ปาฏิหาริย์โลกวิญญาณ (ได้รับการตีพิมพ์จากAmity Publishing แล้ว)
5.3
เขียนโดย watcharakarn
วันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 เวลา 12.10 น.
67 ตอน
3 วิจารณ์
41.89K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 23.09 น. โดย เจ้าของนิยาย
57) ของขวัญ…ที่ไม่ต้องการ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ “แม่เคยบอกกับผมว่า สักวันผมจะได้เจอผู้หญิงที่มองเห็นค่าในตัวผม และรักในสิ่งที่ผมเป็น” ผมเอ่ยให้สาริกาที่กำลังนั่งอยู่ข้างๆ ฟัง “คนที่ยินดีที่จะร่วมทั้งทุกข์…และสุข…ไปกับเรา เหมือนที่แม่ได้เจอกับป๊า”
“แม้แต่ตอนที่เค้าทั้งสองคนทะเลาะกัน ตอนที่ป๊าตัดสินใจผิดพลาดไปเซ็นต์ค้ำประกันให้เพื่อน ตอนที่ชีวิตของพวกเราเหมือนตกเหว แม่ก็ไม่เคยต่อว่าด่าทอป๊ารุนแรงเลยสักครั้ง อย่างมากก็เถียงกัน เมินหน้าใส่กันแต่พออีกวันก็กลับมาคุยกันปกติเหมือนเดิม แม่ไม่เคยหนีไปไหน ป๊าเองก็ไม่เคยออกปากไล่แม่แม้ว่าทุกอย่างมันจะเลวร้ายแค่ไหนก็ตาม”
ทันใดนั้นภาพของแฟนสาวปรากฏขึ้นมาในห้วงคะนึงใบหน้าสดใสและสะสวยกำลัง คลี่ยิ้มหวานให้ ก่อนที่ภาพห้องพักอันโล่งตาไร้เสื้อผ้าอาภรณ์ของเธอ กระดาษโน้ตที่เขียนถ้อยคำบอกลา จะปรากฏขึ้นมาแทนที่ประหนึ่งตอกย้ำให้เจ็บช้ำระกำใจ…เมื่อชีวิตคู่ที่ประคับประคองกันมายาวนานได้อับปางลงในชั่วพริบตา
“แม่นายคงรักพ่อนายมากเลยนะ”
คำพูดของสาริกา ทำให้ผมได้สติ
“เท่าที่เห็นมาตลอดผมก็เชื่อนะว่าพวกเขาอยู่กันด้วยความรักจริงๆ ผมเองก็อยากจะโชคดีแบบนี้บ้าง อย่างตอนที่ป๊าเข้าโรงพยาบาลแม่กับน้องผมก็คอยอยู่เฝ้าจนวันสุดท้าย”
“พ่อนาย…เค้า…เอ่อ”
“ป๊าทำงานหนักแล้วก็เครียด แกมีโรคประจำตัวพวกความดันน่ะ” ผมเอ่ย“แล้วก็พวกโรคหัวใจร่วมด้วย แม่เล่าให้ฟังว่าจู่ๆ ป๊าก็ล้มลงที่ร้าน วันถัดมาท่านก็ด่วนจากไปโดยที่พวกเราไม่ทันตั้งตัว ผมเองตอนนั้นยังนั่งสอบอยู่ที่มหาลัยอยู่เลยคุณ กว่าจะได้รู้เรื่องรู้ราว กว่าจะได้กลับมาแกก็ไปก่อนแล้ว…”
พอเล่าถึงตรงนี้ผมก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดขึ้นมา
“เอาน่าๆ อย่าเสียใจไปเลยอย่างน้อยตอนที่เขามีชีวิตนายกับพ่อก็คงมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นเยอะแยะ ฉันว่ามันน่าจะเพียงพอแล้วล่ะ เกิดแก่เจ็บตายมันเป็นเรื่องธรรมดาของพวกมนุษย์นะ…นายคงเข้าใจดี” อีกฝ่ายปลอบ
“ไม่หรอกคุณ ผมกับป๊าน่ะไม่ค่อยมีช่วงเวลาดีๆ แบบนั้นหรอก” ผมตอบพลางระลึกถึงตอนที่ป๊าหน้านิ่วคิ้วขมวด ด่าว่าผม บ้างก็ตวาดใส่ หรือหยิบไม้แขวนเสื้อไล่ตีแม้ด้วยเรื่องอันเล็กน้อย “ผมอ่ะถูกป๊าด่าประจำแหละ ไม่เคยทำอะไรถูกใจแกซ้ากอย่าง ทำอะไรผิดหน่อยแกก็ด่า ก็ตี พอจะชี้แจง ก็หาว่าเถียง ทีน้องผมไม่เห็นเจอแบบนี้มั่งเลย” ผมโอดก่อนจะยกกระป๋องน้ำอัดลมขึ้นดื่มอึกใหญ่
“ตอนนั้นผมโคตรเบื่อบ้านชิบ ก็จนจบมอหกโชคดีดันสอบติดมหาฯลัยในกรุงเทพฯ ก็เลยได้ย้ายมาอยู่ในเมืองไม่งั้นก็คงได้ดักดานอยู่ที่บ้านนอกนู่น ผมอ่ะชอบตอนอยู่มหาฯลัยที่สุดแล้วล่ะคุณ มีอิสระเสรี อยู่กับเพื่อนรุ่นๆ เดียวกันไปไหนไปกัน ผู้หญิงน่ารักก็เยอะ”
“นี่แสดงว่า นายก็ไม่ลงรอยกับพ่อเท่าไหร่สินะ” สาริกาเปรย
“อืม…ก็ค่อนข้างห่างนะ” ผมยอมรับก่อนจะอุทานออกมาเบาๆ “อ้อ…แต่ก็มีเรื่องหนึ่งนะที่ผมยังจำได้อยู่”
“หืม” อีกฝ่ายตะแคงหน้ามาด้วยความสงสัย
“ตอนผมอายุได้เก้าขวบมั้ง” ผมปริปากเล่าความทรงจำครั้งยังเป็นเด็กให้เธอฟัง “ผมไปเล่นตากฝนจนตัวเปียก คืนวันนั้นก็เลยไข้ขึ้นหนัก ตัวสั่นเพ้อเลยล่ะคุณ ป๊าเค้าก็ช้อนตัวผมขึ้นจากที่นอนแล้วพาไปส่งโรงพยาบาลกลางดึก พอไปถึงที่นั่นแกก็โวยวายใหญ่ ให้หมอรีบมาดูอาการผม ขอลัดคิวจนเถียงกับพยาบาลเสียงดัง
แม่ต้องมาปราม ผมก็อายๆ นะแต่ตอนนั้นมันก็ไม่รู้เรื่องอะไรเท่าไหร่ เพราะพิษไข้ หมอบอกว่าถ้ามาช้ากว่านี้ก็อาจเป็นอะไรไปมากกว่านี้ก็ได้…ถ้าไม่ได้เค้าวันนั้นผมก็คงแย่เลยล่ะ”
“จะว่าไปแล้วผมเองก็ทำไม่ดีกับพ่อเค้าไว้เหมือนกัน” พูดแล้ว ภาพของตนเองที่เหวี่ยงรองเท้าคัทชูหนังสีดำหัวตัดจากแบรนด์ดังลงพื้นไม้ด้วยความโมโหก็ผุดพรายขึ้นมาในความทรงจำ หลังจากที่ได้รู้ความจริงว่าของในกล่องของขวัญที่แม่เอามามอบให้ในวันเกิดครบรอบ 18 ปี ที่แท้เป็นเพียงรองเท้ามือสองคู่หนึ่งที่ผ่านการย้อมแมวขัดสีฉวีวรรณเสียดูเหมือนใหม่
โลกแห่งความสุขในวันแสนพิเศษได้พังทลายลงตรงหน้า เหลือเพียงไฟแห่งความโกรธเกรี้ยว และความผิดหวังที่ลุกโชนสุมทรวง
“ย้งทำไมทำอย่างนี้ละลูก ป๊าเค้าอุตส่าห์ตั้งใจทำให้นะ” เสียงของแม่นี่นั่งอยู่บนตั่งไม้ว่ากล่าวด้วยอารามตกใจ “ย้งบอกแม่ว่าอยากได้รองเท้าหนังดีๆ ใส่ไปเรียนไม่ใช่เหรอลูก”
“ย้งไม่อยากได้ของเก่านี่แม่ อั๊วะอยากได้คู่ใหม่”
“แต่นี่ก็ใส่ได้เหมือนกัน ของใหม่ที่ลูกอยากได้มันตั้งหลายพันป๊าเค้าจะซื้อให้ได้ยังไง คู่นี้มันก็ซ่อมนิดเดียวเองหนังแท้เลยนะลูก” แม่พยายามอธิบาย แต่ดูเหมือนอารมณ์คุกรุ่นจะปิดหูปิดตาผมไม่ให้มองความจริงใดใดทั้งนั้น แม้ว่าตอนนั้นครอบครัวของเราจะยากลำบาก แต่ของขวัญวันเกิดสำหรับผมมันต้องเป็นของใหม่เท่านั้น ไม่เอาหรอกของเหลือเดนที่ผ่านการใช้งานมาแล้วแบบนี้
“โธ่ เว้ย!” ผมแผดเสียงพร้อมกับใช้เท้าซ้ายเตะมันกระเด็นไป
“อาย้ง!...ผั่วะ” พอเงยหน้ามาอีกทีผมก็ถูกหมัดของป๊ากระแทกเข้าให้เต็มข้างแก้ม ผมที่เลือดขึ้นหน้าก็ถลาเข้าใส่ป๊าที่กำลังเดือดดาลหวิดจะวางมวยกัน ยังดีที่แม่เข้ามากั้นกลางไว้ไม่ให้ลงไม้ลงมือกันไปมากกว่านี้
“ทำไมอั๊วะต้องเกิดมาเป็นลูกคนจนๆ แบบนี้วะ” ผมตะเบ็งเสียงใส่ น้ำตาร้อนผ่าวเอ่อคลอด้วยอารมณ์ผิดหวัง เสียใจที่บิดาบังเกิดเกล้าไม่เคยเห็นค่าผมเลย ก่อนจะกระทืบคัทชูอีกข้างหนึ่งที่อยู่ข้างฝ่าเท้าไปหนึ่งทีแล้ววิ่งตึงตังขึ้นบ้านไปทรุดตัวอยู่หลังประตูห้องนอนแล้วกอดเข่าร้องไห้
หลังจากเกิดเหตุการณ์รุนแรงในครั้งนั้นผมกับป๊าก็ไม่ได้คุยกันเลยไปนานร่วมเดือน
“แม้แต่ตอนที่เค้าทั้งสองคนทะเลาะกัน ตอนที่ป๊าตัดสินใจผิดพลาดไปเซ็นต์ค้ำประกันให้เพื่อน ตอนที่ชีวิตของพวกเราเหมือนตกเหว แม่ก็ไม่เคยต่อว่าด่าทอป๊ารุนแรงเลยสักครั้ง อย่างมากก็เถียงกัน เมินหน้าใส่กันแต่พออีกวันก็กลับมาคุยกันปกติเหมือนเดิม แม่ไม่เคยหนีไปไหน ป๊าเองก็ไม่เคยออกปากไล่แม่แม้ว่าทุกอย่างมันจะเลวร้ายแค่ไหนก็ตาม”
ทันใดนั้นภาพของแฟนสาวปรากฏขึ้นมาในห้วงคะนึงใบหน้าสดใสและสะสวยกำลัง คลี่ยิ้มหวานให้ ก่อนที่ภาพห้องพักอันโล่งตาไร้เสื้อผ้าอาภรณ์ของเธอ กระดาษโน้ตที่เขียนถ้อยคำบอกลา จะปรากฏขึ้นมาแทนที่ประหนึ่งตอกย้ำให้เจ็บช้ำระกำใจ…เมื่อชีวิตคู่ที่ประคับประคองกันมายาวนานได้อับปางลงในชั่วพริบตา
“แม่นายคงรักพ่อนายมากเลยนะ”
คำพูดของสาริกา ทำให้ผมได้สติ
“เท่าที่เห็นมาตลอดผมก็เชื่อนะว่าพวกเขาอยู่กันด้วยความรักจริงๆ ผมเองก็อยากจะโชคดีแบบนี้บ้าง อย่างตอนที่ป๊าเข้าโรงพยาบาลแม่กับน้องผมก็คอยอยู่เฝ้าจนวันสุดท้าย”
“พ่อนาย…เค้า…เอ่อ”
“ป๊าทำงานหนักแล้วก็เครียด แกมีโรคประจำตัวพวกความดันน่ะ” ผมเอ่ย“แล้วก็พวกโรคหัวใจร่วมด้วย แม่เล่าให้ฟังว่าจู่ๆ ป๊าก็ล้มลงที่ร้าน วันถัดมาท่านก็ด่วนจากไปโดยที่พวกเราไม่ทันตั้งตัว ผมเองตอนนั้นยังนั่งสอบอยู่ที่มหาลัยอยู่เลยคุณ กว่าจะได้รู้เรื่องรู้ราว กว่าจะได้กลับมาแกก็ไปก่อนแล้ว…”
พอเล่าถึงตรงนี้ผมก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดขึ้นมา
“เอาน่าๆ อย่าเสียใจไปเลยอย่างน้อยตอนที่เขามีชีวิตนายกับพ่อก็คงมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นเยอะแยะ ฉันว่ามันน่าจะเพียงพอแล้วล่ะ เกิดแก่เจ็บตายมันเป็นเรื่องธรรมดาของพวกมนุษย์นะ…นายคงเข้าใจดี” อีกฝ่ายปลอบ
“ไม่หรอกคุณ ผมกับป๊าน่ะไม่ค่อยมีช่วงเวลาดีๆ แบบนั้นหรอก” ผมตอบพลางระลึกถึงตอนที่ป๊าหน้านิ่วคิ้วขมวด ด่าว่าผม บ้างก็ตวาดใส่ หรือหยิบไม้แขวนเสื้อไล่ตีแม้ด้วยเรื่องอันเล็กน้อย “ผมอ่ะถูกป๊าด่าประจำแหละ ไม่เคยทำอะไรถูกใจแกซ้ากอย่าง ทำอะไรผิดหน่อยแกก็ด่า ก็ตี พอจะชี้แจง ก็หาว่าเถียง ทีน้องผมไม่เห็นเจอแบบนี้มั่งเลย” ผมโอดก่อนจะยกกระป๋องน้ำอัดลมขึ้นดื่มอึกใหญ่
“ตอนนั้นผมโคตรเบื่อบ้านชิบ ก็จนจบมอหกโชคดีดันสอบติดมหาฯลัยในกรุงเทพฯ ก็เลยได้ย้ายมาอยู่ในเมืองไม่งั้นก็คงได้ดักดานอยู่ที่บ้านนอกนู่น ผมอ่ะชอบตอนอยู่มหาฯลัยที่สุดแล้วล่ะคุณ มีอิสระเสรี อยู่กับเพื่อนรุ่นๆ เดียวกันไปไหนไปกัน ผู้หญิงน่ารักก็เยอะ”
“นี่แสดงว่า นายก็ไม่ลงรอยกับพ่อเท่าไหร่สินะ” สาริกาเปรย
“อืม…ก็ค่อนข้างห่างนะ” ผมยอมรับก่อนจะอุทานออกมาเบาๆ “อ้อ…แต่ก็มีเรื่องหนึ่งนะที่ผมยังจำได้อยู่”
“หืม” อีกฝ่ายตะแคงหน้ามาด้วยความสงสัย
“ตอนผมอายุได้เก้าขวบมั้ง” ผมปริปากเล่าความทรงจำครั้งยังเป็นเด็กให้เธอฟัง “ผมไปเล่นตากฝนจนตัวเปียก คืนวันนั้นก็เลยไข้ขึ้นหนัก ตัวสั่นเพ้อเลยล่ะคุณ ป๊าเค้าก็ช้อนตัวผมขึ้นจากที่นอนแล้วพาไปส่งโรงพยาบาลกลางดึก พอไปถึงที่นั่นแกก็โวยวายใหญ่ ให้หมอรีบมาดูอาการผม ขอลัดคิวจนเถียงกับพยาบาลเสียงดัง
แม่ต้องมาปราม ผมก็อายๆ นะแต่ตอนนั้นมันก็ไม่รู้เรื่องอะไรเท่าไหร่ เพราะพิษไข้ หมอบอกว่าถ้ามาช้ากว่านี้ก็อาจเป็นอะไรไปมากกว่านี้ก็ได้…ถ้าไม่ได้เค้าวันนั้นผมก็คงแย่เลยล่ะ”
“จะว่าไปแล้วผมเองก็ทำไม่ดีกับพ่อเค้าไว้เหมือนกัน” พูดแล้ว ภาพของตนเองที่เหวี่ยงรองเท้าคัทชูหนังสีดำหัวตัดจากแบรนด์ดังลงพื้นไม้ด้วยความโมโหก็ผุดพรายขึ้นมาในความทรงจำ หลังจากที่ได้รู้ความจริงว่าของในกล่องของขวัญที่แม่เอามามอบให้ในวันเกิดครบรอบ 18 ปี ที่แท้เป็นเพียงรองเท้ามือสองคู่หนึ่งที่ผ่านการย้อมแมวขัดสีฉวีวรรณเสียดูเหมือนใหม่
โลกแห่งความสุขในวันแสนพิเศษได้พังทลายลงตรงหน้า เหลือเพียงไฟแห่งความโกรธเกรี้ยว และความผิดหวังที่ลุกโชนสุมทรวง
“ย้งทำไมทำอย่างนี้ละลูก ป๊าเค้าอุตส่าห์ตั้งใจทำให้นะ” เสียงของแม่นี่นั่งอยู่บนตั่งไม้ว่ากล่าวด้วยอารามตกใจ “ย้งบอกแม่ว่าอยากได้รองเท้าหนังดีๆ ใส่ไปเรียนไม่ใช่เหรอลูก”
“ย้งไม่อยากได้ของเก่านี่แม่ อั๊วะอยากได้คู่ใหม่”
“แต่นี่ก็ใส่ได้เหมือนกัน ของใหม่ที่ลูกอยากได้มันตั้งหลายพันป๊าเค้าจะซื้อให้ได้ยังไง คู่นี้มันก็ซ่อมนิดเดียวเองหนังแท้เลยนะลูก” แม่พยายามอธิบาย แต่ดูเหมือนอารมณ์คุกรุ่นจะปิดหูปิดตาผมไม่ให้มองความจริงใดใดทั้งนั้น แม้ว่าตอนนั้นครอบครัวของเราจะยากลำบาก แต่ของขวัญวันเกิดสำหรับผมมันต้องเป็นของใหม่เท่านั้น ไม่เอาหรอกของเหลือเดนที่ผ่านการใช้งานมาแล้วแบบนี้
“โธ่ เว้ย!” ผมแผดเสียงพร้อมกับใช้เท้าซ้ายเตะมันกระเด็นไป
“อาย้ง!...ผั่วะ” พอเงยหน้ามาอีกทีผมก็ถูกหมัดของป๊ากระแทกเข้าให้เต็มข้างแก้ม ผมที่เลือดขึ้นหน้าก็ถลาเข้าใส่ป๊าที่กำลังเดือดดาลหวิดจะวางมวยกัน ยังดีที่แม่เข้ามากั้นกลางไว้ไม่ให้ลงไม้ลงมือกันไปมากกว่านี้
“ทำไมอั๊วะต้องเกิดมาเป็นลูกคนจนๆ แบบนี้วะ” ผมตะเบ็งเสียงใส่ น้ำตาร้อนผ่าวเอ่อคลอด้วยอารมณ์ผิดหวัง เสียใจที่บิดาบังเกิดเกล้าไม่เคยเห็นค่าผมเลย ก่อนจะกระทืบคัทชูอีกข้างหนึ่งที่อยู่ข้างฝ่าเท้าไปหนึ่งทีแล้ววิ่งตึงตังขึ้นบ้านไปทรุดตัวอยู่หลังประตูห้องนอนแล้วกอดเข่าร้องไห้
หลังจากเกิดเหตุการณ์รุนแรงในครั้งนั้นผมกับป๊าก็ไม่ได้คุยกันเลยไปนานร่วมเดือน
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ