โอรีเวีย 2 ( ล่มสลาย )
6.3
5) ขี้เถ้าและเงาดำ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความในตอนแรกพวกเขาตั้งใจจะให้เด็กหญิงทั้งสามนอนด้วยกันในห้องของคาโอเรีย และพวกเด็กผู้ชายจะนอนเล่นรอบกองไฟที่ด้านนอกตัวบ้าน แต่เหล่าเด็กผู้หญิงเกิดนึกสนุกอยากอยู่ร่วมด้วย ทั้งหมดเลยตัดสินใจก่อไฟกองใหญ่ ส่วนด้านนอกนั้นเต็มไปด้วยทหารรับจ้างฝีมือดี พวกเขาจึงปลอดภัยอยู่ในวงล้อม
อีเลียสไม่ค่อยถูกใจกับการนอนบนพื้นหญ้านัก
จึงได้พึมพำออกมา
“ ข้ากำลังผจญภัยครั้งใหญ่ ขอพระเจ้าคุ้มครอง ”
“ ไม่ต้องกลัวข้าอยู่ข้างเจ้าแล้ว ”
โลธอร์ปลอบ
เวลาเที่ยงคืนนั้นเองที่ฟิโลโซเฟอร์สะดุ้งตื่นขึ้นมา
ด้วยความหนาวเหน็บเสียดแทงถึงกระดูก
เด็กชายชาวซีนาร์ยพบว่าไฟกองใหญ่นั้นมอดดับไปนานแล้ว
เขาจึงตะกายลุกขึ้นควานหาฟืน
เพื่อจะจุดไฟขึ้นอีกครั้ง
แต่ทุกๆ ที่ที่เอื้อมมือไป
ล้วนแล้วแต่ละอองสีขาวขมุกขมัว
ฟิโลโซเฟอร์ได้แต่นึกสงสัย
ว่าหิมะตกลงมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
เหตุใดพวกเขาจึงหลับไปไม่รู้ตัว
ในเมื่อหาทางจุดไฟไม่ได้แล้ว
เขาจึงเปลี่ยนใจ
คิดจะปลุกเพื่อนๆ ให้กลับเข้าไปนอนในบ้าน
แต่เมื่อหันกลับมาก็เห็นว่าเพื่อนๆ นั้นนอนแข็งที่ตัวขาวโพลน
เด็กชายตัวน้อยรีบตะกายเข้าไปหา
ปัดหิมะออกจากร่างของพวกเขา
นั่นเองเขาจึงพบว่าร่างทั้งหมดตรงนั้นเหลือเพียงโคลงกระดูก
และสิ่งที่เขาคิดว่าหิมะแท้จริงแล้วมันคือเศษขี้เถ้า
ฟิโลโซเฟอร์ถอยหลังหนีลนลาน
นี่มันเรื่องอะไรกัน
มันเกิดขึ้นได้อย่างไร
เขาอยากตะโกนร้อง
แต่ก็ร้องไม่ออก
ได้แต่นั่งตะลึงอยู่ตรงนั้น
“ ยังไม่ตายอีกหรือ เด็กน้อยที่น่ารำคาญแต่เจ้าดวงแข็งได้ไม่นานนักหรอก ”
เสียงราบเรียบคุ้นหูดังแว่วมา
ฟิโลโซเฟอร์จึงยืดกายขึ้น
จ้องมองไปยังทิศทางของเสียง
และเป็นดังที่คิด
ร่างในชุดคลุมยาวยืนสงบนิ่งในหมอกมืดมัว
แต่มีสิ่งหนึ่งแปลกไป
คทาที่อยู่ในมือมีประกายสีแดงเรื่อเรืองปรากฏขึ้น
“ เจ้าเป็นใครกัน ”
เด็กชายตะโกนถาม
“ เจ้าต้องการอะไรกันแน่ ”
คนที่เขาเคยหวาดกลัว
แต่บัดนี้ความโกรธและเกลียดชังครอบงำ
จนลืมความกลัวเสียสิ้น
“ เจ้าทำอะไรลงไป ทำแบบนี้แล้วได้อะไรกัน ”
เด็กชายยังถามอยู่อย่างนั้น
แม้ไร้คำตอบใด
เจ้าของร่างสูงโปร่งก้มหน้าลงเหมือนว่ากำลังสำนึกผิด
แล้วหันหลังเดินจากไป
“ เจ้าปีศาจร้ายหยุดเดี๋ยวนี้เจ้าทำแบบนี้กับข้าไม่ได้ ”
ฟิโลโซเฟอร์วิ่งตามไป
แม้ไร้ซึ่งอาวุธ
แต่เหมือนไล่ตาม
กลับยิ่งห่างไกลออกไปทุกที
เด็กชายเหนื่อยอ่อน
แต่ไม่ยอมแพ้
เขาไล่ตามไปอย่างไม่คิดชีวิต
“ หยุดเถอะข้าขอร้องเจ้า ”
เด็กชายกล่าวออกไป
เพราะไม่รู้จะต้องทำสิ่งใดแล้ว
ไม่น่าเชื่อร่างนั้นได้หยุดลงจริงๆ
“ เจ้าเป็นคนแรกที่เอ่ยคำขอร้องกับข้า ”
ร่างสีดำกล่าวโดยไม่หันกลับมา
และฟิโลโซเฟอร์ก็หยุดอยู่เบื้องหลังเขา
“ ข้าก็ไม่อยากนักหรอก ”
เด็กชายตอบพลางหอบ
เขาพยายามจ้องมองร่างนั้น
แต่ไอกำยานที่ขุ่นข้นทำให้แสบตายิ่งนัก
กลิ่นของมันก็หวานเอียนชวนคลื่นไส้
“ เช่นนั้นเจ้าต้องการสิ่งใด ”
เงาสีดำตรงหน้าเอ่ยถาม
“ ข้าแค่อยากถามว่าเจ้าเห็นดารีลบ้างหรือเปล่า ”
เจ้าของร่างลึกลับนั้นเงียบไปนาน
“ เจ้าไม่เห็นหรือเจ้าไม่รู้ ”
ฟิโลโซเฟอร์ถามย้ำ
“ รู้สิ มีหรือข้าจะไม่รู้ ”
คนผู้นั้นตอบเสียงเย็น
“ แล้วเขาอยู่ที่ไหนสบายดีหรือเปล่า ”
“ เขาตายแล้ว ”
“ ไม่จริงเจ้าโกหก ข้าไม่เชื่อหรอก ”
เด็กชายรู้สึกตกใจไม่น้อยกับคำตอบนั้น
“ ข้าไม่มีเหตุผลใดต้องโกหกเจ้า หรือต้องการให้เห็นกับตา เด็กน้อยเอ๋ยใยเจ้าไม่วางมือจากจอมล่อลวงคนนั้นในเวลาที่เรายังสามารถเป็นเพื่อนกันได้ ดารีลน่ะเอาตัวเองให้รอดยังไม่ได้เลยเจ้าผูกมิตรผิดคนเสียแล้ว ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป จงคุกเข่าลงสาบานต่อหน้าข้าว่าจะติดตามข้าอย่างซื่อสัตย์ตลอดไป ”
“ ไม่ ไม่จริงบอกข้ามา เจ้าเอาเขาไปซ่อนไว้ที่ไหน ”
“ จากนี้ไปจะไม่มีดารีลอีกแล้วเจ้าไม่เข้าใจหรือ ”
“ เจ้าโกหก ข้าไม่มีวันเชื่อคืนเขามานะ ”
“ ก็ได้ ถ้าเจ้าต้องการแบบนั้น ”
เงาร่างดำมืดชักมีดออกมา
มันเป็นมีดสั้นสีเงินประดับเพชรพลอย
ที่เคยปลิดชีพเจ้าหญิงลูเซียน่ามาแล้ว
และเขาคนนั้นก็หันหน้ากลับมาอย่างรวดเร็ว
ดารีลอยู่ในเงื้อมมือของเขานั้นเอง
ปลายมีดแหลมคมลากผ่านลำคองามระหง
รวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาด
เด็กชายได้แต่ยืนตะลึงตาค้าง
เมื่อตั้งสติได้ก็รีบพุ่งเข้าไปหา
ร่างปริศนาในชุดคลุมดำปล่อยดารีลให้ล้มลง
แล้วตัวเขาก็กลายร่างเป็นนกกลางคืนบินมากมายกระจายหนีไป
พร้อมกับเสียงหัวเราะเย้ยหยัน
ฟิโลโซเฟอร์คว้าร่างดารีลเอาไว้ได้
ก่อนที่จะล้มถึงพื้น
แต่ร่างนั้นได้กลายเป็นขี้เถ้าไปต่อหน้าเขา
และยังมีขี้เถ้าอีกมากมาย
ที่ปลิวฟุ้งในอากาศ
เด็กชายตัวน้อยพยายามโกยขี้เถ้าขึ้นมา
ด้วยหัวใจที่แตกสลาย
ดารีลตายแล้วจริงหรือ
เป็นไปไม่ได้
ในก้นบึ้งของหัวใจบอกเขาว่า
ดารีลยังไม่จากไปไหน
ด้วยความสับสนวุ่นวายมากมายใจความคิด
เขาจึงร้องตะโกนออกมา
“ กลับมาเดี๋ยวนี้เจ้าปีศาจร้ายเจ้าคนหลอกลวง กลับมาบอกความจริงกับข้า ข้าไม่เชื่อเจ้าทั้งหมดนี่เป็นภาพมายา เจ้าหลอกข้าไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ”
ทันใดเขาก็รู้สึกเหมือนถูกตบหน้าอย่างแรง
จนหน้าสะบัด
เด็กชายหันหน้ากลับมาเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่ภาพทุกอย่างพร่าเลือน
เขากระพริบตาปริบๆ
แล้วทุกอย่างก็ชัดเจนขึ้น
โลธอร์นั่งอยู่ต่อหน้าเขา
เพื่อนคนอื่นๆ ก็อยู่ที่นั่นด้วย
ไม่มีฝุ่นขี้เถ้าอีกต่อไป
“ ไง อรุณสวัสดิ์ ”
เจ้าเด็กร่างอ้วนทักขึ้นก่อน
หลังจากตบหน้าเขาไป
“ เช้านี้อากาศดีนะน่าวิ่งเล่นออก ”
ฟิโลโซเฟอร์มองไปรอบๆ เห็นมีแต่ทุ่งหญ้า
“ นี่มันอะไรกัน เกิดอะไรขึ้น กองไฟล่ะเต็นท์ล่ะ ”
เด็กชายตัวน้อยถามด้วยความงุนงง
“ เจ้าละเมอน่ะวิ่งออกมาตั้งไกลพวกเราตกใจแทบตาย ”
ฟีไลร่าตอบ
นางยืนเอาสองมือเท้าเข่าก้มลงมองเขา
ที่ยังนั่งกับพื้น
“ ใช่ ไม่ยักกะรู้ว่าพี่ชายวิ่งเร็วขนาดนี้ไล่ตะครุบกันให้วุ่นเลย ”
คาโอเรียว่า
พลางเอาหลังมือถูกรามพี่ชายตรงที่โดนตบ
ซึ่งตอนนี้รู้สึกชาขึ้นมาแล้ว
“ ใช่ ตอนวิ่งหนีผีร้ายไม่วิ่งให้ได้อย่างนี้ล่ะว่าแต่มีใครเห็นอีเลียสบ้าง ”
โลธอร์พูดขึ้น
“ ไม่รู้สิ ตอนนั้นทั้งมืดทั้งวุ่นวายข้าเลยไม่ทันสังเกต ”
เลโอน่าตอบ
“ บ้าจริงหายไปในทุ่งหญ้าไม่ได้นะ เจ้านั่นยิ่งตัวเล็กอยู่ด้วย อีเลียสอยู่ไหน ”
เจ้าเด็กร่างอ้วนตะโกนเรียกคู่หู
“ หนวกหูน่า ข้าอยู่นี่ ”
น้ำเสียงคุ้นเคยดังขึ้นใกล้ๆ
อีเลียสนั่นเองเขาเดินขากระเผลก
โดยมีทหารรับจ้างคนหนึ่งคอยพยุง
“ เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าน่ะ ”
ฟีไลร่าถาม
“ ข้าสะดุดกอหญ้าล้มไปตั้งแต่ตรงโน้น พวกเจ้าก็ใจดำกันนักวิ่งหนีข้าเฉยเลย ”
เด็กชายร่างผอมซีดประท้วง
เขานั่งลงบีบข้อเท้าตนเอง
“ วิ่งกลางทุ่งหญ้าคงไม่สนุกเท่าวิ่งในเมืองสินะ ”
คาโอเรียหัวเราะ
“ ที่ไหนก็ไม่สนุกทั้งนั้น คนอย่างข้าต้องนั่งบนเก้าอี้สูงอ่านตำราถึงจะถูก ”
“ เอาล่ะเลิกวุ่นวายกันเสียที ”
เลโอน่าตัดบท
“ ตอนนี้ก็ใกล้สว่างแล้วกลับบ้านกันเถอะพวกเราจะต้องเตรียมอาหารเช้ากันนะ ”
ทันใดพวกเขาก็ได้ยินเสียงฟ้าผ่ามาจากที่ไกลๆ
เมื่อมองดูก็พบว่าตรงเบื้องหน้านั้นเอง
เงาสีดำของเทือกเขาเดนตาย
หรือที่เรียกกันว่าเทือกเขาเงาปีศาจ
เกิดแสงสีแดงปรากฏขึ้นชัดเจนที่กลางหุบเขา
ดูลึกลับและชั่วร้าย
อีเลียสไม่ค่อยถูกใจกับการนอนบนพื้นหญ้านัก
จึงได้พึมพำออกมา
“ ข้ากำลังผจญภัยครั้งใหญ่ ขอพระเจ้าคุ้มครอง ”
“ ไม่ต้องกลัวข้าอยู่ข้างเจ้าแล้ว ”
โลธอร์ปลอบ
เวลาเที่ยงคืนนั้นเองที่ฟิโลโซเฟอร์สะดุ้งตื่นขึ้นมา
ด้วยความหนาวเหน็บเสียดแทงถึงกระดูก
เด็กชายชาวซีนาร์ยพบว่าไฟกองใหญ่นั้นมอดดับไปนานแล้ว
เขาจึงตะกายลุกขึ้นควานหาฟืน
เพื่อจะจุดไฟขึ้นอีกครั้ง
แต่ทุกๆ ที่ที่เอื้อมมือไป
ล้วนแล้วแต่ละอองสีขาวขมุกขมัว
ฟิโลโซเฟอร์ได้แต่นึกสงสัย
ว่าหิมะตกลงมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
เหตุใดพวกเขาจึงหลับไปไม่รู้ตัว
ในเมื่อหาทางจุดไฟไม่ได้แล้ว
เขาจึงเปลี่ยนใจ
คิดจะปลุกเพื่อนๆ ให้กลับเข้าไปนอนในบ้าน
แต่เมื่อหันกลับมาก็เห็นว่าเพื่อนๆ นั้นนอนแข็งที่ตัวขาวโพลน
เด็กชายตัวน้อยรีบตะกายเข้าไปหา
ปัดหิมะออกจากร่างของพวกเขา
นั่นเองเขาจึงพบว่าร่างทั้งหมดตรงนั้นเหลือเพียงโคลงกระดูก
และสิ่งที่เขาคิดว่าหิมะแท้จริงแล้วมันคือเศษขี้เถ้า
ฟิโลโซเฟอร์ถอยหลังหนีลนลาน
นี่มันเรื่องอะไรกัน
มันเกิดขึ้นได้อย่างไร
เขาอยากตะโกนร้อง
แต่ก็ร้องไม่ออก
ได้แต่นั่งตะลึงอยู่ตรงนั้น
“ ยังไม่ตายอีกหรือ เด็กน้อยที่น่ารำคาญแต่เจ้าดวงแข็งได้ไม่นานนักหรอก ”
เสียงราบเรียบคุ้นหูดังแว่วมา
ฟิโลโซเฟอร์จึงยืดกายขึ้น
จ้องมองไปยังทิศทางของเสียง
และเป็นดังที่คิด
ร่างในชุดคลุมยาวยืนสงบนิ่งในหมอกมืดมัว
แต่มีสิ่งหนึ่งแปลกไป
คทาที่อยู่ในมือมีประกายสีแดงเรื่อเรืองปรากฏขึ้น
“ เจ้าเป็นใครกัน ”
เด็กชายตะโกนถาม
“ เจ้าต้องการอะไรกันแน่ ”
คนที่เขาเคยหวาดกลัว
แต่บัดนี้ความโกรธและเกลียดชังครอบงำ
จนลืมความกลัวเสียสิ้น
“ เจ้าทำอะไรลงไป ทำแบบนี้แล้วได้อะไรกัน ”
เด็กชายยังถามอยู่อย่างนั้น
แม้ไร้คำตอบใด
เจ้าของร่างสูงโปร่งก้มหน้าลงเหมือนว่ากำลังสำนึกผิด
แล้วหันหลังเดินจากไป
“ เจ้าปีศาจร้ายหยุดเดี๋ยวนี้เจ้าทำแบบนี้กับข้าไม่ได้ ”
ฟิโลโซเฟอร์วิ่งตามไป
แม้ไร้ซึ่งอาวุธ
แต่เหมือนไล่ตาม
กลับยิ่งห่างไกลออกไปทุกที
เด็กชายเหนื่อยอ่อน
แต่ไม่ยอมแพ้
เขาไล่ตามไปอย่างไม่คิดชีวิต
“ หยุดเถอะข้าขอร้องเจ้า ”
เด็กชายกล่าวออกไป
เพราะไม่รู้จะต้องทำสิ่งใดแล้ว
ไม่น่าเชื่อร่างนั้นได้หยุดลงจริงๆ
“ เจ้าเป็นคนแรกที่เอ่ยคำขอร้องกับข้า ”
ร่างสีดำกล่าวโดยไม่หันกลับมา
และฟิโลโซเฟอร์ก็หยุดอยู่เบื้องหลังเขา
“ ข้าก็ไม่อยากนักหรอก ”
เด็กชายตอบพลางหอบ
เขาพยายามจ้องมองร่างนั้น
แต่ไอกำยานที่ขุ่นข้นทำให้แสบตายิ่งนัก
กลิ่นของมันก็หวานเอียนชวนคลื่นไส้
“ เช่นนั้นเจ้าต้องการสิ่งใด ”
เงาสีดำตรงหน้าเอ่ยถาม
“ ข้าแค่อยากถามว่าเจ้าเห็นดารีลบ้างหรือเปล่า ”
เจ้าของร่างลึกลับนั้นเงียบไปนาน
“ เจ้าไม่เห็นหรือเจ้าไม่รู้ ”
ฟิโลโซเฟอร์ถามย้ำ
“ รู้สิ มีหรือข้าจะไม่รู้ ”
คนผู้นั้นตอบเสียงเย็น
“ แล้วเขาอยู่ที่ไหนสบายดีหรือเปล่า ”
“ เขาตายแล้ว ”
“ ไม่จริงเจ้าโกหก ข้าไม่เชื่อหรอก ”
เด็กชายรู้สึกตกใจไม่น้อยกับคำตอบนั้น
“ ข้าไม่มีเหตุผลใดต้องโกหกเจ้า หรือต้องการให้เห็นกับตา เด็กน้อยเอ๋ยใยเจ้าไม่วางมือจากจอมล่อลวงคนนั้นในเวลาที่เรายังสามารถเป็นเพื่อนกันได้ ดารีลน่ะเอาตัวเองให้รอดยังไม่ได้เลยเจ้าผูกมิตรผิดคนเสียแล้ว ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป จงคุกเข่าลงสาบานต่อหน้าข้าว่าจะติดตามข้าอย่างซื่อสัตย์ตลอดไป ”
“ ไม่ ไม่จริงบอกข้ามา เจ้าเอาเขาไปซ่อนไว้ที่ไหน ”
“ จากนี้ไปจะไม่มีดารีลอีกแล้วเจ้าไม่เข้าใจหรือ ”
“ เจ้าโกหก ข้าไม่มีวันเชื่อคืนเขามานะ ”
“ ก็ได้ ถ้าเจ้าต้องการแบบนั้น ”
เงาร่างดำมืดชักมีดออกมา
มันเป็นมีดสั้นสีเงินประดับเพชรพลอย
ที่เคยปลิดชีพเจ้าหญิงลูเซียน่ามาแล้ว
และเขาคนนั้นก็หันหน้ากลับมาอย่างรวดเร็ว
ดารีลอยู่ในเงื้อมมือของเขานั้นเอง
ปลายมีดแหลมคมลากผ่านลำคองามระหง
รวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาด
เด็กชายได้แต่ยืนตะลึงตาค้าง
เมื่อตั้งสติได้ก็รีบพุ่งเข้าไปหา
ร่างปริศนาในชุดคลุมดำปล่อยดารีลให้ล้มลง
แล้วตัวเขาก็กลายร่างเป็นนกกลางคืนบินมากมายกระจายหนีไป
พร้อมกับเสียงหัวเราะเย้ยหยัน
ฟิโลโซเฟอร์คว้าร่างดารีลเอาไว้ได้
ก่อนที่จะล้มถึงพื้น
แต่ร่างนั้นได้กลายเป็นขี้เถ้าไปต่อหน้าเขา
และยังมีขี้เถ้าอีกมากมาย
ที่ปลิวฟุ้งในอากาศ
เด็กชายตัวน้อยพยายามโกยขี้เถ้าขึ้นมา
ด้วยหัวใจที่แตกสลาย
ดารีลตายแล้วจริงหรือ
เป็นไปไม่ได้
ในก้นบึ้งของหัวใจบอกเขาว่า
ดารีลยังไม่จากไปไหน
ด้วยความสับสนวุ่นวายมากมายใจความคิด
เขาจึงร้องตะโกนออกมา
“ กลับมาเดี๋ยวนี้เจ้าปีศาจร้ายเจ้าคนหลอกลวง กลับมาบอกความจริงกับข้า ข้าไม่เชื่อเจ้าทั้งหมดนี่เป็นภาพมายา เจ้าหลอกข้าไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ”
ทันใดเขาก็รู้สึกเหมือนถูกตบหน้าอย่างแรง
จนหน้าสะบัด
เด็กชายหันหน้ากลับมาเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่ภาพทุกอย่างพร่าเลือน
เขากระพริบตาปริบๆ
แล้วทุกอย่างก็ชัดเจนขึ้น
โลธอร์นั่งอยู่ต่อหน้าเขา
เพื่อนคนอื่นๆ ก็อยู่ที่นั่นด้วย
ไม่มีฝุ่นขี้เถ้าอีกต่อไป
“ ไง อรุณสวัสดิ์ ”
เจ้าเด็กร่างอ้วนทักขึ้นก่อน
หลังจากตบหน้าเขาไป
“ เช้านี้อากาศดีนะน่าวิ่งเล่นออก ”
ฟิโลโซเฟอร์มองไปรอบๆ เห็นมีแต่ทุ่งหญ้า
“ นี่มันอะไรกัน เกิดอะไรขึ้น กองไฟล่ะเต็นท์ล่ะ ”
เด็กชายตัวน้อยถามด้วยความงุนงง
“ เจ้าละเมอน่ะวิ่งออกมาตั้งไกลพวกเราตกใจแทบตาย ”
ฟีไลร่าตอบ
นางยืนเอาสองมือเท้าเข่าก้มลงมองเขา
ที่ยังนั่งกับพื้น
“ ใช่ ไม่ยักกะรู้ว่าพี่ชายวิ่งเร็วขนาดนี้ไล่ตะครุบกันให้วุ่นเลย ”
คาโอเรียว่า
พลางเอาหลังมือถูกรามพี่ชายตรงที่โดนตบ
ซึ่งตอนนี้รู้สึกชาขึ้นมาแล้ว
“ ใช่ ตอนวิ่งหนีผีร้ายไม่วิ่งให้ได้อย่างนี้ล่ะว่าแต่มีใครเห็นอีเลียสบ้าง ”
โลธอร์พูดขึ้น
“ ไม่รู้สิ ตอนนั้นทั้งมืดทั้งวุ่นวายข้าเลยไม่ทันสังเกต ”
เลโอน่าตอบ
“ บ้าจริงหายไปในทุ่งหญ้าไม่ได้นะ เจ้านั่นยิ่งตัวเล็กอยู่ด้วย อีเลียสอยู่ไหน ”
เจ้าเด็กร่างอ้วนตะโกนเรียกคู่หู
“ หนวกหูน่า ข้าอยู่นี่ ”
น้ำเสียงคุ้นเคยดังขึ้นใกล้ๆ
อีเลียสนั่นเองเขาเดินขากระเผลก
โดยมีทหารรับจ้างคนหนึ่งคอยพยุง
“ เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าน่ะ ”
ฟีไลร่าถาม
“ ข้าสะดุดกอหญ้าล้มไปตั้งแต่ตรงโน้น พวกเจ้าก็ใจดำกันนักวิ่งหนีข้าเฉยเลย ”
เด็กชายร่างผอมซีดประท้วง
เขานั่งลงบีบข้อเท้าตนเอง
“ วิ่งกลางทุ่งหญ้าคงไม่สนุกเท่าวิ่งในเมืองสินะ ”
คาโอเรียหัวเราะ
“ ที่ไหนก็ไม่สนุกทั้งนั้น คนอย่างข้าต้องนั่งบนเก้าอี้สูงอ่านตำราถึงจะถูก ”
“ เอาล่ะเลิกวุ่นวายกันเสียที ”
เลโอน่าตัดบท
“ ตอนนี้ก็ใกล้สว่างแล้วกลับบ้านกันเถอะพวกเราจะต้องเตรียมอาหารเช้ากันนะ ”
ทันใดพวกเขาก็ได้ยินเสียงฟ้าผ่ามาจากที่ไกลๆ
เมื่อมองดูก็พบว่าตรงเบื้องหน้านั้นเอง
เงาสีดำของเทือกเขาเดนตาย
หรือที่เรียกกันว่าเทือกเขาเงาปีศาจ
เกิดแสงสีแดงปรากฏขึ้นชัดเจนที่กลางหุบเขา
ดูลึกลับและชั่วร้าย
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
4 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ