ปาฏิหาริย์โลกวิญญาณ (ได้รับการตีพิมพ์จากAmity Publishing แล้ว)
5.3
เขียนโดย watcharakarn
วันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 เวลา 12.10 น.
67 ตอน
3 วิจารณ์
41.91K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 23.09 น. โดย เจ้าของนิยาย
54) แท็กซี่โลกวิญญาณ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“แพรวภิตาเหรอ เธอเรียกแท็กซี่มาให้ฉันแล้วใช่มั๊ย” จากนั้นสาริกาก็ยกมือข้างขวาขึ้นป้องหูส่งโทรจิตคุยกับเพื่อนสาวบนสวรรค์ที่ติดต่อเข้ามาพอดี พร้อมทั้งชี้มือชี้ไม้ให้ผมจัดการหุบปากเจ้าด่างซะ
เห็นทีว่าผมต้องแสดงฝีมือกำราบสุนัขปากเปราะนี่ให้ได้เสียแล้ว
ผมคิดหาวิธีการพลางกวาดสายตามองไปถ้วนทั่ว พลันเหลือบเห็นกระป๋องน้ำอัดลมนอนนิ่งอยู่บนพื้นปูนก็นึกออกขึ้นมาทันที จากนั้นจึงเขยิบปลายเท้าเข้าไปสอดใต้กระป๋องแล้วตั้งสมาธิเพ่งจิตอธิษฐาน
“เป๊ง…เอ๋งๆๆ” ผมเตะมันกระเด็นไปโดนตัวเจ้าด่างอย่างจังจนมันตกใจร้องลั่นแล้วลุกหนีไปอย่างรวดเร็ว
“ฮ่าๆ เป็นไงล่ะ” ผมหัวเราะอย่างสะใจแล้วพูดไล่หลังเจ้าด่างที่วิ่งเปิดแน่บไปตรงลานกรวดด้านล่างก่อนจะเดินไปชะเง้อคอมองหารถแท็กซี่ที่สาริกาบอกบริเวณริมฟุตบาท
‘เอ…ไม่เห็นมีแท็กซี่สักคันเลยว่ะ”
“เพื่อนบอกฉันว่าแท็กซี่มาถึงแล้ว…” สาริกาที่เดินยักแย่ยักยันตามมากล่าว
“โอยชักเริ่มคันเหงือกหยากกินหมากขึ้นมาแล้วแหะ” เธอบ่นพึมพำแล้วจึงเสกตะกร้าเชี่ยนหมากแบบสานขึ้นมาคล้องแขนแล้วค่อยใช้อีกมือล้วงหยิบหมากพลูที่จัดไว้เป็นคำคำเข้าปากเคี้ยวหยั่บหยั่บน่าเอร็ดอร่อย
พอได้ยินเธอพูดมาแบบนั้นผมก็ยิ่งสงสัยไปกันใหญ่เพราะแม้จะมองซ้ายแลขวาอย่างไรก็ไม่เห็นวี่แววรถยนต์จอดรอใครอยู่แถวนี้เลยสักคัน มีก็แต่มอเตอร์ไซค์สามสี่คันของเด็กๆ กลุ่มนั้น ส่วนบนถนนก็เป็นพวกรถราวิ่งกันไปมาปกติ
คำว่ามาถึงแล้วของอีกฝ่ายทำให้ผมรู้สึกสะดุดอยู่ในใจ
“โฮ่งๆๆ โบร๋วว…”
“จะเห่าอะไรกันนักกันหนาว่ะ” ผมหันไปเอ็ดใส่สุนัขลายด่างด้วยความหงุดหงิด แต่กลับพบว่ามันไม่ได้เห่าใส่พวกเราเหมือนที่คิดไว้ ทว่าเจ้าสี่ขานั่นมันกำลังเห่าหอนให้กับบางสิ่งบางอย่างที่ยืนตระหง่านสูงชะลูดสุดลูกหูลูกตาขึ้นไปเหนือยอดต้นไม้ใหญ่ที่กำลังไหวเอนนั่น
“อ๊ะ….!” ผมอ้าปากค้างช็อกตะลึงอยู่ในท่านั้นทันทีที่ได้เห็นสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า
“ฮู้ฮวี้ดดดดด” เสียงหวีดหวิว ดังกึกก้องไปทั่วอาณาบริเวณ ผมมองเห็นแต่นิ้วเท้าอันใหญ่โตและท่อนขาขนาดสองคนโอบสีคล้ำคู่หนึ่งที่ยาวตรงขึ้นไปนับสิบเมตร เมื่อได้ลองเงยหน้าก็เห็นมันมีลักษณะคล้ายมนุษย์นุ่งห่มผ้าโจงกระเบนสีมอๆ ดึงชายกระเบนให้สูงขึ้นแบบหยักรั้งและมีพุงห้อยย้อยส่วนลำตัวผอมแห้งหนังติดกระดูก
ส่วนมือที่แนบข้างนั้นมโหฬาร ช่วงนิ้วเรียวยาวจนกินพื้นที่ฝ่ามือเข้ามาเหลือนิดเดียวและมีเล็บแหลมคม แม้จะไม่ได้เห็นใบหน้าชัดแจ้ง เพราะอยู่สูงมากแต่เท่าที่สังเกตุจากลักษณะภายนอกแล้วเปรตตนนี้น่าจะเป็นเพศชายมากกว่าหญิง
“โบร๋วววว” ทันใดนั้นเจ้าหมาซ่าก็โก่งลำคอเปล่งเสียงหอนยาวพาให้ผมตระหนก ถอยกรูดจนแทบล้ม
“ปะปะเปรตนี่คุณ” ผมร้องลนลาน ตั้งท่าเผ่นแต่นางฟ้าชราที่ยืนอยู่ข้างหลังก็ยกมือซ้ายขึ้นมาจับบ่าผมไว้ เบี่ยงหน้าไปบ้วนน้ำหมากทิ้งลงพื้น แล้วจึงกล่าวทักทายเปรตร่างยักษ์ราวกับคุ้นเคยกันดี
“มาถึงแล้วเหรอภุควันท์”
“ฮวีดดดดด วิ๊ดด” อีกฝ่ายหนึ่งตอบกลับด้วยการส่งเสียงร้องแหลมสูงอยู่ด้านบน
“คุณรู้จักมันด้วยเหรอ” ผมถามหน้าเจื่อนด้วยความหวาดหวั่นกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า “นะนะนี่มันเปรตนะ ตะตะตัวใหญ่มากเลย”
“อะไออ๊ะ” สาริกาตอบเสียงอู้อี้ยังคงอร่อยปากอยู่กับหมากพอดีคำที่เพิ่งจะรับประทานเข้าไป
“ผมถามว่าคุณรู้จักเปรตตนนี้ด้วยเหรอ” คราวนี้ผมเสียงเข้มขึ้นเจืออารมณ์หงุดหงิดเล็กน้อย ด้วยความที่เจ้าหล่อนทำเป็นเล่นไม่รู้จักเวล่ำเวลาว่ามันหน้าสิ่วหน้าขวานขนาดไหน
‘การมีเปรตตัวสูงใหญ่เท่าภูเขาเลากามายืนอยู่ตรงหน้ามันไม่ใช่เรื่องตลกเลยนะ’
“อู้อะอิ” นางฟ้าพูดก่อนจะคายหมากคำที่สองทิ้ง แล้วจึงเสกตะกร้าสานหายวับไปกับตา
เธอใช้ฝ่ามือถูกันเมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อย
“นี่ล่ะ แท็กซี่ชั้นเฟิรส์คลาสจากปรโลก พาหนะของพวกฉันเวลาลงมายังโลกมนุษย์…มีแต่พวกเทพยดานางอัปสรเท่านั้นน้าถึงจะได้นั่ง”
“นี่คุณไม่ได้ล้อผมเล่นใช่มั๊ยเนี่ย…แล้วเรากำลังจะไปไหนกัน ผมว่าคุณพาผมกลับห้องดีกว่านะป่านนี้ท่านท้าวฯคงไม่อยู่แล้วล่ะ” ผมเสนอไอเดียรู้สึกว่าการออกมาผจญภัยข้างนอกนี่ไม่สนุกเอาเสียเลย ถ้าเก็บตัวอยู่แต่ในห้องน่าจะปลอดภัยกว่า
“นายไม่รู้เหรอว่าเรามาไกลแค่ไหนแล้ว เทวานิรมิตเองก็ยังซ่อมไม่เสร็จเลยยังไงก็ต้องไปด้วยเจ้านี่แหละ” หญิงชราบอกพลางลูบไปที่ผิวเท้าอันใหญ่โตของเปรตที่ชื่อภุควันท์นั่นเบาๆ อย่างเอ็นดู
“ฮวีดดดดด” และดูเหมือนฝ่ายที่ถูกลูบจะส่งเสียงออกมาด้วยความพึงใจอยู่ไม่น้อย
“ฉันยังต้องไปตรวจงานต่ออีกที่นึง…แล้วก็พานายไปพบกับใครคนนั้นที่ฉันเคยบอกไว้” สาริกาแจงเสียงเรียบแล้วจึงกวักมือเรียกผมให้เข้าไปใกล้เธอ ไม่รู้ว่าตาฝาดไปหรือไม่แต่ผมว่าผมเห็นเธออ่อนเยาว์ขึ้นจากเมื่อครู่นี้เล็กน้อย
‘พลังเริ่มฟื้นคืนแล้วละมั้ง’ ผมคิดเล่นๆ
“พร้อมจะไปกันรึยัง” อีกฝ่ายผินหน้ามาถาม ส่วนผมนั้นก็ได้แต่ยืนลังเลด้วยความหวาดหวั่นแต่เราสองคนก็ตกกระไดพลอยโจนกันมานักต่อนักแล้วนี่นะ ไม่ว่าจะต้องพบพานกับอะไรที่น่ากลัวกว่านี้ผมก็เริ่มอยากจะเชื่อแล้วว่าเราจะสามารถผ่านมันไปได้
“อื้ม…” ผมพยักหน้าตอบ แม้จะรู้สึกแปลกๆ ระคนพรั่นพรึงอยู่มากแต่ก็อยากจะเดินทางต่อไปมากกว่า ยิ่งพอหันมองกลับเข้าไปในซอยมืดๆ ที่มีแสงไฟสาดส่องอยู่สลัวรางแล้วก็ชักจะกลัวๆ ว่าอาจจะมีพวกพรากบุญซุกซ่อนตัวอยู่ในเงื้อมเงาอันมืดดำนั้นก็เป็นได้
แค่คิดก็ไม่อยากอยู่แล้ว…บรึ๋ย
พอสิ้นเสียงตอบรับเปรตร่างยักษ์ก็ยอบกายลงคุกเข่าขวาลงข้างหนึ่งแล้วค่อยๆ วางมือลงกับพื้นเพื่อให้เราสองคนที่ตัวเล็กกระจิ๋วหลิวเท่ามดขึ้นไปนั่ง ผมพึ่งเห็นว่ามันมีสีผิวขาวซีดอมฟ้าและมีเล็บแหลมคมดูน่ากลัวมากแต่ก็มีท่าทีพินอบพิเทาต่างจากภาพลักษณ์ของเปรตที่เคยได้ยินได้ฟังมาว่าน่ากลัว บ้างก็ว่าดุร้ายอยู่เหมือนกัน
“เกาะไว้ดีๆ ล่ะ” หญิงชราที่นั่งข้างๆ กล่าวเตือนพลางคลี่ยิ้มเล็กน้อย
“เหว๋อออ…” ผมถึงกับหลุดอุทานออกมาเมื่อภุควันท์เลื่อนมือขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วมาเทียบอยู่ในระดับเดียวกับร่องไหปลาร้าของมันเพื่อส่งผมกับสาริกาให้มานั่งอยู่ข้างบนนี้ พอได้เห็นใบหน้าด้านข้างของเปรตร่างสูงชะลูดแบบชัดๆ แล้วก็อกสั่นขวัญแขวนจนร่างเกิดไฟแวบวาบขึ้นมาโดยพลัน
“ลงไปสิ แล้วเกาะไว้ดีๆ นี่ล่ะที่ของเรา” เธอบอกก่อนจะบุ้ยปากให้ผมรีบปฏิบัติตาม
“ห๋า…ตรงนี้เนี่ยนะ” ผมร้อง แล้วจึงแหย่ขาลงไปช้าๆ ฝ่าเท้าเปลือยเปล่าสัมผัสกับพื้นผิวแข็งๆ ด้วยความแขยงแต่พอลงมาได้อีกข้างหนึ่งก็รู้สึกอุ่นใจขึ้น
“ย้ง รับฉันทีสิ” หญิงชราบอกผมจึงเข้าไปประคองตัวเธอลงมา แม้จะเก้ๆ กังๆ ไปสักหน่อยแต่สุดท้ายเราสองคนก็หย่อนก้นนั่งลงร่องไหล่หรือเนินกระดูกไหปลาร้าได้ด้วยดี
เธอส่งยิ้มบางๆ ให้แก่ผมที่กำลังทำหน้าตื่นๆ ด้วยความกังวลสารพัดสารเพที่ประดังประเดเข้ามา
“ไม่ต้องกลัวหรอกนะ” สาริกากล่าวเสียงอ่อนพลางเลื่อนมือขวามากุมมือซ้ายของผมไว้เป็นเชิงปลอบใจแล้วจึงชูมือซ้ายขึ้นเพื่อส่งสัญญาณ
“ไปกันเลยยยย”
ภุควันท์ชูคอขึ้นกู่ร้องแหลมดังฮวีดดด วิ๊ดดดคล้ายเสียงลมพายพัดเล็ดลอดออกมาจากรูปากขนาดจิ๋วที่ยื่นยาวก่อนการเดินทางครั้งใหม่ของหนึ่งนางฟ้าชราภาพและวิญญาณพเนจรสุดซอมซ่ออย่างผมจะดำเนินต่อไป
เห็นทีว่าผมต้องแสดงฝีมือกำราบสุนัขปากเปราะนี่ให้ได้เสียแล้ว
ผมคิดหาวิธีการพลางกวาดสายตามองไปถ้วนทั่ว พลันเหลือบเห็นกระป๋องน้ำอัดลมนอนนิ่งอยู่บนพื้นปูนก็นึกออกขึ้นมาทันที จากนั้นจึงเขยิบปลายเท้าเข้าไปสอดใต้กระป๋องแล้วตั้งสมาธิเพ่งจิตอธิษฐาน
“เป๊ง…เอ๋งๆๆ” ผมเตะมันกระเด็นไปโดนตัวเจ้าด่างอย่างจังจนมันตกใจร้องลั่นแล้วลุกหนีไปอย่างรวดเร็ว
“ฮ่าๆ เป็นไงล่ะ” ผมหัวเราะอย่างสะใจแล้วพูดไล่หลังเจ้าด่างที่วิ่งเปิดแน่บไปตรงลานกรวดด้านล่างก่อนจะเดินไปชะเง้อคอมองหารถแท็กซี่ที่สาริกาบอกบริเวณริมฟุตบาท
‘เอ…ไม่เห็นมีแท็กซี่สักคันเลยว่ะ”
“เพื่อนบอกฉันว่าแท็กซี่มาถึงแล้ว…” สาริกาที่เดินยักแย่ยักยันตามมากล่าว
“โอยชักเริ่มคันเหงือกหยากกินหมากขึ้นมาแล้วแหะ” เธอบ่นพึมพำแล้วจึงเสกตะกร้าเชี่ยนหมากแบบสานขึ้นมาคล้องแขนแล้วค่อยใช้อีกมือล้วงหยิบหมากพลูที่จัดไว้เป็นคำคำเข้าปากเคี้ยวหยั่บหยั่บน่าเอร็ดอร่อย
พอได้ยินเธอพูดมาแบบนั้นผมก็ยิ่งสงสัยไปกันใหญ่เพราะแม้จะมองซ้ายแลขวาอย่างไรก็ไม่เห็นวี่แววรถยนต์จอดรอใครอยู่แถวนี้เลยสักคัน มีก็แต่มอเตอร์ไซค์สามสี่คันของเด็กๆ กลุ่มนั้น ส่วนบนถนนก็เป็นพวกรถราวิ่งกันไปมาปกติ
คำว่ามาถึงแล้วของอีกฝ่ายทำให้ผมรู้สึกสะดุดอยู่ในใจ
“โฮ่งๆๆ โบร๋วว…”
“จะเห่าอะไรกันนักกันหนาว่ะ” ผมหันไปเอ็ดใส่สุนัขลายด่างด้วยความหงุดหงิด แต่กลับพบว่ามันไม่ได้เห่าใส่พวกเราเหมือนที่คิดไว้ ทว่าเจ้าสี่ขานั่นมันกำลังเห่าหอนให้กับบางสิ่งบางอย่างที่ยืนตระหง่านสูงชะลูดสุดลูกหูลูกตาขึ้นไปเหนือยอดต้นไม้ใหญ่ที่กำลังไหวเอนนั่น
“อ๊ะ….!” ผมอ้าปากค้างช็อกตะลึงอยู่ในท่านั้นทันทีที่ได้เห็นสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า
“ฮู้ฮวี้ดดดดด” เสียงหวีดหวิว ดังกึกก้องไปทั่วอาณาบริเวณ ผมมองเห็นแต่นิ้วเท้าอันใหญ่โตและท่อนขาขนาดสองคนโอบสีคล้ำคู่หนึ่งที่ยาวตรงขึ้นไปนับสิบเมตร เมื่อได้ลองเงยหน้าก็เห็นมันมีลักษณะคล้ายมนุษย์นุ่งห่มผ้าโจงกระเบนสีมอๆ ดึงชายกระเบนให้สูงขึ้นแบบหยักรั้งและมีพุงห้อยย้อยส่วนลำตัวผอมแห้งหนังติดกระดูก
ส่วนมือที่แนบข้างนั้นมโหฬาร ช่วงนิ้วเรียวยาวจนกินพื้นที่ฝ่ามือเข้ามาเหลือนิดเดียวและมีเล็บแหลมคม แม้จะไม่ได้เห็นใบหน้าชัดแจ้ง เพราะอยู่สูงมากแต่เท่าที่สังเกตุจากลักษณะภายนอกแล้วเปรตตนนี้น่าจะเป็นเพศชายมากกว่าหญิง
“โบร๋วววว” ทันใดนั้นเจ้าหมาซ่าก็โก่งลำคอเปล่งเสียงหอนยาวพาให้ผมตระหนก ถอยกรูดจนแทบล้ม
“ปะปะเปรตนี่คุณ” ผมร้องลนลาน ตั้งท่าเผ่นแต่นางฟ้าชราที่ยืนอยู่ข้างหลังก็ยกมือซ้ายขึ้นมาจับบ่าผมไว้ เบี่ยงหน้าไปบ้วนน้ำหมากทิ้งลงพื้น แล้วจึงกล่าวทักทายเปรตร่างยักษ์ราวกับคุ้นเคยกันดี
“มาถึงแล้วเหรอภุควันท์”
“ฮวีดดดดด วิ๊ดด” อีกฝ่ายหนึ่งตอบกลับด้วยการส่งเสียงร้องแหลมสูงอยู่ด้านบน
“คุณรู้จักมันด้วยเหรอ” ผมถามหน้าเจื่อนด้วยความหวาดหวั่นกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า “นะนะนี่มันเปรตนะ ตะตะตัวใหญ่มากเลย”
“อะไออ๊ะ” สาริกาตอบเสียงอู้อี้ยังคงอร่อยปากอยู่กับหมากพอดีคำที่เพิ่งจะรับประทานเข้าไป
“ผมถามว่าคุณรู้จักเปรตตนนี้ด้วยเหรอ” คราวนี้ผมเสียงเข้มขึ้นเจืออารมณ์หงุดหงิดเล็กน้อย ด้วยความที่เจ้าหล่อนทำเป็นเล่นไม่รู้จักเวล่ำเวลาว่ามันหน้าสิ่วหน้าขวานขนาดไหน
‘การมีเปรตตัวสูงใหญ่เท่าภูเขาเลากามายืนอยู่ตรงหน้ามันไม่ใช่เรื่องตลกเลยนะ’
“อู้อะอิ” นางฟ้าพูดก่อนจะคายหมากคำที่สองทิ้ง แล้วจึงเสกตะกร้าสานหายวับไปกับตา
เธอใช้ฝ่ามือถูกันเมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อย
“นี่ล่ะ แท็กซี่ชั้นเฟิรส์คลาสจากปรโลก พาหนะของพวกฉันเวลาลงมายังโลกมนุษย์…มีแต่พวกเทพยดานางอัปสรเท่านั้นน้าถึงจะได้นั่ง”
“นี่คุณไม่ได้ล้อผมเล่นใช่มั๊ยเนี่ย…แล้วเรากำลังจะไปไหนกัน ผมว่าคุณพาผมกลับห้องดีกว่านะป่านนี้ท่านท้าวฯคงไม่อยู่แล้วล่ะ” ผมเสนอไอเดียรู้สึกว่าการออกมาผจญภัยข้างนอกนี่ไม่สนุกเอาเสียเลย ถ้าเก็บตัวอยู่แต่ในห้องน่าจะปลอดภัยกว่า
“นายไม่รู้เหรอว่าเรามาไกลแค่ไหนแล้ว เทวานิรมิตเองก็ยังซ่อมไม่เสร็จเลยยังไงก็ต้องไปด้วยเจ้านี่แหละ” หญิงชราบอกพลางลูบไปที่ผิวเท้าอันใหญ่โตของเปรตที่ชื่อภุควันท์นั่นเบาๆ อย่างเอ็นดู
“ฮวีดดดดด” และดูเหมือนฝ่ายที่ถูกลูบจะส่งเสียงออกมาด้วยความพึงใจอยู่ไม่น้อย
“ฉันยังต้องไปตรวจงานต่ออีกที่นึง…แล้วก็พานายไปพบกับใครคนนั้นที่ฉันเคยบอกไว้” สาริกาแจงเสียงเรียบแล้วจึงกวักมือเรียกผมให้เข้าไปใกล้เธอ ไม่รู้ว่าตาฝาดไปหรือไม่แต่ผมว่าผมเห็นเธออ่อนเยาว์ขึ้นจากเมื่อครู่นี้เล็กน้อย
‘พลังเริ่มฟื้นคืนแล้วละมั้ง’ ผมคิดเล่นๆ
“พร้อมจะไปกันรึยัง” อีกฝ่ายผินหน้ามาถาม ส่วนผมนั้นก็ได้แต่ยืนลังเลด้วยความหวาดหวั่นแต่เราสองคนก็ตกกระไดพลอยโจนกันมานักต่อนักแล้วนี่นะ ไม่ว่าจะต้องพบพานกับอะไรที่น่ากลัวกว่านี้ผมก็เริ่มอยากจะเชื่อแล้วว่าเราจะสามารถผ่านมันไปได้
“อื้ม…” ผมพยักหน้าตอบ แม้จะรู้สึกแปลกๆ ระคนพรั่นพรึงอยู่มากแต่ก็อยากจะเดินทางต่อไปมากกว่า ยิ่งพอหันมองกลับเข้าไปในซอยมืดๆ ที่มีแสงไฟสาดส่องอยู่สลัวรางแล้วก็ชักจะกลัวๆ ว่าอาจจะมีพวกพรากบุญซุกซ่อนตัวอยู่ในเงื้อมเงาอันมืดดำนั้นก็เป็นได้
แค่คิดก็ไม่อยากอยู่แล้ว…บรึ๋ย
พอสิ้นเสียงตอบรับเปรตร่างยักษ์ก็ยอบกายลงคุกเข่าขวาลงข้างหนึ่งแล้วค่อยๆ วางมือลงกับพื้นเพื่อให้เราสองคนที่ตัวเล็กกระจิ๋วหลิวเท่ามดขึ้นไปนั่ง ผมพึ่งเห็นว่ามันมีสีผิวขาวซีดอมฟ้าและมีเล็บแหลมคมดูน่ากลัวมากแต่ก็มีท่าทีพินอบพิเทาต่างจากภาพลักษณ์ของเปรตที่เคยได้ยินได้ฟังมาว่าน่ากลัว บ้างก็ว่าดุร้ายอยู่เหมือนกัน
“เกาะไว้ดีๆ ล่ะ” หญิงชราที่นั่งข้างๆ กล่าวเตือนพลางคลี่ยิ้มเล็กน้อย
“เหว๋อออ…” ผมถึงกับหลุดอุทานออกมาเมื่อภุควันท์เลื่อนมือขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วมาเทียบอยู่ในระดับเดียวกับร่องไหปลาร้าของมันเพื่อส่งผมกับสาริกาให้มานั่งอยู่ข้างบนนี้ พอได้เห็นใบหน้าด้านข้างของเปรตร่างสูงชะลูดแบบชัดๆ แล้วก็อกสั่นขวัญแขวนจนร่างเกิดไฟแวบวาบขึ้นมาโดยพลัน
“ลงไปสิ แล้วเกาะไว้ดีๆ นี่ล่ะที่ของเรา” เธอบอกก่อนจะบุ้ยปากให้ผมรีบปฏิบัติตาม
“ห๋า…ตรงนี้เนี่ยนะ” ผมร้อง แล้วจึงแหย่ขาลงไปช้าๆ ฝ่าเท้าเปลือยเปล่าสัมผัสกับพื้นผิวแข็งๆ ด้วยความแขยงแต่พอลงมาได้อีกข้างหนึ่งก็รู้สึกอุ่นใจขึ้น
“ย้ง รับฉันทีสิ” หญิงชราบอกผมจึงเข้าไปประคองตัวเธอลงมา แม้จะเก้ๆ กังๆ ไปสักหน่อยแต่สุดท้ายเราสองคนก็หย่อนก้นนั่งลงร่องไหล่หรือเนินกระดูกไหปลาร้าได้ด้วยดี
เธอส่งยิ้มบางๆ ให้แก่ผมที่กำลังทำหน้าตื่นๆ ด้วยความกังวลสารพัดสารเพที่ประดังประเดเข้ามา
“ไม่ต้องกลัวหรอกนะ” สาริกากล่าวเสียงอ่อนพลางเลื่อนมือขวามากุมมือซ้ายของผมไว้เป็นเชิงปลอบใจแล้วจึงชูมือซ้ายขึ้นเพื่อส่งสัญญาณ
“ไปกันเลยยยย”
ภุควันท์ชูคอขึ้นกู่ร้องแหลมดังฮวีดดด วิ๊ดดดคล้ายเสียงลมพายพัดเล็ดลอดออกมาจากรูปากขนาดจิ๋วที่ยื่นยาวก่อนการเดินทางครั้งใหม่ของหนึ่งนางฟ้าชราภาพและวิญญาณพเนจรสุดซอมซ่ออย่างผมจะดำเนินต่อไป
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ