ห่มรักเคียงดาว
-
เขียนโดย zusuran
วันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2564 เวลา 09.43 น.
10 ตอน
0 วิจารณ์
5,948 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2565 15.58 น. โดย เจ้าของนิยาย
8) หัวใจที่เต้นอยู่ตรงหน้า
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความความจริงที่ว่าภูผาคือคนที่ได้รับการปลูกถ่ายหัวใจของเคียงดาว มันยังวนเวียนอยู่ในหัวผม
มือของผมวางทาบลงบนอกของอีกฝ่าย หัวใจยังเต้นเป็นจังหวะของมัน
ผมไม่ได้รู้สึกดีและไม่สนใจกับคำว่าปาฏิหาริย์หรือเรื่องบังเอิญอะไรมากมายนัก แต่สิ่งที่ทำให้ผมเจ็บปวดยิ่งกว่าก็คือ การถูกหลอก โดยเฉพาะจากคนตรงหน้า
“ที่ผ่านมานายเข้าหาฉัน คอยดูแลฉันเพราะอยากตอบแทนบุญคุณแค่นั้นเองสินะ”
“..........”
“ถ้าเป็นอย่างนั้น นายก็บอกฉันมาตรงๆก็ได้นี่”
“ใช่.....แต่ไม่ใช่ทั้งหมด”
“หมายความว่ายังไง”
“ผมชอบพี่นะ ธารา”
ตึกตักๆๆๆๆๆ
เหมือนหัวใจกำลังถูกบีบคั้นจากมือที่มองไม่เห็น
ผมรีบดึงมือกลับและนั่งตัวตรง ไม่ได้ลุกออกไปแต่หันหน้าไปอีกทางเพื่อหลบสายตาของคนที่เอาแต่จ้องมองผมไม่วางตา
“ขอบใจที่ชอบฉัน แต่ว่าเราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีกแล้วล่ะ ที่ผ่านมาถือว่านายได้ตอบแทนแล้ว”
“พี่ไม่โกรธผมเหรอ”
“โกรธนายเรื่องอะไร โกรธแล้วจะได้อะไร น้องสาวฉันต่อชีวิตให้นายแล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉันล่ะ ฉันไม่มีอะไรให้นายมาตอบแทนหรอกนะ”
ผมพยายามพูดออกไปให้เรียบง่ายที่สุด แต่ยิ่งพูดผมก็ยิ่งเจ็บหน้าอกเหมือนถูกเข็มแทงยังไงอย่างนั้น มือผมเริ่มสั่น อาการเก่าของผมกำลังจะกลับมา
“นายพักผ่อนเถอะ”
ผมลุกขึ้นยืนแต่ภูผาคว้ามือผมเอาไว้
หมับ!
“อยู่กับผมเถอะ”
“.......เพื่ออะไร”
“ผมต้องต้องการพี่”
“............”
คำพูดของภูผาทำผมเจ็บยิ่งกว่าเดิม ผมสูดหายใจเข้าและสะบัดแขนเบาๆ ถ้าปกติอีกฝ่ายมีแรงคงไม่หลุดจากการเกาะกุมง่ายขนาดนี้ ทว่าตอนนี้ภูผาบาดเจ็บและมีไข้ แม้แต่แรงหยิบจับก็แพ้เด็ก
ผมเดินออกไปจากห้อง ปิดประตู ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ว่าผมกลับหมดแรงลงตรงหน้าประตูซะอย่างนั้น ผมพิงประตูขาสองข้างไม่เหลือแรงจะยืนต่อพาผมรูดลงนั่งบนพื้น ความอึดอัดตีตื้นขึ้นมาจากหัวใจมันกำลังเอ่อล้นออกมาอาบแก้มทั้งสองข้างของผม ผมยกมือปิดปากตัวเองเอาไว้เพราะกลัวคนในห้องได้ยินเสียงสะอื้นของผม
ผมไม่เคยเจ็บปวดอะไรอย่างนี้มาก่อน นี่เป็นครั้งแรกของผมจริงๆ
ความเจ็บปวดที่ไม่เห็นบาดแผลน่ากลัวอย่างนี้นี่เอง
ไม่รู้เวลาผ่านไปนานแค่ไหน ผมกำลังจดจ่ออยู่กับงานตรงหน้าโดยไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้าง สิ่งที่ทำให้ผมหลุดออกมาจากวังวนนั้นได้ก็คืองาน
นี่ก็ผ่านมาสัปดาห์หนึ่งแล้วที่ผมกลับมาที่กรุงเทพ ตั้งแต่วันนั้นผมก็ไม่ได้คุยและเจอกับภูผาอีกเลย ผมออกจากคอนโดมาแต่ตัว และให้เลขาส่วนตัวทำเรื่องจองตั๋วเดินทางให้ทันที
และเมื่อกลับมาถึงบ้านผมก็ทำงานทันที ทุกวันผ่านไป ไม่มีวันจันทร์ไม่มีวันอาทิตย์ ทุกวันของผมคือทุกวัน
“คุณธารา มีแขกมาขอพบค่ะ”
“ถ้าไม่นัดไว้ไม่รับครับ”
“ค่ะ”
จบการสนทนาไร้สาระไปอีกหนึ่งวัน..........
ก๊อกๆๆ...
“บอกแล้วไงว่าไม่นัดไม่รับ”
“ยังบ้างานเหมือนเดิมเลยนะยะ”
เสียงแหลมคุ้นหูสะกิดให้ผมเงยหน้าขึ้นมองและหยุดการกระทำทุกอย่างไปโดยปริยาย
ไซรีนคนสวยสวมสูทกางเกงเข้ารูปสุดเป๊ะยืนเท้าสะเอวข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างก็ยังอยู่ในท่าเคาะประตูสุดเก๋
“ไง หมดวันลาเลี้ยงลูกแล้วรึไง”
“แหม ปากสุนัขแบบนี้สิ ธาราของฉัน”
“หึ”
ผมแค่นหัวเราะในลำคอ วางงานตรงหน้าทุกอย่างก่อนจะลุกขึ้นมาพร้อมกับผายมือเชิญคุณทนายสาวเข้ามานั่งโซฟารับแขกในห้อง
“ดื่มอะไร”
“มีมาเอง ไม่ต้อง”
แม่ลูกอ่อนต้องเซฟตี้ตัวเองสินะ
ผมนั่งคุยงานกับไซรีนอยู่เป็นชั่วโมง เธอเป็นทนายส่วนตัวของผมแน่นอนว่าธุระที่เธอมาหาผมก็ต้องเป็นเรื่องคดีความจิปาฐะที่ผมเจอเป็นประจำในงาน
“ฉันว่าคราวนี้ไม่หมูเหมือนที่ผ่านมาหรอกนะ เรื่องที่ดินบนดอยที่นายกวาดมาทั้งหมดมีแต่พวกเสือหิวจ้องจะมาลงทุนกับนายทั้งนั้น แต่พอนายเขียนสัญญาร่วมกับชาวบ้านออกมาแบบนั้น คนพวกนั้นก็เลยไม่พอใจหาทางเล่นงานนายอยู่”
“ก็แล้วยังไงเล่า จัดการพวกนั้นซะก็สิ้นเรื่อง”
“พูดอย่างกับมันง่ายเหมือนขายขนมนะนายน่ะ เกือบตายมากี่หนแล้วยะ”
“ก็ยังนั่งอยู่กับเธอนี่ไง”
“นายอาจจะไม่โชคดีเหมือนที่ผ่านมาก็ได้”
“หึ”
“ธารา นายน่ะ หัดรักตัวเองบ้างเถอะ”
“ดูยังไงว่าฉันไม่รักตัวเอง นี่ฉันก็ออกกำลังกาย กินอาหารตามหลักโภชนาการทุกวันเลยนะ”
“ไม่ขำย่ะ”
ไม่ว่าผมจะพูดยังไงไซรีนก็ยังแหวใส่ผมไม่เลิก และสุดท้ายเธอก็หัวเสียและทำเป็นหูทวนลมไป ผมไม่อยากให้ใครมาเป็นห่วงเป็นใยผมมากจนเกินเหตุก็เท่านั้นเอง
หลังจากดูกำหนดการขึ้นศาลและส่งไซรีนขึ้นรถเสร็จแล้วผมก็ขับรถกลับบ้าน นอกจากไทด์แล้วผมก็ไม่รับคนขับรถคนอื่น ตอนนี้ไทด์ยังพักฟื้น กว่าจะกลับมาได้ก็น่าจะอีกพักใหญ่ นั่นไม่ใช่ปัญหาเพราะผมเองก็ขับรถเป็น
พรุ่งนี้ต้องไปขึ้นศาลตามที่ไซรีนบอก เอาจริงๆก็เหมือนงานประจำของผมแล้วล่ะ
“เอาเวลาไปหาความสุขใส่ตัวบ้างนะ”
คำพูดสุดท้ายของไซรีนก่อนที่เธอจะกลับเด้งขึ้นมาในหัวผม
นั่นสินะ นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้พักหายใจหายคอเลย
ผมเลี้ยวรถเข้าไปในผับใจกลางเมือง นานมากจนผมแทบจำไม่ได้แล้วว่ามาเยือนที่นี่ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่
ชั้นดาดฟ้าของตึกยี่สิบชั้นเป็นบาร์สำหรับพวกไฮโซมีอันจะกินจะมาโชว์ตัวกัน ผมเดินเข้าไปนั่งหน้าเคาท์เตอร์บาร์
“รับอะไรดีครับ”
“อะไรก็ได้ เอามาเถอะ”
ผมสั่งไปแบบนั้นทั้งที่ไม่เงยหน้ามองบาร์เทนเดอร์ด้วยซ้ำ
“พี่นี่ยังเหมือนเดิมเลยนะ”
กึก!
ผมชะงักและหันไปมองหน้าเจ้าของเสียงนั้นทันที ภูผาในชุดบาร์เทนเดอร์ เป็นไปได้ยังไง
เจ้าหมอนี่มันยิ้มกวนและขยิบตาให้ผมทีหนึ่งก่อนจะหันไปสนใจลูกค้าคนอื่นที่เข้ามานั่งเคาท์เตอร์บาร์อย่างสนิทสนมเป็นกันเองจนโอเวอร์
อ้อ ทำงานอยู่สินะ
เห็นทีผมต้องหลีกทางไกลๆแล้วสิ
ผมถอนหายใจและเตรียมจะลุกออกไปจากที่ตรงนั้นหลังจากกระดกเครื่องดื่มสีนีออนที่บาร์เทนเดอร์เอามาเสิร์ฟทีเดียวหมดแก้ว
วันนี้กลับไปนอนท่าจะดี
แต่พอคิดไปเดินไปได้ยังไม่พ้นประตู แรงกระชากจากด้านหลังก็ทำให้ผมแทบหงายหลัง
“จะไปแล้วเหรอ เพิ่งมาเอง”
“ปล่อยนะ”
ภูผา ไอ้คุณตำรวจ เอ็งจะกระชากคนอื่นเหมือนจับผู้ร้ายทุ่มลงกับพื้นแบบนี้ไม่ได้นะ
ผมทรงตัวยืนได้มั่นคงแล้วก็หันกลับมาเผชิญหน้ากับเจ้าบาร์เทนเดอร์ตัวปลอม
“มาคุยกับคนอื่นเวลางานแบบนี้ดีรึไง”
“พี่รู้ได้ยังไงว่าผมกำลังทำงาน”
“ฉันไม่ได้โง่”
“ครับๆ ผมทำงานจริง แต่ตอนี้ผมอยากคุยกับพี่มากกว่า”
“ทำไม”
“เพราะพี่เป็นตัวละครในงานของผมแล้ว”
“อย่ามาตลก ฉันจะกลับแล้ว”
หมับ!
ภูผาคว้ามือผมและกระชากเข้าไปหาตัว ปกติผมเป็นคนแข็งแรงแต่พอเจอแบบไม่ทันได้ตั้งตัวแบบนี้ก็เล่นเอาเซเข้าไปซบอกมันเสียดื้อๆ แถมยังถูกรั้งเอวเอาไว้อีก
“ปล่อยนะเว้ย”
“อยู่เฉยๆไปก่อนเถอะ”
“เรื่องสิ! อะ!!!...”
จู่ๆผมก็รู้สึกร้อนวูบวาบ หมดแรงเอาเสียดื้อๆ ภูผากระชับตัวผมเข้าไปแนบอกมากกว่าเดิม ทำให้ผมรู้สึกวาบหวามแปลกๆ
ไม่จริงน่า ไม่ใช่มั้ง เหล้าที่กรอกเข้าปากไปเมื่อกี้เหรอ
“รู้ตัวเร็วดีนี่ เอาล่ะ ออกไปก่อนจะวุ่นวายกว่านี้เถอะ”
ว่าแล้วภูผาก็จับแขนผมพาดไหล่และประคองผมออกไป แต่เส้นทางไม่ได้ราบรื่นขนาดนั้น
“เอ่อ โทษนะน้อง พอดีเขาเป็นเพื่อนเราเอง เดี๋ยวเราพาเขากลับเอง”
คนพวกนี้มาจากไหน ผมไม่เคยเห็นหน้าเลย อย่าบอกนะว่าเจ้าพวกนี้มันวางยาผม
“ไม่ได้หรอกครับ พอดีลูกค้าท่านนี้เรียกใช้บริการผม แถมเขายังจ่ายผมเยอะด้วย”
“งั้นเราจะจ่ายน้องเพิ่ม”
“คงไม่ได้หรอกครับ”
“เอ๊ะ! ไอ้นี่ อยากตกงานรึไงวะ รู้รึเปล่าว่าพวกกูเป็นใคร”
“พวกฉวยโอกาสเอาเมียชาวบ้านไง”
ผมได้ยินภูผามันพูดออกไปเต็มสองหู อยากหยิกหลังมันแรงๆชะมัดแต่ติดตรงที่ผมไม่มีแรง!!!
ผมรู้สึกถึงแรงเคลื่อนไหวแต่ก็ไม่รู้ว่าภูผาพาผมฝ่าวงล้อมของพวกบ้านั่นมาได้ยังไง และตอนนี้ผมก็นอนหมดแรงแผ่เป็นปลาแห้งอยู่บนเตียงในห้องพักของโรงแรม
ผมทั้งร้อน ทั้งอึดอัด แต่ก็ไม่มีแรงจะดึงกระดุมเสื้อออกเลย
“ทรมานล่ะสิ”
“อืม”
“เดี๋ยวผมปลดกระดุมให้นะ”
ภูผานั่งคร่อมบนตัวผมและปลดกระดุมออกทีละเม็ดพร้อมกับปลดเข็มขัดคลายความอึดอัดออกได้บางส่วน ผมพยายามยกมือปัดป่ายมือของอีกฝ่ายที่สะละวนอยู่บนตัวผมออกไปอย่างสะเปะสะปะ แต่แรงผมไม่มี สุดท้ายแขนสองข้างของผมก็ภูกภูผารวบตรึงไว้เหนือศีรษะ
“จะทำอะไร”
“ทายสิว่าผมจะทำอะไร”
“ออกไป”
“ขอปฏิเสธ พี่เล่นทิ้งผมมาไม่บอกไม่กล่าว รู้ไหมผมรู้สึกยังไง”
“หึ ทำไม จะให้สำนึกผิดกับคนที่เอาหัวใจของน้องสาวฉันไปใช้งั้นสิ นายนี่มันคนดวงดีจริงๆ เอาหัวใจน้องไปใช้แล้วยังได้เอาพี่มันอีก”
ผมระบายความอึดอัดที่ค้างคาในใจตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมอยากรู้ว่าสีหน้าภูผาจะเป็นยังไง มันจะรู้สึกเหมือนอย่างที่ผมรู้สึกอยู่ตอนนี้ไหม
ภูผาปล่อยมือผมเป็นอิสระและดึงผมลุกนั่ง แต่ผมไม่มีแรงพอลุกขึ้นนั่งอาการมึนงงก็เล่นงานหนักกว่าเดิมจนผมหงายเท้งเต้งลงไปอีก แต่ภูผาช้อนหลังผมเอาไว้และรั้งศีรษะผมเข้าไปแนบอก หูผมข้างหนึ่งแนบอกของอีกฝ่าย เสียงหัวใจเต้นเป็นจังหวะชัดเจน
“ฟังสิ”
ผมไม่ขยับไปไหนได้แต่หลับตาข่มอารมณ์ที่กำลังเล่นงานร่างกายตัวเองอยู่ตอนนี้ มันกำลังควบคุมผมจนผมแทบบ้าแล้ว
ผมยกมือดันแผงอกนั้นออกห่างตัวแต่เหมือนการผลักของผมจะเป็นการลูบไล้อีกฝ่ายเสียมากกว่า
อารมณ์วูบวาบเริ่มรุกผมหนักขึ้นเรื่อยๆ จนผมอยู่ไม่สุข
“ทนไม่ไหวแล้วเหรอ”
“หนวกหูน่ะ ปล่อยฉันซะที”
“อย่าพูดอะไรไม่ตรงกับใจสิ”
“ถ้าฉันปกติจะไม่ทำ อ๊ะ!”
“ใช่ ถ้าพี่ปกติคงไม่ทำแบบนี้ก่อนหรอก ดูสิ หน้าของพี่เหมือนดาวยั่วไม่มีผิดเลย ธารา”
ผมอยากด่าไอ้บ้านี่ไปแรงๆแต่ไม่รู้จะสรรหาคำพูดไหนมาด่า ในหัวผมมึนตื้อไปหมด ร่างกายก็เบียดเข้าหาร่างกำยำตรงหน้าอีก
ผมมองเห็นภูผายิ้มกริ่ม ก่อนที่มันจะก้มลงมอบจูบลึกซึ้งให้ผมที่เผยอรอรับ
“อื้ม.....”
ผมตอบรับการรุกรานในโพรงปากนั้นอย่างเมามัน ได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจกระเส่าของตัวเอง ในขณะที่ร่างกายของผมยิ่งถูกสัมผัสก็ยิ่งสั่นสะท้านบิดเร้ารับสัมผัสนั้นอย่างหน้าไม่อาย
ตุ้บ!
“แฮ่กๆๆ....”
ผมล้มตัวลงนอนหอบหายใจหลังจากผ่านกิจกรรมรักมาค่อนคืน เหงื่อโซมกายผสมกับความเปียกชื้นเหนียวเหนอะทำให้ผมไม่สบายตัวจนต้องลุกเข้าไปล้างตัวในห้องน้ำอีกครั้ง
ผมมองร่างกายตัวเองผ่านกระจก คิสมาร์คแต่งแต้มไปทั่วร่างจนแทบไม่เหลือพื้นที่ว่าง บอกได้ชัดเจนว่ามันผ่านศึกหนักมามากขนาดไหน ถ้าผมไม่ใช่คนที่แต่งตัวมิดชิดตลอดเวลาผู้คนคงจะถามผมไม่ต่ำกว่าร้อยคำถามต่อวันแน่
ฟึ่บ!
วงแขนเต็มไปด้วยริ้วกล้ามสวมกอดร่างกายเปลือยเปล่าของผมจากด้านหลัง พร้อมกับใบหน้าที่ฝังลงบนไหล่ผมอย่างเคยชิน ผมขืนตัวออกจากอ้อมแขนนั้นตามนิสัยของคนขี้หงุดหงิด ทว่าหลายครั้งผมก็ไม่เคยเอาชนะแรงคนข้างหลังได้เลย สุดท้ายแล้วผมเองนั่นแหละที่ยอมจำนนและปล่อยให้มันซุกไซร้ตามสบาย
“ฉันเหนียวตัวอยากอาบน้ำ”
“ผมช่วย”
“ไม่ต้อง ออกไปเลยไป”
“ไม่เอาน่า”
แล้วภูผาก็เลื่อนมือลงมากอบกุมเจ้าสัตว์ร้ายกลางกายผม กระตุ้นมันให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้งอย่างง่ายดาย
“อึก! พอได้แล้ว เมื่อคืนก็มากพอแล้ว”
“คำพูดไม่ตรงกับใจเลยนะ ยาหมดฤทธิ์แล้วเหรอ”
“อ๊ะ!”
ผมสะดุ้งแอ่นตัวเป็นสะพานโค้งไปด้านหน้าทันทีที่ช่องทางด้านหลังถูกทะลุทะลวงเข้ามาอย่างไม่เปิดโอกาสให้ตั้งตัว เพราะมีร่องรอยจากครั้งที่ผ่านมามันจึงไม่เจ็บมากและแปรเปลี่ยนเป็นความเสียวกระสันได้ง่ายๆ
มือสองข้างของผมยกค้ำยันกับกระจกด้านหน้า ในขณะที่ขาทั้งสองของผมถูกยกขึ้นลอยไปด้านหลังจนหน้าท้องของผมครูดไปกับเคาท์เตอร์หน้ากระจก
“อั่ก!อ่ะ พอที หยุดได้แล้ว!”
ผมพยายามร้องขอให้ภูผาหยุดการกระทำทั้งหมด แต่ยิ่งส่งเสียงร้องขอไปเท่าไหร่การกระทำจากคนด้านหลังก็ยิ่งรุนแรงขึ้นและกระตุ้นร่างกายผมให้ตอบสนองมากเท่านั้น
ก่อนที่บทรักร้อนแรงจะจบลงที่เช้าของอีกวันพร้อมกับผมที่นอนซมเพราะความระบม
“ฉันจะฆ่าแก”
“พูดอะไรไม่ตรงกับใจชะมัด”
ภูผาวางผ้าเย็นลงบนหน้าผากผม ดูเขาจะช่ำชองในการดูแลคนไข้ซะเหลือเกิน
“วันนี้ผมมีงานต้องทำ พี่พักผ่อนอยู่ที่ก่อนอย่าออกไปไหนล่ะ เดี๋ยวผมเอาเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้”
“ฉันจะกลับบ้านฉัน”
“ตอนนี้พี่ยังกลับไม่ได้”
“ทำแบบนี้ทำไม”
ผมเป็นคนตรงไปตรงมา การตั้งคำถามแบบนี้ไม่ได้ทำให้ผมลำบากอะไรมากมาย
“ทำอะไร”
“คนปกติที่ไหนเขาทำกันบ้างวะ ฮะ!”
“เหมือนผมจะบอกพี่ไปหลายครั้งแล้วนะ”
“คิดว่าฉันจะเชื่อนายงั้นเหรอ”
ภูผาไม่พูดต่อและก้มมาจูบหน้าผากผมก่อนจะรีบยืดตัวลุกขึ้นเต็มความสูงและเดินออกไป
“เอาไว้ผมจะรีบกลับ ”
“ฮึ!”
เสียงปิดประตูบอกให้รู้ว่าเขาออกไปแล้ว ผมนอนมองเพดานไปเรื่อยๆหวังว่าจะเคลิ้มหลับ เอาเถอะ พอเจ้านั่นกลับมาผมก็จะกลับบ้านไปทำงานต่อ
ผมหลับไปครึ่งค่อนวัน เมื่อลืมตาตื่นและมองดูนาฬิกาก็ปาเข้าไปเย็นย่ำแล้ว ภูผายังไม่กลับ เห็นทีผมต้องออกไปก่อน
ผมลุกขึ้นมองหาเสื้อผ้า แต่ไม่เห็นชุดเดิมที่เคยใส่นอกจากชุดลำลองที่พับวางไว้บนเตียง ช่างเถอะ เสื้อผ้าผมมีตั้งเยอะ หายไปชุดสองชุดก็ไม่เดือดร้อน หลังจากจัดการตัวเองเสร็จ เดินออกมาจากห้องนอนมาที่ส่วนของห้องโถง หยิบกุญแจรถ โทรศัพท์มือถือ นาฬิกา และตรงไปที่ประตู แต่ว่า
แกร๊ก!
ประตูห้องถูกเปิดเข้ามาก่อนที่ผมจะจับกลอนประตู และคนที่เปิดเข้ามาก็ไม่ใช่ภูผา
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ