โอรีเวีย 2 ( ล่มสลาย )
6.3
9) ผืนน้ำใต้แสงจันทร์
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความฟิโลโซเฟอร์นั่งเฝ้าอยู่อย่างนั้นจนเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว เมื่อสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าตนเองนอนอยู่บนเตียง ห่มผ้าเรียบร้อยในห้องใต้หลังคาเพียงลำพัง หน้าต่างเปิดกว้างแสงจันทร์ยังสาดส่อง ไร้เงาของผู้อื่นใด
เด็กชายตัวน้อยได้แต่สงสัย ว่าเขาขึ้นมานอนบนเตียงได้อย่างไรแล้วดารีลหายไปไหน หรือทั้งหมดนี่คือความฝัน เป็นเพราะเขาคิดมากไปสติเลยฟั่นเฟือนเสียแล้ว
แต่กลิ่นหอมจางๆ ยังติดตามเนื้อตัว กลิ่นที่เขาคุ้นเคยและไม่เคยลืม นี่คือสิ่งเดียวที่ยืนยันว่าดารีลมาที่นี่เพียงแต่ว่าเวลานี้เจ้าตัวไปอยู่ที่ใด
ฟิโลโซเฟอร์เลิกผ้าห่มโยนทิ้งไป เขาก้าวลงจากเตียงตรงไปที่หน้าต่างที่เปิดกว้างสู่ด้านนอก เขารู้ว่าดารีลปีนป่ายเก่ง แต่การที่จากไปเงียบๆ โดยไม่บอกกล่าวแบบนี้ใช้ได้ที่ไหน
เด็กชายชาวซีนาร์ยเงยหน้ามองแสงจันทร์ ความทรงจำเก่าก่อนย้อนมา หรือดารีลจะยังไม่ไปไหน คิดได้ดังนั้นเขาจึงปีนหน้าต่างลงมาบ้าง แล้วมุ่งไปที่บึงสีเขียวที่อยู่ไม่ไกลจากตัวบ้านนัก
และก็เป็นดังนั้นจริงๆ ดารีลนั่งอยู่ริมน้ำ ใบหน้าขาวผ่องสะท้อนกับเงาจันทร์แลดูซีดเผือดราวกับภูตผี หนุ่มน้อยคนนั้นค่อยๆ เคลื่อนกายลงสู่บึงแล้วหายไปอย่างเงียบเชียบ
เด็กชายตัวน้อยกำลังชั่งใจว่าควรจะเข้าไปรบกวนหรือไม่ แต่ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมา ตอนนี้น้ำมิได้เป็นน้ำแข็งดังเช่นคราก่อน แล้วเขาเดินลงไปเพื่ออะไร
เขาจึงวิ่งไปที่ริมบึงอย่างร้อนรน ทุกอย่างเงียบเชียบไร้วี่แววของสิ่งมีชีวิต มีเพียงแสงจันทร์กระทบล้อเกลียวคลื่นเล็กๆ เกิดประกายระยิบระยับ
ฟิโลโซเฟอร์กวาดสายตาไปทั่ว นานเกินไปแล้วใยดารีลไม่ยอมผุดขึ้นมา เขาคงไม่ คงไม่
เด็กชายใจหายวาบตะกายลงน้ำทั้งที่ว่ายน้ำไม่เป็น บึงนี้ลึกกว่าที่นึกเอาไว้เขาจึงจมดิ่งลงไปทันที แม้จะพยายามตะกายขึ้นเหนือน้ำแต่ไม่เป็นผล จึงพยายามมองไปรอบๆ หวังได้เห็นดารีลอีกสักครั้ง ครั้งสุดท้ายก็ยังดี แต่ก็เห็นเพียงแสงจันทร์ที่ทอดผ่านผิวน้ำลงมา
ในความเงียบงันและทรมานจากการจมน้ำ เขารู้สึกถึงแรงกระเพื่อมของคลื่นที่ผ่านเข้ามาอย่างรวดเร็ว มือข้างหนึ่งโอบรัดจากทางด้านหลังแล้วดึงร่างของเขาขึ้นสู่ผิวน้ำ
เด็กชายตัวน้อยยังสำลักอยู่ขณะถูกดึงฉุดลากเข้าสู่ฝั่ง
ชายตลิ่งแห่งนั้นเต็มไปด้วยโขดหิน
เจ้าของมือโอบรัดแน่นเข้า
พลางโน้มใบหน้ามาใกล้จนรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่เป่ารดต้นคอ
เด็กชายตัวแข็งทื่อในทันที
กลิ่นหอมราวกับมนต์สะกดอบอวลอยู่รอบกาย
“ เจ้าว่ายน้ำไม่เป็น ”
นั่นคือคำกล่าวทื่อๆ ด้วยเสียงละมุนที่คุ้นเคย
แต่ยากจะฟังว่านี่คือคำถามหรือเพียงกล่าวลอยๆ
“ ใยเจ้าจึงดำลงไปใต้น้ำนานนักล่ะ ทีหลังอย่าทำให้ข้าเป็นกังวลแบบนี้ ”
เด็กชายต่อว่า
“ คนที่ว่ายน้ำเป็นยากที่จะจมน้ำตาย ไม่ว่าตั้งใจจมเองหรือไม่ก็ตาม ข้าพอใจเล่นน้ำที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้ เจ้าจะคิดมากไปเพื่ออะไรอย่างน้อยข้าก็ไม่คิดฆ่าตัวตาย แม้ใจปรารถนาก็ตามเพราะมันไม่มีประโยชน์อันใดสำหรับข้าเลย ”
หนุ่มน้อยคนนั้นบอก
เหมือนจงใจแกล้ง
แม้จะลากเด็กน้อยมาถึงริมตลิ่งแล้ว
แต่กลับไม่พาขึ้นไป
ซ้ำยังอยู่ในจุดที่น้ำลึกพอประมาณ
ด้วยความที่ดารีลตัวสูงกว่า
ลำคอของเขาจึงพ้นจากน้ำ
แต่ฟิโลโซเฟอร์ยังปริ่มๆ จะท่วมจมูกอยู่แล้ว
จึงต้องอาศัยพิงร่างกับแผ่นอกคนข้างหลังเอาไว้
เพื่อไม่ให้จมลึกไปกว่านี้
“ เจ้าตามข้ามาถึงที่นี่ทำไมกันนะ ”
ดารีลกระซิบถาม
“ ลองเดาดูสิ ”
เด็กชายแกล้งยั่วคืนไปบ้าง
“ ข้าไม่ชอบเดาแต่ชอบทึกทักเอาเองมากกว่า ”
คนอายุมากกว่าว่า
พลางปลดเสื้อผ้าของเด็กชายตัวน้อยด้วยมือข้างหนึ่ง
ส่วนอีกข้างยังโอบรัดรอบเอวเอาไว้
“ เดี๋ยวสิคิดจะทำอะไรน่ะ ”
เด็กชายท้วง
เขารู้สึกสับสนกับอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ของหนุ่มน้อยคนนี้
ดารีลเลือกที่จะเงียบแทนคำตอบ
และยังคงปลดเสื้อผ้าของเด็กน้อยอย่างใจเย็น
เด็กน้อยเจ็บแปลบจนสะดุ้ง
เมื่อรู้สึกถึงแรงเสียดแทงผ่านเนื้อหนังเข้ามาในร่าง
แต่เขาก็ไม่ได้ขัดขืนอันใด
ได้แต่เขากัดริมฝีปากเพื่อสะกดไม่ให้ส่งเสียงครางออกมา
มือข้างหนึ่งกำรอบข้อมือที่โอบรัดเขาไว้
“ ใยเจ้าจึงชอบกัดข้านัก เป็นเพราะข้าทำเจ้ามีโมโหหรือนี่เป็นการทักทายตามแบบพื้นบ้านดั้งเดิมของเจ้า ”
ฟิโลโซเฟอร์เอ่ยประท้วง
เขาแน่ใจว่าคงมีเลือดไหลบ้างแล้ว
“ น้อยไปสิ ใจจริงแล้วข้าอยากฉีกเจ้าออกเป็นชิ้นๆ อุตส่าห์ตั้งใจมาหาที่สงบแท้ๆ ดูเจ้าทำเข้าสิ ”
ดารีลตอบ
เมื่อเขาถอนริมฝีปากออกจากไหล่ของเด็กชาย
“ เจ้าอยากให้ใจสงบบอกข้าก็ได้นี่ข้ารู้ต้องทำอย่างไร ”
หนุ่มน้อยเงียบไปอีก
แต่ยังมุ่งมั่นในการปลดเสื้อผ้าของเด็กชาย
ฟิโลโซเฟอร์จับมือที่เริ่มซุกซนนั้นไว้
อีกคนจึงตอบโต้โดยการปล่อยมือให้เด็กชายจมน้ำลงไป
เด็กน้อยหมุนตัวกลับด้วยความตกใจ
เพื่อคว้าไหล่ของตัวต้นเหตุเอาไว้
แล้วก็พบกับความจริงที่ชวนตะลึงเสียยิ่งกว่า
ดารีลตอนนี้ก็ไร้ชุดคลุมเหมือนกัน
ร่างที่เปียกโชกใต้แสงจันทร์นั้นเย้ายวนอย่างน่าประหลาด
เด็กชายคล้องแขนโอบรัดคออีกฝ่าย
บีบบังคับให้ใบหน้าโน้มเข้าหากัน
ดารีลเชิดหน้าขึ้น
หลีกหนีจากการพยายามแนบชิด
เด็กชายก็ไม่ได้ฝืนบังคับต่ออาการแข็งขืนนั้น
เพราะอย่างไรเสียดารีลก็ขืนเขาได้ไม่นาน
ฟิโลโซเฟอร์รู้สึกพึงใจเสมอที่เห็นแรงต่อต่าน
มันทำให้หัวใจน้อยๆ เต้นแรง
“ เมื่อวานซืนเจ้าทำหิมะตกหรือ ”
เด็กน้อยเอ่ยถาม
“ คิดว่าอย่างไรล่ะ ”
ดารีลถามกลับ
“ ใยต้องเศร้าขนาดนั้น ”
“ ข้าแค่อยากมีวันที่งดงาม แต่พลังตอนนั้นกำลังปั่นป่วน ถึงอย่างนั้นก็ยังเป็นเวลาดีๆ ของเจ้ามิใช่หรือ อย่างน้อยก็ไม่ได้พลาดจนเกิดพายุใหญ่ ”
“ ข้าไม่สามารถมีเวลาดีๆ ได้หากเจ้ายังเป็นทุกข์อยู่ ”
เด็กน้อยบอก
เด็กชายตัวน้อยได้แต่สงสัย ว่าเขาขึ้นมานอนบนเตียงได้อย่างไรแล้วดารีลหายไปไหน หรือทั้งหมดนี่คือความฝัน เป็นเพราะเขาคิดมากไปสติเลยฟั่นเฟือนเสียแล้ว
แต่กลิ่นหอมจางๆ ยังติดตามเนื้อตัว กลิ่นที่เขาคุ้นเคยและไม่เคยลืม นี่คือสิ่งเดียวที่ยืนยันว่าดารีลมาที่นี่เพียงแต่ว่าเวลานี้เจ้าตัวไปอยู่ที่ใด
ฟิโลโซเฟอร์เลิกผ้าห่มโยนทิ้งไป เขาก้าวลงจากเตียงตรงไปที่หน้าต่างที่เปิดกว้างสู่ด้านนอก เขารู้ว่าดารีลปีนป่ายเก่ง แต่การที่จากไปเงียบๆ โดยไม่บอกกล่าวแบบนี้ใช้ได้ที่ไหน
เด็กชายชาวซีนาร์ยเงยหน้ามองแสงจันทร์ ความทรงจำเก่าก่อนย้อนมา หรือดารีลจะยังไม่ไปไหน คิดได้ดังนั้นเขาจึงปีนหน้าต่างลงมาบ้าง แล้วมุ่งไปที่บึงสีเขียวที่อยู่ไม่ไกลจากตัวบ้านนัก
และก็เป็นดังนั้นจริงๆ ดารีลนั่งอยู่ริมน้ำ ใบหน้าขาวผ่องสะท้อนกับเงาจันทร์แลดูซีดเผือดราวกับภูตผี หนุ่มน้อยคนนั้นค่อยๆ เคลื่อนกายลงสู่บึงแล้วหายไปอย่างเงียบเชียบ
เด็กชายตัวน้อยกำลังชั่งใจว่าควรจะเข้าไปรบกวนหรือไม่ แต่ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมา ตอนนี้น้ำมิได้เป็นน้ำแข็งดังเช่นคราก่อน แล้วเขาเดินลงไปเพื่ออะไร
เขาจึงวิ่งไปที่ริมบึงอย่างร้อนรน ทุกอย่างเงียบเชียบไร้วี่แววของสิ่งมีชีวิต มีเพียงแสงจันทร์กระทบล้อเกลียวคลื่นเล็กๆ เกิดประกายระยิบระยับ
ฟิโลโซเฟอร์กวาดสายตาไปทั่ว นานเกินไปแล้วใยดารีลไม่ยอมผุดขึ้นมา เขาคงไม่ คงไม่
เด็กชายใจหายวาบตะกายลงน้ำทั้งที่ว่ายน้ำไม่เป็น บึงนี้ลึกกว่าที่นึกเอาไว้เขาจึงจมดิ่งลงไปทันที แม้จะพยายามตะกายขึ้นเหนือน้ำแต่ไม่เป็นผล จึงพยายามมองไปรอบๆ หวังได้เห็นดารีลอีกสักครั้ง ครั้งสุดท้ายก็ยังดี แต่ก็เห็นเพียงแสงจันทร์ที่ทอดผ่านผิวน้ำลงมา
ในความเงียบงันและทรมานจากการจมน้ำ เขารู้สึกถึงแรงกระเพื่อมของคลื่นที่ผ่านเข้ามาอย่างรวดเร็ว มือข้างหนึ่งโอบรัดจากทางด้านหลังแล้วดึงร่างของเขาขึ้นสู่ผิวน้ำ
เด็กชายตัวน้อยยังสำลักอยู่ขณะถูกดึงฉุดลากเข้าสู่ฝั่ง
ชายตลิ่งแห่งนั้นเต็มไปด้วยโขดหิน
เจ้าของมือโอบรัดแน่นเข้า
พลางโน้มใบหน้ามาใกล้จนรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่เป่ารดต้นคอ
เด็กชายตัวแข็งทื่อในทันที
กลิ่นหอมราวกับมนต์สะกดอบอวลอยู่รอบกาย
“ เจ้าว่ายน้ำไม่เป็น ”
นั่นคือคำกล่าวทื่อๆ ด้วยเสียงละมุนที่คุ้นเคย
แต่ยากจะฟังว่านี่คือคำถามหรือเพียงกล่าวลอยๆ
“ ใยเจ้าจึงดำลงไปใต้น้ำนานนักล่ะ ทีหลังอย่าทำให้ข้าเป็นกังวลแบบนี้ ”
เด็กชายต่อว่า
“ คนที่ว่ายน้ำเป็นยากที่จะจมน้ำตาย ไม่ว่าตั้งใจจมเองหรือไม่ก็ตาม ข้าพอใจเล่นน้ำที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้ เจ้าจะคิดมากไปเพื่ออะไรอย่างน้อยข้าก็ไม่คิดฆ่าตัวตาย แม้ใจปรารถนาก็ตามเพราะมันไม่มีประโยชน์อันใดสำหรับข้าเลย ”
หนุ่มน้อยคนนั้นบอก
เหมือนจงใจแกล้ง
แม้จะลากเด็กน้อยมาถึงริมตลิ่งแล้ว
แต่กลับไม่พาขึ้นไป
ซ้ำยังอยู่ในจุดที่น้ำลึกพอประมาณ
ด้วยความที่ดารีลตัวสูงกว่า
ลำคอของเขาจึงพ้นจากน้ำ
แต่ฟิโลโซเฟอร์ยังปริ่มๆ จะท่วมจมูกอยู่แล้ว
จึงต้องอาศัยพิงร่างกับแผ่นอกคนข้างหลังเอาไว้
เพื่อไม่ให้จมลึกไปกว่านี้
“ เจ้าตามข้ามาถึงที่นี่ทำไมกันนะ ”
ดารีลกระซิบถาม
“ ลองเดาดูสิ ”
เด็กชายแกล้งยั่วคืนไปบ้าง
“ ข้าไม่ชอบเดาแต่ชอบทึกทักเอาเองมากกว่า ”
คนอายุมากกว่าว่า
พลางปลดเสื้อผ้าของเด็กชายตัวน้อยด้วยมือข้างหนึ่ง
ส่วนอีกข้างยังโอบรัดรอบเอวเอาไว้
“ เดี๋ยวสิคิดจะทำอะไรน่ะ ”
เด็กชายท้วง
เขารู้สึกสับสนกับอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ของหนุ่มน้อยคนนี้
ดารีลเลือกที่จะเงียบแทนคำตอบ
และยังคงปลดเสื้อผ้าของเด็กน้อยอย่างใจเย็น
เด็กน้อยเจ็บแปลบจนสะดุ้ง
เมื่อรู้สึกถึงแรงเสียดแทงผ่านเนื้อหนังเข้ามาในร่าง
แต่เขาก็ไม่ได้ขัดขืนอันใด
ได้แต่เขากัดริมฝีปากเพื่อสะกดไม่ให้ส่งเสียงครางออกมา
มือข้างหนึ่งกำรอบข้อมือที่โอบรัดเขาไว้
“ ใยเจ้าจึงชอบกัดข้านัก เป็นเพราะข้าทำเจ้ามีโมโหหรือนี่เป็นการทักทายตามแบบพื้นบ้านดั้งเดิมของเจ้า ”
ฟิโลโซเฟอร์เอ่ยประท้วง
เขาแน่ใจว่าคงมีเลือดไหลบ้างแล้ว
“ น้อยไปสิ ใจจริงแล้วข้าอยากฉีกเจ้าออกเป็นชิ้นๆ อุตส่าห์ตั้งใจมาหาที่สงบแท้ๆ ดูเจ้าทำเข้าสิ ”
ดารีลตอบ
เมื่อเขาถอนริมฝีปากออกจากไหล่ของเด็กชาย
“ เจ้าอยากให้ใจสงบบอกข้าก็ได้นี่ข้ารู้ต้องทำอย่างไร ”
หนุ่มน้อยเงียบไปอีก
แต่ยังมุ่งมั่นในการปลดเสื้อผ้าของเด็กชาย
ฟิโลโซเฟอร์จับมือที่เริ่มซุกซนนั้นไว้
อีกคนจึงตอบโต้โดยการปล่อยมือให้เด็กชายจมน้ำลงไป
เด็กน้อยหมุนตัวกลับด้วยความตกใจ
เพื่อคว้าไหล่ของตัวต้นเหตุเอาไว้
แล้วก็พบกับความจริงที่ชวนตะลึงเสียยิ่งกว่า
ดารีลตอนนี้ก็ไร้ชุดคลุมเหมือนกัน
ร่างที่เปียกโชกใต้แสงจันทร์นั้นเย้ายวนอย่างน่าประหลาด
เด็กชายคล้องแขนโอบรัดคออีกฝ่าย
บีบบังคับให้ใบหน้าโน้มเข้าหากัน
ดารีลเชิดหน้าขึ้น
หลีกหนีจากการพยายามแนบชิด
เด็กชายก็ไม่ได้ฝืนบังคับต่ออาการแข็งขืนนั้น
เพราะอย่างไรเสียดารีลก็ขืนเขาได้ไม่นาน
ฟิโลโซเฟอร์รู้สึกพึงใจเสมอที่เห็นแรงต่อต่าน
มันทำให้หัวใจน้อยๆ เต้นแรง
“ เมื่อวานซืนเจ้าทำหิมะตกหรือ ”
เด็กน้อยเอ่ยถาม
“ คิดว่าอย่างไรล่ะ ”
ดารีลถามกลับ
“ ใยต้องเศร้าขนาดนั้น ”
“ ข้าแค่อยากมีวันที่งดงาม แต่พลังตอนนั้นกำลังปั่นป่วน ถึงอย่างนั้นก็ยังเป็นเวลาดีๆ ของเจ้ามิใช่หรือ อย่างน้อยก็ไม่ได้พลาดจนเกิดพายุใหญ่ ”
“ ข้าไม่สามารถมีเวลาดีๆ ได้หากเจ้ายังเป็นทุกข์อยู่ ”
เด็กน้อยบอก
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
4 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ