ปาฏิหาริย์โลกวิญญาณ (ได้รับการตีพิมพ์จากAmity Publishing แล้ว)
5.3
เขียนโดย watcharakarn
วันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 เวลา 12.10 น.
67 ตอน
3 วิจารณ์
41.88K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 23.09 น. โดย เจ้าของนิยาย
48) ‘เด็กชายปริศนา’
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“วิศรุฒิ…นายกำลังคิดอะไรอยู่เหรอ” นางฟ้าสาวเอียงหน้าถามระหว่างสองเราเดินมาถึงลานกว้างรกร้างแห่งหนึ่งซึ่งผมไม่รู้ว่าจะเรียกมันว่าอย่างไรดี
“เปล่า…ไม่มีอะไรหรอก” ผมบอก พลางกวาดสายตาไปโดยรอบ สังเกตจากกลุ่มกอของต้นหญ้าที่ขึ้นกันประปรายบนพื้นดินทรายเจิ่งน้ำ ชิงช้าสนิมเขรอะที่หมาดด้วยหยาดฝน ไม้กระดกเกรอะกรังสามอันที่วางเรียงรายอยู่ใกล้ๆ สไลเดอร์พลาสติกสีแดงเหลืองซึ่งเปื้อนไปด้วยคราบตะไคร่ และรอยดินสกปรกแล้วก็พออนุมานเอาได้ว่าสถานที่แห่งนี้คงเคยเป็นสนามเด็กเล่นมาก่อน
แต่พอมองไปเห็นกองไม้ผุพัง เศษเหล็ก เศษกระป๋อง ที่กองพะเนินเทินทึกอยู่เต็มไปหมดก็ชักคลางแคลงใจ บรรยากาศรอบกายก็ดูมืดมนและชวนขนหัวลุกอย่างบอกไม่ถูก
“นี่เราเดินมาถึงไหนแล้วคุณ” ผมได้แต่ถามอย่างคนที่ไม่รู้ประสีประสาในดินแดนที่ตนเองไม่เคยคิดเฉียดกรายเข้ามาใกล้
“ฉันก็ไม่รู้สิ เดี๋ยวคงต้องดูแผนที่ก่อน” หญิงสาวกล่าวพลางกางแผ่นพลาสติกขึ้นมาดูอีกครั้งแล้วหันมองมาทางผม แสงจากเครื่องเพชรล้อแสงวิบวับขับผิวขาวผ่องในชุดเดรสยาวหรูหราให้ดูงามสง่ายิ่งนัก
“แต่นายต้องระวังให้ดีนะ ฉันว่าฉันได้กลิ่นแปลกๆ แถวๆ นี้” ร่างเพรียวเตือนเสียงเรียบแต่ใบหน้ากลับส่อแววกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“กลิ่นอะไรอ่ะคุณ ผมไม่เห็นได้กลิ่นอะไรเลย” ผมยังคงคับข้องใจกับผัสสะที่ขาดหายไป
“กลิ่นเหม็นเน่ารุนแรง เหมือนซากศพ” แค่สาริกาปรารภออกมาแบบนั้น ผมก็พลันรู้สึกวูบไหวขึ้นมาด้วยความกลัวที่แล่นพล่านจนต้องหันซ้ายแลขวาอย่างระแวดระวัง แต่ไม่ทันที่นางฟ้าสาวจะได้ตอบเธอก็ยกฝ่ามือขวาขึ้นมาป้องหูอีกครั้ง คราวนี้ผมเริ่มเข้าใจกับท่าทีแปลกๆ ของเจ้าหล่อนแล้ว
‘เธอกำลังติดต่อกับใครสักคนบนสรวงสวรรค์นั่น’
“โอเคๆ ได้พิกัดแล้วนะ เดี๋ยวฉันจะรีบไป” สาริกาบอกก่อนจะแยกออกไปเพื่อคุยกับอีกฝ่ายเป็นการส่วนตัว
“แบบนี้ทุกทีเลยนะคุณเนี่ย…ใช่เด้ผมมันส่วนเกินหนิ” ผมตัดพ้อพลางหยุดยืนยกมือเท้าสะเอวอย่างเซ็งๆ เมื่อเจ้าหล่อนเดินลิ่วไปประหนึ่งกลัวว่าผมจะไปล่วงรู้ความลับอะไรของเธอเข้า แต่สุดท้ายตนเองก็จำต้องก้าวตามหญิงสาวไปห่างๆ เพราะคงไม่เป็นการดีแน่ถ้าผมต้องอยู่เพียงลำพังท่ามกลางความมืดและแปลกที่แปลกทางเช่นนี้
ฝ่าเท้าเปลือยเปล่าเหยียบย่างไปบนผิวดินอันเฉอะแฉะ แน่นอนว่าตนเองไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับสภาพพื้นบนโลกมนุษย์นี้หรอก ซึ่งนั่นอาจจะเป็นข้อดีที่ทำให้เท้าของผมไม่มีรอยเปรอะเปื้อนแม้เพียงสักนิด
ทว่าจู่ๆ เสียงปริศนาก็ดังขึ้นฉุดรั้งให้ผมยั้งขาไว้
“ฮือๆๆๆ…ฮึก…ฮึก”
‘อ๊ะ…!’
ในเสี้ยววินาทีนั้นหากยังมีชีวิตอยู่หัวใจผมคงเต้นโครมคราม หรือแทบจะหลุดผลัวะออกมาเลยก็ว่าได้กับเสียงสะอื้นไห้น่าสงสารของใครบางคนที่ดังคล้อยมาทางสไลเดอร์เด็กเล่นซึ่งตั้งอยู่ทางด้านหลัง
ผมรีบหันควั่บไปทางต้นเสียงและเห็นเด็กน้อยผอมโซอายุราวๆ ห้าหกขวบคนหนึ่งกำลังยืนร้องห่มร้องไห้อยู่ร่างเล็กๆ นั้นมีผิวขาวซีดขยับไหวท่ามกลางแสงสลัวรางยามราตรี
‘ไม่ใช่คนแน่ๆ’ จิตใต้สำนึกบอกกับผมแบบนั้นในแวบแรกที่ปราดสายตาเห็น
‘ห๊ะ…เด็กอีกแล้วเหรอ’ ผมบ่นในใจไม่คิดว่าตนเองจะต้องมาพัวพันกับเด็กคนอื่นอีก เพราะเจอแค่ผีรักยมสองตนนั่นก็ปวดหัวจะแย่แล้ว
‘ทำไมถึงมายืนร้องไห้อยู่ตรงนี้กันนะ’ ผมมองอย่างพินิจพิจารณาด้วยนึกสงสัย เท่าที่สังเกตเด็กชายไว้ผมทรงกะลาครอบสูงประมาณช่วงลำตัวของผม ใส่เสื้อตัวโคร่งๆ กับกางเกงขาสั้นไม่ได้สวมรองเท้ามองแล้วน่าเวทนาแต่ก็ดูน่ากังขาในคราวเดียวกัน
“ดึกๆ ดื่นๆ แล้วมาทำอะไรตรงนี้กันล่ะหนู แล้วแม่ล่ะ แม่ไปไหน” ผมเข้าไปถาม แต่เด็กคนนั้นไม่ยอมตอบเอาแต่ก้มหน้าก้มตาร้องไห้ทำให้มองเห็นใบหน้าหนูน้อยไม่ถนัดนัก
“ไอ้หนู…” ผมเรียกพลางยื่นมือไปจะโอบไหล่เด็กชายผู้หลงทาง แต่ยังไม่ทันถึงตัวเขาก็ปริปากขึ้นมาก่อนว่า
“หิว”
“ห๊ะ อะไรนะหนู” เสียงนั้นค่อยมากจนผมต้องก้มตัวลงไปตะแคงหูฟัง
“หิวจัง” เด็กน้อยปริศนาบอกพร้อมกับส่งเสียงสะอื้นน่าสงสารก่อนจะลดแขนทั้งสองข้างลงแล้วเงยหน้ามองมาที่ผม…นิ่ง เหมือนกำลังรอให้ผมทำอะไรสักอย่าง
ผมจับเค้าหน้าของเขาได้เพียงรางๆ เห็นดวงตากลมโต จมูกเล็กๆ และริมฝีปากหนา ที่ดูเหมือนจะกลืนไปกับความมืดรอบกายจนดูน่ากลัว
“ไอ้หนูหิวเหรอ” ผมถาม
เด็กชายพยักหน้าหงึก
‘จะทำไงดีวะ’ ผมคิดในใจแล้วจึงเหลียวมองหาสาริกาซึ่งเดินนำไปไกลแล้วด้วยความหวั่นวิตก เกิดความรู้สึกลังเลว่าจะช่วยน้องเขาดีหรือพละจากแล้วรีบวิ่งตามหญิงสาวไปก่อนที่จะพลัดหลงกันอีก
‘ทิ้งผมไปอีกแล้วนะ’ ผมนึกเคืองขุ่นเจ้าหล่อนที่ดูเหมือนจะลืมผมไปเมื่อมีสายโทรจิตเข้ามา
“กูหิววว” เสียงกระด้างเหมือนโกรธขึ้งดังลอดออกมาจากไรฟันของเด็กน้อย ยิ่งเร่งเร้าให้ผมต้องทำอะไรสักอย่างก่อนที่อีกฝ่ายจะปรับน้ำเสียงอ่อนลงเหมือนสำนึกขึ้นมาได้ว่าไม่ควรใช้น้ำเสียงกับผมแบบนั้น
“หิวเหลือเกิน…”
“หนูไม่ได้กินอะไรมานานแล้ว” เด็กชายครวญระคนเสียงสะอื้นพร้อมกับเลื่อนสองแขนโอบกอดตัวเอง งอตัวราวกับกำลังได้รับความเจ็บปวดทรมานแล้วส่งเสียงฮือๆ ชวนให้สลดสังเวชใจยิ่งขึ้นไปอีก ผมจะปล่อยให้เด็กน้อยผู้หลงทางโหยหิวต่อไปอย่างนี้ได้อย่างไร แน่ล่ะคงต้องทำอะไรสักอย่าง
‘ใช่สิผมเสกอาหารได้’ พอนึกขึ้นมาได้ดังนั้น ตนเองก็รีบประกบฝ่ามือตั้งจิตอธิษฐานในทันทีแต่แล้วก็พลันสะดุดกึกเมื่อนึกไม่ออกว่าจะเสกอะไรดี
“แล้วหนูอยากกินอะไรล่ะ” ผมหันไปถามความเห็นเด็กชาย ทำเอาอีกฝ่ายต้องเงยขึ้นมามองค้อน ผมจับรังสีของความเหนื่อยหน่ายได้จากอากัปกิริยาเหล่านั้น จึงไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรอีก
เพียงชั่วพริบตาซาลาเปาลูกโต และลูกชิ้นหมูปิ้งสองไม้ก็ถูกเสกอยู่ในมือผม ยังไม่ทันจะยื่นให้เด็กนั่นก็ฉวยมือเข้ามาแย่งอาหารสวาปามเข้าใส่ปากแล้วเคี้ยวกลืนอย่างเอร็ดอร่อย
“เฮ้ หนูค่อยๆ กินก็ได้ อย่ายัดเข้าไปพร้อมกันแบบนั้นดิเดี๋ยวติดคอ” ผมร้องเตือนด้วยความห่วงใยพอจะเข้าไปแตะตัวอีกฝ่ายก็ออกอาการหวงของรีบหันหลังให้โดยพลัน
“แล้วเป็นไงมาไงถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะไอ้หนู” ผมซักด้วยเข้าใจว่าวิญญาณเด็กตนนี้คงพลัดหลงกับใครเข้าเป็นแน่ แต่อีกฝ่ายกลับก้มหน้าก้มตายัดอาหารใส่ปากโดยไม่แยแสในคำถามของผมเลยสักนิด
“โอเค เดี๋ยวพี่ตามคนมาช่วยนะ หนูรออยู่ตรงนี้ก่อนนะ” ผมบอก แล้วจึงหันตัวไปอีกทางเพื่อจะไปตามนางฟ้าสาวอย่างน้อยเธอก็คงรู้จักโลกวิญญาณ หรือโลกหลังความตายนี้ดีกว่าผมแน่ แต่ทว่า
“หิว…หนูหิววว ยังมีอีกมั๊ย” เสียงโอดครวญของหนูน้อยทำให้ผมรีบหันกลับมาโดยพลัน
“ห๊ะ ไอ้หนูนี่ยังไม่อิ่มเหรอ” ผมถาม รู้สึกตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน
“อยากกินอีก อยากกิน…หิววว” เด็กชายปริศนารบเร้า
“ได้ๆ เดี๋ยวนะรอแปบ” คราวนี้ผมเสกไก่ทอดหนังกรอบชิ้นมโหฬารพร้อมกับน้ำอัดลมกระป๋องให้แต่ไม่ทันไรเด็กชายก็ทานจนหมดเกลี้ยง กระป๋องเปล่าถูกโยนทิ้งแล้วหายวับไปในกอหญ้าก่อนเจ้าตัวจะเช็ดปากอันมันแผล็บไปมา ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าอาหารที่เสกขึ้นจะทำให้เด็กน้อยอิ่มหนำสำราญได้ขนาดนี้ ผมยังจดจำรสเฝื่อนฝาดของแป้งในปากได้อยู่เลย
“อร่อย…เหรอ” ผมถามไถ่ด้วยรู้สึกกังขา แต่เด็กชายกลับพยักหน้าหงึก
“มันไม่ได้เหมือนแป้งใช่มั๊ย”
อีกฝ่ายส่ายหน้าแทนคำตอบ ผมจึงถือโอกาสซักถามพร้อมกับวางมือไปบนศีรษะของเขาอย่างเอ็นดู
“แล้วหนูชื่ออะไรห๊ะ”
“นพ…” เด็กนั่นตอบเสียงค่อยก่อนจะก้มหน้าลงมองพื้น
“แล้วนพมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง พ่อแม่ไปไหน หลงทางเหรอ” ผมถามไปชุดใหญ่เพราะเริ่มอยากจะผละจากเด็กคนนี้ไปเสียทีด้วยเกรงว่าตนเองจะเป็นวิญญาณหลงทางเสียเอง แต่ทว่าคำตอบของเขากลับทำเอาผมแทบสะดุ้ง
“กูถูกฆ่าอยู่ที่บ้านหลังนั้น” เขากล่าวพร้อมกับยกมือชี้นิ้วไปยังบ้านไม้หลังคามุงสังกะสีหลังหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก “พ่อกินเหล้าแล้วต่อยกู เตะกู กูพยายามจะหนี แต่ก็ถูก…อ็อก อ็อก”
พอหันไปอีกทีผมก็เห็นร่างสีซีดเผือดกำลังยกสองมือขึ้นบีบคอตัวเองอยู่ เสียงนั้นดังอ็อก อ็อก อ็อก ฟังดูทรมานและชวนให้ตระหนกตกใจยิ่ง
ถึงตอนนี้ผมสารภาพว่าผมเริ่มกลัวเจ้าเด็กในเงามืดคนนี้ขึ้นมาตงิดๆ แต่กว่าจะทันได้รู้ตัวว่าตกหลุมพรางก็ดูเหมือนว่าทุกอย่างสายเกินไปเสียแล้ว เมื่อเด็กชายปริศนาฉวยข้อมือผมไว้แล้วเปล่งถ้อยคำที่ทำให้ผมตกตะลึงพรึงเพริดจนทำให้ผมแทบทรุดกองลงอยู่ตรงนั้น
“จะไปไหนไอ้โง่ ผลบุญของมึงเอามาให้พวกกูเถอะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
ใบหน้าอันอ่อนเยาว์ของผู้พูดแปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับผิวหนังตามเนื้อตัวที่กลายเป็นสีคล้ำตะปุ่มตะป่ำไปด้วยตุ่มหนองที่แตกเฟะ ดวงตาโตใสแป๋วกลับกลายเป็นสีขาวขุ่นชวนสยองไร้แววความเดียงสาอีกต่อไป
“เหว๋อ!” ผมร้องพลางผงะถอย แต่เมื่อหันมองไปรอบกาย สิ่งที่ประจักษ์แก่สายตาก็พาให้อกสั่นขวัญแขวนขึ้นไปอีกกับภาพของวิญญาณร่างดำมะเมื่อมราวกับตกอยู่ในเงาอันมืดมิดหลายสิบตนกำลังล้อมกรอบกันเข้ามาหาผม ร่างกายของพวกมันซูบผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก สัมผัสได้ถึงพลังแห่งความเศร้าหมอง ทุกข์ตรม ที่แผ่ซ่านออกมาจากกลุ่มวิญญาณสีดำเหล่านั้นอย่างรุนแรง
“ฮือ…ฮือ…” เสียงทุ้มต่ำดังฮือๆ เล็ดลอดออกมาจากช่องปากของพวกมัน ประหนึ่งดังเสียงคร่ำครวญชวนโหยไห้
ลักษณะแบบนี้นี่มัน…
ใช่แล้ว!
เงาดำลึกลับที่ผมเจอตอนอยู่หน้าบ้านช่างแอ๊ด พวกมันติดตามผมมาตั้งแต่ที่นั่นแล้วหรือนี่
“นะนะนี่ใช่มั๊ยพะพะพรากบุญ สะสาริกา” ผมปรารภออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือและร่างกายอันสั่นเทา ในตอนนี้ผมคิดถึงสาริกา ที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียวของผมด้วยตระหนักดีว่า ณ ตอนนี้ เวลานี้ผมกำลังเผชิญกับภยันตรายอันใหญ่หลวงเข้าให้เสียแล้ว
“เปล่า…ไม่มีอะไรหรอก” ผมบอก พลางกวาดสายตาไปโดยรอบ สังเกตจากกลุ่มกอของต้นหญ้าที่ขึ้นกันประปรายบนพื้นดินทรายเจิ่งน้ำ ชิงช้าสนิมเขรอะที่หมาดด้วยหยาดฝน ไม้กระดกเกรอะกรังสามอันที่วางเรียงรายอยู่ใกล้ๆ สไลเดอร์พลาสติกสีแดงเหลืองซึ่งเปื้อนไปด้วยคราบตะไคร่ และรอยดินสกปรกแล้วก็พออนุมานเอาได้ว่าสถานที่แห่งนี้คงเคยเป็นสนามเด็กเล่นมาก่อน
แต่พอมองไปเห็นกองไม้ผุพัง เศษเหล็ก เศษกระป๋อง ที่กองพะเนินเทินทึกอยู่เต็มไปหมดก็ชักคลางแคลงใจ บรรยากาศรอบกายก็ดูมืดมนและชวนขนหัวลุกอย่างบอกไม่ถูก
“นี่เราเดินมาถึงไหนแล้วคุณ” ผมได้แต่ถามอย่างคนที่ไม่รู้ประสีประสาในดินแดนที่ตนเองไม่เคยคิดเฉียดกรายเข้ามาใกล้
“ฉันก็ไม่รู้สิ เดี๋ยวคงต้องดูแผนที่ก่อน” หญิงสาวกล่าวพลางกางแผ่นพลาสติกขึ้นมาดูอีกครั้งแล้วหันมองมาทางผม แสงจากเครื่องเพชรล้อแสงวิบวับขับผิวขาวผ่องในชุดเดรสยาวหรูหราให้ดูงามสง่ายิ่งนัก
“แต่นายต้องระวังให้ดีนะ ฉันว่าฉันได้กลิ่นแปลกๆ แถวๆ นี้” ร่างเพรียวเตือนเสียงเรียบแต่ใบหน้ากลับส่อแววกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“กลิ่นอะไรอ่ะคุณ ผมไม่เห็นได้กลิ่นอะไรเลย” ผมยังคงคับข้องใจกับผัสสะที่ขาดหายไป
“กลิ่นเหม็นเน่ารุนแรง เหมือนซากศพ” แค่สาริกาปรารภออกมาแบบนั้น ผมก็พลันรู้สึกวูบไหวขึ้นมาด้วยความกลัวที่แล่นพล่านจนต้องหันซ้ายแลขวาอย่างระแวดระวัง แต่ไม่ทันที่นางฟ้าสาวจะได้ตอบเธอก็ยกฝ่ามือขวาขึ้นมาป้องหูอีกครั้ง คราวนี้ผมเริ่มเข้าใจกับท่าทีแปลกๆ ของเจ้าหล่อนแล้ว
‘เธอกำลังติดต่อกับใครสักคนบนสรวงสวรรค์นั่น’
“โอเคๆ ได้พิกัดแล้วนะ เดี๋ยวฉันจะรีบไป” สาริกาบอกก่อนจะแยกออกไปเพื่อคุยกับอีกฝ่ายเป็นการส่วนตัว
“แบบนี้ทุกทีเลยนะคุณเนี่ย…ใช่เด้ผมมันส่วนเกินหนิ” ผมตัดพ้อพลางหยุดยืนยกมือเท้าสะเอวอย่างเซ็งๆ เมื่อเจ้าหล่อนเดินลิ่วไปประหนึ่งกลัวว่าผมจะไปล่วงรู้ความลับอะไรของเธอเข้า แต่สุดท้ายตนเองก็จำต้องก้าวตามหญิงสาวไปห่างๆ เพราะคงไม่เป็นการดีแน่ถ้าผมต้องอยู่เพียงลำพังท่ามกลางความมืดและแปลกที่แปลกทางเช่นนี้
ฝ่าเท้าเปลือยเปล่าเหยียบย่างไปบนผิวดินอันเฉอะแฉะ แน่นอนว่าตนเองไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับสภาพพื้นบนโลกมนุษย์นี้หรอก ซึ่งนั่นอาจจะเป็นข้อดีที่ทำให้เท้าของผมไม่มีรอยเปรอะเปื้อนแม้เพียงสักนิด
ทว่าจู่ๆ เสียงปริศนาก็ดังขึ้นฉุดรั้งให้ผมยั้งขาไว้
“ฮือๆๆๆ…ฮึก…ฮึก”
‘อ๊ะ…!’
ในเสี้ยววินาทีนั้นหากยังมีชีวิตอยู่หัวใจผมคงเต้นโครมคราม หรือแทบจะหลุดผลัวะออกมาเลยก็ว่าได้กับเสียงสะอื้นไห้น่าสงสารของใครบางคนที่ดังคล้อยมาทางสไลเดอร์เด็กเล่นซึ่งตั้งอยู่ทางด้านหลัง
ผมรีบหันควั่บไปทางต้นเสียงและเห็นเด็กน้อยผอมโซอายุราวๆ ห้าหกขวบคนหนึ่งกำลังยืนร้องห่มร้องไห้อยู่ร่างเล็กๆ นั้นมีผิวขาวซีดขยับไหวท่ามกลางแสงสลัวรางยามราตรี
‘ไม่ใช่คนแน่ๆ’ จิตใต้สำนึกบอกกับผมแบบนั้นในแวบแรกที่ปราดสายตาเห็น
‘ห๊ะ…เด็กอีกแล้วเหรอ’ ผมบ่นในใจไม่คิดว่าตนเองจะต้องมาพัวพันกับเด็กคนอื่นอีก เพราะเจอแค่ผีรักยมสองตนนั่นก็ปวดหัวจะแย่แล้ว
‘ทำไมถึงมายืนร้องไห้อยู่ตรงนี้กันนะ’ ผมมองอย่างพินิจพิจารณาด้วยนึกสงสัย เท่าที่สังเกตเด็กชายไว้ผมทรงกะลาครอบสูงประมาณช่วงลำตัวของผม ใส่เสื้อตัวโคร่งๆ กับกางเกงขาสั้นไม่ได้สวมรองเท้ามองแล้วน่าเวทนาแต่ก็ดูน่ากังขาในคราวเดียวกัน
“ดึกๆ ดื่นๆ แล้วมาทำอะไรตรงนี้กันล่ะหนู แล้วแม่ล่ะ แม่ไปไหน” ผมเข้าไปถาม แต่เด็กคนนั้นไม่ยอมตอบเอาแต่ก้มหน้าก้มตาร้องไห้ทำให้มองเห็นใบหน้าหนูน้อยไม่ถนัดนัก
“ไอ้หนู…” ผมเรียกพลางยื่นมือไปจะโอบไหล่เด็กชายผู้หลงทาง แต่ยังไม่ทันถึงตัวเขาก็ปริปากขึ้นมาก่อนว่า
“หิว”
“ห๊ะ อะไรนะหนู” เสียงนั้นค่อยมากจนผมต้องก้มตัวลงไปตะแคงหูฟัง
“หิวจัง” เด็กน้อยปริศนาบอกพร้อมกับส่งเสียงสะอื้นน่าสงสารก่อนจะลดแขนทั้งสองข้างลงแล้วเงยหน้ามองมาที่ผม…นิ่ง เหมือนกำลังรอให้ผมทำอะไรสักอย่าง
ผมจับเค้าหน้าของเขาได้เพียงรางๆ เห็นดวงตากลมโต จมูกเล็กๆ และริมฝีปากหนา ที่ดูเหมือนจะกลืนไปกับความมืดรอบกายจนดูน่ากลัว
“ไอ้หนูหิวเหรอ” ผมถาม
เด็กชายพยักหน้าหงึก
‘จะทำไงดีวะ’ ผมคิดในใจแล้วจึงเหลียวมองหาสาริกาซึ่งเดินนำไปไกลแล้วด้วยความหวั่นวิตก เกิดความรู้สึกลังเลว่าจะช่วยน้องเขาดีหรือพละจากแล้วรีบวิ่งตามหญิงสาวไปก่อนที่จะพลัดหลงกันอีก
‘ทิ้งผมไปอีกแล้วนะ’ ผมนึกเคืองขุ่นเจ้าหล่อนที่ดูเหมือนจะลืมผมไปเมื่อมีสายโทรจิตเข้ามา
“กูหิววว” เสียงกระด้างเหมือนโกรธขึ้งดังลอดออกมาจากไรฟันของเด็กน้อย ยิ่งเร่งเร้าให้ผมต้องทำอะไรสักอย่างก่อนที่อีกฝ่ายจะปรับน้ำเสียงอ่อนลงเหมือนสำนึกขึ้นมาได้ว่าไม่ควรใช้น้ำเสียงกับผมแบบนั้น
“หิวเหลือเกิน…”
“หนูไม่ได้กินอะไรมานานแล้ว” เด็กชายครวญระคนเสียงสะอื้นพร้อมกับเลื่อนสองแขนโอบกอดตัวเอง งอตัวราวกับกำลังได้รับความเจ็บปวดทรมานแล้วส่งเสียงฮือๆ ชวนให้สลดสังเวชใจยิ่งขึ้นไปอีก ผมจะปล่อยให้เด็กน้อยผู้หลงทางโหยหิวต่อไปอย่างนี้ได้อย่างไร แน่ล่ะคงต้องทำอะไรสักอย่าง
‘ใช่สิผมเสกอาหารได้’ พอนึกขึ้นมาได้ดังนั้น ตนเองก็รีบประกบฝ่ามือตั้งจิตอธิษฐานในทันทีแต่แล้วก็พลันสะดุดกึกเมื่อนึกไม่ออกว่าจะเสกอะไรดี
“แล้วหนูอยากกินอะไรล่ะ” ผมหันไปถามความเห็นเด็กชาย ทำเอาอีกฝ่ายต้องเงยขึ้นมามองค้อน ผมจับรังสีของความเหนื่อยหน่ายได้จากอากัปกิริยาเหล่านั้น จึงไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรอีก
เพียงชั่วพริบตาซาลาเปาลูกโต และลูกชิ้นหมูปิ้งสองไม้ก็ถูกเสกอยู่ในมือผม ยังไม่ทันจะยื่นให้เด็กนั่นก็ฉวยมือเข้ามาแย่งอาหารสวาปามเข้าใส่ปากแล้วเคี้ยวกลืนอย่างเอร็ดอร่อย
“เฮ้ หนูค่อยๆ กินก็ได้ อย่ายัดเข้าไปพร้อมกันแบบนั้นดิเดี๋ยวติดคอ” ผมร้องเตือนด้วยความห่วงใยพอจะเข้าไปแตะตัวอีกฝ่ายก็ออกอาการหวงของรีบหันหลังให้โดยพลัน
“แล้วเป็นไงมาไงถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะไอ้หนู” ผมซักด้วยเข้าใจว่าวิญญาณเด็กตนนี้คงพลัดหลงกับใครเข้าเป็นแน่ แต่อีกฝ่ายกลับก้มหน้าก้มตายัดอาหารใส่ปากโดยไม่แยแสในคำถามของผมเลยสักนิด
“โอเค เดี๋ยวพี่ตามคนมาช่วยนะ หนูรออยู่ตรงนี้ก่อนนะ” ผมบอก แล้วจึงหันตัวไปอีกทางเพื่อจะไปตามนางฟ้าสาวอย่างน้อยเธอก็คงรู้จักโลกวิญญาณ หรือโลกหลังความตายนี้ดีกว่าผมแน่ แต่ทว่า
“หิว…หนูหิววว ยังมีอีกมั๊ย” เสียงโอดครวญของหนูน้อยทำให้ผมรีบหันกลับมาโดยพลัน
“ห๊ะ ไอ้หนูนี่ยังไม่อิ่มเหรอ” ผมถาม รู้สึกตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน
“อยากกินอีก อยากกิน…หิววว” เด็กชายปริศนารบเร้า
“ได้ๆ เดี๋ยวนะรอแปบ” คราวนี้ผมเสกไก่ทอดหนังกรอบชิ้นมโหฬารพร้อมกับน้ำอัดลมกระป๋องให้แต่ไม่ทันไรเด็กชายก็ทานจนหมดเกลี้ยง กระป๋องเปล่าถูกโยนทิ้งแล้วหายวับไปในกอหญ้าก่อนเจ้าตัวจะเช็ดปากอันมันแผล็บไปมา ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าอาหารที่เสกขึ้นจะทำให้เด็กน้อยอิ่มหนำสำราญได้ขนาดนี้ ผมยังจดจำรสเฝื่อนฝาดของแป้งในปากได้อยู่เลย
“อร่อย…เหรอ” ผมถามไถ่ด้วยรู้สึกกังขา แต่เด็กชายกลับพยักหน้าหงึก
“มันไม่ได้เหมือนแป้งใช่มั๊ย”
อีกฝ่ายส่ายหน้าแทนคำตอบ ผมจึงถือโอกาสซักถามพร้อมกับวางมือไปบนศีรษะของเขาอย่างเอ็นดู
“แล้วหนูชื่ออะไรห๊ะ”
“นพ…” เด็กนั่นตอบเสียงค่อยก่อนจะก้มหน้าลงมองพื้น
“แล้วนพมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง พ่อแม่ไปไหน หลงทางเหรอ” ผมถามไปชุดใหญ่เพราะเริ่มอยากจะผละจากเด็กคนนี้ไปเสียทีด้วยเกรงว่าตนเองจะเป็นวิญญาณหลงทางเสียเอง แต่ทว่าคำตอบของเขากลับทำเอาผมแทบสะดุ้ง
“กูถูกฆ่าอยู่ที่บ้านหลังนั้น” เขากล่าวพร้อมกับยกมือชี้นิ้วไปยังบ้านไม้หลังคามุงสังกะสีหลังหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก “พ่อกินเหล้าแล้วต่อยกู เตะกู กูพยายามจะหนี แต่ก็ถูก…อ็อก อ็อก”
พอหันไปอีกทีผมก็เห็นร่างสีซีดเผือดกำลังยกสองมือขึ้นบีบคอตัวเองอยู่ เสียงนั้นดังอ็อก อ็อก อ็อก ฟังดูทรมานและชวนให้ตระหนกตกใจยิ่ง
ถึงตอนนี้ผมสารภาพว่าผมเริ่มกลัวเจ้าเด็กในเงามืดคนนี้ขึ้นมาตงิดๆ แต่กว่าจะทันได้รู้ตัวว่าตกหลุมพรางก็ดูเหมือนว่าทุกอย่างสายเกินไปเสียแล้ว เมื่อเด็กชายปริศนาฉวยข้อมือผมไว้แล้วเปล่งถ้อยคำที่ทำให้ผมตกตะลึงพรึงเพริดจนทำให้ผมแทบทรุดกองลงอยู่ตรงนั้น
“จะไปไหนไอ้โง่ ผลบุญของมึงเอามาให้พวกกูเถอะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
ใบหน้าอันอ่อนเยาว์ของผู้พูดแปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับผิวหนังตามเนื้อตัวที่กลายเป็นสีคล้ำตะปุ่มตะป่ำไปด้วยตุ่มหนองที่แตกเฟะ ดวงตาโตใสแป๋วกลับกลายเป็นสีขาวขุ่นชวนสยองไร้แววความเดียงสาอีกต่อไป
“เหว๋อ!” ผมร้องพลางผงะถอย แต่เมื่อหันมองไปรอบกาย สิ่งที่ประจักษ์แก่สายตาก็พาให้อกสั่นขวัญแขวนขึ้นไปอีกกับภาพของวิญญาณร่างดำมะเมื่อมราวกับตกอยู่ในเงาอันมืดมิดหลายสิบตนกำลังล้อมกรอบกันเข้ามาหาผม ร่างกายของพวกมันซูบผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก สัมผัสได้ถึงพลังแห่งความเศร้าหมอง ทุกข์ตรม ที่แผ่ซ่านออกมาจากกลุ่มวิญญาณสีดำเหล่านั้นอย่างรุนแรง
“ฮือ…ฮือ…” เสียงทุ้มต่ำดังฮือๆ เล็ดลอดออกมาจากช่องปากของพวกมัน ประหนึ่งดังเสียงคร่ำครวญชวนโหยไห้
ลักษณะแบบนี้นี่มัน…
ใช่แล้ว!
เงาดำลึกลับที่ผมเจอตอนอยู่หน้าบ้านช่างแอ๊ด พวกมันติดตามผมมาตั้งแต่ที่นั่นแล้วหรือนี่
“นะนะนี่ใช่มั๊ยพะพะพรากบุญ สะสาริกา” ผมปรารภออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือและร่างกายอันสั่นเทา ในตอนนี้ผมคิดถึงสาริกา ที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียวของผมด้วยตระหนักดีว่า ณ ตอนนี้ เวลานี้ผมกำลังเผชิญกับภยันตรายอันใหญ่หลวงเข้าให้เสียแล้ว
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ