The Hell I Have Become ร่างทรงปิศาจ

-

เขียนโดย VerbaArcana

วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2564 เวลา 23.38 น.

  4 chapter
  0 วิจารณ์
  4,439 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 22.42 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) ในคุกใต้ดิน (In the dungeon) NC for Sexual Assault

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

Warning! NC for Sexual Assault and Violence มีฉากข่มขืน ทำร้ายร่างกาย และความรุนแรง

เนื้อหานี้เป็นเรื่องแต่ง ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ หน่วยงานนั้นๆ หรือบุคคลจริงๆ เขียนขึ้นจากจินตนาการของผู้แต่งล้วนๆ ข้อมูลอาจไม่ตรงหรือถูกบิดเบือนไปบ้างเพื่อความลื่นไหลในการเขียนและไม่กระทบเส้นเรือง ขออภัยหากมีข้อผิดพลาด

 https://www.readawrite.com/a/cbf97cba8de4da318fdce3925422618d

 

เวลาแห่งการเดินทางแม้เพียงแค่จากเนินป้อมปราสาททางทิศเหนือของตัวเมืองลงมายังคฤหาสน์อลิสัน บ้านพักตากอากาศของพวกอาร์ชิบอลด์ทางทิศตะวันออก ช่างแสนยาวนานราวกับเป็นแรมเดือน

 

แม้ขึ้นชื่อว่าเป็นคฤหาสน์สมัยใหม่ซึ่งเพิ่งสร้างเสร็จไปเมื่อไม่กี่สิบปีก่อน ต่างกับป้อมปราสาทคอร์วินัสที่อยู่มาเกือบพันปี กระนั้นคฤหาสน์ที่แต่เดิมเป็นของตระกูลอลิสัน บนพื้นที่หลายร้อยไร่นี้ก็มีคุกใต้ดินเช่นกัน และมันจะเป็นที่จองจำนักโทษคนใหม่อย่าง อาชชี่ โคเว่น เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการไต่สวน

 

นักโทษหนุ่มร่างสูง กำยำ ท่อนบนเปลือยเปล่า ถูกคุมตัวโดยมีผ้าสีดำคลุมศีรษะมาตลอดการเดินเท้าต่อเข้ามายังคุกใต้ดิน เขาได้กลิ่นอับชื้นของผนังปูนและไม้ รวมถึงไออุ่นร้อนและแสงสว่างลอดรำไรคล้ายมีคบไฟจุดอยู่ตามทางเดิน 

 

จวบจนเมื่อถูกกดตัวให้นั่งลงกับบางสิ่งคล้ายแท่นหินเย็นเฉียบ ท่ามกลางความมืดมิด จนแทบไม่เห็นแสงลอดผ่าน ทหารอาร์ชิบอลด์จึงได้ถอดผ้าคลุมหัวออก

 

อาชชี่ โคเว่น พบตนเองไม่ได้ถูกพันธนาการที่คออีกต่อไป หากแต่มีโซ่ตรวนล่ามเขาไว้ที่ข้อเท้าข้างหนึ่งแทน มือทั้งสองมีเชือกมัดไพล่หลังแน่นหนา

 

เมื่อนำเขามาจองจำในห้องขังชั้นลึกสุดเรียบร้อย ทหารเหล่านั้นจึงพากันเดินออกไป ปล่อยชายหนุ่มอดีตขุนนางยศสูงร่างสะบักสะบอมไว้ให้นั่งคอตกอยู่เพียงลำพังในห้องมืดสลัวที่มีเพียงช่องเล็กๆ เจาะมาจากผิวดินด้านบนพอให้แสงจันทร์ลอดผ่าน

 

อาชชี่ โคเว่น แหงนหน้ามองดวงจันทร์บิดเบี้ยวพลางถอนหายใจด้วยความเหนื่อยล้า แม้อยากจะร้องไห้อีกสักปานใด แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีน้ำตาเหลือให้หยาดหยดอีกแล้ว

 

เมื่อตกอยู่ในความมืดมิดและเงียบสงัด เขาจึงใช้เวลาที่มี เฝ้าหวนนึกถึงแต่เพียงเสียงทะเลาะเบาะแว้งระหว่างตนและน้องสาว เสียงมารดาและสหายที่คอยห้าม เสียงของทุกคำพูดเสียดแทงทำร้ายจิตใจที่สองพี่น้องสาดใส่กัน ทุกเสียงเหล่านั้นที่ไม่น่าจดจำ มาบัดนี้กลับยิ่งแจ่มชัดในมโนทัศน์ราวกับฉากการแสดง 

 

“พรุ่งนี้ข้าจะตามพวกเจ้าไป รอก่อนนะ….” อาชชี่ รำพึง สองหูยินเสียงสัตว์กลางคืนร้อง

 

ในห้วงความคิดนั้น ขณะกำลังทะเลาะกับน้องสาว เขาเหลือบเห็นบีอาทริเช่ ภรรยาผู้ยังคงยึดติดกับชีวิตหลากสีสันในเมืองหลวง เดินอุ้มบุตรชายของเขา แมกจิโอ อาช ออกไปเงียบๆ

 

“ก็แค่จะไปงานสังสรรค์เหมือนเคยมิใช่หรือ…" ชายหนุ่มเริ่มฟุ้งซ่าน "ก็ต้องอยู่ที่นี่สิ คฤหาสน์อลิสัน หรือไปร้านเหล้าในเมือง” เขาพูดพล่ามอยู่คนเดียว

 

“จะว่าไปก็ไม่เห็นทั้งสองคนเลย พระเจ้า...แมกจิโอ ลูกพ่อ เจ้ากับแม่ของเจ้าไปอยู่เสียที่ไหน...จริงสิ! พวกเขาอยู่ที่ไหนกัน! ” ชายหนุ่มเริ่มร้อนรน

 

“หรือจะถูกทำร้ายตั้งแต่ตรงทางเข้า...โอ...ไม่นะ แมกจี้! บี! ...” ยิ่งคิดก็ยิ่งกระวนกระวาย

 

แต่แล้วก็นึกได้ว่าระหว่างทางที่ถูกลากมา เขาไม่เห็นศพทารกหรือหญิงสูงศักดิ์ในชุดราตรีฟูฟ่องเลย คิดได้เช่นนั้นจึงค่อยกลับมาสงบจิตสงบใจได้บ้าง แต่ก็มิอาจปล่อยวางได้เสียทีเดียวเพราะยังไม่รู้แน่ชัดว่าชะตาของสองชีวิตนั้นเป็นเช่นไร

 

“ขอให้ลูกและภรรยาของข้าจงปลอดภัย” 

 

อาชชี่ โคเว่น เลื่อนตัวลงไปนั่งคุกเข่า ท้าวศอกบนแท่นหิน สองมือประสานกัน แล้วเริ่มสวดภาวนาเป็นประโยคเดิมซ้ำๆ ถึงลูกและภรรยา อันเป็นสิ่งที่เขาแทบจะไม่ค่อยได้ทำนักในชีวิตนี้

 

ระหว่างนั้นยินเสียงเหมือนคนไขกุญแจเปิดประตู พร้อมๆ กับแสงตะเกียงดวงใหญ่ส่องสว่างสาดเข้ามาในห้องขังอันมืดมิด เขาค่อยๆ เหลียวไปมองยังต้นเสียง เพียงเห็นหน้า ชายหนุ่มก็แทบอยากจะพุ่งเข้าไปบีบคอหรือทำอะไรก็ได้ที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่จะจินตนาการออกกับเจ้าปิศาจในชุดขาวซึ่งกำลังเดินตรงเข้ามาหาพร้อมถังน้ำและผ้าสีขาวพาดอยู่ตรงขอบ

 

“ภรรยาและลูกของเจ้าปลอดภัยดี…” มันกล่าวราวกับได้ยินเสียงสวดภาวนา

 

อาชชี่ โคเว่นค่อยๆ ยันตัวกลับขึ้นไปนั่งบนแท่นหิน เห็นมันย่อตัวนั่งคุกเข่าลงตรงหน้า ดูแปลกตาอย่างไรบอกไม่ถูก

 

“เผื่อเจ้าอยากรู้ นางกับลูกพักอยู่ในห้องที่พวกข้าจัดไว้ให้ เราดูแลนางในฐานะทูตระหว่างสองตระกูล” มันวางถังน้ำไว้ข้างกาย ก่อนควักมีดพกเล่มเล็กออกมาจากกระเป๋าเสื้อคลุมด้านใน

 

“จะทำอะไร…” ชายหนุ่มนักโทษถาม แต่อีกฝ่ายไม่ตอบกลับก้มหน้าก้มตาตัดกางเกงเปรอะเลือดที่มีผ้าพันแบบลวกๆ รอบบาดแผลกระสุนของเขาออก จนเหลือเพียงร่างเปลือยเปล่า จากนั้นเจ้าโลเทรคจึงใช้ผ้าชุบน้ำซับเบาๆ ไปที่บาดแผลตรงต้นขา

 

"ข้าตั้งใจยิงถากๆ ไม่งั้นเจ้าอาจเสียเลือดจนตาย…” มันเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้อย่างเป็นมิตร

 

อีกฝ่ายถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วเบือนหน้าหนี จำใจทนให้มันเอาผ้าชุบน้ำเช็ดทั่วร่าง โลเทรคเลิกคิ้วเล็กน้อยอย่างเสียมิได้ก่อนก้มหน้าลงเช็ดตัวเขาต่อ

 

“หลายปีมานี้ฝีมือยิงปืนของข้าแม่นขึ้นมาก เจ้าเชื่อมั้ย ฮะๆๆ …” มันหลุดหัวเราะ อาชชี่หันกลับมาเขม็งมอง เมื่อเห็นดังนั้นเจ้าปิศาจผมทองจึงหยุด ทำทีกระแอมกลบเกลื่อน

 

“แฮ่ม...นานมากที่ข้าไม่ได้คุยกับเจ้าจริงๆ จังๆ แบบนี้ ตั้งแต่สมัยเรียน แล้วก็สงครามปราบกบฏ มาจนถึงสงครามล่าอาณานิคม” มันเริ่มระลึกความหลังพลางควักผ้าสีขาวสะอาดที่เตรียมไว้ ขึ้นมาพันแผลที่ต้นขาให้กับเขา

 

“ตอนนั้น หลังเราจบใหม่ๆ พวกเราก็ก้าวเข้าสู่สมรภูมิรบกับพวกแบ่งแยกดินแดน ข้า...ข้าตื่นเต้นมากที่ได้เห็นเจ้า...เจ้า...คือความหวังของพวกทหารรุ่นใหม่ ที่เปิดทางให้เราได้ฝันถึงการได้เป็นคนนำทัพตั้งแต่อายุยังน้อย…”

 

อาชชี่ โคเว่น เอนหลังพิงผนัง กลอกตามองเพดาน โลเทรค อาร์ชิบอลด์ ยังพล่ามต่อ สองมือง่วนอยู่กับการทำแผลและทำความสะอาดเนื้อตัวของเขา

 

“ทุกคนคิดว่า เจ้าได้นำกองร้อยก็พอแล้ว แต่ไม่..เจ้าไปไกลกว่านั้น ในสงครามล่าอาณานิคมที่สู้รบกับพวกชนพื้นเมือง พระเจ้า! เจ้าขึ้นเป็นผู้บัญชาการ! แต่...แต่เจ้าจำได้ไหม...ที่เจ้าช่วยข้าไว้...เจ้าช่วยข้าไว้หลายหนตั้งแต่ตอนเรียนอยู่ จนถึงช่วงศึกสงคราม แม้ว่าเจ้าจะพูดไม่ดีใส่...เจ้าไม่ได้ตั้งใจใช่ไหม หรือแค่หงุดหงิด…” ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีทองเป็นลอนคลื่น ดวงตาสีน้ำตาลทองอ่อน จ้องหน้าเขาเหมือนพยายามเค้นเอาคำตอบ สองมือบีบคลึงต้นขาแน่นเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อนั้นไปมาโดยไม่รู้ตัว จนหนุ่มนักโทษรู้สึกขยะแขยง

 

"เอามือออกไป…" ถ้าเพียงแต่เขามีแรงอีกสักหน่อยคงได้ลุกกระทืบมัน

 

“โอ้...โทษที" มันปล่อยมือ "เสร็จพอดี"

 

โลเทรค หันไปเอาผ้าชุบน้ำบิดหมาด "เจ้า...เอ่อ...ไม่ได้ชอบข้านัก ข้ารู้ แต่ว่า...ทำไม...ทำไม เจ้าถึงได้ตามมาช่วยข้าตลอดเลย ข้ายังจำได้วันนั้นที่เราสู้กับพวกชนพื้นเมืองตัวใหญ่ ที่เราสองคนช่วยกันไง เจ้าจำได้มั้ย…”

 

ยิ่งมันพูดพล่ามรำพันมากเท่าไหร่ อาชชี่ โคเว่นก็ยิ่งได้ยินเสียงหัวใจของตนเต้นแรงขึ้น แรงขึ้น กระทั่งเสียงพร่ำเพ้อพรรณนาของเจ้าปิศาจผมทองค่อยๆ จมหายไปกับห้วงมโนแห่งโทสะ ลมหายใจที่เข้าออกแต่ละครั้ง ลึก ยาว และถี่ขึ้นเรื่อยๆ ร่างทั้งร่างเริ่มสั่นเทิ้มเบาๆ ด้วยพยายามสะกดกลั้นความโกรธที่เกาะเกี่ยวก่อตัวขึ้นในจิตใจ เขาไม่ได้ยินอะไรนอกจากเสียง 'จี๊ด' ดังลากยาวท่ามกลางความเงียบสงัดราวกับคนที่ตกอยู่ในอาการหูอื้อชั่วขณะ

 

“...เจ้าช่วยข้าน่ะ ข้าดีใจ...แต่คำพูดของเจ้า...ไม่คิดว่ามันจะแรงไปหน่อยเหรอ...ข้าเสียใจมากนะ...ข้าไม่เคยที่จะได้อยู่ในจุดนั้นแบบที่เจ้าเป็น...แต่...คนเรามันไม่เหมือนกัน ข้าพยายามแล้ว...ทั้งพ่อของข้าก็กดดัน...แล้วก็….”

 

ยังไม่ทันที่โลเทรค จะพล่ามอะไรได้มากไปกว่านี้ ชายหนุ่มจึงยกเท้าข้างหนึ่งที่ไม่ได้โดนตีตรวน ถีบใบหน้าของมันเสียเต็มแรง ร่างนั้นกระเด็นไปโดนถังน้ำจนหกเลอะเทอะ เลือดกำเดาไหลโกรก อาชชี่ โคเว่น ลุกขึ้นแล้วสืบเท้าเข้าหาด้วยความโกรธจัด เจ้าโลเทรค ดันตัวถอยไปชนกับขอบบันไดของประตูห้องขังด้วยความตกใจ

 

“ที่ช่วย...ก็เพราะสมเพชไง! ”

 

ชายหนุ่มผมดำระเบิดเสียง อีกแค่ไม่กี่ก้าวก็จะไปถึงตัวมัน แต่กลับต้องมาหยุดชะงักเพราะโซ่ตรวนที่ดึงรั้งขาข้างนั้นเสียก่อน ชายหนุ่มเผลอเหลียวกลับไปมองเพียงไม่กี่อึดใจ ก่อนสะดุ้งสุดตัวเมื่อรู้สึกได้ถึงแรงบีบที่คอของตน

 

เจ้าโลเทรค อาร์ชิบอลด์ ยันร่างขึ้นตั้งหลักอย่างรวดเร็วแล้วคว้าคอเขาด้วยความโมโห ก่อนกระแทกร่างนั้นเข้ากับม้านั่งหิน แล้วกระหน่ำชกอย่างรุนแรงที่ใบหน้า เลือดกบปาก

 

“สมเพชงั้นเหรอ! คิดดีแล้วใช่มั้ย ที่พูดคำนั้นออกมา! ”

มันหยุดชก แล้วใช้แขนข้างเดียวกันนั้นกดหน้าอกช่วงบนของอีกฝ่ายไว้ ส่วนอีกข้างเปลี่ยนไปแก้กางเกงตัวเองออก

“แต่ข้าไม่คิดว่าข้าจะเหมาะกับคำนั้น…” มันกรีดยิ้ม

 

อาชชี่ โคเว่น สำลักเลือดที่ไหลย้อนลงคอจนน้ำสีแดงข้นกระเซ็นสาดเป็นฝอย พลันสัมผัสได้ถึงไออุ่นร้อนบดเบียดถูไถอยู่ตรงช่วงล่าง โลเทรค อาร์ชิบอลด์ ใช้มือเขย่าสิ่งที่อยู่บริเวณหว่างขาของตน ดวงตาจ้องเขม็งตรงมายังใบหน้าตื่นตระหนกของเขา

 

เจ้าปิศาจชุดขาวพ่นลมหายใจหอบถี่พลุ่งพล่าน ก่อนสอดมือข้างหนึ่งเข้าไปยกต้นขาชายหนุ่มคู่อริที่บังอาจปากดีกับตน แล้วเสือกร่างแทรกผ่านบั้นท้ายนั้น ชายหนุ่มผมดำพลันกระตุกขึ้นตามแรงส่ง น้ำตาที่คิดว่าเหือดแห้งกลับหลั่งรินออกมาอย่างไม่อาจควบคุม รู้สึกจุก เสียดแน่นตรงส่วนล่าง ร้าวลามมาถึงช่องท้อง เรี่ยวแรงที่เขาอุตส่าห์ดีใจคิดว่ากลับมามลายหายไปสิ้นอีกครั้ง ดวงตาสีฟ้าเบิกโพลงแข็งค้างด้วยความเจ็บปวด

 

"อึ๊ก! " เขาส่งเสียงออกมาอย่างช่วยไม่ได้

 

โลเทรค อาร์ชิบอลด์ เอามืออีกข้างกดคออาชชี่ โคเว่น ไว้

 

“ทีนี้นึกออกรึยังว่าทำไมถึงชอบมาช่วยข้าน่ะ ห๊ะ! นึกออกรึยัง! ”

 

มันถอนส่วนล่างออกจากกายของอาชชี่ โคเว่น ชายหนุ่มผมดำถึงกับสำลักหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะกระตุกตัวโยนเมื่อเจ้าปิศาจชั่วช้ากระแทกเนื้อหนังเข้าใส่เขาอีกครั้ง คราวนี้มันโน้มทับเนินหน้าท้องแข็งแรงของเขาแล้วเริ่มขยับเข้าออก แขนข้างหนึ่งดึงขาขึ้นพาดบ่า ลมหายใจร้อนระอุรดต้นคอ

 

“สมเพชงั้นเหรอ ดูสารรูปตัวเองซะก่อนว่าใครกันที่มันน่าสมเพช! ”

 

ร่างของอาชชี่ โคเว่น ถูกโขยกไปมาจนเขาต้องหลับตา กัดฟันแน่นด้วยความเจ็บปวด ภาพแม่กับน้องสาวที่ถูกรุมข่มขืนแทรกกลับเข้ามาในหัว ร่างของพวกเธอโยกคลอนไม่ต่างกันกับเขาในตอนนี้ มันทั้งเจ็บปวดและน่าอดสูอย่างที่ไม่เคยรู้สึกว่าความอับอายใดจะมาเทียบเทียม

 

ชายหนุ่มพยายามรวบรวมพลังอีกครั้ง แม้จะถูกกระทำชำเราอย่างรุนแรง เขาพยายามแก้เชือกที่มัดมืออยู่ด้านหลัง ใช้พละกำลังทั้งหมดที่มีกระชากมันขาด แล้วเหวี่ยงหมัดเข้าใส่ใบหน้าของโลเทรคอย่างเต็มแรง เจ้าปิศาจถึงกับเซถลา ริมฝีปากแตก

 

คราวนี้อาชชี่ทั้งพยายามผลักและถีบ แต่นั่นรังแต่จะทำให้อีกฝ่ายยิ่งโมโห มันทำตัวแข็งขืนราวกับโล่แม้โดนเตะถีบที่อกและท้องซ้ำๆ อาศัยจังหวะคว้าขาของเขาลากลงมาจากแท่นหิน อีกมือหนึ่งเอื้อมไปพลิกใหล่ชายหนุ่มผมดำให้หันหลังนั่งคุกเข่า กดใบหน้าซีกหนึ่งแนบกับแท่นนั้น ส่วนอีกข้างรวบแขนแข็งแรงไว้ที่หลัง แล้วใช้เท้าเขี่ยต้นขาสองข้างให้อ้ากว้างออก ก่อนนั่งลงคุกเข่าตาม กระชากสะโพกหนั่นแน่นเข้าหาตัว ชายหนุ่มผมดำถึงกับน้ำตาเล็ดอีกครั้ง

 

“ข้าไม่ใช่คนเดิมที่เจ้าเคยรู้จัก ไม่ใช่ไอ้ปัญญาอ่อนคนนั้นอีกต่อไปแล้ว รู้ไว้ซะ! ถอนคำพูดเดี๋ยวนี้ ไอ้สวะ! ” โลเทรค อาร์ชิบอลด์ คำราม อาชชี่ โคเว่น ยิ่งขบกรามแน่นระหว่างถูกกระแทกกระทั้นอย่างรุนแรงขึ้นกว่าเดิม

 

“ถอนคำพูดเดี๋ยวนี้! ที่ข้าต้องการก็คือคำขอโทษจากปากเน่าๆ ของไอ้พวกเย่อหยิ่งจองหองอย่างเจ้า! ” มันตะโกนกรอกหูพลางเร่งจังหวะรัวกระชั้นถี่ขึ้น

 

“ข้าต้องพยายามมากแค่ไหนเจ้าไม่มีวันรู้! ”

 

แม้จะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างกับปิศาจตนนี้ในช่วงชีวิตที่ผ่านมา แต่ทว่าด้วยการกระทำอันหยาบช้าของมันนั้นไม่ได้ทำให้ อาชชี่ โคเว่น เข้าใจอะไรในตัวมันได้ดีขึ้นเลย

 

เขาหลับตาแน่นสู้กับความเจ็บปวดที่แล่นร้าวไปทั่วร่าง พยายามรวบรวมเสียงที่เปล่งออกมาไม่เป็นภาษาให้กลายเป็นคำพูด

 

“ฮึก...เพราะแบบนี้ไง...เจ้า...อึ๊ก! ..ถึงได้น่าสมเพช! ” เขากลืนน้ำลายรสเลือดลงคอ เร่งเชื้อไฟให้ยิ่งโหมกระพือ

 

โลเทรคจิกศีรษะของเขากระแทกเข้ากับม้านั่งหินจนชายหนุ่มเกิดอาการมึน หน้าผากแตกเป็นแผล

 

“ดี...งั้นก็เผชิญหน้ากับสิ่งนี้อย่างที่ผู้หญิงเค้าโดนกัน ทนได้ก็ทนไป...” โลเทรค อาร์ชิบอลด์ ยิ้มเยาะ สองมือกอดกุมสะโพกของอีกฝ่าย มันยังคงตั้งหน้าตั้งตาข่มขืนเขาต่อไปด้วยความโมโห

 

ระหว่างนั้นเอง บีอาทริเช่ เดส์ ลูมิเยร์ เกิดนึกครึ้มใจอันใดมิทราบ อยากจะพบหน้าสามีที่นางเคยรักเป็นครั้งสุดท้าย จึงได้รวบรวมความกล้าเดินลงมายังคุกใต้ดินเพียงลำพังพร้อมตะกร้าใส่ขนมปัง ผักผลไม้ และเครื่องดื่ม โดยมีทหารอาร์ชิบอลด์ที่เฝ้าหน้าทางเข้าเป็นผู้นำทาง

 

ระหว่างถูกนำไปยังห้องขังที่อยู่ลึกที่สุดของคุกนั้น นางสังเกตเห็นว่าทั้งที่ไม่มีใครอยู่เฝ้า แต่กลับได้ยินเสียงดังอึกอักลอดออกมา บีอาทริเช่ ถือเชิงเทียนตรงเข้าไปสอดส่ายสายตาผ่านช่องประตูคุก เห็นเพียงแสงสว่างกับเงาสั่นไหวของบางอย่างที่คล้ายกับจะเป็นคนสองคนทอดผ่านไปยังผนังฝั่งตรงข้าม

 

"อาชช์...นอนรึยัง! " นางเอ่ยถาม "ทำอะไรอยู่" หญิงสาวบ่นก่อนจะหันไปบอกทหารยาม

 

“เปิดประตูซะทีสิ มัวยึกยักอยู่ได้”

 

ใช้เวลาไม่นานประตูก็เปิดออก หญิงสาวที่สวมชุดนอนสีขาวกระโปรงยาวติดระบายรอบคอ กระชับผ้าคลุมขนสัตว์กันความหนาว เดินถือเชิงเทียนก้าวเข้ามาในห้องขัง ชะเง้อหน้าพ้นบานประตู เหลียวซ้าย แลขวา พบกับภาพอันน่าตกตะลึงของโลเทรค อาร์ชิบอลด์ และสามีของนาง อาชชี่ โคเว่น กำลังร่วมรักกัน

 

“พระเจ้า...โลเทรค? อาชช์? พวกเจ้าสองคนทำอะไรกัน?! ”

 

บีอาทริเช่ จ้องมองภาพนั้นอย่างไม่เชื่อสายตา โลเทรค ไม่ตอบ เขาได้ยินเสียงและรับรู้ถึงสายตาอันตกตะลึงของนาง แต่ก็ทำเพียงแค่เบือนหน้าหันมามองข้ามไหล่เล็กน้อย ก่อนหันกลับไปตั้งหน้าตั้งตาร่วมรักกับสามีของนางในร่างเปลือยเปล่าต่อ

 

บีอาทริเช่ สังเกตเห็นรอยเลือดไหลเป็นทางลงมาตามหว่างขาของสามี ขณะนั่งคุกเข่าหันหลังตัวพาดไปกับแท่นหิน ปล่อยให้ชู้รักของนาง กระทำสิ่งใดก็ได้ตามใจตน

 

“ชั่วช้า! ...พระเจ้าจะลงทัณฑ์เจ้าทั้งคู่! ” หญิงสาวร้องพลันทิ้งตะกร้าอาหารลงกับพื้น ก่อนผลุนผลันวิ่งจากไป

 

โลเทรคยิ่งเพ่งพิศใบหน้าซีดเซียวบอบช้ำของชายที่อยู่ข้างใต้ จ้องมองแววตาอันอ่อนแรง ไร้ทางสู้แล้วโดยสิ้นเชิงด้วยความรู้สึกราวกับวิญญาณอีกครึ่งหนึ่งของตนได้หลุดลอย มันเริ่มโอบร่างนั้นแน่น ไม่ต่างกับคนที่พยายามไล่คว้าบางสิ่งอยู่ แล้วพรมจูบลงบนแผ่นหลังของอาชชี่ โคเว่น ด้วยความเจ็บปวด พลางเริ่มร่ำไห้ออกมาโดยที่ฝ่ายถูกกระทำไม่อาจเข้าใจกับพฤติกรรมของมัน

 

“....ข้ารักเจ้า….ข้ารักเจ้า….ได้โปรด...ปลดปล่อยข้าที…ข้าไม่รู้จะทำอย่างไร” มันฝังใบหน้าลงกับแผ่นหลังเปลือยเปล่าอันบอบช้ำ “ปลดปล่อยข้าที...ช่วยข้า…”

 

สมองของชายหนุ่มผมดำสายเลือดโคเว่นนั้นตื้อตันไปหมด เพราะเดี๋ยวเจ้าปิศาจตนนี้ก็ด่าทอเขา เดี๋ยวก็บอกรักเขา แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ชายหนุ่มก็ได้แต่ยอมจำนนให้มันเล่นสนุกกับร่างกายนี้อย่างกระเหี้ยนกระหายราวกับได้ระบายสิ่งที่อัดอั้นมานาน

 

ไม่ช้า อาชชี่ โคเว่น จึงรู้สึกได้ถึงการปลดปล่อยจากความบ้าคลั่งของมันวูบวาบเข้ามาในตัว ความรู้สึกร้อนผ่าวอวลอลทั่วช่องท้อง ร่างของมันกระตุกเกร็งร้องครวญครางออกมา

 

ส่วนตัวเขาก็ดันเสร็จสมไปด้วยทั้งที่ถูกบังคับข่มขืน เขารู้สึกกระอักกระอ่วนกับน้ำหนืดข้นที่ไหลเปรอะออกมาทั้งทางด้านหน้าและด้านหลัง สับสน มึนงง และไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนจึงตอบสนองกับการกระทำอันน่ารังเกียจนี้ ความรู้สึกนั้นไม่ต่างอะไรกับตอนที่เขาร่วมรักกับภรรยา ผิดก็แต่เป็นเขาเองที่เป็นผู้โดนสอดใส่ มันทั้งเจ็บปวดและรู้สึกดี แต่ก็น่าขยะแขยงมากเสียจนไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่นั่งนิ่งคาอยู่บนตักของเจ้าปิศาจ

 

หลังปลดปล่อยอารมณ์แล้ว โลเทรคจึงทิ้งน้ำหนักทั้งหมดลงบนตัวเขาด้วยความเหนื่อยอ่อน สองมือลูบไล้เปะปะไปตามร่างแข็งแรง สัมผัสได้ถึงความกระหายที่ยังคุกรุ่น มันสอดมือเข้ามายังช่วงเอวเปล่าเปลือย ไล่ปลายนิ้วลงต่ำผ่านเนินท้องน้อยจนถึงช่วงล่างชื้นแฉะแล้วเริ่มสาวมือขึ้นลงเพื่อช่วยปลดปล่อยสิ่งที่คั่งค้างอยู่ในตัวอีกฝ่ายทั้งที่เขาไม่ได้ร้องขอ

 

อาชชี่ โคเว่น กำหมัดจิกฝ่ามือตนเอง นิ้วเท้าเกร็ง ระหว่างถูกบังคับให้ไต่ถึงยอดแห่งจุดกระสัน ชายหนุ่มแหงนหน้ามองเพดานด้วยหัวใจที่แหลกสลาย แม้แต่ตัวตนของเขา เจ้าปิศาจอาร์ชิบอลด์ก็ได้ลิดรอนไปหมดสิ้น

 

"อ๊าา…" เขามิอาจควบคุมตนเองมิให้หลับตาจนร้องออกมาบ้าง

 

ทั้งสองหายใจหอบถี่ โลเทรค อาร์ชิบอลด์ ซบหน้าลงกับไหล่กอดร่างบอบช้ำไว้อย่างนั้นสักพัก ก่อนค่อยๆ ขยับตัวยกสะโพกเขาขึ้นแล้วดันออก อาชชี่ขบริมฝีปากเลอะเลือดแน่น สะดุ้งตัวเล็กน้อยขณะอีกฝ่ายถอนสิ่งนั้นออกจากช่วงล่างของเขา

 

ชายหนุ่มผมดำสภาพสะบักสะบอมทั้งร่างกายและจิตใจ ได้ยินเสียงมันใช้ผ้าเช็ดทำความสะอาดเครื่องมือที่ใช้ทำร้ายเขา ก่อนยืนขึ้นสวมกางเกง จัดเสื้อผ้าผมเผ้าให้เรียบร้อยจนเข้าที่เข้าทาง

 

“เดี๋ยวข้าจะให้คนเอาน้ำมาให้ใหม่ เจ้าต้องทำความสะอาดตัวเอง…”

 

โลเทรค ส่งสายตามองดูผิวขาวของร่างเปลือยเปล่าที่มีรอยแดงเป็นจ้ำๆ ผสมปนเปกับรอยช้ำที่โดนทุบตีด้วยความกังวล

 

“พรุ่งนี้จะมีการไต่สวน ข้าไม่รู้ว่ามันจะเลวร้ายสักแค่ไหน…” ชายหนุ่มผมทองเอ่ย “แต่ถ้าเจ้าไม่อาจรับไหวกับสิ่งที่จะได้เจอก็ลองตัดสินใจเอาเองดู ว่าจะกล้าเผชิญหน้ากับคนทั้งเมือง หรือให้มันจบแค่คืนนี้…ข้าช่วยเจ้าได้”

 

อาชชี่ โคเว่น นิ่งเงียบเป็นคำตอบ

 

“ว่าอย่างไรล่ะ” โลเทรค ถาม

 

“ลูกข้า…” อาชชี่ โคเว่น เอื้อนเอ่ยน้ำเสียงแผ่วเบา โลเทรคที่กำลังยืนรอคำตอบอยู่หันมามอง

 

“ลูกกับเมียของข้า แมกจิโอกับบีอาทริเช่...เจ้าดูแลได้ไหม…” ชายหนุ่มขอร้อง “ได้โปรดอย่าทำร้ายพวกเขา…ให้ข้าเป็นคนสุดท้ายที่เจ้าจะทำลาย”

 

โลเทรค นิ่งฟัง ไม่นึกฝันว่าคนแบบเขาจะกล้าอ้อนวอนคนที่ทำร้ายตนถึงขนาดนี้ มนุษย์ที่ใกล้ตายนั้น บางครั้งก็ทำได้ทุกอย่างเพื่อคนที่อยู่ข้างหลัง

 

ชายหนุ่มผมทองทอดถอนหายใจยาว “ข้าดูแลลูกของเจ้าได้ ข้าสัญญา...แต่ข้าไม่คิดว่า ข้าจะอยากข้องเกี่ยวกับเมียของเจ้าอีก นางไม่ใช่แม่ที่ดีนัก และไม่ใช่เมียที่ดีด้วย เจ้าน่าจะหาผู้หญิงที่ดีกว่านี้” มันตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ

 

อาชชี่ โคเว่น พยายามขยับกาย แต่ทั้งหมดที่เขาทำได้ก็เพียงหลั่งน้ำตาออกมา “ได้โปรด…”

 

“เจ้ารู้อยู่แก่ใจว่านางเป็นเช่นไร…” โลเทรคว่า พลางนึกถึงภาพในอดีตที่ตนมารับบีอาทริเช่ไปขึ้นรถม้าในตอนกลางดึกคืนหนึ่ง โดยที่อาชชี่ โคเว่น ยืนมองลงมาจากห้องบนปราสาทเงียบๆ

 

“งูพิษที่เลี้ยงไว้ มันเชื่องได้ด้วยหรือ…” โลเทรค กล่าว

 

“แน่ใจนะว่าไม่ต้องการให้ข้าจบชีวิตเจ้าในคืนนี้” มันถามย้ำอีกครั้ง

 

อาชชี่ โคเว่น นิ่งงันไปแล้วเหมือนซากศพ

 

“ก็ตามใจ…”  

 

"...ว่าแต่ เจ้ารู้จักขอร้องคน ข้าชอบนะ จะถือว่าเป็นคำขอโทษก็แล้วกัน" 

มันทิ้งท้าย ก่อนเดินจากไป ยินเสียงปิดประตูห้องขัง

 

ชายหนุ่มผมดำนั่งนิ่งอยู่ในสภาพเดิม เขาไม่รู้จะโกรธหรือเสียใจดีกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขา ทำได้เพียงฟังเสียงโลเทรคพูดคุยกับทหารยามไปเรื่อย ทั้งเรื่องที่ให้ตามคนกลับมาเฝ้าหน้าห้อง เรื่องให้ไปจัดเตรียมน้ำมาให้นักโทษ และเรื่องตะกร้าอาหารซึ่งตกอยู่ มันสั่งทหารยามให้นำเข้าไปให้อาชชี่ โคเว่น 

 

หลังพูดคุยกับทหารยามสองคนที่กลับมาเฝ้าหน้าห้องขังเสร็จ โลเทรค อาร์ชิบอลด์ จึงเริ่มก้าวเท้าเดินออกห่างจากห้องคุมขัง แต่ยังไม่ทันจะได้เดินไปไหนไกล สายตาของเขาจึงเหลือบไปเห็นเด็กหนุ่มวัยรุ่นร่างบาง หน้าตาละม้ายคล้ายกันกับตน แต่มีผมตัดสั้นยุ่งเหยิงสีน้ำตาลอ่อน สวมแว่นสายตาหนาเตอะ แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสบายๆ แค่เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาว เสื้อกั๊กสีเข้ม กางเกงรัดใต้เข่าตัวโปรด ถุงเท้าขาวยาว และรองเท้าหนังสีดำมันปลาบ เด็กหนุ่มคนนั้นกำลังนั่งชันเข่าอยู่ตรงสุดหัวมุมทางแยกของคุกใต้ดิน ในมือถือหนังสือเล่มโต

 

โลเทรค ซึ่งเดินไปพลางเอาผ้าเช็ดเลือดออกจากใบหน้าไปพลาง ถึงกับหยุดชะงักด้วยอาการตกใจเล็กน้อย เมื่อเห็นปกหนังสือประทับตราสัญลักษณ์ตระกูลโคเว่นเล่มนั้น เด็กหนุ่มหันหน้ามาสบตาเขาแล้วค่อยๆ ลุกขึ้นยืนเดินตรงเข้ามาหาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก

 

“มาทำอะไรที่นี่ เอเดรียน” โลเทรคถาม ทว่าเด็กหนุ่มนามเอเดรียนไม่ตอบ กลับกระแทกหนังสือใส่อกของเขาแทน แล้วเดินผ่านไปยังห้องขังนั้น ตามมาด้วยทหารอาร์ชิบอลด์สองนายที่หยุดทำความเคารพโลเทรค บุตรชายคนโตของตระกูล แล้วหิ้วถังน้ำตรงไปยังที่เดียวกัน

 

ทหารสองนายนั้นเปิดประตูห้องขังนำถังน้ำพร้อมผ้ามาให้อาชชี่ โคเว่น โดยมีเอเดรียนขอเข้าเยี่ยม โลเทรคตัดสินใจบ่ายหน้าตามกลับไป ก้าวขาไม่พ้นคุกใต้ดินเสียที

 

ชายหนุ่มนักโทษมองดูทหารสองนายที่เดินออกไปจากห้องขัง หลังวางถังน้ำไว้ให้แล้ว ด้วยสีหน้าแววตาหวาดกลัว เอเดรียนยืนนิ่งอยู่ตรงประตู เฝ้ามองอาชชี่ โคเว่น ค่อยๆ เริ่มขยับร่างมาหยิบผ้าชุบน้ำเช็ดตามตัว เด็กหนุ่มสังเกตเห็นรอยเลือดและบาดแผลมากมาย แต่ก็มิได้สงสัยอะไร นอกเสียจากอนุมานว่า เลือดเหล่านั้นที่เปรอะอยู่ตามหว่างขาของชายหนุ่ม คือเลือดที่ได้มาจากบาดแผลของการสู้รบ

 

อาชชี่สะดุ้งเล็กน้อยทันทีที่ได้ยินเสียงเด็กหนุ่มขยับกาย เขาเบือนหน้าหันมามองทางด้านหลัง พลางค่อยๆ ถัดร่างเข้าไปจนชิดติดผนังชื้นเย็นข้างแท่นหิน ราวกับกำลังพยายามซ่อนตัวจากใครสักคนอยู่ แล้วเช็ดตัวต่อ

 

“เหตุใดต้องทำกันขนาดนี้ ข้านึกว่าเขาเป็นเพื่อนเรา” เอเดรียนกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เมื่อเห็นโลเทรคเดินกอดหนังสือเข้ามายืนเอนหลังพิงผนังด้านนอกห้องขัง ส่งสายตามองหน้าน้องชายผู้อารมณ์อ่อนไหว ซึ่งยืนน้ำตาคลอหน่วยอยู่ต่อหน้า

 

“ก็เพราะว่ามันสมควรโดนไง” เขาตอบ

 

“ทำไม…” เด็กหนุ่มเหลือบสายตามองพี่ชาย “เขาสมควรโดนอะไร ที่เชิญเราไปงานเลี้ยงวันเกิดของน้องสาวเขาหรือ? ”

 

โลเทรค ถอนหายใจ แล้วส่งหนังสือคืนให้น้องชาย เอเดรียนยังคงไม่เข้าใจ

“อธิบายสิ! เจ้าพูดไม่เป็นรึ! ” เด็กหนุ่มเสียงสั่น

 

โลเทรคขมวดคิ้วย่น “มันไม่ได้คิดว่าเราเป็นเพื่อนเสียหน่อย หยุดเพ้อเจ้อเสียที” เขาเดินหนี “ไหนๆ ก็ลงมาที่นี่แล้ว จะไปเล่านิทานบ้าบออะไรให้มันฟังก็เชิญเถิด เพราะพรุ่งนี้ อย่างไรเสียมันก็ต้องตายอยู่ดี วีรบุรุษของเจ้าน่ะ เหลือแต่ชื่อเสียแล้ว”

 

เอเดรียนหน้าเสีย “ทำไมเจ้าต้องเคืองแค้นเขาเสียมากมายด้วย พวกเราจะอยู่ร่วมกันไม่ได้เชียวหรือในเมืองนี้ ตอบข้าหน่อยสิ! ” เด็กหนุ่มตะโกนไล่หลัง

 

“ไปพูดแบบนี้กับท่านพ่อสิ เจ้าจะได้โดนตบกลับมา” โลเทรคตะโกนตอบก่อนหายลับไปตามทางเดิน

 

เอเดรียนส่งสายตามองตามหลังพี่ชายสักพักจึงหลบหน้ากลับมาทางอาชชี่ โคเว่น เขาส่งสายตามองเด็กหนุ่มด้วยความหวาดระแวง บุตรชายคนที่สามแห่งอาร์ชิบอลด์ค้อมศีรษะให้ด้วยความเคารพ

 

 

‘สงครามล่าอาณานิคมบนโลกใหม่ที่ยืดเยื้อยาวนานกว่าสิบปี สิ้นสุดลงเมื่อเกือบห้าปีก่อน มันได้เสริมความแข็งแกร่งและยิ่งใหญ่มากยิ่งขึ้นให้กับประเทศของเรา ขณะเดียวกันก็สร้างบาดแผลลึกให้กับทหารอีกหลายคนที่รอดชีวิตกลับมา พวกเขาแทบจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคนอย่างสิ้นเชิง

 

พี่ชายของข้า โลเทรค อาร์ชิบอลด์ ก็เช่นกัน เขาเคยใช้เวลาทั้งวันไปกับการเที่ยวเล่น ยิงนก ตกปลา และอ่านหนังสือ ร่วมกับข้า เขาทำสิ่งนั้นได้โดยไม่รู้สึกเบื่อหน่าย ทว่านานวันเข้าสงครามกลับทำให้เขาเปลี่ยนไป คนรอบข้างก็รู้สึกเช่นเดียวกัน มีเพียงบิดาข้า ลอร์ดวิลเลี่ยม โลเทรค อาร์ชิบอลด์ (William Lautrec Archibald) เท่านั้นที่ดูจะพอใจกับความเปลี่ยนแปลงนี้’

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา