ปาฏิหาริย์โลกวิญญาณ (ได้รับการตีพิมพ์จากAmity Publishing แล้ว)
5.3
เขียนโดย watcharakarn
วันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 เวลา 12.10 น.
67 ตอน
3 วิจารณ์
41.86K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 23.09 น. โดย เจ้าของนิยาย
6) วิญญาณ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความโอ้แม่เจ้า! เห็นเป็นภาพของคุณยายไว้ผมสั้นผิวเหลืองเหี่ยวย่น หน้ายับปากเขรอะเหมือนมีสีอะไรดำๆ เปื้อนอยู่ ห่มสไบเฉียงผ้าแพรสีเขียวตุ่นๆ อัดกลีบ นุ่งผ้าซิ่น นั่งอยู่บนตั่งเต๊ะท่าราวกับพวกเศรษฐีนีหรือชาวรั้วชาววังแม้จะมีเค้าสวยเมื่อตอนยังสาวแต่รอยสังขารกระชากหน้านางรุนแรงเหลือเกิน พอเงยหน้ามองเปรียบหญิงสาวหน้าตาสวยพริ้งที่ยืนเท้าสะเอวอยู่ตรงหน้าแล้วก็นึกอยากตายขึ้นมาอีกหน…รับไม้ได้ รับไม่ได้จริงๆ
“นะนะนี่คุณจริงเหรอ ละละแล้วปากไปโดนอะไรมา?” ผมแกล้งถามกลบเกลื่อนเสียงกรีดร้องโวยวายอยู่ข้างใน
สาริกาส่งสายตามองผมแปลกๆ ก่อนจะฉวยรูปในมือกลับคืนไปพลางพูดเสียงขรึมๆ ว่า
“รูปนี้ฉันได้มาจากกองทะเบียนประวัติบนสวรรค์น่ะ สงสัยคงโดนแอบถ่าย ไหนดูสิ”
“อุ๊ยตายแล้ว คงจะมันหมากมากเกินไปหน่อย” เจ้าของรูปชี้แจง “พออยู่บนนั้นแล้วพวกเราทุกองค์จะได้ดื่มน้ำทิพย์บนแดนสุขาวดีที่ทำให้ความทรงจำต่างๆ ตอนเป็นมนุษย์โลกลบเลือนหายไปจนหมด คงจะมีก็แต่พวกที่อยู่ชั้นล่างที่เรียกกันว่าจาตุมหาราชิกาหรือชั้นจาตุมบางจำพวกที่สิงสถิตอยู่ยังภพมนุษย์อย่างพวกพระภูมิเจ้าที่ นางไม้ ผีบ้านผีเรือนนั่นแหละที่ยังคงมีสิ่งเหล่านั้นเหลืออยู่”
“คุณหมายความว่ายังไง?”
“ก็หมายถึงความทรงจำยังไงล่ะ” ผู้หญิงในชุดขาวตอบ สอดรูปถ่ายเข้าไปในเกาะอกก่อนจะเอ่ยปากพูดเสียงเครียด
“นายถามแบบนี้ก็ดีแล้ว เพราะพารท์ต่อไปที่ฉันจะพูดถึงก็คือส่วนของนายฟังไว้ให้ดีนะนายวิศรุฒิ”
“ลักษณะการเสียชีวิตของสัตว์โลกนั้นมีสองอย่างคือตายอย่างปัจจุบันทันด่วน” พอกล่าวถึงตรงนี้ภาพประกอบสามมิตินั่นก็เปลี่ยนไปอีกตามเนื้อหาที่เธอบรรยาย “เช่นการเกิดอุบัติเหตุ การถูกฆาตกรรม ฯลฯ การตายลักษณะนี้ส่วนใหญ่กายหยาบจะถูกกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงเป็นเหตุให้ดวงจิตนั้นถูกกระชากออกมาจากร่างในทันทีด้วยเช่นกัน พวกนี้นั้นจะตายแล้วตายเลย ฟื้นคืนขึ้นมาอีกไม่ได้
แต่ยังมีลักษณะการตายอีกแบบหนึ่งที่มนุษย์ยังมีโอกาสฟื้นคืนชีพได้ คือลักษณะการตายแบบค่อยๆ หมดลมหายใจ หรือเรียกว่า ‘อาสัญมาศ’ การตายที่มีค่าและงดงามดั่งทองคำ ตัวอย่างก็เช่นผู้ที่ตายด้วยโรคาพยาธิ หรือ สิ้นบุญสิ้นอายุขัย”
จากนั้นเธอก็ยกนิ้วชี้ตั้งฉากขึ้นมา พร้อมกับส่งสายตามองผม
“เมื่อกายหยาบตายไป องคาพยพต่างๆ หยุดทำงานดวงวิญญาณก็จะหลุดลอยออกจากร่าง กลายเป็นวิญญาณที่มีบ่วงเต็มไปด้วยความทุกขเวทนา เช่น ถ้าตายขณะโกรธ เกลียด พยาบาทวิญญาณก็จะเต็มไปด้วยแรงโกรธ เกลียด พยาบาทนั้นเช่นเดียวกัน หากไม่วนเวียนอยู่ในห้วงทุกข์นั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็จะเป็นสัมภเวสี หรือวิญญาณเร่ร่อนพเนจรไปเรื่อยๆ โดยไร้จุดหมาย บางรายก็ยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตนเองได้ตายไปจากภพนี้แล้ว
…ดังนั้นช่วงนาทีแห่งความตายจึงเป็นอะไรที่สำคัญมากเชียวล่ะ ก่อนตายเราควรจะระลึกถึงพระพุทธคุณและสิ่งที่ดีงามหรือความสุขเพราะอย่างน้อยจะทำให้เราไม่กลายไปเป็นวิญญาณพยาบาท หรือจมอยู่กับความเศร้า พะวงทั้งปวง”
ผมพยักพเยิดตามรู้สึกตัววูบวาบด้วยความกลัว แล้วจึงฟังเธอเล่าต่อ
“พวกวิญญาณหากไม่ถูกพวกยมทูตจับไปไต่สวนความดีความชั่วกับพญายมราช (พญามัจจุราช) นานวันก็จะกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนที่เข้าสู่ภาวะดวงจิตตกตะกอนความทรงจำที่เคยมีอยู่เมื่อตอนยังเป็นมนุษย์ก็จะค่อยๆ เลือนหายไปแล้วก็ถูกกลืนเข้าสู่โลกวิญญาณที่มีแต่รัตติกาลอันหนาวเหน็บวันเวลามิอาจก้าวเดินไปข้างหน้าและติดอยู่ปรภพนั้นชั่วกัปป์ชั่วกัลป์ไม่มีวันได้ผุดได้เกิดอีกต่อไป”
“แล้วนานแค่ไหนผมถึงจะกลายเป็นแบบนั้น….ไอ้วิญญาณเร่ร่อน หรือ หรือ…โลกแห่งวิญญาณนั่นด้วย” ผมละล่ำละลักถามด้วยความสนใจ
“ไม่มีใครตอบได้เพราะแต่ละคนก็มีเหตุ และปัจจัย หรือมีวิบากมีกรรมที่ต่างกัน บางคนอาจใช้เวลาเป็นเดือนหรือเป็นปีในโลกมนุษย์ แต่ก็เป็นเวลาเพียงไม่นานนักหรอก คนเรายามมีชีวิตอยู่ก็มีวิถีในรูปแบบหนึ่ง พอตายไปแล้วก็ต้องอยู่ในอีกรูปแบบหนึ่ง แต่ถึงแม้จะอยู่คนละภพแต่ทั้งหมดทั้งมวลนั่นก็สอดคล้องข้องเกี่ยวกันวนเวียนเป็นวัฏสงสารไม่รู้จักจบจักสิ้น”
“ฮิฮิฮิ เริ่มกลัวแล้วใช่มั๊ยล่ะโลกหลังความตายน่ะมันไม่ได้สวยหรูขนาดนั้นหรอกนะ” สาริกาหัวเราะคิกก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนเป็นตกใจแทบจะในทันที
“อ๊ะ!”
“ผู้คุมมาแล้ว เราอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้วล่ะรีบไปกันเถอะ” เธอโพล่งเสียงร้อนรน
ผมซึ่งกำลังนั่งฟังอีกฝ่ายสาธยายอยู่เพลินๆ มีอันต้องงงเป็นไก่ตาแตก
“ห๊ะใครมานะ?!”
“ยมทูตที่จะมารับวิญญาณนายไงเล่า ไม่มีเวลาแล้วรีบหนีกันเถอะเดี๋ยวฉันค่อยเล่าให้นายฟังที่หลัง” พูดแล้วหญิงสาวก็รีบเข้ามาดึงแขนผมให้ลุกยืน
ท่าทีลุกลี้ลุกลนนั้นทำให้ผมตื่นตกใจรู้สึกวูบวาบขึ้นมาอีกหน
“นะนะนี่คุณจริงเหรอ ละละแล้วปากไปโดนอะไรมา?” ผมแกล้งถามกลบเกลื่อนเสียงกรีดร้องโวยวายอยู่ข้างใน
สาริกาส่งสายตามองผมแปลกๆ ก่อนจะฉวยรูปในมือกลับคืนไปพลางพูดเสียงขรึมๆ ว่า
“รูปนี้ฉันได้มาจากกองทะเบียนประวัติบนสวรรค์น่ะ สงสัยคงโดนแอบถ่าย ไหนดูสิ”
“อุ๊ยตายแล้ว คงจะมันหมากมากเกินไปหน่อย” เจ้าของรูปชี้แจง “พออยู่บนนั้นแล้วพวกเราทุกองค์จะได้ดื่มน้ำทิพย์บนแดนสุขาวดีที่ทำให้ความทรงจำต่างๆ ตอนเป็นมนุษย์โลกลบเลือนหายไปจนหมด คงจะมีก็แต่พวกที่อยู่ชั้นล่างที่เรียกกันว่าจาตุมหาราชิกาหรือชั้นจาตุมบางจำพวกที่สิงสถิตอยู่ยังภพมนุษย์อย่างพวกพระภูมิเจ้าที่ นางไม้ ผีบ้านผีเรือนนั่นแหละที่ยังคงมีสิ่งเหล่านั้นเหลืออยู่”
“คุณหมายความว่ายังไง?”
“ก็หมายถึงความทรงจำยังไงล่ะ” ผู้หญิงในชุดขาวตอบ สอดรูปถ่ายเข้าไปในเกาะอกก่อนจะเอ่ยปากพูดเสียงเครียด
“นายถามแบบนี้ก็ดีแล้ว เพราะพารท์ต่อไปที่ฉันจะพูดถึงก็คือส่วนของนายฟังไว้ให้ดีนะนายวิศรุฒิ”
“ลักษณะการเสียชีวิตของสัตว์โลกนั้นมีสองอย่างคือตายอย่างปัจจุบันทันด่วน” พอกล่าวถึงตรงนี้ภาพประกอบสามมิตินั่นก็เปลี่ยนไปอีกตามเนื้อหาที่เธอบรรยาย “เช่นการเกิดอุบัติเหตุ การถูกฆาตกรรม ฯลฯ การตายลักษณะนี้ส่วนใหญ่กายหยาบจะถูกกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงเป็นเหตุให้ดวงจิตนั้นถูกกระชากออกมาจากร่างในทันทีด้วยเช่นกัน พวกนี้นั้นจะตายแล้วตายเลย ฟื้นคืนขึ้นมาอีกไม่ได้
แต่ยังมีลักษณะการตายอีกแบบหนึ่งที่มนุษย์ยังมีโอกาสฟื้นคืนชีพได้ คือลักษณะการตายแบบค่อยๆ หมดลมหายใจ หรือเรียกว่า ‘อาสัญมาศ’ การตายที่มีค่าและงดงามดั่งทองคำ ตัวอย่างก็เช่นผู้ที่ตายด้วยโรคาพยาธิ หรือ สิ้นบุญสิ้นอายุขัย”
จากนั้นเธอก็ยกนิ้วชี้ตั้งฉากขึ้นมา พร้อมกับส่งสายตามองผม
“เมื่อกายหยาบตายไป องคาพยพต่างๆ หยุดทำงานดวงวิญญาณก็จะหลุดลอยออกจากร่าง กลายเป็นวิญญาณที่มีบ่วงเต็มไปด้วยความทุกขเวทนา เช่น ถ้าตายขณะโกรธ เกลียด พยาบาทวิญญาณก็จะเต็มไปด้วยแรงโกรธ เกลียด พยาบาทนั้นเช่นเดียวกัน หากไม่วนเวียนอยู่ในห้วงทุกข์นั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็จะเป็นสัมภเวสี หรือวิญญาณเร่ร่อนพเนจรไปเรื่อยๆ โดยไร้จุดหมาย บางรายก็ยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตนเองได้ตายไปจากภพนี้แล้ว
…ดังนั้นช่วงนาทีแห่งความตายจึงเป็นอะไรที่สำคัญมากเชียวล่ะ ก่อนตายเราควรจะระลึกถึงพระพุทธคุณและสิ่งที่ดีงามหรือความสุขเพราะอย่างน้อยจะทำให้เราไม่กลายไปเป็นวิญญาณพยาบาท หรือจมอยู่กับความเศร้า พะวงทั้งปวง”
ผมพยักพเยิดตามรู้สึกตัววูบวาบด้วยความกลัว แล้วจึงฟังเธอเล่าต่อ
“พวกวิญญาณหากไม่ถูกพวกยมทูตจับไปไต่สวนความดีความชั่วกับพญายมราช (พญามัจจุราช) นานวันก็จะกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนที่เข้าสู่ภาวะดวงจิตตกตะกอนความทรงจำที่เคยมีอยู่เมื่อตอนยังเป็นมนุษย์ก็จะค่อยๆ เลือนหายไปแล้วก็ถูกกลืนเข้าสู่โลกวิญญาณที่มีแต่รัตติกาลอันหนาวเหน็บวันเวลามิอาจก้าวเดินไปข้างหน้าและติดอยู่ปรภพนั้นชั่วกัปป์ชั่วกัลป์ไม่มีวันได้ผุดได้เกิดอีกต่อไป”
“แล้วนานแค่ไหนผมถึงจะกลายเป็นแบบนั้น….ไอ้วิญญาณเร่ร่อน หรือ หรือ…โลกแห่งวิญญาณนั่นด้วย” ผมละล่ำละลักถามด้วยความสนใจ
“ไม่มีใครตอบได้เพราะแต่ละคนก็มีเหตุ และปัจจัย หรือมีวิบากมีกรรมที่ต่างกัน บางคนอาจใช้เวลาเป็นเดือนหรือเป็นปีในโลกมนุษย์ แต่ก็เป็นเวลาเพียงไม่นานนักหรอก คนเรายามมีชีวิตอยู่ก็มีวิถีในรูปแบบหนึ่ง พอตายไปแล้วก็ต้องอยู่ในอีกรูปแบบหนึ่ง แต่ถึงแม้จะอยู่คนละภพแต่ทั้งหมดทั้งมวลนั่นก็สอดคล้องข้องเกี่ยวกันวนเวียนเป็นวัฏสงสารไม่รู้จักจบจักสิ้น”
“ฮิฮิฮิ เริ่มกลัวแล้วใช่มั๊ยล่ะโลกหลังความตายน่ะมันไม่ได้สวยหรูขนาดนั้นหรอกนะ” สาริกาหัวเราะคิกก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนเป็นตกใจแทบจะในทันที
“อ๊ะ!”
“ผู้คุมมาแล้ว เราอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้วล่ะรีบไปกันเถอะ” เธอโพล่งเสียงร้อนรน
ผมซึ่งกำลังนั่งฟังอีกฝ่ายสาธยายอยู่เพลินๆ มีอันต้องงงเป็นไก่ตาแตก
“ห๊ะใครมานะ?!”
“ยมทูตที่จะมารับวิญญาณนายไงเล่า ไม่มีเวลาแล้วรีบหนีกันเถอะเดี๋ยวฉันค่อยเล่าให้นายฟังที่หลัง” พูดแล้วหญิงสาวก็รีบเข้ามาดึงแขนผมให้ลุกยืน
ท่าทีลุกลี้ลุกลนนั้นทำให้ผมตื่นตกใจรู้สึกวูบวาบขึ้นมาอีกหน
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ