ปาฏิหาริย์โลกวิญญาณ (ได้รับการตีพิมพ์จากAmity Publishing แล้ว)
5.3
เขียนโดย watcharakarn
วันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 เวลา 12.10 น.
67 ตอน
3 วิจารณ์
41.91K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 23.09 น. โดย เจ้าของนิยาย
26) การตัดสินใจ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความภายใต้แสงสลัวรางจากดวงไฟหลากสีที่สาดส่องเข้ามาในตรอกแคบๆ ยาวลึกเข้าไปประมาณยี่สิบเมตรซึ่งเชื่อมทะลุระหว่างถนนด้านหน้ากับถนนด้านหลังแต่เพียงรำไรและกลิ่นเหม็นคลุ้งจากเศษขยะสดและอาหารเน่าเปื่อยที่ลอยลมมาปะทะจมูกเสียจนต้องเบือนหน้าหนี
ผมเห็นวัยรุ่นชายร่างผอมสูงไล่เลี่ยกันกับตนเองสองคนกำลังเหวี่ยงเท้าใส่ชายผู้เคราะห์ร้ายที่ได้แต่นอนร้องโอดโอยอยู่ในมุมมืดข้างถังขยะเทศบาลใบใหญ่และกองปฏิกูลดังผัวะ ผัวะซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างป่าเถื่อนราวกับเห็นอีกฝ่ายเป็นแค่ลูกบอลไว้เตะอัดกำแพงเล่น
“เอาไงดีวะมึง?” แฉ่งถามความเห็นสีหน้าตาตื่น ขณะที่พวกเราทั้งสี่พากันจดจ้องเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยใจระทึก
“รีบไปห้ามดิเดี๋ยวแม่งก็ตายห่าซะก่อนหรอก” ผมบอกเสียงร้อนรน
“กูว่าพวกมึงอย่าแส่ดีกว่าวะ เรื่องของชาวบ้านไอ้เชรี้ยนั่นมันอาจติดค่าเหล้าก็ได้นะมึงเลยโดนลากมาแดกยำตีนแบบนี้” โต้งสันนิษฐาน
“ยอมแล้ว ยอมแล้ว เอาไป เอาไปให้หมด” เสียงอ้อนวอนของผู้ถูกกระทำยังคงดังแว่วมาชวนให้สลดสังเวชใจ แม้ผมจะพยายามชะเง้อชะแง้แลมองเพียงใดแต่ก็ถูกกองขยะริมกำแพงบังร่างชายผู้น่าสงสารนั้นไว้เสียมิด
“ยังไงก็ต้องไปช่วยเค้า” ผมยืนกรานเสียงแข็งตั้งท่าจะเข้าไปช่วยแต่ก็ถูกชาญยศที่สวมเสื้อโปโลสีส้มอิฐสาบตรงคอเป็นสีขาวรั้งแขนเอาไว้แล้วจึงออกปากเตือนเสียงหวั่นหวาดว่า
“ย้ง เราว่าอย่าเลยนายไม่รู้เหรอว่าแถวนี้น่ะมันมีพวกอันธพาลด้วยนะ”
“จะกลัวไรกันวะพวกมันมีแค่สองคนแต่พวกเรามีตั้งแปดมือแปดตีน” ผมโต้เสียงฉุนด้วยความหงุดหงิดไม่เข้าใจว่าทำไมแต่ละคนถึงมีท่าทีละล้าละลังตามๆ กันไปหมด
“ตะตะแต่ถ้าพวกนั้นมันมีปืนล่ะ” ชาญยศยังคงทักท้วงหน้าซีดปากคอสั่น ท่าทีปอดแหกของมันมองแล้วขวางหูขวางตาผมชะมัด พิโธ่เอ้ย…ประเมินจากสายตาก็น่าจะรู้แล้วว่าไอ้สองคนนั้นมันก็แค่กุ๊ยข้างถนนธรรมดา
“ไอ้ชาญยศมันพูดถูกนะ มึงมันชอบทำอะไรบุ่มบ่ามเดี๋ยวก็รนหาที่ไปตายฟรีซะเปล่าๆ” แฉ่งเสริม
ณ วินาทีนั้นผมรู้สึกแปลกแยกราวกับว่าตนเองกำลังยืนฟังคำทัดทานจากทุกคนให้รีบผละไปจากที่นี่เสียโดยเร็ว โดยไม่มีใครแม้สักคนจะคำนึงถึงชายผู้ถูกทำร้ายเลยสักนิด
‘ทำไมกัน…กับการช่วยใครสักคน คนเราถึงสร้างข้ออ้างต่างๆ นานาให้แก่ตนเองได้มากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ’ ผมคิดอย่างขับข้องใจ
ยากเย็นแสนเข็ญขนาดนั้นเลยสินะ…
“กูว่าอย่าไปยุ่งแม่งเลย เดี๋ยวเค้าจะหาว่าเสือกไปเหอะกูไม่อยากมีเรื่องว่ะแดกเหล้ากัน” ถ้อยคำมักง่ายของเพื่อนร่างสูงที่ก้องเข้ามาในหูทำให้ขีดความอดทนของผมหมดลง
“หึ๋ยยย!” ความโกรธที่พุ่งจี๊ดขึ้นมาแทนที่พาให้ผมปรี่เข้าไปกระชากคอเสื้อมันดึงเข้ามาอย่างแรงด้วยขาดสติ ก่อนที่ตนเองจะตะคอกใส่หน้ามันอย่างเหลืออดว่า
“ไอ้โต้งกูถามมึงจริงๆ ถ้าตอนนี้คนที่ถูกกระทืบอยู่คือมึง มึงจะยังมีหน้ามาพูดแบบนี้อีกรึเปล่าวะ นี่มันเรื่องคอขาดบาดตายนะเว้ย”
ทว่าคนฟังกลับไม่มีท่าทีสะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อยหากแต่ยังทำเป็นประชดประชันกลับมาเสียด้วยซ้ำ
“หึ…” อีกฝ่ายส่งเสียงเป็นเชิงเยาะหยันออกมาเบาๆ พร้อมกับจ้องเขม็งมาด้วยแววตาดูแคลน “ถ้ามึงอยากเป็นพระเอกนักละก็ไปเองดิ กูไม่ไปกับมึงหรอก เอาให้เต็มที่เลยนะกูเอาใจช่วย”
“เฮ้ยนี่ไม่ใช่เวลาที่พวกมึงสองตัวจะมากัดกันนะไอ้ห่า” แฉ่งปรามพร้อมกับเอาตัวอ้วนหนาราวกับหมีของมันเข้ามาแทรกกลาง แต่ตนเองที่ยังไม่คลายโกรธจึงตวาดกลับเพื่อนใจดำไปเสียงสั่น
“เออ…ไอ้เชรี้ย” ผมเห็นมันอึ้งไปเล็กน้อย คงเพราะไม่เคยได้ยินผมใช้คำผรุสวาทกับมันแบบนี้มาก่อน แต่ช่างปะไร…ผมรีบละสายตาจากใบหน้าขาวๆ นั่นด้วยความหมันไส้ก่อนจะผละจากกลุ่มเพื่อนแล้ววิ่งตรงเข้าไปในตรอกด้วยใจร้อนรน รองเท้าผ้าใบเหยียบย่ำน้ำครำตามพื้นผิวถนนอันสึกกร่อนกระเซ็นเปรอะขากางเกงตัวเก่งแต่ก็ไม่ได้ก้มมองเนื่องด้วยในหัวนึกถึงแต่จะเข้าไประงับเหตุการณ์รุนแรงนั้นเพียงอย่างเดียว
“ให้มาดีๆ ตั้งแต่แรกก็หมดเรื่อง แล้วอย่าให้พวกกูเห็นมึงมาหากินแถวนี้อีกนะไอ้เป๋ไม่งั้นมึงเละ” เสียงขู่ของชายวัยรุ่นหนึ่งในสองคนดังกร้าวอย่างเหิมเกริม ในมือมีธนบัตรสีเขียวสีแดงหลายใบที่กรรโชกมาได้กำไว้เป็นหลักฐาน
เท่าที่สังเกตพวกมันสองคนใส่เสื้อเชิ้ตผ้าบางตัวโคร่งกางเกงยีนเก่า เข่าขาด เนื้อผ้าลุ่ย ผมเผ้ารุงรัง ใบหน้าตอบไร้ราศี ผอมแห้งผิวคล้ำดูมอซอราวกับพวกขี้ยากระนั้นแหละ ต่างกันก็ตรงที่ไอ้ตัวหัวโจกซึ่งกำลังคลี่แบงก์ออกมานับเฉิบๆ อยู่นั่นสวมรองเท้าผ้าใบ ส่วนอีกคนซึ่งยืนคุมเชิงอยู่ใกล้ๆ ใส่รองเท้าแตะ
“เฮ้ยทำไรกันวะ?!” ผมโพล่งออกไปทันทีที่วิ่งมาถึงห่างจากพวกมันไปไม่กี่ก้าว พอปราดตามองไปที่ข้างถังขยะก็มีอันต้องใจหล่นวูบเมื่อเห็นร่างของชายหุ่นท้วมผิวคล้ำในชุดเสื้อแจ็คเก็ตผ้าร่มแขนยาวสีกรมท่าขลิบเหลืองดูซีดๆ โทรมๆ กับกางเกงวอร์มขาสั้นสีดำแถบขาวเผยให้เห็นขาเทียมด้านขวานอนกองกับพื้นเนื้อตัวสกปรกมอมแมมโดยมีไม้ค้ำยันคู่กายล้มพาดแข้งเกยขาดูน่าเวทนาอยู่อย่างนั้น
แสงไฟที่สาดส่องเข้ามาจากปากทางอีกด้านหนึ่งพอจะทำให้ผมแลเห็นรอยฟกช้ำดำเขียวบนดวงหน้ากลม โลหิตแดงฉานไหลอาบจากหัวคิ้วซ้ายลงมาเปรอะหน้าและดวงตาโตที่กำลังกะพริบปรืออย่างอิดโรย พอมองไปที่ปากก็เห็นเลือดกบอยู่เต็มไปหมดชวนให้ตกตะลึงและสะเทือนใจยิ่งนัก
“ชะชะช่วยผม ผม…” เสียงของชายผู้เคราะห์ร้ายดังวิงวอนอย่างน่าสงสาร
“นี่มึงทำได้แม้กระทั้งคนพิการเหรอวะไอ้พวกจัญไร” ผมแผดเสียงใส่ด้วยอารมณ์เดือดดาล ร่างผอมสั่นเทิ้มทั้งโกรธทั้งกลัวในคราวเดียวกัน หัวใจหรือก็เต้นตูมตามโครมครามปานจะหลุดผลั่วะออกมาจากอกเสียให้ได้
ไอ้กุ๊ยสองตัวนั่นหันขวั่บมาทันใด ตำแหน่งยืนที่หันหลังบังแสงไฟทำให้ผมเห็นหน้าค่าตาพวกมันไม่ถนัดนัก แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่ทำให้ขนทั่วสรรพางค์กายลุกซู่ชูชันขึ้นมาด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง
“แล้วมึงมาเสือกอะไรกับพวกกู อยากเจอดีใช่มั๊ย” ชายที่อยู่ใกล้ผมที่สุดกล่าวท้าทาย ผมเริ่มขวัญเสียสังหรณ์ ร้ายถึงภัยที่กำลังมาถึงตัว
“ถะถ้าไม่อยากเจ็บตะตะตัวก็ไสหัวไปซะ ไม่งั้นกูเอาจริงนะ…เว้ย” ผมแทร้งทำเป็นปากกล้าขู่มันกลับไปบ้าง พร้อมกับถลกแขนเสื้อโชว์กล้ามแขนลีบๆ วางฟอรม์เตรียมสาวหมัดสอนมวยอีกฝ่ายเต็มที่ แต่ไม่ทันได้ตั้งตัวไอ้กุ๊ยอีกคนก็รี่เข้ามาล็อกแขนผมไพล่ไว้ข้างหลัง จมูกได้กลิ่นสาบเหล้าและเหงื่อไคลเหม็นคลุ้งจากกายมันจนแทบจะอาเจียน
“เฮ้ยๆ อะไรวะ!” ผมร้องอย่างตระหนกตกใจฉี่แทบราดนึกไม่ถึงว่าจะเสียท่าอีกฝ่ายง่ายดายเช่นนี้
“พะพะพวกมึงจะทำอะไร” ความกลัวทำให้ร่างของผมสั่นเทิ้มและเกิดอาการลิ้นอ่อนกะปลกกะเปลี้ยขึ้นมาดื้อๆ และที่ทำให้ตนเองเข่าอ่อนยวบแทบล้มทั้งยืนในนาทีต่อมาก็เมื่อสายตาพลันเหลือบไปเห็นมีดพกขนาดเล็กในมือข้างขวาของชายแปลกหน้าซึ่งกำลังยืนจังก้าอยู่ข้างหน้าผมนั่นเอง
ผมเห็นวัยรุ่นชายร่างผอมสูงไล่เลี่ยกันกับตนเองสองคนกำลังเหวี่ยงเท้าใส่ชายผู้เคราะห์ร้ายที่ได้แต่นอนร้องโอดโอยอยู่ในมุมมืดข้างถังขยะเทศบาลใบใหญ่และกองปฏิกูลดังผัวะ ผัวะซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างป่าเถื่อนราวกับเห็นอีกฝ่ายเป็นแค่ลูกบอลไว้เตะอัดกำแพงเล่น
“เอาไงดีวะมึง?” แฉ่งถามความเห็นสีหน้าตาตื่น ขณะที่พวกเราทั้งสี่พากันจดจ้องเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยใจระทึก
“รีบไปห้ามดิเดี๋ยวแม่งก็ตายห่าซะก่อนหรอก” ผมบอกเสียงร้อนรน
“กูว่าพวกมึงอย่าแส่ดีกว่าวะ เรื่องของชาวบ้านไอ้เชรี้ยนั่นมันอาจติดค่าเหล้าก็ได้นะมึงเลยโดนลากมาแดกยำตีนแบบนี้” โต้งสันนิษฐาน
“ยอมแล้ว ยอมแล้ว เอาไป เอาไปให้หมด” เสียงอ้อนวอนของผู้ถูกกระทำยังคงดังแว่วมาชวนให้สลดสังเวชใจ แม้ผมจะพยายามชะเง้อชะแง้แลมองเพียงใดแต่ก็ถูกกองขยะริมกำแพงบังร่างชายผู้น่าสงสารนั้นไว้เสียมิด
“ยังไงก็ต้องไปช่วยเค้า” ผมยืนกรานเสียงแข็งตั้งท่าจะเข้าไปช่วยแต่ก็ถูกชาญยศที่สวมเสื้อโปโลสีส้มอิฐสาบตรงคอเป็นสีขาวรั้งแขนเอาไว้แล้วจึงออกปากเตือนเสียงหวั่นหวาดว่า
“ย้ง เราว่าอย่าเลยนายไม่รู้เหรอว่าแถวนี้น่ะมันมีพวกอันธพาลด้วยนะ”
“จะกลัวไรกันวะพวกมันมีแค่สองคนแต่พวกเรามีตั้งแปดมือแปดตีน” ผมโต้เสียงฉุนด้วยความหงุดหงิดไม่เข้าใจว่าทำไมแต่ละคนถึงมีท่าทีละล้าละลังตามๆ กันไปหมด
“ตะตะแต่ถ้าพวกนั้นมันมีปืนล่ะ” ชาญยศยังคงทักท้วงหน้าซีดปากคอสั่น ท่าทีปอดแหกของมันมองแล้วขวางหูขวางตาผมชะมัด พิโธ่เอ้ย…ประเมินจากสายตาก็น่าจะรู้แล้วว่าไอ้สองคนนั้นมันก็แค่กุ๊ยข้างถนนธรรมดา
“ไอ้ชาญยศมันพูดถูกนะ มึงมันชอบทำอะไรบุ่มบ่ามเดี๋ยวก็รนหาที่ไปตายฟรีซะเปล่าๆ” แฉ่งเสริม
ณ วินาทีนั้นผมรู้สึกแปลกแยกราวกับว่าตนเองกำลังยืนฟังคำทัดทานจากทุกคนให้รีบผละไปจากที่นี่เสียโดยเร็ว โดยไม่มีใครแม้สักคนจะคำนึงถึงชายผู้ถูกทำร้ายเลยสักนิด
‘ทำไมกัน…กับการช่วยใครสักคน คนเราถึงสร้างข้ออ้างต่างๆ นานาให้แก่ตนเองได้มากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ’ ผมคิดอย่างขับข้องใจ
ยากเย็นแสนเข็ญขนาดนั้นเลยสินะ…
“กูว่าอย่าไปยุ่งแม่งเลย เดี๋ยวเค้าจะหาว่าเสือกไปเหอะกูไม่อยากมีเรื่องว่ะแดกเหล้ากัน” ถ้อยคำมักง่ายของเพื่อนร่างสูงที่ก้องเข้ามาในหูทำให้ขีดความอดทนของผมหมดลง
“หึ๋ยยย!” ความโกรธที่พุ่งจี๊ดขึ้นมาแทนที่พาให้ผมปรี่เข้าไปกระชากคอเสื้อมันดึงเข้ามาอย่างแรงด้วยขาดสติ ก่อนที่ตนเองจะตะคอกใส่หน้ามันอย่างเหลืออดว่า
“ไอ้โต้งกูถามมึงจริงๆ ถ้าตอนนี้คนที่ถูกกระทืบอยู่คือมึง มึงจะยังมีหน้ามาพูดแบบนี้อีกรึเปล่าวะ นี่มันเรื่องคอขาดบาดตายนะเว้ย”
ทว่าคนฟังกลับไม่มีท่าทีสะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อยหากแต่ยังทำเป็นประชดประชันกลับมาเสียด้วยซ้ำ
“หึ…” อีกฝ่ายส่งเสียงเป็นเชิงเยาะหยันออกมาเบาๆ พร้อมกับจ้องเขม็งมาด้วยแววตาดูแคลน “ถ้ามึงอยากเป็นพระเอกนักละก็ไปเองดิ กูไม่ไปกับมึงหรอก เอาให้เต็มที่เลยนะกูเอาใจช่วย”
“เฮ้ยนี่ไม่ใช่เวลาที่พวกมึงสองตัวจะมากัดกันนะไอ้ห่า” แฉ่งปรามพร้อมกับเอาตัวอ้วนหนาราวกับหมีของมันเข้ามาแทรกกลาง แต่ตนเองที่ยังไม่คลายโกรธจึงตวาดกลับเพื่อนใจดำไปเสียงสั่น
“เออ…ไอ้เชรี้ย” ผมเห็นมันอึ้งไปเล็กน้อย คงเพราะไม่เคยได้ยินผมใช้คำผรุสวาทกับมันแบบนี้มาก่อน แต่ช่างปะไร…ผมรีบละสายตาจากใบหน้าขาวๆ นั่นด้วยความหมันไส้ก่อนจะผละจากกลุ่มเพื่อนแล้ววิ่งตรงเข้าไปในตรอกด้วยใจร้อนรน รองเท้าผ้าใบเหยียบย่ำน้ำครำตามพื้นผิวถนนอันสึกกร่อนกระเซ็นเปรอะขากางเกงตัวเก่งแต่ก็ไม่ได้ก้มมองเนื่องด้วยในหัวนึกถึงแต่จะเข้าไประงับเหตุการณ์รุนแรงนั้นเพียงอย่างเดียว
“ให้มาดีๆ ตั้งแต่แรกก็หมดเรื่อง แล้วอย่าให้พวกกูเห็นมึงมาหากินแถวนี้อีกนะไอ้เป๋ไม่งั้นมึงเละ” เสียงขู่ของชายวัยรุ่นหนึ่งในสองคนดังกร้าวอย่างเหิมเกริม ในมือมีธนบัตรสีเขียวสีแดงหลายใบที่กรรโชกมาได้กำไว้เป็นหลักฐาน
เท่าที่สังเกตพวกมันสองคนใส่เสื้อเชิ้ตผ้าบางตัวโคร่งกางเกงยีนเก่า เข่าขาด เนื้อผ้าลุ่ย ผมเผ้ารุงรัง ใบหน้าตอบไร้ราศี ผอมแห้งผิวคล้ำดูมอซอราวกับพวกขี้ยากระนั้นแหละ ต่างกันก็ตรงที่ไอ้ตัวหัวโจกซึ่งกำลังคลี่แบงก์ออกมานับเฉิบๆ อยู่นั่นสวมรองเท้าผ้าใบ ส่วนอีกคนซึ่งยืนคุมเชิงอยู่ใกล้ๆ ใส่รองเท้าแตะ
“เฮ้ยทำไรกันวะ?!” ผมโพล่งออกไปทันทีที่วิ่งมาถึงห่างจากพวกมันไปไม่กี่ก้าว พอปราดตามองไปที่ข้างถังขยะก็มีอันต้องใจหล่นวูบเมื่อเห็นร่างของชายหุ่นท้วมผิวคล้ำในชุดเสื้อแจ็คเก็ตผ้าร่มแขนยาวสีกรมท่าขลิบเหลืองดูซีดๆ โทรมๆ กับกางเกงวอร์มขาสั้นสีดำแถบขาวเผยให้เห็นขาเทียมด้านขวานอนกองกับพื้นเนื้อตัวสกปรกมอมแมมโดยมีไม้ค้ำยันคู่กายล้มพาดแข้งเกยขาดูน่าเวทนาอยู่อย่างนั้น
แสงไฟที่สาดส่องเข้ามาจากปากทางอีกด้านหนึ่งพอจะทำให้ผมแลเห็นรอยฟกช้ำดำเขียวบนดวงหน้ากลม โลหิตแดงฉานไหลอาบจากหัวคิ้วซ้ายลงมาเปรอะหน้าและดวงตาโตที่กำลังกะพริบปรืออย่างอิดโรย พอมองไปที่ปากก็เห็นเลือดกบอยู่เต็มไปหมดชวนให้ตกตะลึงและสะเทือนใจยิ่งนัก
“ชะชะช่วยผม ผม…” เสียงของชายผู้เคราะห์ร้ายดังวิงวอนอย่างน่าสงสาร
“นี่มึงทำได้แม้กระทั้งคนพิการเหรอวะไอ้พวกจัญไร” ผมแผดเสียงใส่ด้วยอารมณ์เดือดดาล ร่างผอมสั่นเทิ้มทั้งโกรธทั้งกลัวในคราวเดียวกัน หัวใจหรือก็เต้นตูมตามโครมครามปานจะหลุดผลั่วะออกมาจากอกเสียให้ได้
ไอ้กุ๊ยสองตัวนั่นหันขวั่บมาทันใด ตำแหน่งยืนที่หันหลังบังแสงไฟทำให้ผมเห็นหน้าค่าตาพวกมันไม่ถนัดนัก แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่ทำให้ขนทั่วสรรพางค์กายลุกซู่ชูชันขึ้นมาด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง
“แล้วมึงมาเสือกอะไรกับพวกกู อยากเจอดีใช่มั๊ย” ชายที่อยู่ใกล้ผมที่สุดกล่าวท้าทาย ผมเริ่มขวัญเสียสังหรณ์ ร้ายถึงภัยที่กำลังมาถึงตัว
“ถะถ้าไม่อยากเจ็บตะตะตัวก็ไสหัวไปซะ ไม่งั้นกูเอาจริงนะ…เว้ย” ผมแทร้งทำเป็นปากกล้าขู่มันกลับไปบ้าง พร้อมกับถลกแขนเสื้อโชว์กล้ามแขนลีบๆ วางฟอรม์เตรียมสาวหมัดสอนมวยอีกฝ่ายเต็มที่ แต่ไม่ทันได้ตั้งตัวไอ้กุ๊ยอีกคนก็รี่เข้ามาล็อกแขนผมไพล่ไว้ข้างหลัง จมูกได้กลิ่นสาบเหล้าและเหงื่อไคลเหม็นคลุ้งจากกายมันจนแทบจะอาเจียน
“เฮ้ยๆ อะไรวะ!” ผมร้องอย่างตระหนกตกใจฉี่แทบราดนึกไม่ถึงว่าจะเสียท่าอีกฝ่ายง่ายดายเช่นนี้
“พะพะพวกมึงจะทำอะไร” ความกลัวทำให้ร่างของผมสั่นเทิ้มและเกิดอาการลิ้นอ่อนกะปลกกะเปลี้ยขึ้นมาดื้อๆ และที่ทำให้ตนเองเข่าอ่อนยวบแทบล้มทั้งยืนในนาทีต่อมาก็เมื่อสายตาพลันเหลือบไปเห็นมีดพกขนาดเล็กในมือข้างขวาของชายแปลกหน้าซึ่งกำลังยืนจังก้าอยู่ข้างหน้าผมนั่นเอง
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ