ปาฏิหาริย์โลกวิญญาณ (ได้รับการตีพิมพ์จากAmity Publishing แล้ว)
5.3
เขียนโดย watcharakarn
วันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 เวลา 12.10 น.
67 ตอน
3 วิจารณ์
41.93K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 23.09 น. โดย เจ้าของนิยาย
52) แสงอัปสร
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ‘เจ็บใจนัก’ ผมคิดน้ำตาหลั่งริน แทบมองไม่เห็นสิ่งใดเบื้องหน้า ในตอนนี้ทุกอย่างมันดูมืดมนและน่ากลัวไปหมด
‘ย้ง ย้ง!’ เสียงของอีกฝ่ายแทรกเข้ามาในหัว ฟังแล้วดูอ่อนแรงพาให้ผมกังวลใจ
‘คุณเป็นไงบ้างอ่ะ คุณเห็นผมมั๊ย’
‘ย้งยื่นมือมาจับมือฉันไว้ ไม่ ตะต้องห่วงเราจะต้อง…รอด’ อีกฝ่ายกล่าวเสียงขาดห้วงฟังดูย่ำแย่เต็มที
‘คะคะคุณอยู่ไหน ผมมองไม่เห็นคุณเลย’
‘เราอยู่ใกล้กันมาก ยื่นมือมาแล้วจับมือฉันไว้แน่นๆ ฉันจะพานายออกไป’
‘ผมรู้ว่าคุณเองก็ไม่ไหวแล้ว ผมว่าเราคง…’
ใช่…ผมกำลังจะบอกตัวเองว่าเราคงไม่รอดหรอก
‘ฉันเคยบอกนายแล้วไม่ใช่เหรอว่าต่อให้เป็นตายร้ายดียังไงก็จะพานายกลับไปให้ได้’ พอได้ยินอีกฝ่ายพูดดังนั้นผมก็สะอึกสะอื้นออกมาด้วยความตื้นตัน นี่เธอทำเพื่อผมขนาดนี้เชียวหรือ
ผมค่อยๆ ตั้งสติแล้วเลื่อนมือออกไปเหยียดสุดแขน ปลายมือสัมผัสกับอะไรสักอย่างเคลื่อนไหวอยู่ใต้องคาพยพใหญ่น้อยของพวกพรากบุญ ทีแรกผมตกใจเกือบจะชักกลับแต่ปลายนิ้วนั้นงอจิกเพื่อพยายามดึงไว้
แม้ดวงตาจะมองไม่เห็นร่างของเธอแต่ถึงกระนั้นก็อยากจะเชื่อว่านั่นคือมือของเธอ ไม่รอช้าผมรีบกระเถิบตัวไปข้างหน้าให้มากขึ้น แม้ร่างกายมันจะหนักอึ้งราวกับติดอยู่ใต้ซอกหินนับสิบตันและอ่อนล้าเต็มที แต่ทว่าผมจะยอมแพ้แบบนี้ไม่ได้ ผมเหยียดนิ้วไปด้วยความพยายามอย่างที่สุดเพื่อหวังว่าเจ้าหล่อนจะจับมือ
“ฮึ้ดดด…”
และสุดท้ายเราก็ทำได้สำเร็จ
ผมจับมือเล็กๆ นั้นไว้แน่นเหมือนจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่คำพูดของเธอ
มันอาจจะเป็นโอกาสเดียวและโอกาสสุดท้าย ขณะที่ผมเริ่มรู้สึกว่าตนเองกำลังจะเลือนลางและจางหายไป
‘ความจริง…ฉันก็ไม่อยากจะใช้…พลังนี้หรอกนะ’ นางฟ้าเปรยเสียงอ่อน ‘แต่มันก็เป็นทางเลือกสุดท้าย…แล้วจริงๆ นี่นะ’
“สา…ริ…กา” ผมเอ่ยออกมาเบาๆ ก่อนที่แสงสว่างจ้าจะบังเกิดขึ้น มันรุนแรงจนผมต้องหลับตาปี๋ ผมได้ยินเสียงร้องดังอึงอล กระแสลมพัดกรูเกรียวปานพายุโหมเข้าใส่ หลังจากนั้นก็มีเสียงวี้ดยาวเสียดรูหู
“พรึ้บบ…วิ้งงงงงงง…อ่าา!!!”
อยากรู้เหลือเกินว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น แต่ว่าผมไม่กล้าแม้แต่จะคิดเปิดเปลือกตา ในช่วงเวลานั้นตัวผมเกร็งไปทั่วสรรพางค์เลยทีเดียว ประเดี๋ยวหนึ่งก็รับรู้ถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านราวกับมีคลื่นความร้อนเคลื่อนผ่านแผ่นหลังแล้วทุกอย่างก็เงียบงัน นิ่งสงบ
‘มันจบแล้วใช่มั๊ย’ ผมคิด ไม่มีเสียงตอบใดใดกลับมา
‘คงไม่เป็นไรแล้ว’
ผมค่อยเปิดเปลือกตาขึ้นมาช้าๆ แสงสว่างยังคงแยงเข้ามา ผมหลับตาลงอีกครั้งแล้วค่อยๆ ลืมตาดูทุกสิ่ง
มีแต่ความขาวโพลน และแสงสว่างประหนึ่งดังแดดจ้า พวกสันตนาปานบุญหายไปแล้วและเมื่อเพ่งมองไปเบื้องหน้า
ผมเห็นร่างของสาริกานอนนิ่งอยู่ แต่ที่ชวนให้ตระหนกก็คือ บัดนี้ความสาวสะพรั่งซึ่งเจ้าหล่อนเคยมีนั้นได้มลายหายไปหมดสิ้น เหลือแต่เพียงผิวกายเหี่ยวแห้งภายใต้อาภรณ์อันงดงามนั้น เรือนผมสวยสยายกลืนไปกับแสงสว่างกลายเป็นหญิงชราผู้น่าสงสาร อายุอานามคงเกือบจะแปดสิบหรือร่วมร้อยปีได้
เธอได้ใช้พลังไปหมดแล้ว กับการระเบิดครั้งใหญ่ที่รุนแรงมากพอจะทำให้บรรดาวิญญาณทั้งหลายหายวับไปกับตา ยกเว้นผม
ผมพลิกตัวนอนหงายอย่างเหนื่อยอ่อน อาการหอบหืดเหมือนจะกำเริบขึ้นมาอีกคราแต่ผมก็เริ่มรู้วิธีที่จะจัดการกับมันแล้วล่ะ
“อ๊ะ…!” ผมร้องอุทานกับภาพอันน่าตื่นตะลึงที่มองเห็นเบื้องบน ลำแสงสีขาวอมทองที่พุ่งตรงขึ้นไปสุดลูกหูลูกตานั่น ดูแล้วน่าจะสูงเสียดฟ้าไปยันชั้นบรรยากาศนู่นเลยทีเดียว
‘มันจะยาวไปถึงบนสรวงสวรรค์เลยรึเปล่านะ’ ผมนึกสงสัยจากนั้นจึงค่อยๆ ตะแคงตัวแล้วไสร่างเข้าไปดูอาการของสาริกาด้วยความเป็นห่วงอย่างที่สุด
………………………………………
“อีกนิดเดียวก็จะถึงปากซอยแล้วล่ะ” ผมบอกหญิงชราที่เริ่มกระดุกกระดิกตัวระหว่างพาเจ้าหล่อนขี่หลังเดินท่อมๆ ไปยังจุดหมายปลายทางตามที่เธอได้บอกไว้ ค่อยๆ ก้าวเท้าไปบนพื้นซีเมนต์เรื่อยๆ ผู้คนส่วนใหญ่เข้าห้องหับปิดไฟนอนกันหมดแล้วที่ตรงนี้จึงเหลือแค่ผมกับเธอท่ามกลางบรรยากาศรอบตัวอันเงียบสงัด
“นั่นไงผมเห็นแสงไฟร้านแล้วล่ะ…คุณเป็นไงบ้าง”
“ก็ดีขึ้นแล้ว” เธอตอบเสียงพร่าเบาพลางกอดคอผมแน่นขึ้น “แต่คงใช้เวลาอีกพักนึงละมั้งกว่าพลังจะฟื้นฟูกลับมาเหมือนเดิม”
“ผมขอโทษด้วยนะที่เป็นต้นเหตุทำให้คุณต้องกลายเป็นแบบนี้” ผมกล่าวด้วยความรู้สึกผิด หากว่าผมรีบเดินตามเธอไปตั้งแต่ตอนนั้นไม่หยุดช่วยไอ้เด็กผีเวรนั่นพวกเราคงไม่เสียท่าเจออะไรแบบนี้
“อย่าคิดมากเลยน่า รอดกันมาได้ฉันก็โอเคแล้วล่ะ ฉันต้องดูแลวิญญาณนายอยู่แล้วก็อุตส่าห์พาหนีท่านท้าวมหายมมานี่นา…” เธอบอกแล้วจึงหัวเราะในลำคอ
จะว่าไปผมก็ไม่รู้สึกถึงน้ำหนักตัวของสาริกาเลยแม้แต่น้อย ทำไมตัวเธอถึงเบามากขนาดนี้นะ
“คุณนี่ตัวเบ๊าเบานะ ตอนแรกผมก็นึกว่าคุณจะหนักกว่านี้ซะอีก”
“ก็พวกเราไม่ได้มีกายหยาบแบบมนุษย์แล้วนี่นา” หญิงชราตอบ
“แต่ผมก็ยังรู้สึกเจ็บปวด มีน้ำตาได้อยู่นะ”
“ในปรโลกนี้ ใครๆ ก็เจ็บปวดและมีน้ำตาได้ทั้งนั้นนั่นแหละ จนกว่าเราจะกลายเป็นวิญญาณที่ดวงจิตตกตะกอนแล้วนั่นแหละถึงจะไม่รู้สึกรู้สากับสิ่งใดต่อไปอีก”
“ผมกลัวเหมือนกันนะหากจะต้องกลายไปเป็นอะไรแบบนั้น นี่แค่เจอพวกวิญญาณสวะ พวกพรากบุญ ก็ยังรู้สึกหดหู่ เวทนาเลยคุณ”
“…นั่นสิน่าสงสารนะแต่ก็เพราะพวกเขาทำตัวของเขาเอง”
ผมฟังอีกฝ่ายกล่าวอยู่เงียบๆ มองทางเบื้องหน้าทบทวนเหตุการณ์ชวนระทึกขวัญมากมายที่ได้ประสบมาแล้วก็อดไม่ได้ที่จะซาบซึ้งตื้นตันใจต่อความกรุณาของเธอ
“ผมไม่รู้จะขอบคุณคุณยังไงดี ที่ช่วยผมไว้…เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้”
“นายเองก็พยายามปกป้องฉันเหมือนกัน” สาริกากล่าวตอบเสียงเครือ
“แต่สุดท้ายแล้วผมก็ช่วยอะไรคุณไม่ได้เลย…ผมนี่มันไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ” ผมบอกด้วยความรู้สึกผิดหวังในตัวเอง
“สำหรับฉันแล้วมันไม่ได้สำคัญที่ช่วยได้หรือช่วยไม่ได้หรอก แต่มันสำคัญที่นายพยายามช่วยฉันต่างหาก…ขอบคุณมากนะวิศรุฒิ”
พอพูดจบผมก็สังเกตุเห็นบางสิ่งร่วงหล่นลงมา มันมีลักษณะเหมือนเกล็ดแก้วแววใสขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียวและส่องแสงเรืองประกายอยู่บนพื้น
‘ย้ง ย้ง!’ เสียงของอีกฝ่ายแทรกเข้ามาในหัว ฟังแล้วดูอ่อนแรงพาให้ผมกังวลใจ
‘คุณเป็นไงบ้างอ่ะ คุณเห็นผมมั๊ย’
‘ย้งยื่นมือมาจับมือฉันไว้ ไม่ ตะต้องห่วงเราจะต้อง…รอด’ อีกฝ่ายกล่าวเสียงขาดห้วงฟังดูย่ำแย่เต็มที
‘คะคะคุณอยู่ไหน ผมมองไม่เห็นคุณเลย’
‘เราอยู่ใกล้กันมาก ยื่นมือมาแล้วจับมือฉันไว้แน่นๆ ฉันจะพานายออกไป’
‘ผมรู้ว่าคุณเองก็ไม่ไหวแล้ว ผมว่าเราคง…’
ใช่…ผมกำลังจะบอกตัวเองว่าเราคงไม่รอดหรอก
‘ฉันเคยบอกนายแล้วไม่ใช่เหรอว่าต่อให้เป็นตายร้ายดียังไงก็จะพานายกลับไปให้ได้’ พอได้ยินอีกฝ่ายพูดดังนั้นผมก็สะอึกสะอื้นออกมาด้วยความตื้นตัน นี่เธอทำเพื่อผมขนาดนี้เชียวหรือ
ผมค่อยๆ ตั้งสติแล้วเลื่อนมือออกไปเหยียดสุดแขน ปลายมือสัมผัสกับอะไรสักอย่างเคลื่อนไหวอยู่ใต้องคาพยพใหญ่น้อยของพวกพรากบุญ ทีแรกผมตกใจเกือบจะชักกลับแต่ปลายนิ้วนั้นงอจิกเพื่อพยายามดึงไว้
แม้ดวงตาจะมองไม่เห็นร่างของเธอแต่ถึงกระนั้นก็อยากจะเชื่อว่านั่นคือมือของเธอ ไม่รอช้าผมรีบกระเถิบตัวไปข้างหน้าให้มากขึ้น แม้ร่างกายมันจะหนักอึ้งราวกับติดอยู่ใต้ซอกหินนับสิบตันและอ่อนล้าเต็มที แต่ทว่าผมจะยอมแพ้แบบนี้ไม่ได้ ผมเหยียดนิ้วไปด้วยความพยายามอย่างที่สุดเพื่อหวังว่าเจ้าหล่อนจะจับมือ
“ฮึ้ดดด…”
และสุดท้ายเราก็ทำได้สำเร็จ
ผมจับมือเล็กๆ นั้นไว้แน่นเหมือนจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่คำพูดของเธอ
มันอาจจะเป็นโอกาสเดียวและโอกาสสุดท้าย ขณะที่ผมเริ่มรู้สึกว่าตนเองกำลังจะเลือนลางและจางหายไป
‘ความจริง…ฉันก็ไม่อยากจะใช้…พลังนี้หรอกนะ’ นางฟ้าเปรยเสียงอ่อน ‘แต่มันก็เป็นทางเลือกสุดท้าย…แล้วจริงๆ นี่นะ’
“สา…ริ…กา” ผมเอ่ยออกมาเบาๆ ก่อนที่แสงสว่างจ้าจะบังเกิดขึ้น มันรุนแรงจนผมต้องหลับตาปี๋ ผมได้ยินเสียงร้องดังอึงอล กระแสลมพัดกรูเกรียวปานพายุโหมเข้าใส่ หลังจากนั้นก็มีเสียงวี้ดยาวเสียดรูหู
“พรึ้บบ…วิ้งงงงงงง…อ่าา!!!”
อยากรู้เหลือเกินว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น แต่ว่าผมไม่กล้าแม้แต่จะคิดเปิดเปลือกตา ในช่วงเวลานั้นตัวผมเกร็งไปทั่วสรรพางค์เลยทีเดียว ประเดี๋ยวหนึ่งก็รับรู้ถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านราวกับมีคลื่นความร้อนเคลื่อนผ่านแผ่นหลังแล้วทุกอย่างก็เงียบงัน นิ่งสงบ
‘มันจบแล้วใช่มั๊ย’ ผมคิด ไม่มีเสียงตอบใดใดกลับมา
‘คงไม่เป็นไรแล้ว’
ผมค่อยเปิดเปลือกตาขึ้นมาช้าๆ แสงสว่างยังคงแยงเข้ามา ผมหลับตาลงอีกครั้งแล้วค่อยๆ ลืมตาดูทุกสิ่ง
มีแต่ความขาวโพลน และแสงสว่างประหนึ่งดังแดดจ้า พวกสันตนาปานบุญหายไปแล้วและเมื่อเพ่งมองไปเบื้องหน้า
ผมเห็นร่างของสาริกานอนนิ่งอยู่ แต่ที่ชวนให้ตระหนกก็คือ บัดนี้ความสาวสะพรั่งซึ่งเจ้าหล่อนเคยมีนั้นได้มลายหายไปหมดสิ้น เหลือแต่เพียงผิวกายเหี่ยวแห้งภายใต้อาภรณ์อันงดงามนั้น เรือนผมสวยสยายกลืนไปกับแสงสว่างกลายเป็นหญิงชราผู้น่าสงสาร อายุอานามคงเกือบจะแปดสิบหรือร่วมร้อยปีได้
เธอได้ใช้พลังไปหมดแล้ว กับการระเบิดครั้งใหญ่ที่รุนแรงมากพอจะทำให้บรรดาวิญญาณทั้งหลายหายวับไปกับตา ยกเว้นผม
ผมพลิกตัวนอนหงายอย่างเหนื่อยอ่อน อาการหอบหืดเหมือนจะกำเริบขึ้นมาอีกคราแต่ผมก็เริ่มรู้วิธีที่จะจัดการกับมันแล้วล่ะ
“อ๊ะ…!” ผมร้องอุทานกับภาพอันน่าตื่นตะลึงที่มองเห็นเบื้องบน ลำแสงสีขาวอมทองที่พุ่งตรงขึ้นไปสุดลูกหูลูกตานั่น ดูแล้วน่าจะสูงเสียดฟ้าไปยันชั้นบรรยากาศนู่นเลยทีเดียว
‘มันจะยาวไปถึงบนสรวงสวรรค์เลยรึเปล่านะ’ ผมนึกสงสัยจากนั้นจึงค่อยๆ ตะแคงตัวแล้วไสร่างเข้าไปดูอาการของสาริกาด้วยความเป็นห่วงอย่างที่สุด
………………………………………
“อีกนิดเดียวก็จะถึงปากซอยแล้วล่ะ” ผมบอกหญิงชราที่เริ่มกระดุกกระดิกตัวระหว่างพาเจ้าหล่อนขี่หลังเดินท่อมๆ ไปยังจุดหมายปลายทางตามที่เธอได้บอกไว้ ค่อยๆ ก้าวเท้าไปบนพื้นซีเมนต์เรื่อยๆ ผู้คนส่วนใหญ่เข้าห้องหับปิดไฟนอนกันหมดแล้วที่ตรงนี้จึงเหลือแค่ผมกับเธอท่ามกลางบรรยากาศรอบตัวอันเงียบสงัด
“นั่นไงผมเห็นแสงไฟร้านแล้วล่ะ…คุณเป็นไงบ้าง”
“ก็ดีขึ้นแล้ว” เธอตอบเสียงพร่าเบาพลางกอดคอผมแน่นขึ้น “แต่คงใช้เวลาอีกพักนึงละมั้งกว่าพลังจะฟื้นฟูกลับมาเหมือนเดิม”
“ผมขอโทษด้วยนะที่เป็นต้นเหตุทำให้คุณต้องกลายเป็นแบบนี้” ผมกล่าวด้วยความรู้สึกผิด หากว่าผมรีบเดินตามเธอไปตั้งแต่ตอนนั้นไม่หยุดช่วยไอ้เด็กผีเวรนั่นพวกเราคงไม่เสียท่าเจออะไรแบบนี้
“อย่าคิดมากเลยน่า รอดกันมาได้ฉันก็โอเคแล้วล่ะ ฉันต้องดูแลวิญญาณนายอยู่แล้วก็อุตส่าห์พาหนีท่านท้าวมหายมมานี่นา…” เธอบอกแล้วจึงหัวเราะในลำคอ
จะว่าไปผมก็ไม่รู้สึกถึงน้ำหนักตัวของสาริกาเลยแม้แต่น้อย ทำไมตัวเธอถึงเบามากขนาดนี้นะ
“คุณนี่ตัวเบ๊าเบานะ ตอนแรกผมก็นึกว่าคุณจะหนักกว่านี้ซะอีก”
“ก็พวกเราไม่ได้มีกายหยาบแบบมนุษย์แล้วนี่นา” หญิงชราตอบ
“แต่ผมก็ยังรู้สึกเจ็บปวด มีน้ำตาได้อยู่นะ”
“ในปรโลกนี้ ใครๆ ก็เจ็บปวดและมีน้ำตาได้ทั้งนั้นนั่นแหละ จนกว่าเราจะกลายเป็นวิญญาณที่ดวงจิตตกตะกอนแล้วนั่นแหละถึงจะไม่รู้สึกรู้สากับสิ่งใดต่อไปอีก”
“ผมกลัวเหมือนกันนะหากจะต้องกลายไปเป็นอะไรแบบนั้น นี่แค่เจอพวกวิญญาณสวะ พวกพรากบุญ ก็ยังรู้สึกหดหู่ เวทนาเลยคุณ”
“…นั่นสิน่าสงสารนะแต่ก็เพราะพวกเขาทำตัวของเขาเอง”
ผมฟังอีกฝ่ายกล่าวอยู่เงียบๆ มองทางเบื้องหน้าทบทวนเหตุการณ์ชวนระทึกขวัญมากมายที่ได้ประสบมาแล้วก็อดไม่ได้ที่จะซาบซึ้งตื้นตันใจต่อความกรุณาของเธอ
“ผมไม่รู้จะขอบคุณคุณยังไงดี ที่ช่วยผมไว้…เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้”
“นายเองก็พยายามปกป้องฉันเหมือนกัน” สาริกากล่าวตอบเสียงเครือ
“แต่สุดท้ายแล้วผมก็ช่วยอะไรคุณไม่ได้เลย…ผมนี่มันไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ” ผมบอกด้วยความรู้สึกผิดหวังในตัวเอง
“สำหรับฉันแล้วมันไม่ได้สำคัญที่ช่วยได้หรือช่วยไม่ได้หรอก แต่มันสำคัญที่นายพยายามช่วยฉันต่างหาก…ขอบคุณมากนะวิศรุฒิ”
พอพูดจบผมก็สังเกตุเห็นบางสิ่งร่วงหล่นลงมา มันมีลักษณะเหมือนเกล็ดแก้วแววใสขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียวและส่องแสงเรืองประกายอยู่บนพื้น
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ