ปาฏิหาริย์โลกวิญญาณ (ได้รับการตีพิมพ์จากAmity Publishing แล้ว)
5.3
เขียนโดย watcharakarn
วันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 เวลา 12.10 น.
67 ตอน
3 วิจารณ์
41.96K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 23.09 น. โดย เจ้าของนิยาย
16) ต้องรอด
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“คุณ…ช่วยผมด้วย” ผมเผลอพูดไปพลางร้องไห้ไปพลางด้วยความกลัวสุดชีวิต
“ฉันก็พยายามช่วยนายอยู่นี่ไง…เร็วๆ เข้าสิ” อีกฝ่ายเร่งเร้า “ทัพหน้าใกล้มาถึงแล้วนะ”
‘นี่คุณหมายถึง…?!’ ผมนึกสงสัย ก่อนที่จะมีเสียงหนึ่งสอดขึ้นมากลางคัน
“แกจะต้องถูกเผา จงมอดไหม้ไปกับพวกเรา” ถ้อยคำที่พ่นระบายด้วยความแค้นเคืองกระตุกให้ผมหันไปมอง แลเห็นดวงตาแห่งความชิงชังคู่หนึ่งเหลือกมาพร้อมกับปากที่ยังคงพูดปลุกระดมวิญญาณตนอื่นๆ ให้ก่อการ “พวกเราจับมันอย่าให้มันรอด เพราะมัน เพราะมันคนเดียว มันต้องรับผิดชอบ”
และไอ้พวกเวรตะไลนั่นก็พากันขานรับทันควันเสียงเซ็งแซ่
“เผามัน เผามัน เอาให้ไหม้ มันต้องทรมานไม่ต่างจากเรา”
‘มันน่าเจ็บใจนัก!’
“ฉันไปเกี่ยวอะไรกับพวกแกเนี่ยไอ้พวเวรเอ้ย” ผมผรุสวาทใส่มันอย่างเหลืออด อยากจะต่อยหน้าไอ้ตัวแกนนำสักทีสองทีเอาให้เลือดกบปากร้องไห้กระซิกๆ ไปเลย โกรธเกลียดพวกมันเหลือเกินที่โบ้ยความผิดให้แก่คนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่แบบนี้
“อย่ามัวแต่เอาโทสะเป็นที่ตั้งรีบช่วยเหลือตัวเองก่อนดีกว่ามั๊ย” หญิงสาวกล่าวเตือนให้ผมฉุกคิด “ไฟจวนเจียนจะมาถึงนายอยู่รอมร่อแล้วนะ”
‘จริงด้วยสิ’ ผมคิดก่อนจะเอี้ยวคอมองทอดไปที่พื้น เห็นเปลวเพลิงกองเบ้อเริ่มพุ่งสูงจนน่ากลัว อีกไม่ช้าไม่นานไฟคงจะลุกท่วมแล้วคลอกร่างผมให้ไหม้เกรียมไม่ต่างอะไรกับที่พวกมันโดน
ผมออกแรงเค้นพลังทั้งหมดที่มีเพื่อดึงคานประตูให้เปิดออก ทางเดินแคบๆ ที่มืดสนิทเมื่อสักครู่ตอนนี้พลันสว่างและร้อนระอุราวติดอยู่ในเตาอบอุณหภูมิสูงนับร้อยองศาเซลเซียสแสงแวบวาบของมหาอัคคีที่จ่อหลังมาขับเร้าให้ผมแทบคงสติไว้ไม่อยู่ ร่างกายร้อนจัดและรู้สึกอึดอัดเหมือนตนเองกำลังจะระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ
“ฮื้บบ…อื้ดด”
“เร็วเข้าสิ” สาริกาส่งเสียงกระตุ้น
“อื้ดดด…มันไม่ออกอ่ะ” ผมฟ้องน้ำตายังคงนองหน้า
“ออกแรงให้เยอะๆ หน่อยสิ เร็วเข้า”
คราวนี้ผมพยายามล้วงมือให้ลึกเข้าพร้อมกับเพิ่มแรงดึงให้มากขึ้น แต่ก็ยังไม่เป็นผล
‘ยากชิบเป๋งเลยเว้ย!’ ผมคิดอย่างหงุดหงิดระคนทดท้อ งานนี้ดูท่าเราคงไม่รอดแหง
“นายต้องทำได้สิย้ง นายต้องทำได้” อีกฝ่ายให้กำลังใจ
“ฮึบบบ…” ผมพยายามเต็มเหนี่ยวจนหน้าบูดหน้าเบี้ยว ทว่ามันยากเกินกว่ามือเพียงข้างเดียวจะทำได้ จึงต้องกระชากมือขวาเข้ามาช่วย
“อ๊าาาาก!!!” อาการปวดแสบปวดร้อนแล่นแปลบขึ้นมากระตุ้นให้น้ำตาทะลักทะลายลงมาอีกคำรบ ขณะที่ท้าวมหายมเองก็ออกแรงดึงสายโซ่และสาวเข้าหาตัวเกิดการยื้อยุดทั้งสองฝ่าย แต่วิญญาณมนุษย์กระจ้อยร้อยหรือจะไปสู้พละกำลังของพญาอสุเรศได้…ผมคงต้องทำอะไรสักอย่าง
“ฉันก็พยายามช่วยนายอยู่นี่ไง…เร็วๆ เข้าสิ” อีกฝ่ายเร่งเร้า “ทัพหน้าใกล้มาถึงแล้วนะ”
‘นี่คุณหมายถึง…?!’ ผมนึกสงสัย ก่อนที่จะมีเสียงหนึ่งสอดขึ้นมากลางคัน
“แกจะต้องถูกเผา จงมอดไหม้ไปกับพวกเรา” ถ้อยคำที่พ่นระบายด้วยความแค้นเคืองกระตุกให้ผมหันไปมอง แลเห็นดวงตาแห่งความชิงชังคู่หนึ่งเหลือกมาพร้อมกับปากที่ยังคงพูดปลุกระดมวิญญาณตนอื่นๆ ให้ก่อการ “พวกเราจับมันอย่าให้มันรอด เพราะมัน เพราะมันคนเดียว มันต้องรับผิดชอบ”
และไอ้พวกเวรตะไลนั่นก็พากันขานรับทันควันเสียงเซ็งแซ่
“เผามัน เผามัน เอาให้ไหม้ มันต้องทรมานไม่ต่างจากเรา”
‘มันน่าเจ็บใจนัก!’
“ฉันไปเกี่ยวอะไรกับพวกแกเนี่ยไอ้พวเวรเอ้ย” ผมผรุสวาทใส่มันอย่างเหลืออด อยากจะต่อยหน้าไอ้ตัวแกนนำสักทีสองทีเอาให้เลือดกบปากร้องไห้กระซิกๆ ไปเลย โกรธเกลียดพวกมันเหลือเกินที่โบ้ยความผิดให้แก่คนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่แบบนี้
“อย่ามัวแต่เอาโทสะเป็นที่ตั้งรีบช่วยเหลือตัวเองก่อนดีกว่ามั๊ย” หญิงสาวกล่าวเตือนให้ผมฉุกคิด “ไฟจวนเจียนจะมาถึงนายอยู่รอมร่อแล้วนะ”
‘จริงด้วยสิ’ ผมคิดก่อนจะเอี้ยวคอมองทอดไปที่พื้น เห็นเปลวเพลิงกองเบ้อเริ่มพุ่งสูงจนน่ากลัว อีกไม่ช้าไม่นานไฟคงจะลุกท่วมแล้วคลอกร่างผมให้ไหม้เกรียมไม่ต่างอะไรกับที่พวกมันโดน
ผมออกแรงเค้นพลังทั้งหมดที่มีเพื่อดึงคานประตูให้เปิดออก ทางเดินแคบๆ ที่มืดสนิทเมื่อสักครู่ตอนนี้พลันสว่างและร้อนระอุราวติดอยู่ในเตาอบอุณหภูมิสูงนับร้อยองศาเซลเซียสแสงแวบวาบของมหาอัคคีที่จ่อหลังมาขับเร้าให้ผมแทบคงสติไว้ไม่อยู่ ร่างกายร้อนจัดและรู้สึกอึดอัดเหมือนตนเองกำลังจะระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ
“ฮื้บบ…อื้ดด”
“เร็วเข้าสิ” สาริกาส่งเสียงกระตุ้น
“อื้ดดด…มันไม่ออกอ่ะ” ผมฟ้องน้ำตายังคงนองหน้า
“ออกแรงให้เยอะๆ หน่อยสิ เร็วเข้า”
คราวนี้ผมพยายามล้วงมือให้ลึกเข้าพร้อมกับเพิ่มแรงดึงให้มากขึ้น แต่ก็ยังไม่เป็นผล
‘ยากชิบเป๋งเลยเว้ย!’ ผมคิดอย่างหงุดหงิดระคนทดท้อ งานนี้ดูท่าเราคงไม่รอดแหง
“นายต้องทำได้สิย้ง นายต้องทำได้” อีกฝ่ายให้กำลังใจ
“ฮึบบบ…” ผมพยายามเต็มเหนี่ยวจนหน้าบูดหน้าเบี้ยว ทว่ามันยากเกินกว่ามือเพียงข้างเดียวจะทำได้ จึงต้องกระชากมือขวาเข้ามาช่วย
“อ๊าาาาก!!!” อาการปวดแสบปวดร้อนแล่นแปลบขึ้นมากระตุ้นให้น้ำตาทะลักทะลายลงมาอีกคำรบ ขณะที่ท้าวมหายมเองก็ออกแรงดึงสายโซ่และสาวเข้าหาตัวเกิดการยื้อยุดทั้งสองฝ่าย แต่วิญญาณมนุษย์กระจ้อยร้อยหรือจะไปสู้พละกำลังของพญาอสุเรศได้…ผมคงต้องทำอะไรสักอย่าง
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ