ปาฏิหาริย์โลกวิญญาณ (ได้รับการตีพิมพ์จากAmity Publishing แล้ว)
5.3
เขียนโดย watcharakarn
วันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 เวลา 12.10 น.
67 ตอน
3 วิจารณ์
41.89K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 23.09 น. โดย เจ้าของนิยาย
7) โลกแห่งอนธการ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเหตุการณ์ฉุกละหุกที่เกิดขึ้นทำให้จำเป็นต้องตัดสินใจ
“ปล่อยผมไว้อยู่ที่นี่เถอะ” ผมบอกเธอไปอย่างนั้นพลางสะบัดแขนให้หลุดออกตนเองจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่เห็นจำเป็นที่เธอต้องมาใส่ใจนี่นา
“ผมอยากอยู่คนเดียว” นี่ถ้าหากมีลมพัดพลิ้วให้ผมปลิวหน่อยๆ คำพูดนี้มันคงจะฟังดูเท่ระเบิดทีเดียวทว่าต่างกันตรงที่…มันก็แค่หลุดออกมาจากปากของผู้ชายอ่อนแอคนหนึ่งก็เท่านั้นเอง
“บางทีนายอาจจะจมอยู่กับตัวเองมากเกินไปหน่อย คงต้องออกไปดูคนอื่นๆ เขาบ้าง มาสิฉันจะพาไป เพราะตอนนี้นายคงไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้หรอก เชื่อฉัน” อีกฝ่ายพยายามกล่อม
“นี่คุณเป็นนางฟ้าหรือแม่ผมกันแน่เนี่ย” ผมประชดให้แก่คำหว่านล้อมที่ฟังไม่ลื่นหูเอาเสียเลย
“ถ้าอยากโดนลากลงนรกก็ตามใจ” คราวนี้เธอเล่นไม้แข็งก่อนจะสะบัดหน้าพรืดแล้วจ้ำเท้าจากไป ผมวูบวาบขึ้นมาด้วยขวัญเสีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเพิ่งได้ฟังเธอพูดถึงนรกไปอยู่แหมบๆ อย่างนี้ด้วยแล้ว ไม่อยากไปหรอกนะที่แบบนั้นน่ะ
“เฮ้ยเดี๋ยวๆ ขอหยิบยาก่อน” ผมร้องบอกเธอพลางมองปราดไปที่ขวดยาแบบพ่น แล้วก็แผงยารักษาอาการหอบหืดที่วางอยู่บนชั้นวางของ ข้างหลังนั้นคือกรอบรูปตั้งโต๊ะทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าแนวตั้งซึ่งมีภาพผมในชุดเสื้อครุยสีกรมท่าแถบสีฟ้ายืนอยู่บนผืนหญ้าหน้าอาคารเรียนสีขาว
ใบหน้าของผู้ชายที่เห็นในรูปถ่ายมองทีไรก็อยากจะเบนหน้าหนี ไม่ว่าจะดวงตาโตปลายหางตาตก คิ้วเข้มเส้นเล็กๆ ที่ตกลงมานั่นก็ด้วย ริมฝีปากบางๆ แสนธรรมดา แม้จมูกจะโด่งได้รูป
แต่เมื่อประกอบลงบนรูปหน้าสามเหลี่ยมที่เห็นโหนกแก้มชัด อีกทั้งหน้าผากแคบเข้าก็ทำให้แลดูไม่มีสง่าราศีและขาดมนต์เสน่ห์ที่พอจะชวนให้ผู้หญิงคนใดเหลียวมอง ผิวรึก็เป็นสีแทนเข้มเห็นได้ดาษดื่นผิดจากอาตี๋ ขาวๆ หล่อๆ ที่สาวๆ ส่วนใหญ่พากันคลั่งไคล้ใหลหลง
…นี่มันเป็นใบหน้าของคนขี้แพ้ชัดๆ
“นายตายไปแล้วนะ!” เธอเตือนสติก่อนจะพูดเร่ง “รีบไปเถอะ”
สาวร่างเพรียวกุมมือผมอย่างไม่ถือสาแล้วจึงปรี่ไปที่ประตูห้อง ระหว่างที่เราทั้งสองเดินผ่านหน้าห้องน้ำซึ่งประตูเปิดแง้มกว้างอยู่ แอบตกใจนิดๆ ที่ไม่ปรากฏเงาสะท้อนจากกระจกส่องกลับมาให้เห็น
‘นี่เราคงจะตายไปจริงๆ แล้วสินะ’ ผมนึกสลดหดหู่
“ฉันนับหนึ่งสองสามแล้วพุ่งออกประตูไปเลยนะ” สาริกาสั่งเสียงเข้ม ผมพยักหน้าหงึกหงัก
“1…2…3”
“ฟุ่บ….”
ระหว่างที่ผ่านบานไม้นั้นผมรู้สึกแน่นๆ เหมือนร่างโดนบีบอัดแต่ก็เพียงชั่วแล่น เราสองคนหลุดผลัวะออกมาจากประตูห้องสามศูนย์เก้ามายืนอยู่ตรงทางเดินที่ปูด้วยกระเบื้องสีขาว เช่นเดียวกับผนังและเพดานที่มีสีเดียวกันเพียงแต่ผนังแถบล่างถูกทาเป็นสีเขียวมะนาวยาวไปตลอดแนว
สองฟากฝั่งกั้นแบ่งเป็นห้องๆ เรียงรายกันไปตามหมายเลข บนเพดานมีหลอดไฟนีออนยาวเปล่งแสงสีขาวจ้าไล่ต่อๆ กันไปหลายดวงจนสุดทางเดิน แต่ไม่ทันไรก็เกิดประกายไฟแตกเปรี๊ยะๆ ลงมาจากขั้วหลอดราวกับมันกำลังช็อตและพากันกะพริบติดดับวุ่นวาย พื้นที่เหยียบอยู่พลันสั่นไหวรุนแรงจนเราทั้งสองยืนโงนเงนไปมา
“ว้าาา…อุปส์” อีกฝ่ายเข้ามาตะครุบปากไว้ก่อนที่ผมจะทันได้ร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ รู้สึกวูบวาบไปทั้งเนื้อทั้งตัวและสั่นกลัวอย่างหนัก เธอลากผมเข้าไปหลบอยู่ตรงมุมผนังบริเวณบันไดทางขึ้นลงซึ่งอยู่ไม่ห่างจากห้องผมนักอย่างรวดเร็ว แล้วจึงยกนิ้วชี้ชูขึ้นมาประทับริมฝีปากเป็นเชิงให้เงียบเสียงก่อนจะบุ้ยใบ้ไปตรงหน้าห้องของผมประหนึ่งให้คอยเฝ้าดู
อีกฝั่งหนึ่งของทางเดินที่ทอดลึกเข้าไปสุดสายตานั้น
“ตึง…ตึง!” เสียงของอะไรหนักๆ กระแทกพื้นเป็นจังหวะ ทำให้หน้าต่างบานเกล็ดห้องทั้งแถวสั่นกราวไปตามแรงกระเทือน เช่นเดียวกับพื้นที่โยกไหวปานกำลังจะถล่มลงในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้
‘เหมือนการก้าวเดิน’ ใช่แล้วมีใครสักคนกำลังมาทางนี้ ผมเห็นเงาดำทาบยาวไปตามผนัง ก่อนที่มันจะแผ่ขยายวงกว้างขึ้น สูงขึ้นเรื่อยๆ ตามระยะของบุคคลที่ใกล้เข้ามา เมื่อมองไปที่เพดานเบื้องบนก็เห็นเป็นน้ำข้นเหนียวสีดำจำนวนมหาศาลเจิ่งนองไปทั่วฝ้าเพดานแล้วจึงหยดย้อยซึมลงมาตามรอยรั่วและขอบผนังหล่นสู่พื้นแหมะ แหมะเป็นก้อนใหญ่บ้างเล็กบ้างไหลหลั่งลงมาเรื่อยๆ
“นี่มันอะไรน่ะ!” ผมตกใจระคนสงสัย
“ข้างล่างนั่นส่งท้าวมหายมมาเลยหรือนี่” หญิงสาวพึมพำกับตนเอง แล้วจึงเยี่ยมหน้ามองออกไปตรงทางเดิน
“โลกแห่งอนธการ อาณาเขตสีดำที่ท้าวมหายมสร้างขึ้นเวลาต้องการจับดวงวิญญาณ” เธออธิบาย พร้อมกับที่หลอดไฟยาวๆ บนเพดานไล่ดับลงทีละดวงทีละดวงอย่างรวดเร็ว
“พรึ่บ…พรึ่บ…พรึ่บ…พรึ่บ”
เพียงแค่พริบตาเดียว ทั้งเพดาน ผนังอาคารและพื้นกระเบื้องก็ถูกฉาบไปด้วยน้ำยางสีดำนั่นจนเห็นเป็นโพรงอุโมงค์มืดๆ ลึกเข้าไปราวกับถ้ำใต้ดิน รวมทั้ง
“อึ๋ย….บ้าชิบ” ผมสบถอย่างขยะแขยงเมื่อสัมผัสถึงอะไรหนืดๆ ใต้ฝ่าเท้าอันเปลือยเปล่า และเมื่อลองก้มมองลงไปก็ใช่จริงๆ ด้วย
ตอนนี้ไอ้น้ำโสโครกนั่นไหลบ่าชโลมอาคารชั้นนี้ไปหมดแล้ว พื้นกระเบื้องเหนียวหนึบจนแทบจะยกเท้าไม่ขึ้นราวกับติดกาวดักหนู
‘หรือว่านี่จะไว้สำหรับ…ดักจับวิญญาณ!’
“ท่านต้องการจะจับผมเหรอ แล้วท่านรู้ได้ยังไงว่าผมตายแล้ว” ผมป้องปากถามอีกฝ่ายแล้วจึงมองไปข้างหน้าด้วยความหวาดหวั่น และทันเห็นเงาดำสูงใหญ่ก่อตัวกลายเป็นร่างที่มีเนื้อหนังมังสาขึ้นมาแทน
“ตอนที่คนเสียชีวิตใหม่ๆ กลิ่นของความตายนั้นมันคงหอมหวนรัญจวนไปถึงเมืองนรกเลยทีเดียวเชียวล่ะ” เธอกล่าว “ปกติก็จะมีแต่พวกยมทูตที่เป็นบริวารตามไล่จับเหล่าวิญญาณเท่านั้น การที่ท้าวมหายมซึ่งเป็นหัวหน้าออกโรงขึ้นมายังแดนมนุษย์แบบนี้ ถ้าไม่มีเหตุจำเป็นก็คงเพราะ….”
ผมรอลุ้นฟังคำเฉลยนั้นด้วยความระทึก
“ปล่อยผมไว้อยู่ที่นี่เถอะ” ผมบอกเธอไปอย่างนั้นพลางสะบัดแขนให้หลุดออกตนเองจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่เห็นจำเป็นที่เธอต้องมาใส่ใจนี่นา
“ผมอยากอยู่คนเดียว” นี่ถ้าหากมีลมพัดพลิ้วให้ผมปลิวหน่อยๆ คำพูดนี้มันคงจะฟังดูเท่ระเบิดทีเดียวทว่าต่างกันตรงที่…มันก็แค่หลุดออกมาจากปากของผู้ชายอ่อนแอคนหนึ่งก็เท่านั้นเอง
“บางทีนายอาจจะจมอยู่กับตัวเองมากเกินไปหน่อย คงต้องออกไปดูคนอื่นๆ เขาบ้าง มาสิฉันจะพาไป เพราะตอนนี้นายคงไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้หรอก เชื่อฉัน” อีกฝ่ายพยายามกล่อม
“นี่คุณเป็นนางฟ้าหรือแม่ผมกันแน่เนี่ย” ผมประชดให้แก่คำหว่านล้อมที่ฟังไม่ลื่นหูเอาเสียเลย
“ถ้าอยากโดนลากลงนรกก็ตามใจ” คราวนี้เธอเล่นไม้แข็งก่อนจะสะบัดหน้าพรืดแล้วจ้ำเท้าจากไป ผมวูบวาบขึ้นมาด้วยขวัญเสีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเพิ่งได้ฟังเธอพูดถึงนรกไปอยู่แหมบๆ อย่างนี้ด้วยแล้ว ไม่อยากไปหรอกนะที่แบบนั้นน่ะ
“เฮ้ยเดี๋ยวๆ ขอหยิบยาก่อน” ผมร้องบอกเธอพลางมองปราดไปที่ขวดยาแบบพ่น แล้วก็แผงยารักษาอาการหอบหืดที่วางอยู่บนชั้นวางของ ข้างหลังนั้นคือกรอบรูปตั้งโต๊ะทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าแนวตั้งซึ่งมีภาพผมในชุดเสื้อครุยสีกรมท่าแถบสีฟ้ายืนอยู่บนผืนหญ้าหน้าอาคารเรียนสีขาว
ใบหน้าของผู้ชายที่เห็นในรูปถ่ายมองทีไรก็อยากจะเบนหน้าหนี ไม่ว่าจะดวงตาโตปลายหางตาตก คิ้วเข้มเส้นเล็กๆ ที่ตกลงมานั่นก็ด้วย ริมฝีปากบางๆ แสนธรรมดา แม้จมูกจะโด่งได้รูป
แต่เมื่อประกอบลงบนรูปหน้าสามเหลี่ยมที่เห็นโหนกแก้มชัด อีกทั้งหน้าผากแคบเข้าก็ทำให้แลดูไม่มีสง่าราศีและขาดมนต์เสน่ห์ที่พอจะชวนให้ผู้หญิงคนใดเหลียวมอง ผิวรึก็เป็นสีแทนเข้มเห็นได้ดาษดื่นผิดจากอาตี๋ ขาวๆ หล่อๆ ที่สาวๆ ส่วนใหญ่พากันคลั่งไคล้ใหลหลง
…นี่มันเป็นใบหน้าของคนขี้แพ้ชัดๆ
“นายตายไปแล้วนะ!” เธอเตือนสติก่อนจะพูดเร่ง “รีบไปเถอะ”
สาวร่างเพรียวกุมมือผมอย่างไม่ถือสาแล้วจึงปรี่ไปที่ประตูห้อง ระหว่างที่เราทั้งสองเดินผ่านหน้าห้องน้ำซึ่งประตูเปิดแง้มกว้างอยู่ แอบตกใจนิดๆ ที่ไม่ปรากฏเงาสะท้อนจากกระจกส่องกลับมาให้เห็น
‘นี่เราคงจะตายไปจริงๆ แล้วสินะ’ ผมนึกสลดหดหู่
“ฉันนับหนึ่งสองสามแล้วพุ่งออกประตูไปเลยนะ” สาริกาสั่งเสียงเข้ม ผมพยักหน้าหงึกหงัก
“1…2…3”
“ฟุ่บ….”
ระหว่างที่ผ่านบานไม้นั้นผมรู้สึกแน่นๆ เหมือนร่างโดนบีบอัดแต่ก็เพียงชั่วแล่น เราสองคนหลุดผลัวะออกมาจากประตูห้องสามศูนย์เก้ามายืนอยู่ตรงทางเดินที่ปูด้วยกระเบื้องสีขาว เช่นเดียวกับผนังและเพดานที่มีสีเดียวกันเพียงแต่ผนังแถบล่างถูกทาเป็นสีเขียวมะนาวยาวไปตลอดแนว
สองฟากฝั่งกั้นแบ่งเป็นห้องๆ เรียงรายกันไปตามหมายเลข บนเพดานมีหลอดไฟนีออนยาวเปล่งแสงสีขาวจ้าไล่ต่อๆ กันไปหลายดวงจนสุดทางเดิน แต่ไม่ทันไรก็เกิดประกายไฟแตกเปรี๊ยะๆ ลงมาจากขั้วหลอดราวกับมันกำลังช็อตและพากันกะพริบติดดับวุ่นวาย พื้นที่เหยียบอยู่พลันสั่นไหวรุนแรงจนเราทั้งสองยืนโงนเงนไปมา
“ว้าาา…อุปส์” อีกฝ่ายเข้ามาตะครุบปากไว้ก่อนที่ผมจะทันได้ร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ รู้สึกวูบวาบไปทั้งเนื้อทั้งตัวและสั่นกลัวอย่างหนัก เธอลากผมเข้าไปหลบอยู่ตรงมุมผนังบริเวณบันไดทางขึ้นลงซึ่งอยู่ไม่ห่างจากห้องผมนักอย่างรวดเร็ว แล้วจึงยกนิ้วชี้ชูขึ้นมาประทับริมฝีปากเป็นเชิงให้เงียบเสียงก่อนจะบุ้ยใบ้ไปตรงหน้าห้องของผมประหนึ่งให้คอยเฝ้าดู
อีกฝั่งหนึ่งของทางเดินที่ทอดลึกเข้าไปสุดสายตานั้น
“ตึง…ตึง!” เสียงของอะไรหนักๆ กระแทกพื้นเป็นจังหวะ ทำให้หน้าต่างบานเกล็ดห้องทั้งแถวสั่นกราวไปตามแรงกระเทือน เช่นเดียวกับพื้นที่โยกไหวปานกำลังจะถล่มลงในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้
‘เหมือนการก้าวเดิน’ ใช่แล้วมีใครสักคนกำลังมาทางนี้ ผมเห็นเงาดำทาบยาวไปตามผนัง ก่อนที่มันจะแผ่ขยายวงกว้างขึ้น สูงขึ้นเรื่อยๆ ตามระยะของบุคคลที่ใกล้เข้ามา เมื่อมองไปที่เพดานเบื้องบนก็เห็นเป็นน้ำข้นเหนียวสีดำจำนวนมหาศาลเจิ่งนองไปทั่วฝ้าเพดานแล้วจึงหยดย้อยซึมลงมาตามรอยรั่วและขอบผนังหล่นสู่พื้นแหมะ แหมะเป็นก้อนใหญ่บ้างเล็กบ้างไหลหลั่งลงมาเรื่อยๆ
“นี่มันอะไรน่ะ!” ผมตกใจระคนสงสัย
“ข้างล่างนั่นส่งท้าวมหายมมาเลยหรือนี่” หญิงสาวพึมพำกับตนเอง แล้วจึงเยี่ยมหน้ามองออกไปตรงทางเดิน
“โลกแห่งอนธการ อาณาเขตสีดำที่ท้าวมหายมสร้างขึ้นเวลาต้องการจับดวงวิญญาณ” เธออธิบาย พร้อมกับที่หลอดไฟยาวๆ บนเพดานไล่ดับลงทีละดวงทีละดวงอย่างรวดเร็ว
“พรึ่บ…พรึ่บ…พรึ่บ…พรึ่บ”
เพียงแค่พริบตาเดียว ทั้งเพดาน ผนังอาคารและพื้นกระเบื้องก็ถูกฉาบไปด้วยน้ำยางสีดำนั่นจนเห็นเป็นโพรงอุโมงค์มืดๆ ลึกเข้าไปราวกับถ้ำใต้ดิน รวมทั้ง
“อึ๋ย….บ้าชิบ” ผมสบถอย่างขยะแขยงเมื่อสัมผัสถึงอะไรหนืดๆ ใต้ฝ่าเท้าอันเปลือยเปล่า และเมื่อลองก้มมองลงไปก็ใช่จริงๆ ด้วย
ตอนนี้ไอ้น้ำโสโครกนั่นไหลบ่าชโลมอาคารชั้นนี้ไปหมดแล้ว พื้นกระเบื้องเหนียวหนึบจนแทบจะยกเท้าไม่ขึ้นราวกับติดกาวดักหนู
‘หรือว่านี่จะไว้สำหรับ…ดักจับวิญญาณ!’
“ท่านต้องการจะจับผมเหรอ แล้วท่านรู้ได้ยังไงว่าผมตายแล้ว” ผมป้องปากถามอีกฝ่ายแล้วจึงมองไปข้างหน้าด้วยความหวาดหวั่น และทันเห็นเงาดำสูงใหญ่ก่อตัวกลายเป็นร่างที่มีเนื้อหนังมังสาขึ้นมาแทน
“ตอนที่คนเสียชีวิตใหม่ๆ กลิ่นของความตายนั้นมันคงหอมหวนรัญจวนไปถึงเมืองนรกเลยทีเดียวเชียวล่ะ” เธอกล่าว “ปกติก็จะมีแต่พวกยมทูตที่เป็นบริวารตามไล่จับเหล่าวิญญาณเท่านั้น การที่ท้าวมหายมซึ่งเป็นหัวหน้าออกโรงขึ้นมายังแดนมนุษย์แบบนี้ ถ้าไม่มีเหตุจำเป็นก็คงเพราะ….”
ผมรอลุ้นฟังคำเฉลยนั้นด้วยความระทึก
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ