ปาฏิหาริย์โลกวิญญาณ (ได้รับการตีพิมพ์จากAmity Publishing แล้ว)
5.3
เขียนโดย watcharakarn
วันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 เวลา 12.10 น.
67 ตอน
3 วิจารณ์
40.25K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 23.09 น. โดย เจ้าของนิยาย
30) ดอกไม้ในใจ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความและบางครั้งในบางคราวของชีวิต…ผมก็ยังคงระลึกถึงเรื่องราวอันน่าตื่นเต้นในค่ำคืนนั้น การพบกันครั้งแรกระหว่างผมกับนุ่น ใบหน้าที่ตื่นกลัวและอาบน้ำตาของพี่เทิดศักดิ์ และภาพอันน่าประทับใจของเพื่อนๆ ที่เฮโลกันเข้ามาช่วยชีวิตผมไว้ได้ทันท่วงที เหตุการณ์ทั้งหมดนั้นยังคงติดตรึงอยู่ในใจของผมเสมอมา
จนในวันนี้เมื่อตนเองได้มีโอกาสกลับมาพบกับชายพิการผู้ยากไร้คนนี้อีกครั้ง และได้เห็นว่าอีกฝ่ายยังคงใช้ชีวิตอยู่โดยปกติสุขดี แค่นี้ผมก็ปลาบปลื้มชื่นใจแล้ว
“อ๊ะ…” ผมเผลออุทานเมื่อเห็นพี่เทิดศักดิ์ยกหลังมือขึ้นปาดเหงื่อก่อนที่แกจะใช้ปลายนิ้วป้อมๆ แตะแผลเป็นนูนขนาดเล็กที่ปรากฏอยู่ตรงเหนือหัวคิ้วด้านขวาแล้วลูบคลึงไปมาเบาๆ ราวกับกำลังคำนึงถึงอะไรบางอย่าง เพียงได้เห็นภาพนั้นเข้าจู่ๆ น้ำตาก็รินรื้นขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุ
“เค้าอาจจะกำลังนึกถึงวีรกรรมของนายอยู่ก็ได้นะ” สาริกาที่ยืนเยื้องอยู่ข้างหลังผมกล่าวแล้วจึงยิ้มละไม
“โธ่เอ้ยคุณมันก็แค่เรื่องเล็กน้อยไม่ใช่วีรกงวีรกรรมอะไรใหญ่โตหรอก” ผมตอบปัดด้วยความเก้อเขินแล้วจึงแทร้งทำเป็นขยี้ตากลบเกลื่อนม่านน้ำใสๆ ที่เอ่อท้นออกมาด้วยความตื้นตัน
“แต่ฉันเชื่อว่าเขาจะไม่มีวันลืมนาย” เธอกล่าวต่อพร้อมกับเดินก้าวขึ้นมาใกล้ “วิศรุฒิถ้าในวันนั้นนายกับเพื่อนๆ ไม่ได้เข้าไปช่วยเขาไว้ นายเคยคิดมั๊ยว่าเขาจะเป็นยังไง”
“นี่คุณหมายความว่า…” ผมย้อนถาม “คุณรู้เหรอว่าตอนนั้นพี่เขาจะต้อง…”
‘เป็นอะไรไปมากกว่านี้’
“ใช่…เขาน่าจะตายไปแล้ว” เธอตอบก่อนจะผินหน้ามามองผมที่หันไปฟังเจ้าหล่อนกล่าวอยู่พอดี สีหน้าของหญิงสาวในยามนี้ดูเรียบนิ่งภายใต้ท่าทีอันงามสง่า แสงสว่างจากเรือนกายขับผิวหล่อนให้ผ่องใสเปล่งประกาย แม้ไม่ได้แย้มยิ้มแต่เครื่องหน้าที่ได้รูปนั้นก็สวยหยาดเยิ้มเกินกว่าจะหาคำใดมาเปรียบเปรย หรือบรรยาย
“เพียงแต่นายช่วยเขาไว้ และทำให้ชายคนนี้ได้มีชีวิตอยู่เพื่อช่วยเหลือใครต่อใครอีกมากมาย…”
“บางครั้งสิ่งที่เราหยิบยื่นให้โดยไม่ตั้งใจก็สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของใครคนหนึ่งได้โดยไม่รู้ตัว” เธอพูดต่อ “…ความดีน่ะไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหนก็ล้วนยิ่งใหญ่สำหรับผู้ที่ได้รับเสมอแหละ”
“ผมว่าพี่แกชะตาคงยังไม่ถึงฆาตมากกว่า” ผมสันนิษฐาน มันคงไม่ได้เกี่ยวอะไรกับตัวผมด้วยหรอก
“พรหมบันดาล หรือฟ้าลิขิตมีส่วนแค่เพียงเศษเสี้ยวเดียวในชีวิตของเรา…ที่เหลือนั้นคือการตัดสินใจของตัวนายเอง…เหตุการณ์จำพวกนี้เป็นสิ่งที่เราใช้ทดสอบมนุษย์มานักต่อนักแล้ว หากแต่มีเพียงไม่กี่คนที่เลือกจะทำมัน ก้าวผ่านความกลัว ความเห็นแก่ตัว ไปสู่ความกล้าหาญอันยิ่งใหญ่” เธอกล่าวก่อนจะเบี่ยงหน้าไปมองพี่เทิดศักดิ์ที่ใช้ผ้าขี้ริ้วเช็ดเครื่องวิทยุสภาพเก่าคร่ำคร่าอย่างทะนุถนอมราวกับกำลังกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูเด็กน้อยด้วยการเช็ดเนื้อเช็ดตัว
ดวงตาของชายวัยกลางคนที่มองทอดลงไปนั้นฉายแววปิติสุขเผยรอยยิ้มอิ่มเอมอย่างที่ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าคนที่ขาดไร้ซึ่งอะไรหลายๆ อย่างในชีวิตเฉกเช่นแกจะมีได้
“การทำดีไม่เคยทำให้เราเสื่อมค่า และความดีนั้นไม่มีวันสูญสลาย อย่างน้อยที่สุดมันก็จะผลิบานงดงามอยู่ในใจของเราเอง…เพียงแต่มนุษย์มักคาดหวังในสิ่งที่เป็นรูปธรรม เห็นได้ จับต้องได้ หลายครั้งที่ความดีถูกตีค่าเป็นตัวเงิน วัตถุ สิ่งของ และกลับมาทำร้ายคนที่หลงงมงาย ทั้งๆ ที่มูลค่าของความดีแท้จริงแล้วยึดถือเอาความตั้งใจ และความบริสุทธิ์ของใจเป็นที่ตั้ง บางสิ่งบางอย่างมันก็ไม่สามารถเห็นได้ในชาติภพนี้หรอก”
นางฟ้าสาวกล่าวแล้วจึงวางมาดกอดอก “แต่เชื่อฉันเถอะว่า…สิ่งที่นายทำมาตลอดมันไม่ใช่แค่เรื่องเล็กน้อย มันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลยจริงๆ”
“คุณพูดอะไรผมไม่เห็นจะเข้าใจเลย” ถึงอย่างไรผมก็ยังคงงุนงงกับคำพูดเป็นนัยของอีกฝ่ายอยู่ดี
“พี่แอ้ดจ๋า พี่มานอนได้แล้ว น้องน้อยนอนอยู่คนเดียวน้องเปล่าเปลี่ยว มืดตื๊ดตื๋อน่ากลั๊วน่ากลัว” เสียงแหลมอ้อนออดของสตรีที่จู่ๆ ก็ดังขึ้นจากภายในม่านมุ้งที่ไหวพะเยิบทำให้ผมตกใจจนสะดุ้งโหยงเซถอยไปหานางฟ้าสาวแทบไม่ทัน
“โอ๊ย เป็นอะไรของนายเนี่ย?” สาริการ้องหน้าเหวอขึ้นมาทันใด “ขวัญอ่อนจริงนะ”
“ใครจะไปจิตแข็งเท่าคุณเล่า โธ่” ผมย้อนก่อนจะหันไปมองทางต้นเสียง
จากนั้นผู้หญิงในชุดเสื้อยืดคอย้วยสีอ่อนที่นอนอยู่ในมุ้งจึงชันตัวขึ้นมาแล้วเอ่ยปากบ่น
“เมื่อไหร่ไฟจะติดก็ไม่รู้เนอะพี่ นี่ก็ไฟดับเป็นชั่วโมงแล้วไม่เห็นจะมาสักที”
เท่าที่สังเกตเห็นจากตรงนี้ นางแน่งน้อยภรรยาของพี่เทิดศักดิ์นั้นไว้ผมดำยาวประบ่า ใบหน้าเล็กเรียว คางแหลมรูปร่างกะทัดรัดแบบบางผิดกับหุ่นของสามีราวไม้ซีกกับถังน้ำมัน ส่วนหน้าตาของเจ้าตัวผมเห็นไม่ถนัดชัดเจนนักเพราะมีผ้ามุ้งบังไว้อยู่ ที่เห็นอะไรต่างๆ ได้ก็เพราะแสงจากเรือนกายของนางฟ้าสาวนั่นแหละที่ยังคงความสว่างได้อย่างดีเยี่ยม
จนในวันนี้เมื่อตนเองได้มีโอกาสกลับมาพบกับชายพิการผู้ยากไร้คนนี้อีกครั้ง และได้เห็นว่าอีกฝ่ายยังคงใช้ชีวิตอยู่โดยปกติสุขดี แค่นี้ผมก็ปลาบปลื้มชื่นใจแล้ว
“อ๊ะ…” ผมเผลออุทานเมื่อเห็นพี่เทิดศักดิ์ยกหลังมือขึ้นปาดเหงื่อก่อนที่แกจะใช้ปลายนิ้วป้อมๆ แตะแผลเป็นนูนขนาดเล็กที่ปรากฏอยู่ตรงเหนือหัวคิ้วด้านขวาแล้วลูบคลึงไปมาเบาๆ ราวกับกำลังคำนึงถึงอะไรบางอย่าง เพียงได้เห็นภาพนั้นเข้าจู่ๆ น้ำตาก็รินรื้นขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุ
“เค้าอาจจะกำลังนึกถึงวีรกรรมของนายอยู่ก็ได้นะ” สาริกาที่ยืนเยื้องอยู่ข้างหลังผมกล่าวแล้วจึงยิ้มละไม
“โธ่เอ้ยคุณมันก็แค่เรื่องเล็กน้อยไม่ใช่วีรกงวีรกรรมอะไรใหญ่โตหรอก” ผมตอบปัดด้วยความเก้อเขินแล้วจึงแทร้งทำเป็นขยี้ตากลบเกลื่อนม่านน้ำใสๆ ที่เอ่อท้นออกมาด้วยความตื้นตัน
“แต่ฉันเชื่อว่าเขาจะไม่มีวันลืมนาย” เธอกล่าวต่อพร้อมกับเดินก้าวขึ้นมาใกล้ “วิศรุฒิถ้าในวันนั้นนายกับเพื่อนๆ ไม่ได้เข้าไปช่วยเขาไว้ นายเคยคิดมั๊ยว่าเขาจะเป็นยังไง”
“นี่คุณหมายความว่า…” ผมย้อนถาม “คุณรู้เหรอว่าตอนนั้นพี่เขาจะต้อง…”
‘เป็นอะไรไปมากกว่านี้’
“ใช่…เขาน่าจะตายไปแล้ว” เธอตอบก่อนจะผินหน้ามามองผมที่หันไปฟังเจ้าหล่อนกล่าวอยู่พอดี สีหน้าของหญิงสาวในยามนี้ดูเรียบนิ่งภายใต้ท่าทีอันงามสง่า แสงสว่างจากเรือนกายขับผิวหล่อนให้ผ่องใสเปล่งประกาย แม้ไม่ได้แย้มยิ้มแต่เครื่องหน้าที่ได้รูปนั้นก็สวยหยาดเยิ้มเกินกว่าจะหาคำใดมาเปรียบเปรย หรือบรรยาย
“เพียงแต่นายช่วยเขาไว้ และทำให้ชายคนนี้ได้มีชีวิตอยู่เพื่อช่วยเหลือใครต่อใครอีกมากมาย…”
“บางครั้งสิ่งที่เราหยิบยื่นให้โดยไม่ตั้งใจก็สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของใครคนหนึ่งได้โดยไม่รู้ตัว” เธอพูดต่อ “…ความดีน่ะไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหนก็ล้วนยิ่งใหญ่สำหรับผู้ที่ได้รับเสมอแหละ”
“ผมว่าพี่แกชะตาคงยังไม่ถึงฆาตมากกว่า” ผมสันนิษฐาน มันคงไม่ได้เกี่ยวอะไรกับตัวผมด้วยหรอก
“พรหมบันดาล หรือฟ้าลิขิตมีส่วนแค่เพียงเศษเสี้ยวเดียวในชีวิตของเรา…ที่เหลือนั้นคือการตัดสินใจของตัวนายเอง…เหตุการณ์จำพวกนี้เป็นสิ่งที่เราใช้ทดสอบมนุษย์มานักต่อนักแล้ว หากแต่มีเพียงไม่กี่คนที่เลือกจะทำมัน ก้าวผ่านความกลัว ความเห็นแก่ตัว ไปสู่ความกล้าหาญอันยิ่งใหญ่” เธอกล่าวก่อนจะเบี่ยงหน้าไปมองพี่เทิดศักดิ์ที่ใช้ผ้าขี้ริ้วเช็ดเครื่องวิทยุสภาพเก่าคร่ำคร่าอย่างทะนุถนอมราวกับกำลังกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูเด็กน้อยด้วยการเช็ดเนื้อเช็ดตัว
ดวงตาของชายวัยกลางคนที่มองทอดลงไปนั้นฉายแววปิติสุขเผยรอยยิ้มอิ่มเอมอย่างที่ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าคนที่ขาดไร้ซึ่งอะไรหลายๆ อย่างในชีวิตเฉกเช่นแกจะมีได้
“การทำดีไม่เคยทำให้เราเสื่อมค่า และความดีนั้นไม่มีวันสูญสลาย อย่างน้อยที่สุดมันก็จะผลิบานงดงามอยู่ในใจของเราเอง…เพียงแต่มนุษย์มักคาดหวังในสิ่งที่เป็นรูปธรรม เห็นได้ จับต้องได้ หลายครั้งที่ความดีถูกตีค่าเป็นตัวเงิน วัตถุ สิ่งของ และกลับมาทำร้ายคนที่หลงงมงาย ทั้งๆ ที่มูลค่าของความดีแท้จริงแล้วยึดถือเอาความตั้งใจ และความบริสุทธิ์ของใจเป็นที่ตั้ง บางสิ่งบางอย่างมันก็ไม่สามารถเห็นได้ในชาติภพนี้หรอก”
นางฟ้าสาวกล่าวแล้วจึงวางมาดกอดอก “แต่เชื่อฉันเถอะว่า…สิ่งที่นายทำมาตลอดมันไม่ใช่แค่เรื่องเล็กน้อย มันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลยจริงๆ”
“คุณพูดอะไรผมไม่เห็นจะเข้าใจเลย” ถึงอย่างไรผมก็ยังคงงุนงงกับคำพูดเป็นนัยของอีกฝ่ายอยู่ดี
“พี่แอ้ดจ๋า พี่มานอนได้แล้ว น้องน้อยนอนอยู่คนเดียวน้องเปล่าเปลี่ยว มืดตื๊ดตื๋อน่ากลั๊วน่ากลัว” เสียงแหลมอ้อนออดของสตรีที่จู่ๆ ก็ดังขึ้นจากภายในม่านมุ้งที่ไหวพะเยิบทำให้ผมตกใจจนสะดุ้งโหยงเซถอยไปหานางฟ้าสาวแทบไม่ทัน
“โอ๊ย เป็นอะไรของนายเนี่ย?” สาริการ้องหน้าเหวอขึ้นมาทันใด “ขวัญอ่อนจริงนะ”
“ใครจะไปจิตแข็งเท่าคุณเล่า โธ่” ผมย้อนก่อนจะหันไปมองทางต้นเสียง
จากนั้นผู้หญิงในชุดเสื้อยืดคอย้วยสีอ่อนที่นอนอยู่ในมุ้งจึงชันตัวขึ้นมาแล้วเอ่ยปากบ่น
“เมื่อไหร่ไฟจะติดก็ไม่รู้เนอะพี่ นี่ก็ไฟดับเป็นชั่วโมงแล้วไม่เห็นจะมาสักที”
เท่าที่สังเกตเห็นจากตรงนี้ นางแน่งน้อยภรรยาของพี่เทิดศักดิ์นั้นไว้ผมดำยาวประบ่า ใบหน้าเล็กเรียว คางแหลมรูปร่างกะทัดรัดแบบบางผิดกับหุ่นของสามีราวไม้ซีกกับถังน้ำมัน ส่วนหน้าตาของเจ้าตัวผมเห็นไม่ถนัดชัดเจนนักเพราะมีผ้ามุ้งบังไว้อยู่ ที่เห็นอะไรต่างๆ ได้ก็เพราะแสงจากเรือนกายของนางฟ้าสาวนั่นแหละที่ยังคงความสว่างได้อย่างดีเยี่ยม
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ