นมายุ่มย่ามเรื่องตน เพราะดูจากท่าทางและสายตาที่ส่งให้อีกฝ่ายแล้ว นายหมอเองก็แปลกใจไม่น้อยเมื่อไม่กี่วันก่อนได้เห็นจดหมายทางอีเมลล์ส่งมาให้ตนไปติดต่อซื้อเลือดจำนวนมากโดยไม่บอกวัตถุประสงค์ว่าจะเอาไปทำอะไร แต่ความสงสัยก็คลายพลันหลังจากเห็นจำนวนเงินที่ตนจะได้ และจะให้เงินก้อนโตหลังจากส่งของถึงมือผู้ซื้อแล้ว ชายหน้านิ่งเพียงปรายตามองคนถามเล็กน้อยอย่างไม่ใส่ใจ และไม่คิดจะตอบคำถาม

 

     “ขอบคุณมากครับ ผมหวังว่าครั้งหน้าจะได้ทำงานร่วมกับคุณอีก” ศดิสกล่าวขอบคุณเสียงเรียบก่อนยื่นเช็คเงินก้อนโตให้อีกฝ่ายก่อนจะเป็นคนยกกล่องใส่สินค้าที่ตนพึ่งจ่ายเงินซื้อหมาดๆออกจากรถผู้ขายและนำไปไว้ในรถยุโรปคันหรูสีดำของตนแทน ชายผู้ซื้อเปิดประตูเข้าไปนั่งประจำที่คนขับโดยไม่แม้แต่กล่าวคำบอกบอกลาแก่คนรับเงินของตน นายหมอใหญ่เพียงมองตามรถที่แล่นออกอย่างแปลกใจแต่ ไม่นานก็ละความสนใจจากรถหรูและหันไปสนใจกระดาษในมือตนแทน

 

รถคันหรูพึ่งบรรทุกสินค้าชนิดเหลวสีแดงบรรจุไว้ในถุงจากโรงจอดรถของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งกำลังแล่นเข้ามาในคฤหาสน์สวยทรงเก่าไม่ไกลจากตัวเมืองมากนัก ตัวคฤหาสน์ตกแต่งด้วยไม้เก่าแก่ราคาสูง แต่หากบรรยากาศของบ้านกลับอึมครึ้ม ศดิสค่อยๆขับรถผ่านประตูรั้วเหล็กสูงสีดำที่มีรวดลายเหมือนเถาวัลย์ตกแต่งไว้ ด้านข้างของประตูรั้วทั้งสองข้างถูกพืชเถาวัลย์ของแท้เลื้อยกินที่จนเกือบถึงตรงกลางของประตูและเถาวัลย์ยังเลื้อยปิดบังกำแพงสูงล้อมรอบคฤหาสน์ใหญ่โตจนแทบมองไม่เห็นตัวกำแพง ภายในตัวคฤหาสน์ตกแต่งด้วยไม้เป็นส่วนใหญ่ แต่เฟอร์นิเจอร์ต่างๆกลับเป็นสีแดงสดและสีเข้มตกแต่งได้สวยงามอย่างลงตัว หน้าต่างบานใหญ่หลายบานทั้งชั้นล่างและชั้นบนเปิดเพื่อให้อากาศถ่ายเทเผยให้เห็นวิวของป่าและต้นไม้สวยงามรอบๆตัวบ้าน

 

เลือดสีแดงสดถูกบรรจงเทออกจากภาชนะบรรจุของมันลงไปในขวดแก้วสวยงามหลายขวดที่วางไว้บนเคาน์เตอร์บาร์ไม้อย่างประณีตและใจเย็นราวกับว่าไม่อยากให้เสียสิ่งล้ำค่านี้ไปสักหนดเดียว เลือดเปรียบดั่งสิ่งล้ำค่าพวกมันถูกเก็บในขวดเพื่อเตรียมไว้ต่อชีวิตคนกลุ่มหนึ่ง และมันก็ควรจะเป็นแบบนั้น ศดิสอดที่จะยกขวดแก้วที่เคยเป็นสีใสที่บัดนี้บรรจุเลือดข้นสีแดงในมือตนขึ้นมาใกล้ๆกับจมูกไม่ได้ ชายหนุ่มหลับตาพร้อมกับสูดกลิ่นหอมอ่อนๆของของเหลวจากขวดในมืออย่างใจเย็น แต่ยังดีที่เขายังไม่หิวมากนัก หากเมื่อเช้านี้เขาไม่ได้ดื่มของเหลวชนิดเดียวกับสินค้าที่เขาได้มา เขาคงจะอดทนไม่ไหว เลือดบางถุงอาจจะกลับไม่ถึงคฤหาสน์หลังนี้ก็เป็นแน่

 

ใช้เวลาไม่น้อยกับการบรรจงกรอกเลือดเกือบทั้งหมดใส่ขวดแก้ว แต่ทันทีที่ยกเลือดถุงสุดท้ายขึ้นมา ศดิสก็ต้องเลิกคิ้วขึ้น แปลกใจเล็กน้อยกับสีของเลือดที่อ่อนกว่าเพื่อน ถึงแม้มันจะแดงพอสำหรับให้เลือดคนไข้คนอื่น แต่สำหรับคนไข้คนนี้คงเข้มไม่พอ ทุกครั้งที่ตนสั่งซื้อเลือด ไม่มีครั้งไหนที่เขาจะไม่กำชับผู้ขายให้คัดแต่เลือดสีเข้มมาเท่านั้น เขาส่ายหัวไปมาช้าๆพลางคิดในใจครั้งหน้าคงจะต้องหาผู้ร่วมธุรกิจด้วยคนใหม่แล้ว เลือดที่ไม่เป็นที่ต้องการ เลือดที่คนคนนึงคงไม่อยากได้ ก็ไม่สมควรจะถูกเก็บไว้ในขวดแก้วเพื่อส่งต่อให้กับคนคนนั้น

 

     “มีอะไร” ยังไม่ทันที่ถุงเลือดไร้ค่าจะถูกโยนทิ้งลงถังขยะ เสียงของคนที่ว่าคงไม่ต้องการเลือดนั้นกลับดังขึ้น เมื่อเขาเดินผ่านมาเห็นสีหน้าไม่สบอารมณ์ของลูกน้องตนก่อนตั้งนานแล้ว

 

     “เลือดสีไม่เข้มครับนาย เลือดแบบนี้ไม่ให้พลังงาน ไม่มีกลิ่น ใช้ไม่ได้ครับ” ศดิสตอบพร้อมยื่นถุงเลือดในมือตนให้คนเป็นนายดู ต้องเป็นเลือดสีแดงเข้มเท่านั้นที่พวกเขาจะยอมรับ หากเข้มไม่พอคนอย่างฐิติวัตรก็คงไม่รับมัน คนเป็นนายขมวดคิ้วพลันมองถุงเลือดในมือของลูกน้องที่อายุน้อยกว่าตนเพียงไม่กี่ปี

 

     “งั้นเหรอ เลือดคุณภาพต่ำสินะ” คนตำแหน่งสูงเอ่ยก่อนเดินเข้ามาใกล้เคาท์เตอร์ไม้พลางยื่นมือไปหยิบถุงเลือดสีอ่อนจากมือลูกน้องตนขึ้นมาดู ทั้งๆที่เป็นเลือดสีจาง แต่กลับมีอะไรบางอย่างเรียกร้องให้เขาเปิดถุงเลือดนั้น อาจเป็นเพราะศดิสลูกน้องมือดีที่อยู่ด้วยกันมานานทำหน้าที่คัดเฉพาะเลือดที่ดีสีแดงเข้มข้นให้เขาอยู่ตลอด ทำให้คนอย่างฐิติวัตรไม่เคยเห็นเลือดที่พวกเขาคิดว่าคุณภาพต่ำเลยสักครั้ง หากเกิดสนใจขึ้นมาก็ไม่แปลก หรือเพราะอะไรบางอย่างที่มากกว่านั้นกันแน่

 

     “ครับนายน้อย เลือดแบบนี้ผมเคยชิม ไม่มีรสชาติ ไม่มีกลิ่….” ยังไม่ทันที่ศดิสจะพูดจบ เขาชะงักไปเมื่อสิ่งที่ตนเองกำลังจะพูดออกมากลับเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกันสิ้นเชิง ถุงเลือดสีจางในมือร่างตรงหน้าถูกแกะออกโดยเจ้าตัวเอง แถมยังส่งกลิ่นหอมคละคลุ้งไปทั่วบริเวณนั้น ทั้งๆที่เป็นเลือดสีจาง เลือดที่ไม่มีคุณภาพ แต่กลับส่งกลิ่นหอมโชยมากกว่าเลือดสีแดงเข้มหลายถุงที่นายศดิสเจอมาตลอดหลายร้อยปี

 

     “ว..เว้นแต่เลือดถุงนี้...เป็นไปไม่ได้” ชายวัยอ่อนกว่าทั้งเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งและแปลกใจกับสิ่งที่ตนเชื่อมาตลอด จะไม่ให้เชื่อได้อย่างไรในเมื่อตนทดลองดื่มเลือดสีจางแบบเดียวกันกับถุงนี้มาแล้วนับไม่รู้กี่ครั้ง ทุกครั้งผลลัพธ์ก็ยังเป็นเช่นเดิมแต่ครั้งนี้…

 

ฐิติวัตรมองหน้าเหว๋อๆของลูกน้องคนสนิทอย่างไม่ใส่ใจพรางขึ้นไปนั่งบนเกาอี้บาร์ตัวสูงก่อนหยิบแก้วทรงสวยแล้วรินเลือดใส่ลงไป มือแกร่งยกแก้วบรรจุของเหลวสีแดงขึ้นมาไว้ใต้จมูกพลางหลับตาสูดดมกลิ่นหอมเย้ายวนของเลือดสีอ่อนที่มันไม่ควรจะมี

 

     “แปลก คุณภาพไม่ดีแต่กลับมีกลิ่นหอมกว่าเลือดสีเข้ม” ชายหนุ่มกล่าวทั้งที่แก้วใส่เลือดยังคงคาอยู่ที่ตำแหน่งใต้จมูกเหมือนเดิม

 

     “ครับนาย หอม หอมมาก ผมไม่ทราบจริงๆว่าเลือดสีจางแบบนี้จะหอมได้ขนาดนี้” ศดิสกล่าวขณะตนเองหายใจเขาลึกๆพยายามดมกลิ่นเลือดในมือนายตน ฐิติวัตรบรรจงยกแก้วเลือดจ่อปากของตน ค่อยๆกลืนของเหลวสีแดงลงไปช้าๆราวกับว่าเขาพยายามจะเก็บสัมผัสของรสชาตินี้ไว้ คนจ้องมองตาไม่กระพริบรีบเบือนหน้าไปทางอื่นปล่อยให้นายตนยกเลือดกลิ่นหอมนี้เข้าปาก เพราะรู้ดีหากตนมัวแต่จ้องอาจเป็นการเสียมารยาท แก้วเปล่าที่ยังคงหลงเหลือน้ำสีแดงกลิ่นหอมไว้ที่ก้นแก้วค่อยๆถูกวางไว้บนเคาน์เตอร์บาร์ เพียงไม่ถึงเสี้ยวนาทีที่น้ำเหลวไร้คุณภาพสีแดงไหลลงสู่ร่างกายของนายหนุ่ม ร่างสูงบนเก้าอี้บาร์ขมวดคิ้วเข้มของตนพร้อมหยุดการกระทำทุกอย่าง เขาเริ่มหอบน้อยๆ ฐิติวัตรรับรู้ถึงการเปลี่ยนเปลี่ยนภายในร่างกายตน เขานิ่งงันราวกับว่ากำลังฟังเสียงความผิดปกติของร่างกาย ศดิสสังเกตุเห็นท่าทีที่นิ่งไปของนายเหนือหัว เขาไม่รอช้าที่จะถามไถ่ถึงอาการคนตรงหน้า

 

     “นาย เป็นอะไรครับ” พร้อมกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปหาคนตรงหน้า จะไม่ตกใจก็คงไม่ใช่ในเมื่อนี่เป็นครั้งแรกที่นายของตนมีปฏิกิริยาที่แปลกออกไป ฐิติวัตรยกมือขึ้นกุมบริเวรหน้าอกข้างซ้ายของตน เขางอตัวน้อยๆทั้งที่ยังนั่งอยู่บนเก้าอี้บาร์ตัวสวย ร่างกายเกรงจนสั่น ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนอวัยวะในร่างกายของตนจะระเบิดอย่างไรอย่างนั้น แต่เพียงไม่กี่วินาทีอาการเหล่านั้นก็ค่อยๆจางหายไป ฐิติวัตรค่อยๆปรับลมหายใจของตนให้เป็นปกติ จะว่าเลวร้ายก็ไม่ใช่ เพราะทันทีที่อาการเหล่านั้นหายไปเขาก็กลับรู้สึกถึงพละกำลังที่เพิ่มขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ... มันดีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ราวกับว่าเลือดนั้นคือยาเสริมกำลังอย่างดี ถึงแม้นายของตนมีท่าทีที่ดีขึ้นแต่คนอย่างศดิสก็อดห่วงไม่ได้ กะจะเข้าไปพยุงนายตนอีกรอบ ฐิติวัตรยกมือขึ้นห้ามลูกน้องตนก่อนทันที

 

     “ไม่ต้อง” คนถูกห้ามยังคงวิตกกังวลไม่เลิก ทำได้เพียงแต่ยืนนิ่งค้างอยุู่ท่าเดิมของตน เขายิ่งแปลกใจมากกว่าเดิมเมื่ออยู่ๆเจ้านายตนก็เปลี่ยนท่าทีไปจากเดิม จากมือที่เคยกุมหน้าอกกลับวางลงที่เดิม ฐิติวัตรเพียงทำหน้าเหมือนครุนคิดอะไรบางอย่างก่อนสั่งให้ลูกน้องคนสนิทของตนสืบหาเจ้าของเลือดประหลาดนั้นก่อนเดินจากไปราวกลับว่าเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้น ปล่อยให้คนฟังทำได้เพียงตอบรับคำสั่งอย่างงงงัน ไม่นานเขาก็รีบจัดการเก็บเลือดนั้นไว้แทนที่จะทิ้งเพราะเจ้านายตนดูให้ความสนใจเลือดนั้นไม่น้อยถึงแม้จะแสดงออกไม่มากแต่ถึงขั้นให้สืบหาเจ้าของคงจะไม่ธรรมดา การสืบหาเจ้าของเลือดทำได้ไม่ยากเพียงแค่กลับไปให้นายหมอใหญ่กลับไปที่โรงพยาบาลและสืบหาให้เท่านั้น

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา