ปาฏิหาริย์โลกวิญญาณ (ได้รับการตีพิมพ์จากAmity Publishing แล้ว)
5.3
เขียนโดย watcharakarn
วันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 เวลา 12.10 น.
67 ตอน
3 วิจารณ์
41.86K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 23.09 น. โดย เจ้าของนิยาย
50) นาที หนี…โว้ย!
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“พวกพรากบุญน่ะก็คือวิญญาณบาปทั้งหลายที่หลบเลี่ยงจากการจับกุมของเหล่ายมทูตยังไงล่ะ และที่นี่ก็คงเป็นแหล่งซ่องซุมของพวกมัน จำที่ฉันเคยพูดไว้ได้มั้ยเมื่อมนุษย์เราตายไปก็จะกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนถูกมั้ย ”
ผมพยักหน้ารับ
“นายเองตอนนี้ก็อยู่ในสถานะนั้นแหละ วิญญาณทั้งหลายต่างก็มีความโหยหิวไม่ต่างอะไรกับเมื่อตอนยังมีชีวิตหรอกเพียงแต่นายมีสิ่งที่เรียกว่าผลบุญยังไงล่ะ จึงสามารถเก็บเกี่ยวเอากรรมดีที่เคยได้ทำไว้มาปันเป็นปัจจัยต่างๆ ได้เช่นอาหาร หรือเครื่องนุ่งห่ม สิ่งของแล้วแต่จะเนรมิต”นางฟ้าสาวอธิบายด้วยความรวดเร็ว
“ผิดกับพวกวิญญาณเหล่านี้ที่ระหว่างมีชีวิตอยู่กระทำแต่สิ่งชั่วช้าสามานย์ มีแต่จิตอันอกุศล ทำบุญแต่เพียงน้อย หรือไม่ก็ไม่เคยให้ทานผู้ใด เมื่อตายไปก็จะเป็นวิญญาณที่อดอยากทนทุกข์กับความหิวโหยและขาดแคลนทรมานอยู่ร่ำไป”
“สรุปคือ?”
“พวกมันต้องการผลบุญจากนาย เข้าใจรึยัง” เธอตอบพลางวางท่ากางขาออกเล็กน้อย เอนกายไปข้างหน้านิดหนึ่งสายตาจับจ้องกลุ่มวิญญาณในเงามืดที่พะงาบปากขึ้นลงเหล่านั้น ยกแขนซ้ายขวาขึ้นมาระหว่างอกปลายมือเหยียดตรงเหมือนอยู่ในอิริยาบถเตรียมพร้อมต่อสู้
“พวกมันจึงให้วิญญาณเด็กตายโหงตนนั้นมาล่อลวงให้นายใช้พลังของผลบุญยังไงล่ะ ยิ่งใช้ผลบุญมากเท่าไหร่ พวกมันก็จะยิ่งจับกระแสพลังผลบุญที่นายปล่อยออกมาได้มากเท่านั้น
“แล้วพวกมันทำอย่างนี้เพื่อ?”
“เรียกพวกมารุมกินโต๊ะนายน่ะสิ”
พอได้ยินเธอบอกดังนั้นผมเองก็ถึงกับหน้าเจื่อนลงทันใด
“ระวังตัวนะย้ง…เดี๋ยวฉันจะพานายฝ่าพวกมันไป อย่าให้มันจับได้ อย่าโดนตัวพวกมันเข้าใจที่ฉันพูดมั๊ย” นางฟ้าสาวกำชับ
ผมพยักพเยิดด้วยสีหน้าขึงขัง กลัวเหลือเกินว่าจะฝ่าฝูงพรากบุญเหล่านี้ไปไม่ได้ ก็พวกมันเล่นแห่กันมาเป็นโขยง เท่าที่ประเมินสายตาดูก็หลายสิบตนเข้าไปแล้ว
“นี่ๆ แล้วชุดราตรีคุณมันไม่…รุ่มร่ามเกินไปเหรอคุณ” ผมออกปากด้วยความห่วงใยกับชุดเดรสกระโปรงระบายชั้นที่ปล่อยชายยาวลากพื้นหน่อยๆ ว่าจะเป็นอุปสรรคต่อการฝ่าดงพรากบุญพวกนี้ไปรึเปล่า
“ฉันไม่มีเวลามาเปลี่ยนอะไรตอนนี้หรอกนะ” เธอกล่าวเสียงเครือเล็กน้อยแต่ดวงตาโตยังคงจ้องมองวิญญาณบาปที่รายล้อมตาไม่กะพริบ
ทันใดนั้นเองพรากบุญตนหนึ่งก็โผตัวเข้ามาหาเธอ
สาริกาซึ่งตั้งรับไว้อยู่แล้ววาดมือขึ้นเป็นเชิงสะบัด ฉับพลันชายร่างท้วมก็ลอยหวือกระเด็นไปก่อนที่พรากบุญร่างผอมแห้งไว้ผมกระเซอะกระเซิงซึ่งสวมเสื้อเชิ้ตมอซอไม่ได้กลัดกระดุมจะพุ่งเข้ามาหาผม
“หว๋า…” ผมร้องพลางเบี่ยงตัวหลบทันควันทันกับที่นางฟ้าสาวรีบวาดมืออีกข้างใส่
“ฟุ่บ”
ให้วิญญาณสีดำตนนั้นลอยละลิ่วหายลับไปกับความมืดยามราตรีในบัดดล
ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าหญิงสาวร่างเพรียวบางในชุดราตรีอันงดงามจะมีอิทธิฤทธิ์มากมายถึงเพียงนี้
จากนั้นสาริกาจึงใช้มือขวาจับมือซ้ายผมไว้แน่นแล้วใช้อีกมือวาดไปรอบตัวเพื่อเปิดทาง พวกสันตนาปานบุญแตกฮือเป็นวงกว้างบ้างก็กระเด็นออกไปไกลราวกับปุยนุ่นที่ต้องลมแรง จากนั้นเธอจึงยกชายกระโปรงขึ้นก่อนจะออกเท้าวิ่งไปพร้อมกับผม
เราสองคนสับเท้าหนีกันอย่างไม่คิดชีวิต ฝ่าความมืดที่รายล้อมวิ่งไปตามพื้นปูนที่กว้างเพียงเมตรสองฝั่งเต็มไปด้วยบ้านไม้มุงสังกะสีซอมซ่อสนิมเขรอะตั้งเรียงเบียดเสียดกันเป็นแนวยาว
แม้ตอนแรกสาริกาจะชี้มือชี้ไม้เหมือนรู้ว่าทางออกอยู่ตรงไหนแต่พอถูกพวกพรากบุญที่ตามมาดักซ้ายดักขวา บ้างก็กระโจนลงมาจากรั้วบ้านเข้าขวางทางก็ทำให้เธอต้องตัดสินใจพาผมวิ่งผลุบทะลุเข้ากลางบ้านหลังนู้นหลังนี้ ผ่านร่างคนนอน ห้องหับมากมายหลายครัวเรือนเพื่อหลีกเร้นจากการถูกไล่ล่าด้วยความระทึก จนโผล่ออกมายังทางเดินเล็กๆ เส้นหนึ่ง
“พวกมันหายไปหมดแล้วคุณ” ผมบอกอีกฝ่ายหน้าตาเหยเกเพราะเหน็ดเหนื่อยจนแทบยืนไม่อยู่ เมื่อชำเลืองสายตาไปก็เห็นว่าหญิงสาวก็ออกอาการอ่อนล้าหมดแรงไม่ต่างอะไรจากผม
“เป็นไงบ้าง” ผมไถ่ถามพลางคลายมือจากสาริกาแล้วเลื่อนขึ้นไปกุมหัวไหล่เป็นเชิงโอบประคองไม่ให้ล้มด้วยความเป็นห่วง แต่แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นสภาพร่างกายของอีกฝ่ายเปลี่ยนแปลงไปเป็นหญิงสูงวัยประหนึ่งผู้ใหญ่วัยสี่สิบห้าสิบกระนั้นแหละ
“คะคะคุณ”
“ฉันไม่เป็นไรไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอก” หญิงสาวตอบระคนเสียงหอบเหนื่อย
“ผมว่าคุณลองส่องกระจกดูก่อนดีกว่า” ผมบอกอีกฝ่ายซึ่งแสดงสีหน้ากังขาก่อนเจ้าหล่อนจะเสกกระจกอนันตยกรรมขึ้นมาสำรวจใบหน้าและริ้วรอยชราของตัวเอง
“ตายแล้วฉัน…ไม่นะ” เธอปรารภพร้อมกับใช้นิ้วแตะผิวหนังอันหย่อนคล้อย ริ้วรอยเหี่ยวย่นตามร่องแก้ม หน้าผาก มุมปากและตีนกาบริเวณหางตาด้วยอารามตระหนกตกใจระคนเศร้า
“คุณไม่เป็นไรใช่มั๊ย” ผมถามย้ำอีกทีเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำหน้าเหมือนจะร้องไห้
“สงสัยจะใช้พลังมากเกินไปหน่อย แย่จริงๆ เลย” เธอพึมพำยังคงกังวลอยู่กับใบหน้าของตนเองอยู่จนผมต้องยื่นมือไปฉวยเอากระจกมาไพล่ไว้ด้านหลัง
“พอเถอะคุณ ผมไม่อยากอยู่ที่นี่แล้วล่ะ รีบออกไปกันดีกว่า”ผมรีบเปลี่ยนเรื่องด้วยไม่อยากให้เจ้าหล่อนพะวงกับสิ่งที่เกิดขึ้นจนเกินไป
“แป๊ะ” สาริกาดีดนิ้วก่อนที่กระจกส่องกรรมจากเมืองสวรรค์จะเรืองแสงแล้วหายวับไปจากมือของผม หลังจากนั้นเธอก็เสกแผนที่ขึ้นมากางแผ่บนมือพร้อมกับพินิจพิจารณาโดยละเอียด
“ถ้าเราไปทางทิศเหนือ แล้วเลี้ยวไปทางนี้ ก่อนจะตรงไปอีกหน่อยก็จะพบทางออก จุดสังเกตคือมีร้านเซเว่นฯเปิดอยู่หน้าปากซอย” อีกฝ่ายกล่าวแล้วเคาะนิ้วย้ำตำแหน่งบนแผ่นพลาสติกใสเบาๆ แล้วจึงชี้นิ้วไปยังเบื้องหน้า
“เดินไปตามทางเดินนี่แล้วจะเจอทางแยก” ผมพยักหน้าเข้าใจแต่แล้วเมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อเห็นเงาดำตะคุ่มๆ เป็นรูปเป็นร่างสูงต่ำของคนจำนวนหนึ่งแต่ไม่ค่อยชัดนักแฝงอยู่ในความมืดจนแทบแยกไม่ออกกำลังเคลื่อนไหวมาทางนี้
“พวกมันตามเราเจอแล้วคุณ” ผมร้องบอกเสียงตื่นด้วยความตกใจไม่คิดว่าวิญญาณบาปเหล่านั้นจะกัดไม่ปล่อยเช่นนี้
สาริการีบม้วนเก็บแผนที่ก่อนเสกให้มันหายไปอย่างรวดเร็ว ทว่าขณะที่เราสองคนจะออกเท้าวิ่งนั้นเองอะไรบางอย่างก็ตรึงขาของเราสองคนไว้ทำให้ร่างของผมและนางฟ้าสาวในชุดเดรสยาวล้มลง
ผมกับเธออุทานออกมาด้วยความตกใจ โชคดีที่ไม่ได้รู้สึกเจ็บ แต่ก็คิดไม่ถึงว่าพวกพรากบุญจะมีเล่ห์เพทุบายโผล่มาจากใต้ดินได้โดยที่เราสองแทบไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด
หนึ่งในพวกมันจับข้อเท้าเราเอาไว้แน่น แม้ว่าผมกับสาริกาจะพยายามดิ้นรนเตะถีบแค่ไหนก็ดูเหมือนจะเปลืองแรงไปเปล่าๆ สิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือจำนวนพวกมันที่กำลังก้าวเดินเข้ามาพร้อมกับพะงาบปากขึ้นลงๆ บางตัวก็โผ่ลออกมาจากรั้วบ้านข้างๆ บางตัวก็ป่ายปีนลงมาจากหลังคา ส่วนบางตนก็ค่อยๆ โผล่พ้นขึ้นมาจากพื้นผิวปูนชวนให้ขวัญหนีดีฝ่อ
ไม่อยากจะคิดเลยว่าพวกมันซุมซ่อนตัวอยู่เพื่อรอฉวยจังหวะเข้าจับพวกเราหรือนี่
ไม่น่าเป็นไปได้…จะทำยังไงกันดี
พวกเราจะทำยังไงกันดี?!
ผมพยักหน้ารับ
“นายเองตอนนี้ก็อยู่ในสถานะนั้นแหละ วิญญาณทั้งหลายต่างก็มีความโหยหิวไม่ต่างอะไรกับเมื่อตอนยังมีชีวิตหรอกเพียงแต่นายมีสิ่งที่เรียกว่าผลบุญยังไงล่ะ จึงสามารถเก็บเกี่ยวเอากรรมดีที่เคยได้ทำไว้มาปันเป็นปัจจัยต่างๆ ได้เช่นอาหาร หรือเครื่องนุ่งห่ม สิ่งของแล้วแต่จะเนรมิต”นางฟ้าสาวอธิบายด้วยความรวดเร็ว
“ผิดกับพวกวิญญาณเหล่านี้ที่ระหว่างมีชีวิตอยู่กระทำแต่สิ่งชั่วช้าสามานย์ มีแต่จิตอันอกุศล ทำบุญแต่เพียงน้อย หรือไม่ก็ไม่เคยให้ทานผู้ใด เมื่อตายไปก็จะเป็นวิญญาณที่อดอยากทนทุกข์กับความหิวโหยและขาดแคลนทรมานอยู่ร่ำไป”
“สรุปคือ?”
“พวกมันต้องการผลบุญจากนาย เข้าใจรึยัง” เธอตอบพลางวางท่ากางขาออกเล็กน้อย เอนกายไปข้างหน้านิดหนึ่งสายตาจับจ้องกลุ่มวิญญาณในเงามืดที่พะงาบปากขึ้นลงเหล่านั้น ยกแขนซ้ายขวาขึ้นมาระหว่างอกปลายมือเหยียดตรงเหมือนอยู่ในอิริยาบถเตรียมพร้อมต่อสู้
“พวกมันจึงให้วิญญาณเด็กตายโหงตนนั้นมาล่อลวงให้นายใช้พลังของผลบุญยังไงล่ะ ยิ่งใช้ผลบุญมากเท่าไหร่ พวกมันก็จะยิ่งจับกระแสพลังผลบุญที่นายปล่อยออกมาได้มากเท่านั้น
“แล้วพวกมันทำอย่างนี้เพื่อ?”
“เรียกพวกมารุมกินโต๊ะนายน่ะสิ”
พอได้ยินเธอบอกดังนั้นผมเองก็ถึงกับหน้าเจื่อนลงทันใด
“ระวังตัวนะย้ง…เดี๋ยวฉันจะพานายฝ่าพวกมันไป อย่าให้มันจับได้ อย่าโดนตัวพวกมันเข้าใจที่ฉันพูดมั๊ย” นางฟ้าสาวกำชับ
ผมพยักพเยิดด้วยสีหน้าขึงขัง กลัวเหลือเกินว่าจะฝ่าฝูงพรากบุญเหล่านี้ไปไม่ได้ ก็พวกมันเล่นแห่กันมาเป็นโขยง เท่าที่ประเมินสายตาดูก็หลายสิบตนเข้าไปแล้ว
“นี่ๆ แล้วชุดราตรีคุณมันไม่…รุ่มร่ามเกินไปเหรอคุณ” ผมออกปากด้วยความห่วงใยกับชุดเดรสกระโปรงระบายชั้นที่ปล่อยชายยาวลากพื้นหน่อยๆ ว่าจะเป็นอุปสรรคต่อการฝ่าดงพรากบุญพวกนี้ไปรึเปล่า
“ฉันไม่มีเวลามาเปลี่ยนอะไรตอนนี้หรอกนะ” เธอกล่าวเสียงเครือเล็กน้อยแต่ดวงตาโตยังคงจ้องมองวิญญาณบาปที่รายล้อมตาไม่กะพริบ
ทันใดนั้นเองพรากบุญตนหนึ่งก็โผตัวเข้ามาหาเธอ
สาริกาซึ่งตั้งรับไว้อยู่แล้ววาดมือขึ้นเป็นเชิงสะบัด ฉับพลันชายร่างท้วมก็ลอยหวือกระเด็นไปก่อนที่พรากบุญร่างผอมแห้งไว้ผมกระเซอะกระเซิงซึ่งสวมเสื้อเชิ้ตมอซอไม่ได้กลัดกระดุมจะพุ่งเข้ามาหาผม
“หว๋า…” ผมร้องพลางเบี่ยงตัวหลบทันควันทันกับที่นางฟ้าสาวรีบวาดมืออีกข้างใส่
“ฟุ่บ”
ให้วิญญาณสีดำตนนั้นลอยละลิ่วหายลับไปกับความมืดยามราตรีในบัดดล
ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าหญิงสาวร่างเพรียวบางในชุดราตรีอันงดงามจะมีอิทธิฤทธิ์มากมายถึงเพียงนี้
จากนั้นสาริกาจึงใช้มือขวาจับมือซ้ายผมไว้แน่นแล้วใช้อีกมือวาดไปรอบตัวเพื่อเปิดทาง พวกสันตนาปานบุญแตกฮือเป็นวงกว้างบ้างก็กระเด็นออกไปไกลราวกับปุยนุ่นที่ต้องลมแรง จากนั้นเธอจึงยกชายกระโปรงขึ้นก่อนจะออกเท้าวิ่งไปพร้อมกับผม
เราสองคนสับเท้าหนีกันอย่างไม่คิดชีวิต ฝ่าความมืดที่รายล้อมวิ่งไปตามพื้นปูนที่กว้างเพียงเมตรสองฝั่งเต็มไปด้วยบ้านไม้มุงสังกะสีซอมซ่อสนิมเขรอะตั้งเรียงเบียดเสียดกันเป็นแนวยาว
แม้ตอนแรกสาริกาจะชี้มือชี้ไม้เหมือนรู้ว่าทางออกอยู่ตรงไหนแต่พอถูกพวกพรากบุญที่ตามมาดักซ้ายดักขวา บ้างก็กระโจนลงมาจากรั้วบ้านเข้าขวางทางก็ทำให้เธอต้องตัดสินใจพาผมวิ่งผลุบทะลุเข้ากลางบ้านหลังนู้นหลังนี้ ผ่านร่างคนนอน ห้องหับมากมายหลายครัวเรือนเพื่อหลีกเร้นจากการถูกไล่ล่าด้วยความระทึก จนโผล่ออกมายังทางเดินเล็กๆ เส้นหนึ่ง
“พวกมันหายไปหมดแล้วคุณ” ผมบอกอีกฝ่ายหน้าตาเหยเกเพราะเหน็ดเหนื่อยจนแทบยืนไม่อยู่ เมื่อชำเลืองสายตาไปก็เห็นว่าหญิงสาวก็ออกอาการอ่อนล้าหมดแรงไม่ต่างอะไรจากผม
“เป็นไงบ้าง” ผมไถ่ถามพลางคลายมือจากสาริกาแล้วเลื่อนขึ้นไปกุมหัวไหล่เป็นเชิงโอบประคองไม่ให้ล้มด้วยความเป็นห่วง แต่แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นสภาพร่างกายของอีกฝ่ายเปลี่ยนแปลงไปเป็นหญิงสูงวัยประหนึ่งผู้ใหญ่วัยสี่สิบห้าสิบกระนั้นแหละ
“คะคะคุณ”
“ฉันไม่เป็นไรไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอก” หญิงสาวตอบระคนเสียงหอบเหนื่อย
“ผมว่าคุณลองส่องกระจกดูก่อนดีกว่า” ผมบอกอีกฝ่ายซึ่งแสดงสีหน้ากังขาก่อนเจ้าหล่อนจะเสกกระจกอนันตยกรรมขึ้นมาสำรวจใบหน้าและริ้วรอยชราของตัวเอง
“ตายแล้วฉัน…ไม่นะ” เธอปรารภพร้อมกับใช้นิ้วแตะผิวหนังอันหย่อนคล้อย ริ้วรอยเหี่ยวย่นตามร่องแก้ม หน้าผาก มุมปากและตีนกาบริเวณหางตาด้วยอารามตระหนกตกใจระคนเศร้า
“คุณไม่เป็นไรใช่มั๊ย” ผมถามย้ำอีกทีเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำหน้าเหมือนจะร้องไห้
“สงสัยจะใช้พลังมากเกินไปหน่อย แย่จริงๆ เลย” เธอพึมพำยังคงกังวลอยู่กับใบหน้าของตนเองอยู่จนผมต้องยื่นมือไปฉวยเอากระจกมาไพล่ไว้ด้านหลัง
“พอเถอะคุณ ผมไม่อยากอยู่ที่นี่แล้วล่ะ รีบออกไปกันดีกว่า”ผมรีบเปลี่ยนเรื่องด้วยไม่อยากให้เจ้าหล่อนพะวงกับสิ่งที่เกิดขึ้นจนเกินไป
“แป๊ะ” สาริกาดีดนิ้วก่อนที่กระจกส่องกรรมจากเมืองสวรรค์จะเรืองแสงแล้วหายวับไปจากมือของผม หลังจากนั้นเธอก็เสกแผนที่ขึ้นมากางแผ่บนมือพร้อมกับพินิจพิจารณาโดยละเอียด
“ถ้าเราไปทางทิศเหนือ แล้วเลี้ยวไปทางนี้ ก่อนจะตรงไปอีกหน่อยก็จะพบทางออก จุดสังเกตคือมีร้านเซเว่นฯเปิดอยู่หน้าปากซอย” อีกฝ่ายกล่าวแล้วเคาะนิ้วย้ำตำแหน่งบนแผ่นพลาสติกใสเบาๆ แล้วจึงชี้นิ้วไปยังเบื้องหน้า
“เดินไปตามทางเดินนี่แล้วจะเจอทางแยก” ผมพยักหน้าเข้าใจแต่แล้วเมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อเห็นเงาดำตะคุ่มๆ เป็นรูปเป็นร่างสูงต่ำของคนจำนวนหนึ่งแต่ไม่ค่อยชัดนักแฝงอยู่ในความมืดจนแทบแยกไม่ออกกำลังเคลื่อนไหวมาทางนี้
“พวกมันตามเราเจอแล้วคุณ” ผมร้องบอกเสียงตื่นด้วยความตกใจไม่คิดว่าวิญญาณบาปเหล่านั้นจะกัดไม่ปล่อยเช่นนี้
สาริการีบม้วนเก็บแผนที่ก่อนเสกให้มันหายไปอย่างรวดเร็ว ทว่าขณะที่เราสองคนจะออกเท้าวิ่งนั้นเองอะไรบางอย่างก็ตรึงขาของเราสองคนไว้ทำให้ร่างของผมและนางฟ้าสาวในชุดเดรสยาวล้มลง
ผมกับเธออุทานออกมาด้วยความตกใจ โชคดีที่ไม่ได้รู้สึกเจ็บ แต่ก็คิดไม่ถึงว่าพวกพรากบุญจะมีเล่ห์เพทุบายโผล่มาจากใต้ดินได้โดยที่เราสองแทบไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด
หนึ่งในพวกมันจับข้อเท้าเราเอาไว้แน่น แม้ว่าผมกับสาริกาจะพยายามดิ้นรนเตะถีบแค่ไหนก็ดูเหมือนจะเปลืองแรงไปเปล่าๆ สิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือจำนวนพวกมันที่กำลังก้าวเดินเข้ามาพร้อมกับพะงาบปากขึ้นลงๆ บางตัวก็โผ่ลออกมาจากรั้วบ้านข้างๆ บางตัวก็ป่ายปีนลงมาจากหลังคา ส่วนบางตนก็ค่อยๆ โผล่พ้นขึ้นมาจากพื้นผิวปูนชวนให้ขวัญหนีดีฝ่อ
ไม่อยากจะคิดเลยว่าพวกมันซุมซ่อนตัวอยู่เพื่อรอฉวยจังหวะเข้าจับพวกเราหรือนี่
ไม่น่าเป็นไปได้…จะทำยังไงกันดี
พวกเราจะทำยังไงกันดี?!
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ