ปาฏิหาริย์โลกวิญญาณ (ได้รับการตีพิมพ์จากAmity Publishing แล้ว)
5.3
เขียนโดย watcharakarn
วันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 เวลา 12.10 น.
67 ตอน
3 วิจารณ์
41.94K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 23.09 น. โดย เจ้าของนิยาย
46) ‘มื้อนี้จากผลบุญ’
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความผมคิดว่าในช่วงชีวิตของใครคนหนึ่ง คงจะมีอย่างน้อยสักครั้งที่เราเคยได้ทำเรื่องอะไรที่แปลกประหลาด หรือพิลึกพิลั่นเกินกว่าที่ตนเองจะคาดคิด ทว่าใครจะไปนึกไปฝันเล่าว่าคนที่มีชีวิตอันแสนราบเรียบเสียจนเกือบเรียกได้ว่าน่าเบื่ออย่างผมจะต้องมาเจอกับสิ่งเหล่านี้ก็เมื่อตอนตายไปแล้ว อย่างการเสกอาหารนี่มันก็ดูไม่ง่ายเหมือนการเลือกซื้อโบโลน่าแซนด์วิชในร้านสะดวกซื้อเลยแม้แต่น้อย แต่ก็เอาเถอะ…
“ได้…ผมจะลองดู” ใช่ผมพูดไปแบบนั้น พร้อมกับตั้งท่าประหนึ่งผู้เชี่ยวชาญการเสกอาหาร (คล้ายๆ กับกำลังร่ายเวทย์มนต์) ทั้งๆ ที่ในหัวมีแต่คำถามเต็มไปหมด ผมจะทำมันได้อย่างไร แล้วไอ้อาหารที่ว่านั่นมีหน้าตาอย่างไรกันเล่า ต้องท่อคาถารึเปล่า ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตนเองจะสามารถทำสิ่งที่น่าอัศจรรย์นั้นได้จริงๆ
พอเหลือบไปทางนางฟ้าสาวก็เห็นว่าเธอกำลังเฝ้ามองดูอยู่ ประหนึ่งลองเชิงว่าผมจะทำได้หรือเปล่า ก็ยิ่งทำให้ตะขิดตะขวงใจเข้าไปใหญ่
“อาหารเอ๋ย จงปรากฏขึ้นมา ณ บัดนี้” ผมพูดมันออกไปอย่างจนปัญญา และแน่นอนว่าผมเองก็ไม่ใช่พวกนางฟ้าเทวดาที่จะมีอิทธิฤทธิ์เวทย์มนต์เสกอะไรต่อมิอะไรได้ในพริบตาแต่จะทำอย่างไรได้ล่ะ…ก็มันหิวนี่นา
“คุณ ไม่เห็นมันจะได้ผลเลยเนี่ย” ผมเริ่มบ่นและชักสีหน้าหงิกงอด้วยความหงุดหงิด “ผมจะต้องท่องหรือร่ายคาถาอะไรรึเปล่าคุณบอกผมหน่อยสิ”
“ถ้านายอยากจะทำแบบนั้นก็ได้นะ” อีกฝ่ายบอกพลางยักไหล่เอียงคอเป็นเชิงเชื้อเชิญพร้อมกับทำปากยื่นหน่อยๆ เหมือนเด็กๆ
“โอเค เข้าใจล่ะ” ผมบอกพร้อมกับพยักหน้าหงึก แล้วจึงเปล่งคาถาที่ตนเองจดจำขึ้นใจได้มากที่สุดออกไป
“วิงการ์เดียม เลวีโอซ่า”
ทันใดนั้นสาริกาก็ปิดปากหัวเราะคิกคักขึ้นมาก่อนจะสัพยอกแบบทีเล่นทีจริง
“ซ่า บ้านป้านายเหรอยะ นั่นมันแฮรี่พอตเตอร์!”
พอถูกว่าเข้าให้ก็ทำเอาผมขาดความมั่นใจหน้าหดเล็กลงเหลือสองนิ้ว เกิดมาพึ่งเคยถูกนางฟ้าหัวเราะเยาะใส่ก็คราวนี้เอง
“โถ่คุณ ผมจะไปรู้ได้ยังไงเล่า” ผมตวัดเสียงตอบกลับไป
“มันก็ไม่ได้ยากตรงไหนเลยนะ” เธอเปรยอย่างตัดความรำคาญแล้วจึงจับมือผมทั้งสองข้างมาประกบกันเหมือนตอนที่เรากำลังขอ หรือรองน้ำฝนจากนั้นจึงกล่าวต่อไปว่า
“ลองตั้งจิตอธิษฐานถึงสิ่งที่นายอยากจะกินในตอนนี้ดูสิ”
“เอ่อ…คือมันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอคุณ” ผมถามด้วยท่าทีงงงัน ในหัวผุดภาพอาหารนานาชนิดล่องลอยอยู่เต็มไปหมด ทั้งพิซซ่าถาดใหญ่ ข้าวมันไก่ไหหลำ แกงเผ็ดเป็ดย่าง หูฉลามน้ำแดง ไอศกรีมข้าวเหนียวมะม่วง บัวลอยไขหวาน ฯลฯ มีแต่ของน่าทานทั้งนั้น
“อืม…” เธอบอกพลางหยุดยืนตรงโคนสะพานแล้ววางท่ากอดอกอธิบาย “นายสามารถเสกอาหารทุกอย่างได้ตราบเท่าที่นายจะนึกออกโดยใช้มูลค่าความดีที่นายเคยได้กระทำไว้เมื่อตอนยังมีชีวิตแลกมา”
“แล้วมูลค่าความดีที่ว่านี่มันเท่าไหร่กันคุณ” ผมถามต่อด้วยนึกสงสัยว่าความดีนั้นมันมีมูลค่าด้วยหรือ
“ไม่มากนักหรอก ถ้าเปรียบเป็นเงินก็คงไม่กี่บาท แค่เศษเสี้ยวความดีของนาย” หญิงสาวตอบเสียงเรียบ
ผมหยักหน้ารับฟัง แล้วจึงถามคำถามสำคัญออกไป
“นี่คุณหมายความว่า ผมสามารถกินหูฉลาม กุ้งล็อบสเตอร์ หรือ คาร์เวียร์ก็ได้งั้นเหรอ”
อืม…ใช่สิ” เธอบอก “มันก็คงคล้ายๆ กับโลกมนุษย์นี่ละมั้งที่บรรดาอาหารจะมีป้ายราคาติดไว้ และต้องใช้เงินจ่ายเพื่อแลกมาเพียงแต่ในภพแดนหลังความตายเนี่ยเราใช้จ่ายสิ่งต่างๆ ได้ด้วยผลบุญหรือ ค่าความดีที่เราได้เคยทำไว้เมื่อตอนที่ยังมีชีวิตแทน”
“แล้วถ้าผมเกิดมาแล้วตายเลยล่ะ อย่างนี้ผมจะมีค่าความดีได้ยังไง”
“มีสิ…ก็จากในชาติก่อนๆ ของนายยังไงล่ะ”
“ชาติก่อนอย่างนั้นเหรอ…” ผมทวนคำพลางนึกสงสัยอยู่ข้างในลึกๆ ว่าถ้าเช่นนั้นในชาติก่อนนั้นตนเองได้เกิดเป็นใคร หรืออะไรกัน ผมไปทำอะไรไว้หรือถึงต้องมาตกระกำลำบากเหลือเกินในภพปางนี้
“นี่…แล้วผมต้องใช้ค่าความดีเท่าไหร่กันล่ะคุณ”ผมรีบยิงคำถามต่อในทันทีเนื่องเพราะยังค้างคาใจกับรูปแบบของค่าผลบุญหรือความดีที่ตนเองเพิ่งจะได้ยินและรู้จักเป็นครั้งแรก
“ฉันกำลังจะอธิบายต่ออยู่พอดี…” เจ้าหล่อนบอก “ที่นี่น่ะมันก็ต่างจากโลกมนุษย์ก็ตรงที่ไม่ว่านายจะเสกอะไรมาทุกอย่างราคาค่างวดก็เท่ากันหมดนั่นแหละไม่มีสิ่งใดที่ต้องจ่ายมากกว่า หรือน้อยกว่า และถึงแม้ว่านายจะไม่ได้ทานอะไรเลยนายก็ไม่ตายหรอก อย่างมากก็แค่รู้สึกหิวโหย และทรมานหมดเรี่ยวหมดแรงเหมือนเมื่อตอนเป็นมนุษย์ก็เท่านั้นเอง…แต่นายคงรู้ดีว่าตอนที่หิวมากๆ น่ะมันแย่แค่ไหน” หญิงสาวสาธยายยืดยาวเป็นคำตอบ
ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของสาริกา รู้สึกลิงโลดดีใจ ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้ทานอาหารเลิศหรูเมนูภัตตาคารได้ง่ายดายโดยไม่ต้องจ่ายสักสตางค์แดงเดียว ก่อนจะถูฝ่ามือไปมาแล้วตั้งสมาธิเอาฝ่ามือซ้ายขวาประกบกัน นึกถึงกุ้งล็อบสเตอร์ตัวขาวๆ อวบๆ เนื้อแน่นในจานใบสวยที่ราดด้วยซุปหูฉลามชิ้นโต โรยด้วยคาร์เวียร์เม็ดเล็กๆ สีออกดำๆ เทาๆ ดูน่าทานอย่างที่สุด ความหิวโหยถาโถมเข้ามาทำให้ผมอยากจะกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมกันในคราวเดียว
และทันใดนั้นความปรารถนาของผมก็กลายเป็นจริงเมื่ออาหารจานเด่นปรากฏขึ้นบนสองฝ่ามือของผม
“ว้าวว สุดยอดเลย!”
ผมร้องอุทานตาโต เมื่ออาหารมื้อนี้สั่งได้ดั่งใจ ตรงกับมโนภาพในหัวที่คิดไว้เป๊ะ
‘อย่างน้อยโลกวิญญาณนี่ก็มีเรื่องดีๆ กับเขาบ้างเหมือนกันนะ’ ผมกระหยิ่มยิ้มย่องจากนั้นจึงใช้มือขวาคว้าหางกุ้งที่ติดเปลือกสีส้มขึ้นมาจากจานใบรียาวก้นลึกแล้วยัดเนื้อขาวสดซึ่งมีไข่ปลาคาร์เวียร์และซุปหูฉลามข้นเหนียวเข้าใส่ปากเคี้ยวตุ้ยๆ เพื่อลิ้มรสโอชาอย่างกระหายหิว รู้สึกถึงความฉ่ำหวานของตัวเนื้อกุ้ง รสเค็มปะแล่มๆ ของไข่ปลาราคาแพง และชิ้นหูฉลามที่คลุกเคล้าอยู่ในปาก
“อร่อยมั๊ยนาย” สาริกาถามเสียงใส
ผมยิ้มขณะกำลังบดเคี้ยวเนื้อกุ้งอย่างเอร็ดอร่อย น้ำตาเล็ดรื้นปานจะไหลด้วยความตื้นตันดีใจกับอาหารคำแรกในชีวิตหลังความตาย
“รสชาติเป็นยังไงบ้าง” อีกฝ่ายถามไถ่
“อหย่อยมากเลยอุน” ผมตอบขณะที่มีอาหารอยู่ต็มปากจนเนื้อกุ้งแทบพุ่งออกมาถูกใบหน้าสะสวยของนางฟ้าสาวเข้า
“ฉันก็นึกว่ามันจะเหมือนแป้งซะอีกนะ” เธอเปรย
‘เอ๋…แป้งงั้นเหรอ’ พอคิดตามนั้น จู่ๆ รสชาติในปากก็เปลี่ยนแปรไปเป็นฝืดเฝื่อนซึมแทรกเข้ามาแทนที่เนื้อกุ้งอันหวานฉ่ำ และเละเหลวในบัดดล
“แหวะ…” ผมรีบคายมันลงพื้นและเห็นเป็นก้อนแป้งขาวขุ่นผสมน้ำลายดูแหยะๆ
“นะนะนี่มันอะไรกันคุณ” ผมร้องถามด้วยสีหน้าตระหนก แล้วจึงยกหลังมือขึ้นมาเช็ดปาก
“แล้วนายกินอะไรเข้าไปล่ะ” เธอตอบกวนๆ
“ไม่ใช่ผมหมายถึงทำไมจู่ๆ เนื้อกุ้งถึงกลายเป็นแป้งได้ล่ะ” ผมกล่าวแล้วพยายามขย้อนเอาเศษแป้งที่ติดอยู่ตรงโคนลิ้นออกมา
“ถุ้ย ถุ้ย ถุ้ย” ทว่าน้ำลายหนืดเหนียวกลับย้อยยืดออกมาจนตนเองจำต้องใช้หลังแขนปาดมันทิ้ง จานในมือหายวับไปในพริบตา
“มันก็แค่ภาพมายาที่ถูกปรุงแต่งจากความคุ้นเคยของนายเมื่อตอนมีชีวิต” สาริกากล่าว “แต่อย่าลืมว่าตอนนี้นายตายไปแล้ว ‘อาหาร’ ก็เป็นเพียงปัจจัยหนึ่งที่ทำให้วิญญาณอย่างนายรู้สึกอิ่มท้อง และมีเรี่ยวมีแรงต่อไปเท่านั้นไม่ได้มีความหมายอื่นใด รูป รส กลิ่น เสียง มันก็แค่ภาพลวงตาที่สะท้อนสิ่งที่นายอยากจะเห็น หรือคาดหวังให้มันเป็น เมื่อจิตไม่นิ่งก็ย่อมเลื่อนไหลไปตามความคิดไม่ใช่ความเป็นจริงและสลักสำคัญอะไรอีกต่อไปแล้ว”
“ภาพลวงตา อย่างนั้นเหรอ” ผมสำทับออกมา รู้สึกจุกในใจจนพูดไม่ออกก่อนจะก้าวเดินต่อ
“นายจะเสกมันมากินอีกก็ได้นะถ้านายต้องการ”
ผมส่ายศีรษะก่อนจะตอบปฏิเสธด้วยความผิดหวัง
“ไม่อ่ะ…”ผมกล่าวแล้วจึงถามต่อ “แล้วคุณล่ะ พวกเทวดานางฟ้าบนสวรรค์นั่นเค้าจะรู้สึกหิวเหมือนกันมั๊ย”
“พวกเราก็หิวได้เหมือนกันนะแต่พอตั้งจิตอธิษฐานแล้วก็หายหิวได้ทันทีซึ่งก็เหมือนกับไม่หิวนั่นแหละ ไม่จำเป็นต้องกินก็อยู่ได้นายคงเคยได้ยินคำว่าอิ่มทิพย์บ้างละมั้ง”
“อ่อใช่ อย่างนี้นี่เอง”
“พวกเทวดานางฟ้าน่ะอยู่เบื้องบนนั่นก็เพื่อเสวยสุขกับผลบุญที่เคยทำมา พอหมดบุญแล้วก็ลงมาเกิดใหม่แต่จะเป็นมนุษย์หรือตัวอะไรนั้น ก็แล้วแต่ท่านพญายมราชจะตัดสินความ”
“อืม…ผมเข้าใจแล้ว” ผมเปรยก่อนจะเดินคอตกตามหญิงสาวไป
“ได้…ผมจะลองดู” ใช่ผมพูดไปแบบนั้น พร้อมกับตั้งท่าประหนึ่งผู้เชี่ยวชาญการเสกอาหาร (คล้ายๆ กับกำลังร่ายเวทย์มนต์) ทั้งๆ ที่ในหัวมีแต่คำถามเต็มไปหมด ผมจะทำมันได้อย่างไร แล้วไอ้อาหารที่ว่านั่นมีหน้าตาอย่างไรกันเล่า ต้องท่อคาถารึเปล่า ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตนเองจะสามารถทำสิ่งที่น่าอัศจรรย์นั้นได้จริงๆ
พอเหลือบไปทางนางฟ้าสาวก็เห็นว่าเธอกำลังเฝ้ามองดูอยู่ ประหนึ่งลองเชิงว่าผมจะทำได้หรือเปล่า ก็ยิ่งทำให้ตะขิดตะขวงใจเข้าไปใหญ่
“อาหารเอ๋ย จงปรากฏขึ้นมา ณ บัดนี้” ผมพูดมันออกไปอย่างจนปัญญา และแน่นอนว่าผมเองก็ไม่ใช่พวกนางฟ้าเทวดาที่จะมีอิทธิฤทธิ์เวทย์มนต์เสกอะไรต่อมิอะไรได้ในพริบตาแต่จะทำอย่างไรได้ล่ะ…ก็มันหิวนี่นา
“คุณ ไม่เห็นมันจะได้ผลเลยเนี่ย” ผมเริ่มบ่นและชักสีหน้าหงิกงอด้วยความหงุดหงิด “ผมจะต้องท่องหรือร่ายคาถาอะไรรึเปล่าคุณบอกผมหน่อยสิ”
“ถ้านายอยากจะทำแบบนั้นก็ได้นะ” อีกฝ่ายบอกพลางยักไหล่เอียงคอเป็นเชิงเชื้อเชิญพร้อมกับทำปากยื่นหน่อยๆ เหมือนเด็กๆ
“โอเค เข้าใจล่ะ” ผมบอกพร้อมกับพยักหน้าหงึก แล้วจึงเปล่งคาถาที่ตนเองจดจำขึ้นใจได้มากที่สุดออกไป
“วิงการ์เดียม เลวีโอซ่า”
ทันใดนั้นสาริกาก็ปิดปากหัวเราะคิกคักขึ้นมาก่อนจะสัพยอกแบบทีเล่นทีจริง
“ซ่า บ้านป้านายเหรอยะ นั่นมันแฮรี่พอตเตอร์!”
พอถูกว่าเข้าให้ก็ทำเอาผมขาดความมั่นใจหน้าหดเล็กลงเหลือสองนิ้ว เกิดมาพึ่งเคยถูกนางฟ้าหัวเราะเยาะใส่ก็คราวนี้เอง
“โถ่คุณ ผมจะไปรู้ได้ยังไงเล่า” ผมตวัดเสียงตอบกลับไป
“มันก็ไม่ได้ยากตรงไหนเลยนะ” เธอเปรยอย่างตัดความรำคาญแล้วจึงจับมือผมทั้งสองข้างมาประกบกันเหมือนตอนที่เรากำลังขอ หรือรองน้ำฝนจากนั้นจึงกล่าวต่อไปว่า
“ลองตั้งจิตอธิษฐานถึงสิ่งที่นายอยากจะกินในตอนนี้ดูสิ”
“เอ่อ…คือมันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอคุณ” ผมถามด้วยท่าทีงงงัน ในหัวผุดภาพอาหารนานาชนิดล่องลอยอยู่เต็มไปหมด ทั้งพิซซ่าถาดใหญ่ ข้าวมันไก่ไหหลำ แกงเผ็ดเป็ดย่าง หูฉลามน้ำแดง ไอศกรีมข้าวเหนียวมะม่วง บัวลอยไขหวาน ฯลฯ มีแต่ของน่าทานทั้งนั้น
“อืม…” เธอบอกพลางหยุดยืนตรงโคนสะพานแล้ววางท่ากอดอกอธิบาย “นายสามารถเสกอาหารทุกอย่างได้ตราบเท่าที่นายจะนึกออกโดยใช้มูลค่าความดีที่นายเคยได้กระทำไว้เมื่อตอนยังมีชีวิตแลกมา”
“แล้วมูลค่าความดีที่ว่านี่มันเท่าไหร่กันคุณ” ผมถามต่อด้วยนึกสงสัยว่าความดีนั้นมันมีมูลค่าด้วยหรือ
“ไม่มากนักหรอก ถ้าเปรียบเป็นเงินก็คงไม่กี่บาท แค่เศษเสี้ยวความดีของนาย” หญิงสาวตอบเสียงเรียบ
ผมหยักหน้ารับฟัง แล้วจึงถามคำถามสำคัญออกไป
“นี่คุณหมายความว่า ผมสามารถกินหูฉลาม กุ้งล็อบสเตอร์ หรือ คาร์เวียร์ก็ได้งั้นเหรอ”
อืม…ใช่สิ” เธอบอก “มันก็คงคล้ายๆ กับโลกมนุษย์นี่ละมั้งที่บรรดาอาหารจะมีป้ายราคาติดไว้ และต้องใช้เงินจ่ายเพื่อแลกมาเพียงแต่ในภพแดนหลังความตายเนี่ยเราใช้จ่ายสิ่งต่างๆ ได้ด้วยผลบุญหรือ ค่าความดีที่เราได้เคยทำไว้เมื่อตอนที่ยังมีชีวิตแทน”
“แล้วถ้าผมเกิดมาแล้วตายเลยล่ะ อย่างนี้ผมจะมีค่าความดีได้ยังไง”
“มีสิ…ก็จากในชาติก่อนๆ ของนายยังไงล่ะ”
“ชาติก่อนอย่างนั้นเหรอ…” ผมทวนคำพลางนึกสงสัยอยู่ข้างในลึกๆ ว่าถ้าเช่นนั้นในชาติก่อนนั้นตนเองได้เกิดเป็นใคร หรืออะไรกัน ผมไปทำอะไรไว้หรือถึงต้องมาตกระกำลำบากเหลือเกินในภพปางนี้
“นี่…แล้วผมต้องใช้ค่าความดีเท่าไหร่กันล่ะคุณ”ผมรีบยิงคำถามต่อในทันทีเนื่องเพราะยังค้างคาใจกับรูปแบบของค่าผลบุญหรือความดีที่ตนเองเพิ่งจะได้ยินและรู้จักเป็นครั้งแรก
“ฉันกำลังจะอธิบายต่ออยู่พอดี…” เจ้าหล่อนบอก “ที่นี่น่ะมันก็ต่างจากโลกมนุษย์ก็ตรงที่ไม่ว่านายจะเสกอะไรมาทุกอย่างราคาค่างวดก็เท่ากันหมดนั่นแหละไม่มีสิ่งใดที่ต้องจ่ายมากกว่า หรือน้อยกว่า และถึงแม้ว่านายจะไม่ได้ทานอะไรเลยนายก็ไม่ตายหรอก อย่างมากก็แค่รู้สึกหิวโหย และทรมานหมดเรี่ยวหมดแรงเหมือนเมื่อตอนเป็นมนุษย์ก็เท่านั้นเอง…แต่นายคงรู้ดีว่าตอนที่หิวมากๆ น่ะมันแย่แค่ไหน” หญิงสาวสาธยายยืดยาวเป็นคำตอบ
ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของสาริกา รู้สึกลิงโลดดีใจ ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้ทานอาหารเลิศหรูเมนูภัตตาคารได้ง่ายดายโดยไม่ต้องจ่ายสักสตางค์แดงเดียว ก่อนจะถูฝ่ามือไปมาแล้วตั้งสมาธิเอาฝ่ามือซ้ายขวาประกบกัน นึกถึงกุ้งล็อบสเตอร์ตัวขาวๆ อวบๆ เนื้อแน่นในจานใบสวยที่ราดด้วยซุปหูฉลามชิ้นโต โรยด้วยคาร์เวียร์เม็ดเล็กๆ สีออกดำๆ เทาๆ ดูน่าทานอย่างที่สุด ความหิวโหยถาโถมเข้ามาทำให้ผมอยากจะกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมกันในคราวเดียว
และทันใดนั้นความปรารถนาของผมก็กลายเป็นจริงเมื่ออาหารจานเด่นปรากฏขึ้นบนสองฝ่ามือของผม
“ว้าวว สุดยอดเลย!”
ผมร้องอุทานตาโต เมื่ออาหารมื้อนี้สั่งได้ดั่งใจ ตรงกับมโนภาพในหัวที่คิดไว้เป๊ะ
‘อย่างน้อยโลกวิญญาณนี่ก็มีเรื่องดีๆ กับเขาบ้างเหมือนกันนะ’ ผมกระหยิ่มยิ้มย่องจากนั้นจึงใช้มือขวาคว้าหางกุ้งที่ติดเปลือกสีส้มขึ้นมาจากจานใบรียาวก้นลึกแล้วยัดเนื้อขาวสดซึ่งมีไข่ปลาคาร์เวียร์และซุปหูฉลามข้นเหนียวเข้าใส่ปากเคี้ยวตุ้ยๆ เพื่อลิ้มรสโอชาอย่างกระหายหิว รู้สึกถึงความฉ่ำหวานของตัวเนื้อกุ้ง รสเค็มปะแล่มๆ ของไข่ปลาราคาแพง และชิ้นหูฉลามที่คลุกเคล้าอยู่ในปาก
“อร่อยมั๊ยนาย” สาริกาถามเสียงใส
ผมยิ้มขณะกำลังบดเคี้ยวเนื้อกุ้งอย่างเอร็ดอร่อย น้ำตาเล็ดรื้นปานจะไหลด้วยความตื้นตันดีใจกับอาหารคำแรกในชีวิตหลังความตาย
“รสชาติเป็นยังไงบ้าง” อีกฝ่ายถามไถ่
“อหย่อยมากเลยอุน” ผมตอบขณะที่มีอาหารอยู่ต็มปากจนเนื้อกุ้งแทบพุ่งออกมาถูกใบหน้าสะสวยของนางฟ้าสาวเข้า
“ฉันก็นึกว่ามันจะเหมือนแป้งซะอีกนะ” เธอเปรย
‘เอ๋…แป้งงั้นเหรอ’ พอคิดตามนั้น จู่ๆ รสชาติในปากก็เปลี่ยนแปรไปเป็นฝืดเฝื่อนซึมแทรกเข้ามาแทนที่เนื้อกุ้งอันหวานฉ่ำ และเละเหลวในบัดดล
“แหวะ…” ผมรีบคายมันลงพื้นและเห็นเป็นก้อนแป้งขาวขุ่นผสมน้ำลายดูแหยะๆ
“นะนะนี่มันอะไรกันคุณ” ผมร้องถามด้วยสีหน้าตระหนก แล้วจึงยกหลังมือขึ้นมาเช็ดปาก
“แล้วนายกินอะไรเข้าไปล่ะ” เธอตอบกวนๆ
“ไม่ใช่ผมหมายถึงทำไมจู่ๆ เนื้อกุ้งถึงกลายเป็นแป้งได้ล่ะ” ผมกล่าวแล้วพยายามขย้อนเอาเศษแป้งที่ติดอยู่ตรงโคนลิ้นออกมา
“ถุ้ย ถุ้ย ถุ้ย” ทว่าน้ำลายหนืดเหนียวกลับย้อยยืดออกมาจนตนเองจำต้องใช้หลังแขนปาดมันทิ้ง จานในมือหายวับไปในพริบตา
“มันก็แค่ภาพมายาที่ถูกปรุงแต่งจากความคุ้นเคยของนายเมื่อตอนมีชีวิต” สาริกากล่าว “แต่อย่าลืมว่าตอนนี้นายตายไปแล้ว ‘อาหาร’ ก็เป็นเพียงปัจจัยหนึ่งที่ทำให้วิญญาณอย่างนายรู้สึกอิ่มท้อง และมีเรี่ยวมีแรงต่อไปเท่านั้นไม่ได้มีความหมายอื่นใด รูป รส กลิ่น เสียง มันก็แค่ภาพลวงตาที่สะท้อนสิ่งที่นายอยากจะเห็น หรือคาดหวังให้มันเป็น เมื่อจิตไม่นิ่งก็ย่อมเลื่อนไหลไปตามความคิดไม่ใช่ความเป็นจริงและสลักสำคัญอะไรอีกต่อไปแล้ว”
“ภาพลวงตา อย่างนั้นเหรอ” ผมสำทับออกมา รู้สึกจุกในใจจนพูดไม่ออกก่อนจะก้าวเดินต่อ
“นายจะเสกมันมากินอีกก็ได้นะถ้านายต้องการ”
ผมส่ายศีรษะก่อนจะตอบปฏิเสธด้วยความผิดหวัง
“ไม่อ่ะ…”ผมกล่าวแล้วจึงถามต่อ “แล้วคุณล่ะ พวกเทวดานางฟ้าบนสวรรค์นั่นเค้าจะรู้สึกหิวเหมือนกันมั๊ย”
“พวกเราก็หิวได้เหมือนกันนะแต่พอตั้งจิตอธิษฐานแล้วก็หายหิวได้ทันทีซึ่งก็เหมือนกับไม่หิวนั่นแหละ ไม่จำเป็นต้องกินก็อยู่ได้นายคงเคยได้ยินคำว่าอิ่มทิพย์บ้างละมั้ง”
“อ่อใช่ อย่างนี้นี่เอง”
“พวกเทวดานางฟ้าน่ะอยู่เบื้องบนนั่นก็เพื่อเสวยสุขกับผลบุญที่เคยทำมา พอหมดบุญแล้วก็ลงมาเกิดใหม่แต่จะเป็นมนุษย์หรือตัวอะไรนั้น ก็แล้วแต่ท่านพญายมราชจะตัดสินความ”
“อืม…ผมเข้าใจแล้ว” ผมเปรยก่อนจะเดินคอตกตามหญิงสาวไป
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ