เพียงตะวันโอบฟ้า
เขียนโดย ผักกาดน้ำ
วันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 เวลา 14.01 น.
แก้ไขเมื่อ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 14.20 น. โดย เจ้าของนิยาย
5) 5
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความที่ไร่ “ พิมพ์จันทร์ ” คนงานไนไร่ต่างตั้งหน้าตั้งตาทำงานด้วยความขะมักเขม้นตามเคย มีคนเก่าคนแก่อยู่ที่นี่หลายคนและลูกหลานของพวกเขาก็ยังคงอยู่ เรียกว่าอยู่กันมาหลายช่วงอายุทีเดียว อาจเป็นเพราะความเอื้ออารีมีน้ำใจของพ่อเลี้ยงพจน์ก็เป็นได้ที่ทำให้คนงานรักและเคารพจนไม่อยากจากไปทำงานอื่นที่ไหน แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปในวันนี้ก็คือ พ่อเลี้ยงคนใหม่ของไร่ซึ่งจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก “ภูมิตะวัน” ลูกชายคนโตของพ่อเลี้ยงพจน์และแม่เลี้ยงระย้า หลังจากที่ภูมิตะวันกลับจากอเมริกาได้ปีเศษๆพ่อของเขาก็ยกกิจการทั้งหมดให้เขาเป็นผู้ดูแลต่อแทน ภูมิตะวันมีนิสัยคล้ายพ่ออยู่บ้าง ในความมีน้ำใจกับคนงานและคนรอบข้าง อาจจะมีใจร้อนบ้างในบางเวลาแต่ก็สามารถควบคุมอารมณ์ได้ ร่างสูงใหญ่เกินมาตรฐานชายไทยนั่งเอนกายอยู่บนเก้าอี้ทำงาน ดวงตาสีน้ำตาลเข้มไล่อ่านเอกสารที่ถืออยู่ไม่วางตา คิ้วดำหนาบนวงหน้าสะอาดนั้นขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เขาจัดว่าเป็นผู้ชายที่มีหน้าตาและรูปร่างดีมากคนหนึ่ง พ่วงด้วยทรัพย์สมบัติที่มีเป็นเงินและเนื้อที่อีกนับพันไร่ ทำให้มีผู้หญิงมากมายอยากได้ชายหนุ่มไปครอบครอง แต่เขากลับไม่เคยสนใจใครสักนิด ชีวิตของเขามีเพียงสองสิ่งที่รักและพอใจจะใช้ชีวิตอยู่กับมันไปตลอดนั่นก็คืองานและครอบครัว
“พ่อเลี้ยงคะนี่เป็นเอกสารที่พ่อเลี้ยงต้องเซ็นค่ะ” คุณประไพเลขาวัยกลางคนเปิดประตูเข้ามา เขาจึงละสายตาจากกองเอกสารงานตรงหน้ามาอ่านรายละเอียดของเอกสารที่เลขานำมาให้
“โอเคนะครับ” ภูมิตะวันเซ็นเอกสารเรียบร้อย แล้วอยู่ๆประตูห้องก็ถูกเปิดเข้ามา
“อุ๊ย..ขอโทษค่ะอันคิดว่าพี่ภูอยู่คนเดียวซะอีก” ร่างแบบบางสมส่วนของหญิงสาวนามว่า อันติมา เอื้อนเอ่ย
“ไม่เป็นไรจ้ะ” เขาบอกอย่างเสียไม่ได้ เพราะอันติมาเป็นน้องสาวของเพื่อนรักเขาเอง หากเป็นหญิงสาวคนอื่นเขาคงไม่ยุ่งด้วยนานแล้ว ด้วยรู้แก่ใจว่าอันติมาคิดกับเขาเช่นไร
“อันจะมาชวนพี่ภูไปทานกลางวันด้วยกันน่ะค่ะ”
“งั้นขอพี่เคลียร์งานอีกหน่อยนะ”
“ได้ค่ะ เดี๋ยวอันรอตรงนี้นะคะ” อันติมาชี้ไปที่โซฟาสีครีมตัวยาวพร้อมหยิบนิตยสารที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาอ่าน ดวงตาคู่สวยที่แต่งแต้มอายไลเนอร์มาอย่างดีไม่ได้จดจ่ออยู่ที่ตัวหนังสือบนนิตยสารสักเท่าไหร่ เพราะชอบเหลือบมองคนตัวโตหน้าเข้มที่นั่งอยู่อีกฝั่งมากกว่า อันติมาเป็นลูกสาวของพ่อเลี้ยงพิธานกับแม่เลี้ยงอรดี เจ้าของ ไร่เคียงเดือน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากไร่ของเขามากนัก และก็ยังเป็นน้องสาวของ สรัล ซึ่งเป็นทั้งเพื่อนรักและว่าที่น้องเขยของเขาในอนาคตอีกด้วย
ดวงจันทร์ในยามค่ำคืนทอประกายสีนวลเจิดจ้าด้วยไร้เมฆบัง ภูมิตะวันกลับจากไร่ด้วยความเมื่อยล้า แต่ก็พยุงร่างสูงใหญ่มานอนแหมะอยู่ที่โซฟาตัวยาวจนได้ ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆพลางบีบต้นคอตนเอง หมู่นี้งานของเขามีมากขึ้นทุกวันๆ ธุรกิจส่งออกผลไม้กำลังไปได้สวยทีเดียว เขาคิดว่าอยากจะปลูกดอกไม้แล้วส่งออกเพิ่มอีกหนึ่งธุรกิจ แต่มันอาจจะเกินเวลาที่เขามีอยู่ เพราะชายหนุ่มมี “หนูดี” ลูกสาววัยหกขวบที่ต้องดูแล ไหนจะ “รินลดา” น้องสาวคนเดียวของเขาที่เพิ่งประสบอุบัติเหตุรถพลิกคว่ำในคืนที่มีพายุฝนกระหน่ำทำให้เธอต้องใช้ชีวิตอยู่บนรถเข็นสักระยะ ถึงจะมีสรัลว่าที่คู่หมั้นมาคอยดูแลอยู่บ้าง แต่ภูมิตะวันก็ยังคงห่วงหน้าพะวงหลังอยู่ดี
ชายหนุ่มมองไปที่ห้องทางขวามือด้านล่างซึ่งเป็นห้องนอนของรินลดา น้องสาวของเขาคงหลับไปแล้ว จะเหลือก็แต่หนูดี เขาค่อยๆพยุงร่างหนาเดินขึ้นไปด้านบนของบ้านเพื่อไปหาเด็กน้อย เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็พบเพียงความเงียบ มีเสียงเครื่องปรับอากาศเท่านั้นที่ทำงานอยู่ ภูมิตะวันเดินมานั่งลงบนเตียงแล้วค่อยๆขยับตัวเข้าไปใกล้ๆเห็นนางฟ้าตัวน้อยนอนหลับตาพริ้มอยู่ ลมหายใจสม่ำเสมอ เขาจึงค่อยๆจุมพิตลงที่หน้าผากลูกสาวก่อนจะเอนตัวลงข้างๆแล้วหลับไปในที่สุด
ทุกๆเช้าสร้อยจะเข้ามาปลุกหนูดีให้ไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อลงไปทานอาหารเช้าพร้อมกัน และวันนี้ก็เป็นเช่นเคย พอเปิดประตูเข้ามาก็เห็นภูมิตะวันนอนอยู่กับลูกด้วย สร้อยถอนหายใจระคนเหนื่อยแทนหลานชาย เป็นเพราะลูกชายของเธอรึเปล่าหนอจึงทำให้ชายหนุ่มต้องมารับภาระแทนเช่นนี้ ร่างสูงใหญ่นอนหลับนิ่งพ่นลมหายใจสม่ำเสมอ รูปร่างหน้าตาละม้ายคล้าย คเชนทร์ ลูกชายของเธออยู่บ้างเหมือนกัน ภูมิตะวันในยามนี้ดูเป็นเพียงผู้ชายธรรมดาๆคนหนึ่งเท่านั้น หากคนงานในไร่มาเห็นหลานชายสภาพนี้คงจะหมดความยำเกรงลงไปได้ แต่ก็คงจะเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น เพราะตัวตนที่แท้จริงของเขาอดทนและเข้มแข็งเสียจนสร้อยไม่เคยเห็นแววตาอ่อนไหวในตัวหลานชายเลย คงมีเพียงหนูดีเท่านั้นที่ทำให้เขามีความอ่อนโยนบ้างยามที่อยู่ต่อหน้าลูก
“ระย้า พักนี้ตาภูโหมงานหนักขึ้นทุกวันๆนะ” สร้อยพูดขึ้นกลางโต๊ะกาแฟในยามเช้า หลังจากเปลี่ยนใจไม่ปลุกใครสักคน
“ฉันรู้แล้วล่ะพี่สร้อยแต่จะทำอะไรได้ล่ะตาภูไม่ฟังฉันเลย”
“นี่ถ้าคเชนทร์ยังอยู่ตาภูคงไม่ต้องมารับภาระดูแลหนูดีอย่างนี้”
“อย่าพูดอย่างนั้นสิพี่สร้อย เราเป็นพี่น้องกันนะ” ระย้ากุมมือพี่สาว
นายพจน์ที่นั่งฟังอยู่จึงพูดขึ้นบ้าง “นั่นสิครับคุณพี่ ตอนนี้เราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วนะครับอย่าคิดมากเลย” พูดไปก็ถอนหายใจ
“ไม่คิดมากแล้วพ่อถอนหายใจทำไม” ระย้าถามสามี
“’พ่อกลัวน่ะแม่”
“กลัวอะไร....”
“กลัวตาภูจะไม่มีเมีย” พูดแล้วทำหน้าเศร้าๆ
“ทำไมพ่อคิดแบบนั้นล่ะ”
“ก็จนป่านนี้แล้วไม่เห็นตาภูพาผู้หญิงคนไหนมาให้รู้จักสักที ขนาดหนูอันตาภูยังไม่สนเลยแล้วแบบนี้จะไม่ให้พ่อกลัวได้ไง” นายพจน์หยุดคิดนิดหนึ่ง “เอ๊ะ!...แม่หรือที่ตาภูมันไม่สนใจผู้หญิงคนไหนเลยเป็นเพราะว่าตาภูมันเป็น……..เป็น…..” นายพจน์เว้นวรรคซะนาน
“เป็นอะไรพ่อ” ระย้าชักสงสัย
“เป็นเกย์ เกเก้น่ะแม่รู้จักไหม เพราะแม่แนะนำใครมาก็ไม่เห็นไอ้เสือของเราจะถูกใจใครเลย”
“จะบ้าหรือพ่อ คิดได้ยังไงนี่มาหาว่าลูกเป็นเกย์” ระย้าตีท่อนแขนใหญ่ของสามีไปทีหนึ่ง
“แล้วจะให้คิดยังไงล่ะแฟนสักคนก็ไม่เห็นมี ไปชอบใครอยู่รึเปล่าก็ไม่เคยบอก”
“แล้วถ้าสมมติว่ามีล่ะ พ่อจะทำยังไง” ภรรยาหยั่งเชิง
“ถ้ามีน่ะหรอ บอกมาเลยว่าผู้หญิงคนนั้นอยู่ที่ไหนพ่อจะจัดขันหมากไปขอวันนี้พรุ่งนี้เลย” นายพจน์บอกราวกับเป็นเรื่องล้อเล่น
“อยู่กรุงเทพฯจ้ะ” ระย้าบอกสีหน้ายิ้มแย้ม
“ระย้า อย่าบอกนะว่า….” สร้อยคาดไม่ถึงว่าระย้าจะทำแบบที่พูดจริงๆ
“ใช่แล้วพี่สร้อย....”
มาช้าแต่ก็มาน้าาาา ป่วยหลายวันเลยยยย ช่วยเม้นท์หน่อยน้าาาา
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ