วัน ๆ มันก็น่าเบื่อแบบนี้แหละ
-
เขียนโดย bilzeelbab
วันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 เวลา 16.54 น.
1 ตอน
0 วิจารณ์
1,440 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 17.05 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) วันเปิดเทอม
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“น่าเบื่อ~~”
เสียงในหัวของผมที่กำลังพร่ำบ่นและรำคาญกับผู้อำนวยการที่กำลังยืนพล่ามเรื่องคุณงามความดีอยู่บนโพเดียมอันประดับประดาไปด้วยหินอ่อน ท่ามกลางแสงแดดบริเวณสนามอันร้อนระอุ อันที่จริงผมก็อยากจะรู้นะว่าเขาจะใช้เวลาพล่ามแสดงความยินดี ต้อนรับวันเปิดเทอมไปอีกนานเท่าไหร่กันเชียว แต่ด้วยความที่ผมเคยเรียนอยู่ที่ระดับชั้นมัธยมต้นที่เดิมก็เลยรู้ถึงนิสัยของผู้อำนวยการคนเดิม ๆ ว่า คงจะไม่จบภายในเวลา 20 นาทีนี้แน่ ๆ และใช่ด้วยแผนการที่ไม่มีการวางแผนใด ๆ คาบ 1 ก็คงจะต้องหายไปอย่างเลือกไม่ได้ ด้วยพิธีต้อนรับนักเรียนใหม่ มันช่างเป็นเรื่องไม่กี่เรื่องที่น่ายินดีเสียจริง
อ้อใช่ ผมลืมแนะนำตัว ผมชื่อ คาคิน กำลังศึกษาในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ในโรงเรียนที่มีอายุเก่าแก่เกือบ 100 กว่าปี ซึ่งแน่นอนว่าคนที่สร้างโรงเรียนนี้คงจะใช้ชีวิตปลูกผักอย่างมีความสุขที่โลกใบใหม่เรียบร้อยแล้ว แต่ช่างเถอะนั้นมันเรื่องของเขา กลับมาที่สถานการณ์ปัจจุบัน หลังจากที่ผมพยายามตั้งใจในการอดทนฟัง ผู้อำนวยการยืนพล่ามบ่น บลา ๆ ๆ พร้อมกับเข้าร่วมพิธีต้อนรับนักเรียนใหม่เสร็จสิ้น (แต่ผมเป็นนักเรียนเก่านะ) ผมก็ได้เดินขึ้นมาบนห้องเรียนใหม่ของผม พร้อมกับความรู้สึกแฉะ ๆ และเหนอะหนะที่หลัง ใช่นักเรียนโรงเรียนเราต้องเข้าแถวเคารพธงชาติกลางแดด พร้อมกับข้ออ้างของครูฝ่ายปกครองว่าเป็นการฝึกความอดทน ให้ตายสิ แค่การให้ผมมานั่งฟังคนพูดอยู่หน้าโพเดียมผมก็จัดว่ามันเป็นการฝึกการอดทนอย่างหนึ่งแล้ว บางครั้งการเสียสละเงินบริจาคหรืองบประมาณสร้างโดมบังแดดให้นักเรียน ซักล้านสองล้านมันเป็นเรื่องที่ลำบากยากเข็ญหรืออย่างไร แต่ด้วยความที่ผมมักจะปล่อยวางกับปัญหาที่ตัวผมเองแก้ไขมันไม่ได้ ผมก็มักจะตอบอย่างขอไปทีว่า "แล้วแต่"
ความจริงผมก็จำไม่ได้หรอกนะว่า ผมจะได้เรียนห้องประจำห้องไหน ผมแค่เดินตามเพื่อนคนข้างหน้าขึ้นมาเท่านั้น ระหว่างที่กำลังเดิน ผมก็เผลอนึกอะไรบางอย่างได้ "ด้วยความที่โรงเรียนของเรานั้นมีพื้นที่จำกัด ทำให้นักเรียนในระดับชั้นมัธยมปลายต้องพากันเดินเรียนไปตามห้องต่าง ๆ" คำพูดของครูหัวหน้าระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ยังฝังหัวผมอย่างแม่นยำ แต่ด้วยความที่ห้องเรียนของผมเป็นพวกเด็กพิเศษที่มีไม่กี่ห้องในโรงเรียน ทำให้ห้องของพวกผมได้รับอภิสิทธิ์พิเศษในการมีห้องประจำ ไม่ต้องเดินเรียนหรือขยับตูดย้ายไปไหน นอกจากนี้ยังมีเครื่องปรับอากาศที่ทำให้บรรยากาศในการเรียนมีความผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น แต่นั้นก็ต้องแลกกับค่าใช้จ่ายที่ต้องสูงกว่าพวกคนทั่วไปอะนะ
ระหว่างที่ผมกำลังนึกคิดเรื่อยเปื่อยอยู่นั้น ผมก็ได้เดินทางมาถึงห้องประจำชั้นของผม มันอยู่แค่ชั้น 2 แถมยังอยู่ในซอกหลืบของอาคารเรียน ด้วยความที่เป็นทางเดินปิดตาย ทำให้นักเรียนธรรมดาถ้าไม่มีเหตุจำเป็นหรือต้องเข้าชมรม ก็คงจะไม่มีใครเดินผ่านมายังบริเวณนี้ ซึ่งสำหรับนักเรียนสายอธรรมทั้งหลายคงจะมองว่าห้องเรียนนี้เป็นห้องที่เหมาะสำหรับการมั่วสุมในการทำสิ่งต่าง ๆ ในระดับเกรด S เลยล่ะ นอกจากนั้น ห้องนี้ยังมีทำเลอยู่ใกล้โรงอาหารอีกด้วย แถมยังปราศจากห้องพักครู ทำให้ผมรู้สึกมีความสุขเล็กน้อยที่จะสามารถถือน้ำปั่นที่ผมโปรดปรานขึ้นมาดื่มบนห้องเรียนได้โดยที่ไม่มีครูคนใดมาคอยห้ามผม แต่ก็ช่างเถอะ ผมไม่สนใจหรอกนะว่าใครจะทำอะไร ยังไงถ้าผมไม่ได้โดนทำโทษด้วย ผมก็ไม่เห็นจำเป็นที่จะต้องโวยวายหรือก่อการทะเลาะวิวาทกับใครหนินะ
หลังจากที่ผมได้ทำการชื่นชมและตำหนิห้องที่ผมจะต้องใช้ชีวิตตลอดจนเรียนหนังสือด้วยเป็นเวลา 1 ปีการศึกษาแล้ว ก็ถึงเวลาที่นักเรียนทุกคนในห้องจะทำการเลือกที่นั่งเรียน วิธีการเลือกที่นั่งของพวกเรานั้นก็สุดแสนจะง่ายดาย เพียงแค่อยากจะนั่งกับใครก็ไปนั่ง ด้วยความที่จำนวนนักเรียนห้องพิเศษห้องนี้ลงท้ายด้วยจำนวนคู่ ทำให้ทุกคนนั้นสามารถจับคู่ได้ลงตัวหมด แม้จะมีคนที่ไม่สมหวังบ้างก็เถอะ ด้วยความที่ผมเป็นคนที่ไม่ชอบสถานการณ์ที่มีความวุ่นวาย ทำให้ผมนั้นเกิดอาการมึนงงกับความชุลมุนที่เกิดขึ้น ท้ายสุดผมก็ได้มาลงเอยนั่งกับเพื่อนคนหนึ่งที่เคยอยู่ห้องเดียวกันในระดับชั้นมัธยมต้น เขามีชื่อว่า ฮาจิ เป็นคนที่มีขนาดความสูงไล่เลี่ยพอ ๆ กับผม แต่เขาผอมกว่าผมนิดหน่อย เขาเป็นคนที่จัดว่าเป็นพวกเรียนเก่งและหัวดีในระดับนึง กล้าพูด กล้าแสดงออก แต่ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนจะมีข้อดีและข้อเสีย สำหรับผมเขาเป็นคนที่น่ารำคาญ เขามักจะเดินไปมา ทำตัวไม่อยู่สุข ครูส่วนใหญ่มักจะเรียกเขาว่าเด็กไฮเปอร์ แต่ผมก็สามารถเป็นเพื่อนกับเขาได้นะ แม้บางครั้งผมจะรำคาญที่เขาชอบทำอะไรบ้า ๆ บอ เช่น ตดกลางห้อง หรือถอดถุงเท้าตอนเรียน แต่จะทำอะไรได้ล่ะ ทุกคนล้วนมีความแตกต่าง ซึ่งผมก็เลือกตัดปัญหาโดยการที่จะช่างมันอีกครั้ง
ความจริงที่ผมได้มาลงเอยเลือกนั่งกับฮาจินั้น เพราะเหตุผลบางประการหลายอย่าง เหตุผลแรกคือผมไม่รู้จะนั่งกับใคร เหตุผลต่อมาคือผมต้องพยายามเลือกที่นั่งที่อยู่แถวหน้าสุด ด้วยความที่ผมสายตาสั้นในระดับที่ผมไม่สามารถจะแยกแยะตัวหนังสือในระดับสายตาคนทั่วไปได้ ถ้าหากไม่นอนอ่าน และถึงแม้ผมจะใส่แว่นแล้วก็ตาม แต่สายตาผมก็มีแนวโน้มที่จะสั้นลงเรื่อย ๆ ผมจึงตัดสินใจชำเลืองหาที่นั่งตามเงื่อนไขที่ผมได้ตั้งไว้ แต่น่าเสียดายที่ที่นั่งที่ผมวาดฝันไว้เหลือเพียงที่เดียว คือที่นั่งคู่ฮาจิ ทำให้ท้ายสุดผมก็ได้ลงเอยนั่งกับฮาจิ ผมเดินเข้ามายังที่นั่งนั้น พร้อมกล่าวคำทักทายกับฮาจิเล็ก น้อยตามมารยาทคนทั่วไป ผมค่อย ๆ เลื่อนเก้าอี้แล้วก็นั่งพิงหลังอย่างสบายใจ "ในที่สุดผมก็ได้ที่พักผ่อนของผมซักที" ผมพูดกับตัวเองพร้อมส่งสายตามองเหม่อไปยังกระดานไวท์บอร์ดที่สีของมันไม่ขาวเหมือนชื่อ แถมยังสกปรกอีกต่างหาก นี่ถ้าผมมีความขยันและมีค่าความมีน้ำใจมากกว่านี้ ผมคงจะหาน้ำยาทาเล็บมาทำความสะอาดกระดานแล้ว เสียดายที่ผมไม่ใช่คนแบบนั้น
ตามความจริงยังมีเหตุผลอีกข้อนึง ที่ผมไม่ได้เอามาตั้งเป็นเงื่อนไข กล่าวอีกนัยคือผมไม่สามารถเลือกมันได้เลย ถ้าเหตุการณ์นั้นมันเกิดขึ้น เหตุผลนั้นคือ ผมไม่ต้องการที่จะนั่งกับไอ้ครึ้ม เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน เหตุผลที่ผมไม่อยากจะนั่งกับครึ้มอีกครั้งนั้นต้องย้อนกลับไปยังตอนมอต้น ผมกับคิระนั้นรู้จักกันโดยที่เราสองคนไม่ได้ตั้งใจที่จะรู้จัก มันเป็นความบังเอิญที่อาจถูกกำหนดไว้โดยใครคนหนึ่งก็เป็นได้ เหตุการณ์ในตอนนั้นคือ คนรู้จักของผม (ใช่สำหรับผมในตอนนี้เขาได้กลายเป็นคนแปลกหน้าไปเสียแล้ว) เขาย้ายไปนั่งกับเพื่อนอีกกลุ่มที่เล่นการ์ดไพ่ยูกะ ทำให้ที่นั่งคู่ของผมว่างอยู่ 1 ที่ และใช่ด้วยเหตุอันใดไม่ทราบ ผมต้องนั่งเหงาคนเดียวอยู่เป็นเวลา 1 วัน จนวันต่อมา ในระหว่างพักกลางวันก็มีเด็กผู้ชายที่มีลักษณะมองภายนอกเหมือนคนเจ้าสำอาง เขาได้เดินเข้ามาหาและทักทายผม
"นาย ๆ ข้าง ๆ นายมีคนนั่งไหมอะ" เด็กผู้ชายคนนั้นถาม ผมนิ่งไปซักครู่ แล้วตอบออกไปอย่างเบาๆ ว่า "ไม่อะ ทำไมหรอ" "เราขอนั่งด้วยได้ไหมอะ เราไม่ชอบนั่งข้างหลังสุด อ้อเราชื่อว่าครึ้มนะ แล้วนายล่ะ" "เอ่อ เราชื่อ คาคิน น่ะ" ผมบอกชื่อออกไป "นายจะนั่งกับเราก็ได้นะ" "เคๆ ยินดีที่ได้รู้จักนะ" ครึ้มตอบออกมาพร้อมเดินไปหยิบสัมภาระตรงที่นั่งเก่าของเขา
ใช่ในหัวตอนนั้น ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ดีนะที่จะได้ทำความรู้จักกับเพื่อนในห้องคนใหม่ ด้วยความที่ผมไม่มีเพื่อนร่วมโรงเรียนชั้นประถมมาเรียนห้องเดียวกับผมเลยซักคน ผมจึงเหมือนได้รีเซ็ทตัวเองและเริ่มต้นสร้างความสัมพันธ์กับคนอื่น ๆ ใหม่หมด แต่น่าเสียดายที่เพื่อนในห้องของผมตอนนั้นนิยมเล่นการ์ดไพ่ยูกะ และผมเป็นพวกไม่ชอบเล่นการ์ด ทำให้ผมเข้ากับพวกเขาไม่ค่อยได้ ผมจึงเริ่มใช้ชีวิตสันโดษมากยิ่งขึ้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าผมไม่คุยกับใครอะนะ
สำหรับในกรณีไอ้ครึ้มนั้น ในตอนแรก เขาก็ดูเป็นคนที่นิสัยดี มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี แต่เพราะในตอนนั้นผมยังเด็กและมักจะตัดสินคนเพียงแค่เปลือกนอก ทำให้ไม่รู้ว่า เบื้องลึกของเขาจะเป็นคนที่นิสัยแย่ถึงเพียงไหน หลังจากที่เราสนิทกัน เขามักจะทำร้ายร่างกายผมผ่านการหยิก ตี หรือแม้กระทั่งดึงหู เวลาที่ผมพูดอะไรแทงใจเขาหรือทำอะไรไม่ถูกใจ และใช่ด้วยความที่ผมยังเป็นคน ผมก็มักจะด่ากลับและมองแรงไปทุกครั้ง แต่เหตุการณ์ต่าง ๆ มันก็ดูเหมือนที่จะเลยเถิดมากขึ้น เพราะบางครั้งผมยังไม่ทันทำอะไร เขาก็มาจับหูและก็ดึงหูผมเล่นเฉย ๆ ผมคิดว่าผมคงเป็นเครื่องระบายอารมณ์ของเขาไปเรียบร้อยแล้ว ในช่วงแรก ๆ ผมก็แสดงความไม่พอใจบ้าง แต่พฤติกรรมที่ไอ้ครึ้มทำนั้นก็ไม่เคยที่จะหมดไปเสียที ผมก็เลยตัดสินใจปล่อยวางและช่างมัน จนกลายเป็นความ ชินชากับพฤติกรรมเหล่านั้น และปล่อยละเลยมันจนผมและครึ้มจบชั้นมัธยมต้น เพื่อนของผมในตอนนั้นมักจะถามผมว่า ผมทนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างไร คำตอบที่ผมตอบพวกเขาไปคือ ผมไม่รู้ ผมไม่รู้แม้กระทั่งว่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับครึ้มเป็นอย่างไร เพราะบางครั้งเราก็ดูเหมือนที่สนิทกัน แต่บางครั้งเราก็เหมือนที่จะเกลียดกัน แต่ในใจลึก ๆ ของผมแม้ตอนสนิทกัน ผมก็ไม่ได้ชอบครึ้มมากนัก อาจกล่าวได้ว่าผมกับครึ้มสนิทกันเพราะสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างเรา 2 คนมากกว่า
ด้วยเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงมัธยมต้นทำให้ผมตระหนักได้ว่า ผมไม่ควรที่จะนั่งกับครึ้มอีกครั้ง เพราะหลังจากที่มีการยุบห้องพิเศษลงเหลือ 1 ห้องในชั้นมัธยมปลาย ทำให้อาจจะมีคนที่โชคร้ายกว่าผมไปนั่งกับครึ้มแทนก็ได้ และผมควรจะใช้โอกาสนั้นในการเริ่มต้นใหม่กับชีวิตมัธยมปลายของผม
.
.
.
เสียงในหัวของผมที่กำลังพร่ำบ่นและรำคาญกับผู้อำนวยการที่กำลังยืนพล่ามเรื่องคุณงามความดีอยู่บนโพเดียมอันประดับประดาไปด้วยหินอ่อน ท่ามกลางแสงแดดบริเวณสนามอันร้อนระอุ อันที่จริงผมก็อยากจะรู้นะว่าเขาจะใช้เวลาพล่ามแสดงความยินดี ต้อนรับวันเปิดเทอมไปอีกนานเท่าไหร่กันเชียว แต่ด้วยความที่ผมเคยเรียนอยู่ที่ระดับชั้นมัธยมต้นที่เดิมก็เลยรู้ถึงนิสัยของผู้อำนวยการคนเดิม ๆ ว่า คงจะไม่จบภายในเวลา 20 นาทีนี้แน่ ๆ และใช่ด้วยแผนการที่ไม่มีการวางแผนใด ๆ คาบ 1 ก็คงจะต้องหายไปอย่างเลือกไม่ได้ ด้วยพิธีต้อนรับนักเรียนใหม่ มันช่างเป็นเรื่องไม่กี่เรื่องที่น่ายินดีเสียจริง
อ้อใช่ ผมลืมแนะนำตัว ผมชื่อ คาคิน กำลังศึกษาในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ในโรงเรียนที่มีอายุเก่าแก่เกือบ 100 กว่าปี ซึ่งแน่นอนว่าคนที่สร้างโรงเรียนนี้คงจะใช้ชีวิตปลูกผักอย่างมีความสุขที่โลกใบใหม่เรียบร้อยแล้ว แต่ช่างเถอะนั้นมันเรื่องของเขา กลับมาที่สถานการณ์ปัจจุบัน หลังจากที่ผมพยายามตั้งใจในการอดทนฟัง ผู้อำนวยการยืนพล่ามบ่น บลา ๆ ๆ พร้อมกับเข้าร่วมพิธีต้อนรับนักเรียนใหม่เสร็จสิ้น (แต่ผมเป็นนักเรียนเก่านะ) ผมก็ได้เดินขึ้นมาบนห้องเรียนใหม่ของผม พร้อมกับความรู้สึกแฉะ ๆ และเหนอะหนะที่หลัง ใช่นักเรียนโรงเรียนเราต้องเข้าแถวเคารพธงชาติกลางแดด พร้อมกับข้ออ้างของครูฝ่ายปกครองว่าเป็นการฝึกความอดทน ให้ตายสิ แค่การให้ผมมานั่งฟังคนพูดอยู่หน้าโพเดียมผมก็จัดว่ามันเป็นการฝึกการอดทนอย่างหนึ่งแล้ว บางครั้งการเสียสละเงินบริจาคหรืองบประมาณสร้างโดมบังแดดให้นักเรียน ซักล้านสองล้านมันเป็นเรื่องที่ลำบากยากเข็ญหรืออย่างไร แต่ด้วยความที่ผมมักจะปล่อยวางกับปัญหาที่ตัวผมเองแก้ไขมันไม่ได้ ผมก็มักจะตอบอย่างขอไปทีว่า "แล้วแต่"
ความจริงผมก็จำไม่ได้หรอกนะว่า ผมจะได้เรียนห้องประจำห้องไหน ผมแค่เดินตามเพื่อนคนข้างหน้าขึ้นมาเท่านั้น ระหว่างที่กำลังเดิน ผมก็เผลอนึกอะไรบางอย่างได้ "ด้วยความที่โรงเรียนของเรานั้นมีพื้นที่จำกัด ทำให้นักเรียนในระดับชั้นมัธยมปลายต้องพากันเดินเรียนไปตามห้องต่าง ๆ" คำพูดของครูหัวหน้าระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ยังฝังหัวผมอย่างแม่นยำ แต่ด้วยความที่ห้องเรียนของผมเป็นพวกเด็กพิเศษที่มีไม่กี่ห้องในโรงเรียน ทำให้ห้องของพวกผมได้รับอภิสิทธิ์พิเศษในการมีห้องประจำ ไม่ต้องเดินเรียนหรือขยับตูดย้ายไปไหน นอกจากนี้ยังมีเครื่องปรับอากาศที่ทำให้บรรยากาศในการเรียนมีความผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น แต่นั้นก็ต้องแลกกับค่าใช้จ่ายที่ต้องสูงกว่าพวกคนทั่วไปอะนะ
ระหว่างที่ผมกำลังนึกคิดเรื่อยเปื่อยอยู่นั้น ผมก็ได้เดินทางมาถึงห้องประจำชั้นของผม มันอยู่แค่ชั้น 2 แถมยังอยู่ในซอกหลืบของอาคารเรียน ด้วยความที่เป็นทางเดินปิดตาย ทำให้นักเรียนธรรมดาถ้าไม่มีเหตุจำเป็นหรือต้องเข้าชมรม ก็คงจะไม่มีใครเดินผ่านมายังบริเวณนี้ ซึ่งสำหรับนักเรียนสายอธรรมทั้งหลายคงจะมองว่าห้องเรียนนี้เป็นห้องที่เหมาะสำหรับการมั่วสุมในการทำสิ่งต่าง ๆ ในระดับเกรด S เลยล่ะ นอกจากนั้น ห้องนี้ยังมีทำเลอยู่ใกล้โรงอาหารอีกด้วย แถมยังปราศจากห้องพักครู ทำให้ผมรู้สึกมีความสุขเล็กน้อยที่จะสามารถถือน้ำปั่นที่ผมโปรดปรานขึ้นมาดื่มบนห้องเรียนได้โดยที่ไม่มีครูคนใดมาคอยห้ามผม แต่ก็ช่างเถอะ ผมไม่สนใจหรอกนะว่าใครจะทำอะไร ยังไงถ้าผมไม่ได้โดนทำโทษด้วย ผมก็ไม่เห็นจำเป็นที่จะต้องโวยวายหรือก่อการทะเลาะวิวาทกับใครหนินะ
หลังจากที่ผมได้ทำการชื่นชมและตำหนิห้องที่ผมจะต้องใช้ชีวิตตลอดจนเรียนหนังสือด้วยเป็นเวลา 1 ปีการศึกษาแล้ว ก็ถึงเวลาที่นักเรียนทุกคนในห้องจะทำการเลือกที่นั่งเรียน วิธีการเลือกที่นั่งของพวกเรานั้นก็สุดแสนจะง่ายดาย เพียงแค่อยากจะนั่งกับใครก็ไปนั่ง ด้วยความที่จำนวนนักเรียนห้องพิเศษห้องนี้ลงท้ายด้วยจำนวนคู่ ทำให้ทุกคนนั้นสามารถจับคู่ได้ลงตัวหมด แม้จะมีคนที่ไม่สมหวังบ้างก็เถอะ ด้วยความที่ผมเป็นคนที่ไม่ชอบสถานการณ์ที่มีความวุ่นวาย ทำให้ผมนั้นเกิดอาการมึนงงกับความชุลมุนที่เกิดขึ้น ท้ายสุดผมก็ได้มาลงเอยนั่งกับเพื่อนคนหนึ่งที่เคยอยู่ห้องเดียวกันในระดับชั้นมัธยมต้น เขามีชื่อว่า ฮาจิ เป็นคนที่มีขนาดความสูงไล่เลี่ยพอ ๆ กับผม แต่เขาผอมกว่าผมนิดหน่อย เขาเป็นคนที่จัดว่าเป็นพวกเรียนเก่งและหัวดีในระดับนึง กล้าพูด กล้าแสดงออก แต่ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนจะมีข้อดีและข้อเสีย สำหรับผมเขาเป็นคนที่น่ารำคาญ เขามักจะเดินไปมา ทำตัวไม่อยู่สุข ครูส่วนใหญ่มักจะเรียกเขาว่าเด็กไฮเปอร์ แต่ผมก็สามารถเป็นเพื่อนกับเขาได้นะ แม้บางครั้งผมจะรำคาญที่เขาชอบทำอะไรบ้า ๆ บอ เช่น ตดกลางห้อง หรือถอดถุงเท้าตอนเรียน แต่จะทำอะไรได้ล่ะ ทุกคนล้วนมีความแตกต่าง ซึ่งผมก็เลือกตัดปัญหาโดยการที่จะช่างมันอีกครั้ง
ความจริงที่ผมได้มาลงเอยเลือกนั่งกับฮาจินั้น เพราะเหตุผลบางประการหลายอย่าง เหตุผลแรกคือผมไม่รู้จะนั่งกับใคร เหตุผลต่อมาคือผมต้องพยายามเลือกที่นั่งที่อยู่แถวหน้าสุด ด้วยความที่ผมสายตาสั้นในระดับที่ผมไม่สามารถจะแยกแยะตัวหนังสือในระดับสายตาคนทั่วไปได้ ถ้าหากไม่นอนอ่าน และถึงแม้ผมจะใส่แว่นแล้วก็ตาม แต่สายตาผมก็มีแนวโน้มที่จะสั้นลงเรื่อย ๆ ผมจึงตัดสินใจชำเลืองหาที่นั่งตามเงื่อนไขที่ผมได้ตั้งไว้ แต่น่าเสียดายที่ที่นั่งที่ผมวาดฝันไว้เหลือเพียงที่เดียว คือที่นั่งคู่ฮาจิ ทำให้ท้ายสุดผมก็ได้ลงเอยนั่งกับฮาจิ ผมเดินเข้ามายังที่นั่งนั้น พร้อมกล่าวคำทักทายกับฮาจิเล็ก น้อยตามมารยาทคนทั่วไป ผมค่อย ๆ เลื่อนเก้าอี้แล้วก็นั่งพิงหลังอย่างสบายใจ "ในที่สุดผมก็ได้ที่พักผ่อนของผมซักที" ผมพูดกับตัวเองพร้อมส่งสายตามองเหม่อไปยังกระดานไวท์บอร์ดที่สีของมันไม่ขาวเหมือนชื่อ แถมยังสกปรกอีกต่างหาก นี่ถ้าผมมีความขยันและมีค่าความมีน้ำใจมากกว่านี้ ผมคงจะหาน้ำยาทาเล็บมาทำความสะอาดกระดานแล้ว เสียดายที่ผมไม่ใช่คนแบบนั้น
ตามความจริงยังมีเหตุผลอีกข้อนึง ที่ผมไม่ได้เอามาตั้งเป็นเงื่อนไข กล่าวอีกนัยคือผมไม่สามารถเลือกมันได้เลย ถ้าเหตุการณ์นั้นมันเกิดขึ้น เหตุผลนั้นคือ ผมไม่ต้องการที่จะนั่งกับไอ้ครึ้ม เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน เหตุผลที่ผมไม่อยากจะนั่งกับครึ้มอีกครั้งนั้นต้องย้อนกลับไปยังตอนมอต้น ผมกับคิระนั้นรู้จักกันโดยที่เราสองคนไม่ได้ตั้งใจที่จะรู้จัก มันเป็นความบังเอิญที่อาจถูกกำหนดไว้โดยใครคนหนึ่งก็เป็นได้ เหตุการณ์ในตอนนั้นคือ คนรู้จักของผม (ใช่สำหรับผมในตอนนี้เขาได้กลายเป็นคนแปลกหน้าไปเสียแล้ว) เขาย้ายไปนั่งกับเพื่อนอีกกลุ่มที่เล่นการ์ดไพ่ยูกะ ทำให้ที่นั่งคู่ของผมว่างอยู่ 1 ที่ และใช่ด้วยเหตุอันใดไม่ทราบ ผมต้องนั่งเหงาคนเดียวอยู่เป็นเวลา 1 วัน จนวันต่อมา ในระหว่างพักกลางวันก็มีเด็กผู้ชายที่มีลักษณะมองภายนอกเหมือนคนเจ้าสำอาง เขาได้เดินเข้ามาหาและทักทายผม
"นาย ๆ ข้าง ๆ นายมีคนนั่งไหมอะ" เด็กผู้ชายคนนั้นถาม ผมนิ่งไปซักครู่ แล้วตอบออกไปอย่างเบาๆ ว่า "ไม่อะ ทำไมหรอ" "เราขอนั่งด้วยได้ไหมอะ เราไม่ชอบนั่งข้างหลังสุด อ้อเราชื่อว่าครึ้มนะ แล้วนายล่ะ" "เอ่อ เราชื่อ คาคิน น่ะ" ผมบอกชื่อออกไป "นายจะนั่งกับเราก็ได้นะ" "เคๆ ยินดีที่ได้รู้จักนะ" ครึ้มตอบออกมาพร้อมเดินไปหยิบสัมภาระตรงที่นั่งเก่าของเขา
ใช่ในหัวตอนนั้น ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ดีนะที่จะได้ทำความรู้จักกับเพื่อนในห้องคนใหม่ ด้วยความที่ผมไม่มีเพื่อนร่วมโรงเรียนชั้นประถมมาเรียนห้องเดียวกับผมเลยซักคน ผมจึงเหมือนได้รีเซ็ทตัวเองและเริ่มต้นสร้างความสัมพันธ์กับคนอื่น ๆ ใหม่หมด แต่น่าเสียดายที่เพื่อนในห้องของผมตอนนั้นนิยมเล่นการ์ดไพ่ยูกะ และผมเป็นพวกไม่ชอบเล่นการ์ด ทำให้ผมเข้ากับพวกเขาไม่ค่อยได้ ผมจึงเริ่มใช้ชีวิตสันโดษมากยิ่งขึ้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าผมไม่คุยกับใครอะนะ
สำหรับในกรณีไอ้ครึ้มนั้น ในตอนแรก เขาก็ดูเป็นคนที่นิสัยดี มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี แต่เพราะในตอนนั้นผมยังเด็กและมักจะตัดสินคนเพียงแค่เปลือกนอก ทำให้ไม่รู้ว่า เบื้องลึกของเขาจะเป็นคนที่นิสัยแย่ถึงเพียงไหน หลังจากที่เราสนิทกัน เขามักจะทำร้ายร่างกายผมผ่านการหยิก ตี หรือแม้กระทั่งดึงหู เวลาที่ผมพูดอะไรแทงใจเขาหรือทำอะไรไม่ถูกใจ และใช่ด้วยความที่ผมยังเป็นคน ผมก็มักจะด่ากลับและมองแรงไปทุกครั้ง แต่เหตุการณ์ต่าง ๆ มันก็ดูเหมือนที่จะเลยเถิดมากขึ้น เพราะบางครั้งผมยังไม่ทันทำอะไร เขาก็มาจับหูและก็ดึงหูผมเล่นเฉย ๆ ผมคิดว่าผมคงเป็นเครื่องระบายอารมณ์ของเขาไปเรียบร้อยแล้ว ในช่วงแรก ๆ ผมก็แสดงความไม่พอใจบ้าง แต่พฤติกรรมที่ไอ้ครึ้มทำนั้นก็ไม่เคยที่จะหมดไปเสียที ผมก็เลยตัดสินใจปล่อยวางและช่างมัน จนกลายเป็นความ ชินชากับพฤติกรรมเหล่านั้น และปล่อยละเลยมันจนผมและครึ้มจบชั้นมัธยมต้น เพื่อนของผมในตอนนั้นมักจะถามผมว่า ผมทนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างไร คำตอบที่ผมตอบพวกเขาไปคือ ผมไม่รู้ ผมไม่รู้แม้กระทั่งว่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับครึ้มเป็นอย่างไร เพราะบางครั้งเราก็ดูเหมือนที่สนิทกัน แต่บางครั้งเราก็เหมือนที่จะเกลียดกัน แต่ในใจลึก ๆ ของผมแม้ตอนสนิทกัน ผมก็ไม่ได้ชอบครึ้มมากนัก อาจกล่าวได้ว่าผมกับครึ้มสนิทกันเพราะสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างเรา 2 คนมากกว่า
ด้วยเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงมัธยมต้นทำให้ผมตระหนักได้ว่า ผมไม่ควรที่จะนั่งกับครึ้มอีกครั้ง เพราะหลังจากที่มีการยุบห้องพิเศษลงเหลือ 1 ห้องในชั้นมัธยมปลาย ทำให้อาจจะมีคนที่โชคร้ายกว่าผมไปนั่งกับครึ้มแทนก็ได้ และผมควรจะใช้โอกาสนั้นในการเริ่มต้นใหม่กับชีวิตมัธยมปลายของผม
.
.
.
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ