ปาฏิหาริย์โลกวิญญาณ (ได้รับการตีพิมพ์จากAmity Publishing แล้ว)

5.3

เขียนโดย watcharakarn

วันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 เวลา 12.10 น.

  67 ตอน
  3 วิจารณ์
  40.59K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 23.09 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

29) หยดน้ำตาและคำขอบคุณ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
แม้จะนั่งอยู่ภายใต้แสงจากหลอดไฟสีขาวสว่างจ้าที่ส่องทอดถึงกันไปทั่วบริเวณด้านล่างของตัวอาคาร ‘อุบัติเหตุ-ฉุกเฉิน’ แต่บรรยากาศของโรงพยาบาลในยามนี้ก็ดูวังเวง เงียบเหงาเสียเหลือเกิน
 
ผมยังคงเฝ้ารอชายพิการแปลกหน้าคนนั้นโดยมีเพื่อนร่างผอมในชุดสีส้มนั่งปิดปากหาวหวอดๆ อยู่ด้านข้าง ฆ่าเวลาด้วยการมองคนนั้นทีคนนู้นทีด้วยไม่รู้ว่าจะทำสิ่งใดที่ดีไปกว่านี้ได้ ภาพของโรงพยาบาลยามดึกสงัดที่มีผู้คนโหรงเหรงบางตาช่างดูแตกต่างจากช่วงเวลากลางวันที่มักคลาคล่ำไปด้วยฝูงชนและคนเจ็บไข้ได้ป่วยราวกับความมืดได้กลืนกินความวุ่นวายจอแจเหล่านั้นให้ลับหายไปด้วยกระนั้นแหละ
 
นั่น…
 
บุรุษและนางพยาบาลประจำเวรกลางคืนกำลังเดินสวนกันไปมาด้วยท่าทางรีบเร่ง ถัดไปทางด้านหลังเคาท์เตอร์หมายเลขสี่เจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินรูปร่างเจ้าเนื้อไว้ผมดัดเป็นลอนตรงช่วงปลายผมในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวคอปกสวมทับด้วยสูทลำลองสีดำได้แต่นั่งหน้าเงื่องหงอยชันแขนเท้าคางกับพื้นโต๊ะอย่างเซ็งๆ เช่นเดียวกับเภสัชกรหญิงรูปร่างผอมเพรียวผิวพรรณดี ล็อกข้างๆ ที่จับเจ่าอยู่กับการคีย์ข้อมูลดังก็อกๆ แก็กๆ หน้าจอคอมพิวเตอร์รุ่นเก่า สีหน้าเหนื่อยหน่ายที่แสดงออกมาอย่างเปิดเผยทำให้รู้ว่าเธอเองคงไม่ปรารถนาจะมาทำงานกะดึกแบบนี้สักเท่าไหร่
 
 จากนั้นผมจึงเลื่อนสายตาทอดมองเข้าไปในบานประตูนั่น เจ้าหน้าที่สองสามคนยังคงกระวีกระวาดอยู่กับการลากเตียงรถเข็นซึ่งมีผู้บาดเจ็บรายใหม่ดูท่าจะเป็นพวกเด็กแว๊นซึ่งพลาดท่าประสบอุบัติเหตุมาจนหัวร้างค่างแตกนอนไม่ได้สติเข้าห้องผ่าตัด ก่อนหน้านี้ไม่นานก็มีคุณลุงท่านหนึ่งถูกพาเข้าไปทำ CPR (การช่วยฟื้นคืนชีพ) อยู่ก่อนแล้ว ฟังความจากเสียงลูกหลานของแกที่ดังแว่วมาพร้อมเสียงร่ำไห้สะอึกสะอื้นผ่านทางปลายสายโทรศัพท์ก็พอจับใจความได้ว่าชายชราลื่นล้มในห้องน้ำแล้วหมดสติไป
 
ในเวลานั้นเป็นช่วงเวลาหนึ่งที่ทำให้ผมได้ตระหนักถึงอะไรบางอย่าง…
 
จะว่าไปแล้วคงไม่มีใครรู้ได้หรอกว่าชีวิตของตนมันจะไปสิ้นสุดลงที่ตรงไหน ทุกๆ วันเราต่างใช้ชีวิตด้วยความไม่รู้ และหลงระเริงไปว่ายังคงสามารถใช้ลมหายใจที่เปลืองเปล่าเหล่านั้นได้อีกยาวนาน อย่างน้อยที่สุดก็คงจนกว่าความแก่เฒ่าจะมาเยือน เมื่อผมขาวโพลน ผิวหนังเหี่ยวย่น ดวงตาฝ้าฟาง ไร้เรี่ยวแรง นั่นแหละ ถึงได้ตระหนักถึงความตายและการสร้างบุญสร้างกุศล
 
ซึ่งสำหรับใครบางคนแล้วมันก็อาจสายเกินไป…
 
“ดีนะที่นายไม่เป็นอะไร ตอนแรกที่เราเห็นมันชักมีดออกมานึกว่านายจะแย่แล้วซะอีก” ถ้อยคำเป็นห่วงเป็นใยของเพื่อนร่างผอมกรอดสวมแว่นกรอบหนาทำให้ผมตื่นจากภวังค์รีบละสายตาจากบานประตูเบื้องหน้าแล้วก้มศีรษะลงมองพุงน้อยๆ ใต้เนื้อผ้าสีเข้มขรึมพร้อมกับเลื่อนมือขวามากุมหน้าท้องตนเอง เมื่อหวนนึกไปถึงเหตุการณ์อันน่าระทึกก่อนหน้านี้แล้วก็พลันเสียววาบกลัวจนไม่กล้าจินตนาการต่อว่าหากปลายมีดแหลมพุ่งเสียบเข้ามาทะลุเนื้อหนังอ่อนๆ นี้เสียจนมิดด้ามตนเองจะเป็นเช่นไร
 
ถึงตอนนั้นผมคงได้แต่ทำปากจู๋ตาเหลือกค้างแล้วขาดใจตายไปก่อนได้ทันบอกลาโลกนี้แหง
 
‘มนุษย์หนอมนุษย์ช่างอ่อนแอและเปราะบางเหลือเกิน’
 
หลังจากผ่านการตรวจรักษา ไม่นานนักชายพิการแปลกหน้าก็มานั่งร้องไห้น้ำตาเป็นเผาเต่าอยู่ข้างๆ ผมบนเก้าอี้แถวพลาสติกสีฟ้าหน้าเคาท์เตอร์จ่ายยาโดยมีไอ้ชาญยศนั่งปลอบขวัญอยู่อีกด้านหนึ่ง
 
“ฮือๆ ผมน่าจะเชื่ออีน้อยมัน มันเตือนผมแล้วว่าให้รีบกลับบ้านแต่ผมไม่ยอมเชื่อมันฮือๆ” พี่เทิดศักดิ์คร่ำครวญพลางยกแขนเสื้อผ้าร่มปาดน้ำตาที่เปื้อนเปรอะอยูเต็มหน้าอันอวบอูม เหนือหางคิ้วขวามีผ้าก๊อซและแผ่นสำลีสีขาวปิดอยู่ มุมปากที่แตกถูกแต้มด้วยยาแดง เบ้าตาซ้ายปรากฏรอยฟกช้ำดำเขียว
 
แม้จะบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยแต่แกก็ฟูมฟายเหมือนมีญาติคนสนิทแดดิ้นอยู่ตรงหน้า ปากก็เอาแต่พร่ำโทษตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนผมกลับเป็นฝ่ายอายแทน
 
“ฮือๆๆ…”
 
‘จะร้องไห้อะไรกันนักหนานะลุง คนเขามองมาทางนี้กันหมดแล้ว’ ผมบริภาษในใจเมื่อเห็นคนอื่นๆ พากันจับจ้องมาที่พวกเราเป็นตาเดียวก่อนจะเหลือบไปทางเพื่อนด้วยสีหน้าอึกอัก และมันคงจะอ่านท่าทีอิหลักอิเหลื่อของผมออกจึงรีบกล่าวตัดบทขึ้นมาทันใด
 
“ผมว่าเรารีบกลับกันดีกว่าครับ นี่มันก็จะตีสองแล้วบ้านพี่อยู่ไหนครับเดี๋ยวผมกับเพื่อนไปส่ง” ชาญยศบอกแล้วรวบไม้ค้ำยันที่พาดอยู่กับเก้าอี้ข้างๆ ไว้ในอ้อมแขนก่อนจะลุกพรวดขึ้น
 
แวบหนึ่ง…ผมเสมองไปยังช่วงขาเทียมสีเนื้อซึ่งสวมครอบตั้งแต่ช่วงเข่าของชายพิการลงมาแล้วก็นึกสงสาร แกคงจะใช้ชีวิตอย่างยากลำบากน่าดูที่ต้องไปไหนมาไหนโดยแบกท่อนอะลูมิเนียมหนักอึ่งนี้ไปด้วย สองแขนก็ต้องคอยหนีบไม้ค้ำพยุงตัวไว้ไม่ให้ล้มคะมำอยู่ตลอดเวลา ถ้าผมตกอยู่ในสภาพเช่นนี้คงทุกข์ทรมานใจจนแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่ คิดแล้วก็โกรธแทนแกที่ต้องมาเจอกับไอ้พวกมนุษย์ใจทรามต่ำช้าที่ข่มเหงได้แม้กระทั่งผู้ทุพพลภาพ
 
“ค่อยๆ นะครับพี่” ผมบอกด้วยความห่วงใยขณะที่ชายร่างท้วมพาดแขนซ้ายกดทับลงมาตรงไหล่ผมเพื่อดึงตนเองให้ลุกยืนขึ้นก่อนที่แกจะเอ่ยปากปฏิเสธด้วยท่าทีเกรงใจ
 
“ไม่เป็นไรหรอกครับมันดึกมากแล้วผมกลับเองได้ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนั่งแท็กซี่หน้าโรง’บาลนี้ไปเดี๋ยวเดียวก็ถึง แค่นี้ผมก็ไม่รู้จะตอบแทนพวกคุณยังไงดีแล้ว” พี่เทิดศักดิ์กล่าวเสียงสั่นเครือ น้ำตาพร่าพราย เม็ดเหงื่อพราวพรั่งเต็มใบหน้าสีน้ำตาลคล้ำก่อนเจ้าตัวจะเบะปากทำหน้าเหยเกเสมือนมีก้อนสะอื้นแล่นจุกขึ้นมาตรงคอหอยแต่แกก็สูดน้ำมูกดังซื้ดสกัดกั้นอารมณ์อัดอั้นตันอกไว้ได้ทัน
 
 “ฮึก…ฮึก…ขอบคุณนะครับ ขอบคุณจริงๆ” ชายวัยกลางคนกล่าวพร้อมกับส่งแววตาแห่งความซาบซึ้งใจกลับมา แม้จะเป็นเพียงถ้อยคำขอบคุณสั้นๆ แต่ก็ทำให้ผมตื้นตันเป็นที่สุด
 
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

ชอบอ่านนิยายแนวไทยๆ กันมั๊ย

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา