ปาฏิหาริย์โลกวิญญาณ (ได้รับการตีพิมพ์จากAmity Publishing แล้ว)
5.3
เขียนโดย watcharakarn
วันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 เวลา 12.10 น.
67 ตอน
3 วิจารณ์
41.85K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 23.09 น. โดย เจ้าของนิยาย
23) กล่องไม้ (กับความคาดหวัง)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“แก๊ก แก๊ก แก๊ก” จู่ๆ เสียงอะไรบางอย่างก็ดังขึ้นขณะที่นางฟ้าแสนสวยกำลังทำหน้ายุ่งและผมกำลังหน้ามุ่ยด้วยความขัดใจ
หญิงสาวลดแผ่นพลาสติกในมือลงแล้วจึงก้าวเดินไปยังทิศทางของเสียง ผมตามเธอไปแล้วก็ต้องตกใจสะดุ้งโหยง
“เหวอ ผีหรือคนเนี่ย…!?”
“อยากรู้ก็ลองจับดูสิถ้าเป็นวิญญาณเหมือนกันนายจะสามารถสัมผัสเขาได้” อีกฝ่ายท้าทายสีหน้ายียวนแต่ใครมันจะกล้าหาญชาญชัยขนาดนั้นเล่าคนรู้จักรึก็ไม่ใช่
ผมมองทอดไปยังร่างของคุณลุงคนหนึ่งซึ่งกำลังก้มหน้านั่งยองๆ อยู่อีกด้านหนึ่งของเตียงนอนด้วยความงุนงง สังเกตจากชุดผู้ป่วยสีฟ้าอ่อนที่เขาสวมใส่อยู่แล้วคงไม่ต้องบอกว่าแกเป็นคนไข้เจ้าของห้องนี้อย่างไม่ต้องสงสัย แม้จะเห็นเค้าโครงเครื่องหน้าไม่ถนัดนัก แต่เรือนผมสั้นกุดสีขาวโพลนและรอยยับย่นบนหน้าผากกับคิ้วหนาสีดอกเลาและดวงตาโตลึกที่จดจ้องอยู่แต่ตัวต่อไม้รูปตัวแซดในมือนั่นแล้วก็พอจะคาดเดาอายุได้ว่าไม่น่าจะน้อยกว่าห้าสิบปีเป็นแน่
“กึก…” ชายชราจะบรรจงเสียบมันเข้ากับกองไม้ซึ่งแต่ละชิ้นก็มีลักษณะเป็นรูปทรงต่างๆ แตกต่างกันไปทั้งตัวแอล ตัวที ตัวเอส ฯลฯ คล้ายจำลองมาจากเกมเตอร์ติส ประกอบกันเกือบเป็นกล่องทรงลูกบาศก์ได้สมบูรณ์แล้ว
บุคลิกซึมเซาเหงาหงอยกอปรกับการที่แกลุกขึ้นมาเล่นของเล่นยามดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้ทำให้ผมพอจะมองออกว่าที่นี่คงไม่ใช่โรงพยาบาลสำหรับรักษาบุคคลทั่วไปเป็นแน่
“ถูกต้องแล้วล่ะ” สาริกาซึ่งยืนอยู่ทางด้านซ้ายกล่าวย้ำความคิดของผมแล้วจึงพูดต่อ “ที่นี่คือโรง’บาลจิตเวชส่วนผู้ชายคนนี้ชื่อว่านายบวรภพ วัลลาห์ดี อายุห้าสิบหกปี”
ผมเอียงคอฟังเธอพูดด้วยความสนใจ
“ก่อนที่เขาจะถูกส่งมาอยู่ที่นี่เขาเคยเป็นเจ้าของโรงแรมในจังหวัดยะลาและมีธุรกิจอื่นๆ อีกมากมายที่นั่น แน่นอนว่าเขาเคยเป็นเศรษฐีผู้มั่งคั่งร่ำรวย มีรถยนต์ราคาแพงขับ ชีวิตความเป็นอยู่ที่แสนสะดวกสบายได้กินอาหารที่ปรุงสำเร็จจากพ่อครัวชั้นดีและยุ่งอยู่ตลอดทั้งวันตามวิสัยของคนที่ทำงานหนักเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว”
นางฟ้าในชุดสีโอโรสยังคงเล่าเรื่อย
“ใครจะไปรู้ว่าวันหนึ่งทุกสิ่งทุกอย่างจะเปลี่ยนไปจากเหตุการณ์การก่อการร้าย และเศรษฐกิจตกต่ำอย่างรุนแรง”
“ช่างน่าสงสารจริงๆ” เธอกล่าวเสียงสลดหดหู่ แล้วจึงเท้าความถึงชายชราที่อยู่ตรงหน้าเราต่อ
“นักท่องเที่ยวที่เคยมี ผู้คนที่เคยเข้าพักจองกันข้ามเดือนข้ามปี รายได้ที่เคยเข้ามือเข้ากระเป๋าอย่างไม่ขาดสายกลับหดหายไป หนี้ก้อนมหาศาลที่ตนเองต้องแบกรับไว้ส่งผลให้เขากินไม่ได้นอนไม่หลับชีวิตจมอยู่ในห้วงทุกข์อย่างแสนสาหัส และสุดท้ายจึงลงเอยด้วยการมานั่งอยู่ตรงนี้
“โจรใต้ไอ้พวกสาระเลว” ผมระบายคำพูดด้วยความเจ็บแค้นแทนพี่น้องร่วมชาติอยากให้พวกมันตายโหงตายห่าตกนรกหมกไหม้ไปเสียให้หมด
“ชีวิตไม่มีอะไรแน่นอนเราไม่รู้หรอกว่าวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง” เธอเปรยก่อนจะไล่เรียงความคิดออกมา “คนเราเมื่อคาดหวังสูงเดิมพันชีวิตก็ย่อมสูงตามไปด้วย เหมือนกับคนที่เรียงกล่องไม้ซ้อนขึ้นไปเป็นชั้นๆ เพียงเพื่อป่ายปีนหวังเด็ดเอาผลไม้สุกงอมตรงปลายยอดกิ่งนั่นแหละวันใดก็ตามที่คลื่นปัญหาสูงใหญ่ซัดโถมเข้ามา กล่องไม้เล็กๆ ที่ซ้อนโย้ไปเย้มามีหรือจะทานทนได้ไหว”
“แกรกกก” เสียงของตัวต่อไม้หลายชิ้นที่ร่วงหล่นลงกับพื้นทำให้คุณลุงออกอาการหงุดหงิดหน้าบึ้งตึงเกาหัวแล้วทึ้งดึงผมแรงๆ ปากก็บ่นงึมงำส่ายหน้าหันรีหันขวางก่อนจะใช้มือขวาปัดตัวต่อไม้ที่เกือบจะเสร็จสมบูรณ์อยู่รอมร่อกระจัดกระจายด้วยความโมโห
“บ้า บ้า ไอ้บ้า!” คุณลุงแผดเสียงออกมา แล้วจึงค่อยๆ ยื่นแขนออกไปเก็บตัวต่อไม้ที่เกลื่อนพื้นยัดใส่มือทีละชิ้นสองชิ้น
“หากนายรู้ว่ากล่องนั้นจะล้มลงมา นายจะทำยังไง” สาริกาผินหน้ามาถาม
“ถ้าเป็นผม ผมก็คงพยายามเกาะกล่องไม้นั้นไว้มั้ง” ผมตอบไปซื่อๆ เท่าที่จะคิดได้ “จะได้มีอะไรรองรับ”
“หรืออย่างน้อยที่สุดก็เอาหลังหรือแขนลง” อีกฝ่ายพูดขึ้นมาบ้าง “แต่สำหรับคนที่ตั้งสติรับกับภาวะแห่งความล่มสลายนั้นไม่ได้ก็เหมือนกับคนที่เอาหัวโหม่งพื้นนั่นแหละสุดท้าย…ถ้าไม่บ้า…ก็ตาย”
ผมพยักหน้าอย่างเห็นด้วยแล้วจึงเสนอความคิดเห็นว่า
“ถ้าเราไม่อยากเจ็บตัวก็คงต้องสร้างฐานให้แข็งแรง”
หญิงสาวพยักหน้าพร้อมกับยิ้มน้อยๆ ให้เห็นแล้วจึงยื่นกระจกอนันตยกรรมเหนือศีรษะของชายชราก่อนจะกล่าวว่า
“การสร้างฐานให้แข็งแรงถึงแม้จะต้องใช้เวลานานหน่อยแต่โอกาสที่จะตกลงมาก็มีน้อยกว่า แต่คนส่วนใหญ่เมื่อหิวมากก็ย่อมอยากคว้ามันให้ได้เร็วๆ จนลืมคิดหน้าคิดหลัง และอย่างที่ฉันบอกไม่มีใครล่วงรู้อนาคตหรอกบางทีไอ้ผลไม้ที่เราคิดว่ามันสวยงามน่าทานแท้จริงแล้วอาจจะมีพิษหรือถูกหนอนชอนไชเน่าเสียไปเกือบครึ่งค่อนลูกแล้วก็ได้ หรือไม่มันก็อาจหล่นน้ำหายต๋อมไปเสียก่อนที่เราจะทันได้เอื้อมมือไปเด็ดมันเสียอีก อะไรๆ มันก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้นแหละ”
“นั่นสินะ…เราคงไม่อาจคาดหวังอะไรได้เลย” ผมปรารภออกมาเบาๆ
ประเดี๋ยวหนึ่งตัวเลขดิจิตอลก็ปรากฏขึ้นมาตรงกลางบานกระจกใส
“ห้าสิบแปดเปอร์เซ็นต์อย่างนั้นเหรอ” นางฟ้าสาวเปรยพลางกางแผ่นพลาสติกดูแล้วจิ้มกดหาข้อมูลประกอบกัน “อีกนิดเดียวสินะ…ยังดีที่ก่อนหน้านี้ทำบุญทำทานเอาไว้มาก ถือว่ายังมีโอกาสผ่าน” ว่าแล้วเธอก็จรดนิ้วชี้ลงไปบนแบบสำรวจอีกครั้ง
“ปึ๊ง…วี้บ” เสียงนั้นดังขึ้นก่อนที่ระบบต่างๆ จะปิดการทำงานตัวอักษรมากมายดับแสงลง เห็นแต่เพียงแผ่นพลาสติกใสไร้อักขระ
“การคาดหวังไม่ใช่สิ่งที่ผิด แต่ที่สำคัญคือการเผื่อใจ หรือทำใจให้เป็น เพราะไม่ว่าเราจะสุขสมหวังหรือผิดหวัง ท้ายที่สุดแล้วเราก็ต้องปีนกลับลงมาอยู่บนพื้นดินอยู่ดี” สาริกาบอกพร้อมกับใช้สองมือม้วนมันเก็บอย่างคล่องแคล่ว
“คุณหมายถึง…”
“ความตายยังไงล่ะ” เธอตอบพลางใช้มือรวบของวิเศษทั้งสองกำไว้ในมือขวา หลังจากนั้นแสงสีเขียวเรืองก็เจิดจ้าขึ้นมาอีกครั้งก่อนที่มันจะหดวืบลงแล้วหายไป
เอาล่ะประตูเปิดแล้ว” ร่างเพรียวบอก “ไปกันเถอะ”
“ปะปะไปไหนเหรอ?” ผมไถ่ถามเสียงตะกุกตะกักพลางหันตัวกวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วก็พบแสงสีขาวเรืองรองส่องออกมาจากร่องประตูห้องน้ำเล็กๆ ภายในห้อง
เพียงแค่ไม่กี่ก้าวร่างของผมก็ไปรอเธออยู่ที่หน้าห้องนั้นแล้ว
“ฉันก็ไปทำงานของฉันต่อน่ะสิ” อีกฝ่ายยืนเท้าสะเอวบอกผมก่อนจะค้อมตัวก้มหน้ากล่าวลาชายสติฟั่นเฟือนที่ยังคงนั่งเล่นตัวต่อไม้อยู่ตรงนั้นด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยนและแผ่วเบาว่า
“ไปก่อนนะคะคุณลุง แล้วเจอกันบนสวรรค์ค่ะ”
หลังจากนั้นเจ้าหล่อนจึงเงยตัวแล้วเดินยิ้มร่ามาแต่ไกล สองแขนขาวแกว่งสลับกระฉับกระเฉง ร่างเพรียวระหงในชุดสีโอโรสดูสวยสง่าและอ่อนหวานยิ่งนัก ยามก้าวเดินชายกระโปรงบางเบาก็พลิ้วไหวระไปตามต้นขาเรียวงามดึงดูดสายตาเสียจนผมออกอาการสะเทิ้นแต่ก็ยิ้มตอบรับไมตรีจิตของอีกฝ่ายไปเช่นกัน ในวินาทีนั้นแววตาแห่งมิตรภาพได้เกิดแก่เราทั้งสอง และถ้าจะมีมุมใดมุมหนึ่งในความรู้สึกจะแอบหวั่นไหวในความน่ารักน่าทะนุถนอมของเธออยู่บ้างผมคิดว่าก็คงไม่ผิดจนเกินไปนัก
“คุณจะพาผมไปไหนเหรอ?” ผมถามขึ้นระหว่างเราทั้งสองยืนเคียงข้างกันอยู่หน้าประตู
“เดี๋ยวก็รู้เองล่ะน่าตาบื้อ”
“คุณเลิกว่าผมแบบนี้สักทีได้มั๊ยเนี่ย” ผมท้วงเสียงขุ่น
“นายเองก็เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วไม่ใช่เหรอซื่อบื้อเสียจนไม่ค่อยจะทันเกมคนอื่นเขาน่ะ” เธอกล่าว
“คุณรู้ได้ยังไง”ผมสวนกลับไปทันควัน
“ก็ฉันน่ะ…ดูนายมาตลอดนั่นแหละ” ถ้อยคำปริศนาของหญิงสาวทำให้ผมงุนงง
“เอ๋….?” นี่เธอหมายความว่าอย่างไรกัน
“เอาเป็นว่าฉันขอโทษด้วยละกันนะและจะพยายามระมัดระวังให้มากกว่านี้” โทนเสียงอ่อนและท่าทีรู้สึกผิดของอีกฝ่ายทำให้ผมใจเย็นลง และไม่คิดจะถือสาหาความอะไรอีก
“อืม…ไม่เป็นไร” ผมตอบ คนเราทุกคนก็มีโอกาสทำผิดพลาดได้ทั้งนั้นแหละ แต่สิ่งสำคัญคือคนที่ทำผิดนั้นจะรู้สำนึกหรือไม่ กล้าพอไหมที่จะยอมรับผิดแค่เพียงเรากล่าวขอโทษและอภัยกันให้เป็นผมว่าปัญหาความขัดแย้งต่างๆ ที่เกิดขึ้นมันก็คงจะลดน้อยถอยลงไปกว่านี้มากเลยทีเดียว
“ไปกันเถอะ” นางฟ้าสาวพูดก่อนจะเอามือขวาของเธอมากุมมือซ้ายของผมไว้ เราหันมามองหน้ากันเจ้าหล่อนเลิกคิ้วให้นิดหนึ่งผมพยักหน้าเป็นสัญญาณแห่งความพร้อมสำหรับการผจญภัยครั้งใหม่
‘ชักอยากรู้แล้วสิว่าบานประตูนี้จะพาเราไปแห่งหนใดกันอีกหนอ?’ คำถามนั้นผุดขึ้นมาในหัว ก่อนที่เราทั้งคู่จะเดินเข้าไปค้นหาคำตอบนี้ด้วยกัน
หญิงสาวลดแผ่นพลาสติกในมือลงแล้วจึงก้าวเดินไปยังทิศทางของเสียง ผมตามเธอไปแล้วก็ต้องตกใจสะดุ้งโหยง
“เหวอ ผีหรือคนเนี่ย…!?”
“อยากรู้ก็ลองจับดูสิถ้าเป็นวิญญาณเหมือนกันนายจะสามารถสัมผัสเขาได้” อีกฝ่ายท้าทายสีหน้ายียวนแต่ใครมันจะกล้าหาญชาญชัยขนาดนั้นเล่าคนรู้จักรึก็ไม่ใช่
ผมมองทอดไปยังร่างของคุณลุงคนหนึ่งซึ่งกำลังก้มหน้านั่งยองๆ อยู่อีกด้านหนึ่งของเตียงนอนด้วยความงุนงง สังเกตจากชุดผู้ป่วยสีฟ้าอ่อนที่เขาสวมใส่อยู่แล้วคงไม่ต้องบอกว่าแกเป็นคนไข้เจ้าของห้องนี้อย่างไม่ต้องสงสัย แม้จะเห็นเค้าโครงเครื่องหน้าไม่ถนัดนัก แต่เรือนผมสั้นกุดสีขาวโพลนและรอยยับย่นบนหน้าผากกับคิ้วหนาสีดอกเลาและดวงตาโตลึกที่จดจ้องอยู่แต่ตัวต่อไม้รูปตัวแซดในมือนั่นแล้วก็พอจะคาดเดาอายุได้ว่าไม่น่าจะน้อยกว่าห้าสิบปีเป็นแน่
“กึก…” ชายชราจะบรรจงเสียบมันเข้ากับกองไม้ซึ่งแต่ละชิ้นก็มีลักษณะเป็นรูปทรงต่างๆ แตกต่างกันไปทั้งตัวแอล ตัวที ตัวเอส ฯลฯ คล้ายจำลองมาจากเกมเตอร์ติส ประกอบกันเกือบเป็นกล่องทรงลูกบาศก์ได้สมบูรณ์แล้ว
บุคลิกซึมเซาเหงาหงอยกอปรกับการที่แกลุกขึ้นมาเล่นของเล่นยามดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้ทำให้ผมพอจะมองออกว่าที่นี่คงไม่ใช่โรงพยาบาลสำหรับรักษาบุคคลทั่วไปเป็นแน่
“ถูกต้องแล้วล่ะ” สาริกาซึ่งยืนอยู่ทางด้านซ้ายกล่าวย้ำความคิดของผมแล้วจึงพูดต่อ “ที่นี่คือโรง’บาลจิตเวชส่วนผู้ชายคนนี้ชื่อว่านายบวรภพ วัลลาห์ดี อายุห้าสิบหกปี”
ผมเอียงคอฟังเธอพูดด้วยความสนใจ
“ก่อนที่เขาจะถูกส่งมาอยู่ที่นี่เขาเคยเป็นเจ้าของโรงแรมในจังหวัดยะลาและมีธุรกิจอื่นๆ อีกมากมายที่นั่น แน่นอนว่าเขาเคยเป็นเศรษฐีผู้มั่งคั่งร่ำรวย มีรถยนต์ราคาแพงขับ ชีวิตความเป็นอยู่ที่แสนสะดวกสบายได้กินอาหารที่ปรุงสำเร็จจากพ่อครัวชั้นดีและยุ่งอยู่ตลอดทั้งวันตามวิสัยของคนที่ทำงานหนักเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว”
นางฟ้าในชุดสีโอโรสยังคงเล่าเรื่อย
“ใครจะไปรู้ว่าวันหนึ่งทุกสิ่งทุกอย่างจะเปลี่ยนไปจากเหตุการณ์การก่อการร้าย และเศรษฐกิจตกต่ำอย่างรุนแรง”
“ช่างน่าสงสารจริงๆ” เธอกล่าวเสียงสลดหดหู่ แล้วจึงเท้าความถึงชายชราที่อยู่ตรงหน้าเราต่อ
“นักท่องเที่ยวที่เคยมี ผู้คนที่เคยเข้าพักจองกันข้ามเดือนข้ามปี รายได้ที่เคยเข้ามือเข้ากระเป๋าอย่างไม่ขาดสายกลับหดหายไป หนี้ก้อนมหาศาลที่ตนเองต้องแบกรับไว้ส่งผลให้เขากินไม่ได้นอนไม่หลับชีวิตจมอยู่ในห้วงทุกข์อย่างแสนสาหัส และสุดท้ายจึงลงเอยด้วยการมานั่งอยู่ตรงนี้
“โจรใต้ไอ้พวกสาระเลว” ผมระบายคำพูดด้วยความเจ็บแค้นแทนพี่น้องร่วมชาติอยากให้พวกมันตายโหงตายห่าตกนรกหมกไหม้ไปเสียให้หมด
“ชีวิตไม่มีอะไรแน่นอนเราไม่รู้หรอกว่าวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง” เธอเปรยก่อนจะไล่เรียงความคิดออกมา “คนเราเมื่อคาดหวังสูงเดิมพันชีวิตก็ย่อมสูงตามไปด้วย เหมือนกับคนที่เรียงกล่องไม้ซ้อนขึ้นไปเป็นชั้นๆ เพียงเพื่อป่ายปีนหวังเด็ดเอาผลไม้สุกงอมตรงปลายยอดกิ่งนั่นแหละวันใดก็ตามที่คลื่นปัญหาสูงใหญ่ซัดโถมเข้ามา กล่องไม้เล็กๆ ที่ซ้อนโย้ไปเย้มามีหรือจะทานทนได้ไหว”
“แกรกกก” เสียงของตัวต่อไม้หลายชิ้นที่ร่วงหล่นลงกับพื้นทำให้คุณลุงออกอาการหงุดหงิดหน้าบึ้งตึงเกาหัวแล้วทึ้งดึงผมแรงๆ ปากก็บ่นงึมงำส่ายหน้าหันรีหันขวางก่อนจะใช้มือขวาปัดตัวต่อไม้ที่เกือบจะเสร็จสมบูรณ์อยู่รอมร่อกระจัดกระจายด้วยความโมโห
“บ้า บ้า ไอ้บ้า!” คุณลุงแผดเสียงออกมา แล้วจึงค่อยๆ ยื่นแขนออกไปเก็บตัวต่อไม้ที่เกลื่อนพื้นยัดใส่มือทีละชิ้นสองชิ้น
“หากนายรู้ว่ากล่องนั้นจะล้มลงมา นายจะทำยังไง” สาริกาผินหน้ามาถาม
“ถ้าเป็นผม ผมก็คงพยายามเกาะกล่องไม้นั้นไว้มั้ง” ผมตอบไปซื่อๆ เท่าที่จะคิดได้ “จะได้มีอะไรรองรับ”
“หรืออย่างน้อยที่สุดก็เอาหลังหรือแขนลง” อีกฝ่ายพูดขึ้นมาบ้าง “แต่สำหรับคนที่ตั้งสติรับกับภาวะแห่งความล่มสลายนั้นไม่ได้ก็เหมือนกับคนที่เอาหัวโหม่งพื้นนั่นแหละสุดท้าย…ถ้าไม่บ้า…ก็ตาย”
ผมพยักหน้าอย่างเห็นด้วยแล้วจึงเสนอความคิดเห็นว่า
“ถ้าเราไม่อยากเจ็บตัวก็คงต้องสร้างฐานให้แข็งแรง”
หญิงสาวพยักหน้าพร้อมกับยิ้มน้อยๆ ให้เห็นแล้วจึงยื่นกระจกอนันตยกรรมเหนือศีรษะของชายชราก่อนจะกล่าวว่า
“การสร้างฐานให้แข็งแรงถึงแม้จะต้องใช้เวลานานหน่อยแต่โอกาสที่จะตกลงมาก็มีน้อยกว่า แต่คนส่วนใหญ่เมื่อหิวมากก็ย่อมอยากคว้ามันให้ได้เร็วๆ จนลืมคิดหน้าคิดหลัง และอย่างที่ฉันบอกไม่มีใครล่วงรู้อนาคตหรอกบางทีไอ้ผลไม้ที่เราคิดว่ามันสวยงามน่าทานแท้จริงแล้วอาจจะมีพิษหรือถูกหนอนชอนไชเน่าเสียไปเกือบครึ่งค่อนลูกแล้วก็ได้ หรือไม่มันก็อาจหล่นน้ำหายต๋อมไปเสียก่อนที่เราจะทันได้เอื้อมมือไปเด็ดมันเสียอีก อะไรๆ มันก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้นแหละ”
“นั่นสินะ…เราคงไม่อาจคาดหวังอะไรได้เลย” ผมปรารภออกมาเบาๆ
ประเดี๋ยวหนึ่งตัวเลขดิจิตอลก็ปรากฏขึ้นมาตรงกลางบานกระจกใส
“ห้าสิบแปดเปอร์เซ็นต์อย่างนั้นเหรอ” นางฟ้าสาวเปรยพลางกางแผ่นพลาสติกดูแล้วจิ้มกดหาข้อมูลประกอบกัน “อีกนิดเดียวสินะ…ยังดีที่ก่อนหน้านี้ทำบุญทำทานเอาไว้มาก ถือว่ายังมีโอกาสผ่าน” ว่าแล้วเธอก็จรดนิ้วชี้ลงไปบนแบบสำรวจอีกครั้ง
“ปึ๊ง…วี้บ” เสียงนั้นดังขึ้นก่อนที่ระบบต่างๆ จะปิดการทำงานตัวอักษรมากมายดับแสงลง เห็นแต่เพียงแผ่นพลาสติกใสไร้อักขระ
“การคาดหวังไม่ใช่สิ่งที่ผิด แต่ที่สำคัญคือการเผื่อใจ หรือทำใจให้เป็น เพราะไม่ว่าเราจะสุขสมหวังหรือผิดหวัง ท้ายที่สุดแล้วเราก็ต้องปีนกลับลงมาอยู่บนพื้นดินอยู่ดี” สาริกาบอกพร้อมกับใช้สองมือม้วนมันเก็บอย่างคล่องแคล่ว
“คุณหมายถึง…”
“ความตายยังไงล่ะ” เธอตอบพลางใช้มือรวบของวิเศษทั้งสองกำไว้ในมือขวา หลังจากนั้นแสงสีเขียวเรืองก็เจิดจ้าขึ้นมาอีกครั้งก่อนที่มันจะหดวืบลงแล้วหายไป
เอาล่ะประตูเปิดแล้ว” ร่างเพรียวบอก “ไปกันเถอะ”
“ปะปะไปไหนเหรอ?” ผมไถ่ถามเสียงตะกุกตะกักพลางหันตัวกวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วก็พบแสงสีขาวเรืองรองส่องออกมาจากร่องประตูห้องน้ำเล็กๆ ภายในห้อง
เพียงแค่ไม่กี่ก้าวร่างของผมก็ไปรอเธออยู่ที่หน้าห้องนั้นแล้ว
“ฉันก็ไปทำงานของฉันต่อน่ะสิ” อีกฝ่ายยืนเท้าสะเอวบอกผมก่อนจะค้อมตัวก้มหน้ากล่าวลาชายสติฟั่นเฟือนที่ยังคงนั่งเล่นตัวต่อไม้อยู่ตรงนั้นด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยนและแผ่วเบาว่า
“ไปก่อนนะคะคุณลุง แล้วเจอกันบนสวรรค์ค่ะ”
หลังจากนั้นเจ้าหล่อนจึงเงยตัวแล้วเดินยิ้มร่ามาแต่ไกล สองแขนขาวแกว่งสลับกระฉับกระเฉง ร่างเพรียวระหงในชุดสีโอโรสดูสวยสง่าและอ่อนหวานยิ่งนัก ยามก้าวเดินชายกระโปรงบางเบาก็พลิ้วไหวระไปตามต้นขาเรียวงามดึงดูดสายตาเสียจนผมออกอาการสะเทิ้นแต่ก็ยิ้มตอบรับไมตรีจิตของอีกฝ่ายไปเช่นกัน ในวินาทีนั้นแววตาแห่งมิตรภาพได้เกิดแก่เราทั้งสอง และถ้าจะมีมุมใดมุมหนึ่งในความรู้สึกจะแอบหวั่นไหวในความน่ารักน่าทะนุถนอมของเธออยู่บ้างผมคิดว่าก็คงไม่ผิดจนเกินไปนัก
“คุณจะพาผมไปไหนเหรอ?” ผมถามขึ้นระหว่างเราทั้งสองยืนเคียงข้างกันอยู่หน้าประตู
“เดี๋ยวก็รู้เองล่ะน่าตาบื้อ”
“คุณเลิกว่าผมแบบนี้สักทีได้มั๊ยเนี่ย” ผมท้วงเสียงขุ่น
“นายเองก็เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วไม่ใช่เหรอซื่อบื้อเสียจนไม่ค่อยจะทันเกมคนอื่นเขาน่ะ” เธอกล่าว
“คุณรู้ได้ยังไง”ผมสวนกลับไปทันควัน
“ก็ฉันน่ะ…ดูนายมาตลอดนั่นแหละ” ถ้อยคำปริศนาของหญิงสาวทำให้ผมงุนงง
“เอ๋….?” นี่เธอหมายความว่าอย่างไรกัน
“เอาเป็นว่าฉันขอโทษด้วยละกันนะและจะพยายามระมัดระวังให้มากกว่านี้” โทนเสียงอ่อนและท่าทีรู้สึกผิดของอีกฝ่ายทำให้ผมใจเย็นลง และไม่คิดจะถือสาหาความอะไรอีก
“อืม…ไม่เป็นไร” ผมตอบ คนเราทุกคนก็มีโอกาสทำผิดพลาดได้ทั้งนั้นแหละ แต่สิ่งสำคัญคือคนที่ทำผิดนั้นจะรู้สำนึกหรือไม่ กล้าพอไหมที่จะยอมรับผิดแค่เพียงเรากล่าวขอโทษและอภัยกันให้เป็นผมว่าปัญหาความขัดแย้งต่างๆ ที่เกิดขึ้นมันก็คงจะลดน้อยถอยลงไปกว่านี้มากเลยทีเดียว
“ไปกันเถอะ” นางฟ้าสาวพูดก่อนจะเอามือขวาของเธอมากุมมือซ้ายของผมไว้ เราหันมามองหน้ากันเจ้าหล่อนเลิกคิ้วให้นิดหนึ่งผมพยักหน้าเป็นสัญญาณแห่งความพร้อมสำหรับการผจญภัยครั้งใหม่
‘ชักอยากรู้แล้วสิว่าบานประตูนี้จะพาเราไปแห่งหนใดกันอีกหนอ?’ คำถามนั้นผุดขึ้นมาในหัว ก่อนที่เราทั้งคู่จะเดินเข้าไปค้นหาคำตอบนี้ด้วยกัน
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ