ปาฏิหาริย์โลกวิญญาณ (ได้รับการตีพิมพ์จากAmity Publishing แล้ว)
5.3
เขียนโดย watcharakarn
วันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 เวลา 12.10 น.
67 ตอน
3 วิจารณ์
41.96K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 23.09 น. โดย เจ้าของนิยาย
8) ท้าวมหายม
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ ‘……………………’
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” เธอตอบพลางละสายตาจากใบหน้าผมแล้วเพ่งพิศไปยังทิศทางเบื้องหน้าปล่อยให้ผมที่อยากรู้คำตอบใจแทบขาดค้างเติ่งอยู่อย่างนั้น
‘ปัดโธ่เว้ยย’ ผิดคาดแหะผมก็นึกว่าเธอจะแจงสี่เบี้ยได้ทุกเรื่องซะอีก
ท่านท้าวมหายมเดินผ่านมุมตรงนั้นมาแล้ว ปรากฏกายด้วยลักษณะเหมือนชายชราร่างท้วมผิวดำมะเมื่อมราวสีถ่าน เกล้ามวยผมไว้กลางศีรษะครอบด้วยเกี้ยวทองรูปหัวกะโหลก ที่ชวนน่าสะพรึงยิ่งกว่านั้นคือนัยน์ตาสีแดงวาวโรจน์ ราวกับมีดวงไฟจุดเล็กๆ ในเบ้าตาซึ่งกำลังกลอกกลิ้ง กายาสูงใหญ่นับสี่เมตร มือโตเท่าใบพาย เท้าใหญ่หนา เปลือยท่อนบนจนเห็นพุงหลาม
สวมด้วยเครื่องถนิมพิมพากรณ์อะร้าอร่ามวิจิตรพิสดารคล้ายหลุดออกมาจากโรงลิเก หรือหนังจักรๆ วงศ์ๆ ทั้งกรองคอทองคำลายกนกชดช้อยแผงใหญ่ประดับอัญมณีสีแดงสุกสว่าง ใส่ทองกรหรือเรียกอีกอย่างว่ากำไลแผงตรงข้อมือ แต่ละนิ้วเขื่องสวมธำมรงค์หลากสีสันแตกต่างกันไปทั้ง เขียวบ้าง แดงบ้าง น้ำเงินบ้างล้อแสงวิบวับไปมายามเคลื่อนไหว
ฝ่ามือขวากำไม้เท้าหัวกะโหลกน่าสยดสยองซึ่งลุกโชติช่วงด้วยเปลวพระเพลิงอยู่ตลอดเวลาราวกับคบไฟ คาดสร้อยสังวาลสะพายแล่งไขว้กันเป็นรูปกากบาทและประดับด้วยทับทรวงทองคำทรงขนมเปียกปูนติดทับทิมเม็ดเล็กๆ อีกชั้นหนึ่ง
รัดเอวด้วยปั้นเหน่งหรือเข็มขัดทองนุ่งโจงกระเบนสีดำสนิท กำไลข้อเท้าหัวบัวเหลืองอร่ามเส้นหนาผิวเกลี้ยง ส่งเสริมให้ร่างสูงที่เห็นดูสูงศักดิ์ยิ่งใหญ่น่าเกรงขามระคนประหวั่นพรั่นพรึงไปในคราวเดียวกัน
ทันใดนั้นเองก็มีท่อนแขนซีดๆ และศีรษะของคนตายจำนวนมากเบียดเสียดโผล่ผุดขึ้นมาจากน้ำสีดำหนืดเหนียวนั่นไปทุกทิศทุกทาง แม้จะมองไม่เห็นถนัดนักจากมุมที่เราแอบอยู่แต่เสียงร้องโหยหวนจากปากพวกมันก็คงทำให้ผู้ที่พบเจอสติกระเจิดกระเจิงเป็นบ้าได้อย่างไม่ยากเย็น
“เอาวิญญาณมันมาาา เอาวิญญาณมันมาาา” เสียงเหล่านั้นร้องระงมไม่หยุด ชวนให้หงุดหงิดรำคาญใจชะมัดพวกมันจะร้องหาพระแสงของ้าวอะไรกันวะนี่
แค่เพียงพริบตาเดียว ร่างสูงราวยักษ์ปักหลั่นก็โผล่มายืนอยู่หน้าประตูห้องของผมเสียแล้ว
‘ถ้าเมื่อกี๊เรายังอยู่ในห้องจะเป็นไงมั่งเนี่ย’ ผมนึกกลัวจนตัวสั่นงันงก รู้สึกได้เลยว่าร่างตนเองมันปั่นป่วนไปหมด
‘ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าบนโลกนี้จะมีพวกยมทูต ยมบาลอยู่จริง…โอ้พ่อแก้วแม่แก้วช่วยลูกด้วย’
ทันใดนั้นดวงตาปูดโปนสีแดงเรืองประหนึ่งมีดวงไฟในนั้นก็หันมองมาทางนี้ ทำเอาเราสองคนหดหัวหลบวูบแทบไม่ทัน
ขณะที่ไอ้พวกเวรตะไลนั่นยังคงร้องเชียร์ไม่ได้หยุด
“เอาวิญญาณมันมาาา เอาวิญญาณมันมาาา”
“อย่ามองตานะ แค่เพียงสบสายตากับเขานายก็จะถูกจับในทันที” หญิงสาวกระซิบเตือน “พวกยมทูตนั้นมีฤทธิเดชมากโดยเฉพาะต่อวิญญาณด้วยแล้ว…นายไม่มีทางหนีเขาพ้นได้ง่ายๆ หรอก”
“คุณเองก็ควรจะดับไฟด้วยนะ เดี๋ยวลุงแกก็เห็นเข้าหรอก” ผมเตือนอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วงเป็นใยเช่นกัน พลางก้มๆ เงยๆ หาสวิตช์ที่อาจจะอยู่ที่ไหนสักแห่งบนตัวเธอ
“ขอบใจ…นายนี่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยสินะ” เธอหันมาพูดประโยคแปลกๆ กับผมก่อนจะยิ้มหวานให้ พื้นที่เรากำลังเหยียบอยู่ค่อยๆ มีมือ ท่อนแขนยาวๆ อีกทั้งศีรษะของชายหญิงมากมายในสภาพทุเรศทุรังโผล่ขึ้นมาบ้างแล้ว
“อื้อหือ…กลิ่นของไอ้พวกนี้เหลือทนจริงเชียว” นางฟ้าสาวบ่นพึมพลางยกนิ้วชี้ขึ้นมาอังจมูก
“ทำไมผมไม่เห็นได้กลิ่นอะไรเลย” ผมเอ่ยถาม
“พอเป็นวิญญาณก็แบบนี้แหละเหมือนตอนที่เราฝันยังไงล่ะ…แม้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะสมจริงแค่ไหนแต่ก็ไม่มีวันที่เราจะได้กลิ่นต่างๆ ในความฝันได้ ผัสสะตรงนี้จะหายไปโดยปริยาย” เธออธิบาย
“จริงด้วยสินะ” ผมเห็นด้วยแต่ก็มิวายตั้งข้อสังเกต “แล้วทำไมผมยังได้ยินเสียง ยังมองเห็น แถมยังพูดได้อีกต่างหาก”
“มันเป็นเพียงดวงจิตที่ยังหลงเหลือเพียงแต่นายไม่ได้อยู่ด้วยระบบกลไกทางชีวภาพอีกต่อไปแล้ว สื่อสารกับพวกมนุษย์ก็ไม่ได้ ไม่มีใครมองเห็นนาย ได้ยินเสียงนาย หรือสัมผัสตัวนายได้ นอกจากผู้ที่อยู่ภพภูมิเดียวกับเราเท่านั้น”
“แล้วพวกที่เห็นผีล่ะ?” ผมถามต่อ
“ปัจจัยของการเห็นวิญญาณมีเยอะแยะมากมาย ส่วนใหญ่ก็เป็นไปตามข้อสันนิษฐานของมนุษย์นั่นแหละเรื่องของคนที่มีคลื่นสื่อวิญญาณ”
“คุณหมายถึงคนที่เห็นผีได้ก็คือคนที่มีกระแสจิตสอดรับกับวิญญาณตนนั้นได้ใช่มั๊ย”
“ใช่…เหมือนกับที่เราปรับคลื่นสัญญาณวิทยุ-โทรทัศน์ยังไงล่ะเพียงแค่เค้าส่งมาแล้วเรารับได้ก็จะเห็น ส่วนอีกกรณีที่มักจะเกิดขึ้นได้บ่อยก็คือการสื่อจิตกับมนุษย์ในยามหลับหรือที่เรียกว่าเข้าฝันนั่นแหละซึ่งเป็นช่วงที่ภาวะจิตของมนุษย์นิ่งสงบที่สุดในกรณีหลังนี้มักเกิดจากการบันดาลของพวกผีสางเทวดานางฟ้าบางตน…ฉันเองก็ไม่เคยไปเข้าฝันใครได้เหมือนกัน” เธอร่ายยาวอย่างรวดเร็วจนผมแทบฟังไม่ทัน
“เรารีบหนีกันเถอะ” ร่างเพรียวบอก
“จะหนีไปไหนกันดี?” ผมเอ่ยถามอย่างงงๆ พร้อมกับชะโงกหน้ามองไปที่หน้าประตูห้องผมอีกครั้ง ท่านมะยม เอ้ย…มหายมอะไรนั่นเดินหายเข้าไปในนั้นแล้วจริงๆ ด้วยสิ! แต่ที่ขวัญผวาที่สุดในตอนนี้ไม่ใช่คนที่อยู่ไกลนั่นหรอกแต่เป็นไอ้พวกวิญญาณสวะพวกนี้มากกว่าเพราะเผลอแผล็บเดียวมันก็ขึ้นกันมาเต็มพรืดไปหมด มือมากมายพยายามไขว่คว้าข้อเท้าผม
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” เธอตอบพลางละสายตาจากใบหน้าผมแล้วเพ่งพิศไปยังทิศทางเบื้องหน้าปล่อยให้ผมที่อยากรู้คำตอบใจแทบขาดค้างเติ่งอยู่อย่างนั้น
‘ปัดโธ่เว้ยย’ ผิดคาดแหะผมก็นึกว่าเธอจะแจงสี่เบี้ยได้ทุกเรื่องซะอีก
ท่านท้าวมหายมเดินผ่านมุมตรงนั้นมาแล้ว ปรากฏกายด้วยลักษณะเหมือนชายชราร่างท้วมผิวดำมะเมื่อมราวสีถ่าน เกล้ามวยผมไว้กลางศีรษะครอบด้วยเกี้ยวทองรูปหัวกะโหลก ที่ชวนน่าสะพรึงยิ่งกว่านั้นคือนัยน์ตาสีแดงวาวโรจน์ ราวกับมีดวงไฟจุดเล็กๆ ในเบ้าตาซึ่งกำลังกลอกกลิ้ง กายาสูงใหญ่นับสี่เมตร มือโตเท่าใบพาย เท้าใหญ่หนา เปลือยท่อนบนจนเห็นพุงหลาม
สวมด้วยเครื่องถนิมพิมพากรณ์อะร้าอร่ามวิจิตรพิสดารคล้ายหลุดออกมาจากโรงลิเก หรือหนังจักรๆ วงศ์ๆ ทั้งกรองคอทองคำลายกนกชดช้อยแผงใหญ่ประดับอัญมณีสีแดงสุกสว่าง ใส่ทองกรหรือเรียกอีกอย่างว่ากำไลแผงตรงข้อมือ แต่ละนิ้วเขื่องสวมธำมรงค์หลากสีสันแตกต่างกันไปทั้ง เขียวบ้าง แดงบ้าง น้ำเงินบ้างล้อแสงวิบวับไปมายามเคลื่อนไหว
ฝ่ามือขวากำไม้เท้าหัวกะโหลกน่าสยดสยองซึ่งลุกโชติช่วงด้วยเปลวพระเพลิงอยู่ตลอดเวลาราวกับคบไฟ คาดสร้อยสังวาลสะพายแล่งไขว้กันเป็นรูปกากบาทและประดับด้วยทับทรวงทองคำทรงขนมเปียกปูนติดทับทิมเม็ดเล็กๆ อีกชั้นหนึ่ง
รัดเอวด้วยปั้นเหน่งหรือเข็มขัดทองนุ่งโจงกระเบนสีดำสนิท กำไลข้อเท้าหัวบัวเหลืองอร่ามเส้นหนาผิวเกลี้ยง ส่งเสริมให้ร่างสูงที่เห็นดูสูงศักดิ์ยิ่งใหญ่น่าเกรงขามระคนประหวั่นพรั่นพรึงไปในคราวเดียวกัน
ทันใดนั้นเองก็มีท่อนแขนซีดๆ และศีรษะของคนตายจำนวนมากเบียดเสียดโผล่ผุดขึ้นมาจากน้ำสีดำหนืดเหนียวนั่นไปทุกทิศทุกทาง แม้จะมองไม่เห็นถนัดนักจากมุมที่เราแอบอยู่แต่เสียงร้องโหยหวนจากปากพวกมันก็คงทำให้ผู้ที่พบเจอสติกระเจิดกระเจิงเป็นบ้าได้อย่างไม่ยากเย็น
“เอาวิญญาณมันมาาา เอาวิญญาณมันมาาา” เสียงเหล่านั้นร้องระงมไม่หยุด ชวนให้หงุดหงิดรำคาญใจชะมัดพวกมันจะร้องหาพระแสงของ้าวอะไรกันวะนี่
แค่เพียงพริบตาเดียว ร่างสูงราวยักษ์ปักหลั่นก็โผล่มายืนอยู่หน้าประตูห้องของผมเสียแล้ว
‘ถ้าเมื่อกี๊เรายังอยู่ในห้องจะเป็นไงมั่งเนี่ย’ ผมนึกกลัวจนตัวสั่นงันงก รู้สึกได้เลยว่าร่างตนเองมันปั่นป่วนไปหมด
‘ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าบนโลกนี้จะมีพวกยมทูต ยมบาลอยู่จริง…โอ้พ่อแก้วแม่แก้วช่วยลูกด้วย’
ทันใดนั้นดวงตาปูดโปนสีแดงเรืองประหนึ่งมีดวงไฟในนั้นก็หันมองมาทางนี้ ทำเอาเราสองคนหดหัวหลบวูบแทบไม่ทัน
ขณะที่ไอ้พวกเวรตะไลนั่นยังคงร้องเชียร์ไม่ได้หยุด
“เอาวิญญาณมันมาาา เอาวิญญาณมันมาาา”
“อย่ามองตานะ แค่เพียงสบสายตากับเขานายก็จะถูกจับในทันที” หญิงสาวกระซิบเตือน “พวกยมทูตนั้นมีฤทธิเดชมากโดยเฉพาะต่อวิญญาณด้วยแล้ว…นายไม่มีทางหนีเขาพ้นได้ง่ายๆ หรอก”
“คุณเองก็ควรจะดับไฟด้วยนะ เดี๋ยวลุงแกก็เห็นเข้าหรอก” ผมเตือนอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วงเป็นใยเช่นกัน พลางก้มๆ เงยๆ หาสวิตช์ที่อาจจะอยู่ที่ไหนสักแห่งบนตัวเธอ
“ขอบใจ…นายนี่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยสินะ” เธอหันมาพูดประโยคแปลกๆ กับผมก่อนจะยิ้มหวานให้ พื้นที่เรากำลังเหยียบอยู่ค่อยๆ มีมือ ท่อนแขนยาวๆ อีกทั้งศีรษะของชายหญิงมากมายในสภาพทุเรศทุรังโผล่ขึ้นมาบ้างแล้ว
“อื้อหือ…กลิ่นของไอ้พวกนี้เหลือทนจริงเชียว” นางฟ้าสาวบ่นพึมพลางยกนิ้วชี้ขึ้นมาอังจมูก
“ทำไมผมไม่เห็นได้กลิ่นอะไรเลย” ผมเอ่ยถาม
“พอเป็นวิญญาณก็แบบนี้แหละเหมือนตอนที่เราฝันยังไงล่ะ…แม้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะสมจริงแค่ไหนแต่ก็ไม่มีวันที่เราจะได้กลิ่นต่างๆ ในความฝันได้ ผัสสะตรงนี้จะหายไปโดยปริยาย” เธออธิบาย
“จริงด้วยสินะ” ผมเห็นด้วยแต่ก็มิวายตั้งข้อสังเกต “แล้วทำไมผมยังได้ยินเสียง ยังมองเห็น แถมยังพูดได้อีกต่างหาก”
“มันเป็นเพียงดวงจิตที่ยังหลงเหลือเพียงแต่นายไม่ได้อยู่ด้วยระบบกลไกทางชีวภาพอีกต่อไปแล้ว สื่อสารกับพวกมนุษย์ก็ไม่ได้ ไม่มีใครมองเห็นนาย ได้ยินเสียงนาย หรือสัมผัสตัวนายได้ นอกจากผู้ที่อยู่ภพภูมิเดียวกับเราเท่านั้น”
“แล้วพวกที่เห็นผีล่ะ?” ผมถามต่อ
“ปัจจัยของการเห็นวิญญาณมีเยอะแยะมากมาย ส่วนใหญ่ก็เป็นไปตามข้อสันนิษฐานของมนุษย์นั่นแหละเรื่องของคนที่มีคลื่นสื่อวิญญาณ”
“คุณหมายถึงคนที่เห็นผีได้ก็คือคนที่มีกระแสจิตสอดรับกับวิญญาณตนนั้นได้ใช่มั๊ย”
“ใช่…เหมือนกับที่เราปรับคลื่นสัญญาณวิทยุ-โทรทัศน์ยังไงล่ะเพียงแค่เค้าส่งมาแล้วเรารับได้ก็จะเห็น ส่วนอีกกรณีที่มักจะเกิดขึ้นได้บ่อยก็คือการสื่อจิตกับมนุษย์ในยามหลับหรือที่เรียกว่าเข้าฝันนั่นแหละซึ่งเป็นช่วงที่ภาวะจิตของมนุษย์นิ่งสงบที่สุดในกรณีหลังนี้มักเกิดจากการบันดาลของพวกผีสางเทวดานางฟ้าบางตน…ฉันเองก็ไม่เคยไปเข้าฝันใครได้เหมือนกัน” เธอร่ายยาวอย่างรวดเร็วจนผมแทบฟังไม่ทัน
“เรารีบหนีกันเถอะ” ร่างเพรียวบอก
“จะหนีไปไหนกันดี?” ผมเอ่ยถามอย่างงงๆ พร้อมกับชะโงกหน้ามองไปที่หน้าประตูห้องผมอีกครั้ง ท่านมะยม เอ้ย…มหายมอะไรนั่นเดินหายเข้าไปในนั้นแล้วจริงๆ ด้วยสิ! แต่ที่ขวัญผวาที่สุดในตอนนี้ไม่ใช่คนที่อยู่ไกลนั่นหรอกแต่เป็นไอ้พวกวิญญาณสวะพวกนี้มากกว่าเพราะเผลอแผล็บเดียวมันก็ขึ้นกันมาเต็มพรืดไปหมด มือมากมายพยายามไขว่คว้าข้อเท้าผม
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ