ปาฏิหาริย์โลกวิญญาณ (ได้รับการตีพิมพ์จากAmity Publishing แล้ว)
5.3
เขียนโดย watcharakarn
วันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 เวลา 12.10 น.
67 ตอน
3 วิจารณ์
41.86K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 23.09 น. โดย เจ้าของนิยาย
15) ยื้อ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ‘บ้าเอ้ย!’ ผมปริวิตกพลางเอี้ยวคอหันไปมองข้างหลังแวบหนึ่งเพื่อกะระยะที่ตั้งของบานประตู
‘ต้องหนีไปให้ได้’ ความกลัวขับดันให้ผมรีบแทงมือซ้ายพรวดเข้าไปในซอกหน้าของพวกมันซึ่งโผล่ผุดอยู่เต็มผนังด้านหลังเพื่อควานหาคานผลักประตูหนีไฟที่จมอยู่ใต้ธาราวิญญาณนั้น พร้อมกับมองคู่สนทนาไปด้วยเพื่อไม่ให้เกิดพิรุธ แต่ไม่รู้ว่าเผลอไปสะกิดโดนต่อมอะไรของพวกมันเข้า
“ฮือ ฮือ ฮือ” จู่ๆ วิญญาณสวะต่างก็เปล่งเสียงดังอื้ออึงขึ้นมาพาลให้ผมตกใจจนร่างเกิดแสงขาววูบวาบขึ้นมาอีกหน แม้จะชะงักไปนิดหนึ่งแต่ผมก็ยังคงใส่เกียร์เดินหน้าแข่งกับเวลาแห่งความเป็นความตายที่หายใจรดต้นคออยู่เต็มกำลัง
‘อึ๋ย!’ ผมอุทานด้วยความขยะแขยงเมื่อปลายนิ้วสัมผัสถึงความหนืดเหนียวของมวลน้ำสีเข้มแล้วจึงคลำมือไปมานิดหน่อยพอรู้ว่าไม่พบก็รีบชักกลับก่อนที่แขนยาวๆ ของพวกมันจะคว้ามือผมเอาไว้ได้ทัน
‘ไม่ใช่แหะ’ ความเครียดและวิตกจริตยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณเมื่อรู้ตัวว่าคาดคะเนตำแหน่งของบานประตูนั้นผิดไป แม้จะจำได้ว่ามันอยู่แถวๆ นี้ก็เถอะแต่การหาคานเหล็กเล็กๆ ที่ฝังอยู่ใต้นทีสีดำซึ่งเต็มไปด้วยใบหน้าและท่อนแขนมากมายอีกทั้งยังถูกความมืดปกคลุมปิดบังสายตาไว้จนมิดแบบนี้มันก็คงไม่ต่างอะไรกับการงมเข็มในมหาสมุทรนั่นแหละ
“แล้ว แล้ว แล้วไอ้มหาอเวจีนี่มันเป็นยังไงเหรอครับ?” ผมแสร้งทำเป็นเจ้าหนูจำไมไถ่ถามอีกฝ่ายพลางทิ่มมือพรวดลงไปอีกที่หนึ่งซึ่งต่ำลงมา
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้าอยากรู้นักหรือว่ามันเป็นเช่นไร” เสียงก้องกังวานดังออกมาพร้อมกับลมกรรโชกแรงจนแทบล้ม สายโซ่สะบัดไหวพลอยทำให้แผลตรงข้อมือถูกบาดลึกเข้าไปอีก
“โอ๊ย…” ผมโอดครวญก่อนจะรีบตอบละล่ำละลักกลับไป “คะคะครับ ครับ” พลางควานหาคานผลักประตูอย่างลนลาน ทว่า…
‘ไม่เจอ!’
‘ทำไมไม่เจอวะบ้าเอ๊ย’ ผมเริ่มหมดหวัง รีบชักแขนออกมาอย่างทุลักทุเลแล้วจึงเสือกมือพรวดเข้าไปอีกครั้งหนึ่งในตำแหน่งที่ห่างออกไปและในคราวนี้เองที่นิ้วได้ปะทะเข้ากับวัตถุแข็งๆ คล้ายท่อนเหล็กยาวๆ ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้านูนเด่นออกมาจึงรีบจับๆ คลำๆ สำรวจดูในทันใด
‘เจอแล้ว!...ใช่จริงๆ ด้วย’ ผมดีใจจนแทบกระโดดแต่จำต้องเก็บอาการเหยียบมันเอาไว้ เพราะหากอีกฝ่ายรู้ว่าผมแอบมีลูกเล่นตุกติกแล้วล่ะก็คงไม่แคล้วตกที่นั่งลำบากเป็นแน่
“ถ้าอย่างนั้นจงไปดูให้ประจักษ์สายตาแก่ตนเองเถิดฮ่า ฮ่า ฮ่า” ขาดคำร่างทะมึนนั้นก็กระตุกสายโซ่อย่างแรงทำให้ผมตัวถลันหน้าถลาไปจนเกือบล้มมือที่จมอยู่ในน้ำโสโครกหลุดพรวดออกมาทันที
“อ๊าก!” ผมร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดก่อนจะวิงวอนน้ำตานองหน้า “ทะท่าน ท่านได้โปรดเถอะ ผมไม่อยากตกนรก ผมไม่อยากไป”
“เจ้าต้องไปรับโทษทัณฑ์ที่เจ้าก่อไว้!” ท้าวมหายมตวาดน้ำเสียงเกรี้ยวกราด แล้วจึงออกแรงดึงอย่างไม่ปราณีปราศรัยราวกับเห็นผมเป็นแค่สุนัขตัวหนึ่งที่หลงเดินออกนอกฟุตบาทจึงกระชากสายจูงให้มันกลับขึ้นมาบนทางเท้า
“ไม่ ปล่อยผมนะ” ผมร้องอย่างเสียขวัญพยายามแข็งขืนหยัดกายไว้พร้อมกับโถมตัวเข้าหาผนังราวกับเห็นมันเป็นเบาะเตียงนุ่มๆ ก่อนที่ไอ้มือซีดๆ มากมายเหล่านั้นจะพากันโอบรัดร่างผมไว้แน่นทำให้เคลื่อนไหวไม่ถนัด
บ้างก็ใช้ปากงับฟันขบตามร่างกายจนเจ็บเนื้อเจ็บตัวไปหมด ส่วนวิญญาณตนอื่นๆ ก็พร้อมใจกันประสานเสียงโฮ่ฮาเสียดแทงเข้ามาในรูหูฟังแล้วชวนหงุดหงิดรำคาญใจนัก
แต่ผมก็กัดฟันสู้สุดชีวิตล้วงมือเข้าไปในตำแหน่งเดิมอีกหนระหว่างที่เจ้าของตรวนอันหนักอึ่งก็พยายามฉุดกระชากลากถูผมไปให้ได้เช่นกัน
“ไปกับข้าบัดเดี๋ยวนี้!” ท่านท้าวสั่งเสียงกร้าวเกิดลมปานพายุพัดหวือเข้ามาอีกระลอก
“อ๊าก!” ผมร้องเสียงหลงเมื่อเหล็กร้อนๆ ครูดกับเนื้อแดงจนเจ็บปวดรวดร้าวไปทั่วทั้งแขน แต่ก็ยังโชคดีที่แขนซ้ายเกาะคานผลักของบานประตูไว้ได้ทันท่วงที
“ไม่ ไม่ ไม่ ผมไม่ไป” ผมยังคงแข็งข้อ
“ข้าไม่คิดว่าเจ้ามันจะดื้อด้านถึงเพียงนี้ ถ้าอยากรับรสความทรมานว่าเป็นเยี่ยงไรนักล่ะก็” พูดเสร็จชายชราผู้เป็นใหญ่แห่งแดนโลกันต์ก็ทำปากขมุบขมิบแล้วจึงจรดไม้เท้าลงบนผนัง แสงไฟบนหัวไม้เท้าเปล่งแสงเรืองรองส่องให้เห็นใบหน้าซีดๆ ของมนุษย์ชายหญิงกำลังทำหน้าขยาดเมื่อมีเพลิงร้อนจี๋มาจ่ออยู่ใกล้ๆ
“อย่าาาา นายท่าน อย่าาาา ร้อนน ข้าร้อนน” เสียงโหยหวนของพวกวิญญาณชั้นต่ำบ่งบอกถึงความกลัวเหลือคณานับ เปลวไฟติดพรึ่บอย่างรวดเร็วก่อนจะลุกโพลงขึ้นแล้วโหมไหม้มาตามผนังพร้อมกับเสียงกรีดร้องแหลมสูงดังระงม ส่วนสะเก็ดไฟที่ร่วงหล่นก็ทำปฏิกิริยากับเชื้อเพลิงด้านล่างเกิดเป็นไฟลุกท่วมไล่ลามมาตามพื้นด้วยเช่นกัน
‘ซวยแล้ว!’ พ่อเจ้าประคุณเล่นย่างสดกันเลยรึนี่
“ฮือ ฮือ ฮือ” พวกวิญญาณสวะพากันแตกตื่น บ้างก็น้ำตาไหลพรากออกมาอย่างน่าเวทนา
“อ๊าาา!” เสียงหวีดร้องฟังโหยหวนปานจะขาดใจขณะที่เพลิงกัลป์แผดเผาพวกมันเป็นแถบๆ อย่างรวดเร็ว
ประเดี๋ยวเดียวพื้นผนังและเพดานก็ลุกเป็นไฟประหนึ่งโพรงอัคคีสีแดงส้มซึ่งขยายวงลุกลามเข้ามาเรื่อยๆ แขนดำเป็นตอตะโกหลายสิบท่อนสะบัดโบกไปมา นิ้วมือเหล่านั้นต่างกระตุกเต้นหงิกงอด้วยความทรมานอย่างแสนสาหัส ท่ามกลางเปลวเพลิงที่ลุกโพลง เห็นสภาพอันน่าสลดหดหู่นั้นแล้วก็อเนจอนาถสายตายิ่งนัก
แต่ที่น่ากลัวที่สุดก็คือใบหน้าอันเหี้ยมเกรียมอำมหิตของผู้ก่อการกลับกำลังเผยยิ้มน้อยๆ อย่างพึงใจ ราวกับฆาตกรโรคจิตที่พร่าผลาญชีวิตผู้อื่นได้อย่างเลือดเย็น
“เหวออ!” ผมร้องลั่น เมื่อเห็นไฟลามลึกเข้ามาใกล้แล้ว ขณะคลื่นความร้อนที่โหมรุนแรงส่งผลให้ผิวหนังแสบร้อนจนแทบไหม้
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เสียงหัวเราะอย่างผยองเดชของผู้ที่ถือไพ่เหนือกว่าดังกึกก้องท่ามกลางเปลวไฟ น่าแปลกที่ท้าวมหายมกลับไม่ได้เป็นเดือดเป็นร้อนกับมหาอัคคีที่กำลังเผาผลาญวิญญาณสวะเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าเนื้อหนังกายาท่านไม่สะทกสะท้านต่อพระเพลิงกระนั้นแหละ
“มัวทำอะไรอยู่ตาบื้อ…ทำไมไม่เปิดประตูสักทีเล่า” ฉับพลันนั้นเสียงติติงของสาริกาก็ดังสอดเข้ามาในรูหู แม้จะฟังแล้วชวนขุ่นเคืองแต่ความดีใจนั้นกลับมีมากกว่า
‘ต้องหนีไปให้ได้’ ความกลัวขับดันให้ผมรีบแทงมือซ้ายพรวดเข้าไปในซอกหน้าของพวกมันซึ่งโผล่ผุดอยู่เต็มผนังด้านหลังเพื่อควานหาคานผลักประตูหนีไฟที่จมอยู่ใต้ธาราวิญญาณนั้น พร้อมกับมองคู่สนทนาไปด้วยเพื่อไม่ให้เกิดพิรุธ แต่ไม่รู้ว่าเผลอไปสะกิดโดนต่อมอะไรของพวกมันเข้า
“ฮือ ฮือ ฮือ” จู่ๆ วิญญาณสวะต่างก็เปล่งเสียงดังอื้ออึงขึ้นมาพาลให้ผมตกใจจนร่างเกิดแสงขาววูบวาบขึ้นมาอีกหน แม้จะชะงักไปนิดหนึ่งแต่ผมก็ยังคงใส่เกียร์เดินหน้าแข่งกับเวลาแห่งความเป็นความตายที่หายใจรดต้นคออยู่เต็มกำลัง
‘อึ๋ย!’ ผมอุทานด้วยความขยะแขยงเมื่อปลายนิ้วสัมผัสถึงความหนืดเหนียวของมวลน้ำสีเข้มแล้วจึงคลำมือไปมานิดหน่อยพอรู้ว่าไม่พบก็รีบชักกลับก่อนที่แขนยาวๆ ของพวกมันจะคว้ามือผมเอาไว้ได้ทัน
‘ไม่ใช่แหะ’ ความเครียดและวิตกจริตยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณเมื่อรู้ตัวว่าคาดคะเนตำแหน่งของบานประตูนั้นผิดไป แม้จะจำได้ว่ามันอยู่แถวๆ นี้ก็เถอะแต่การหาคานเหล็กเล็กๆ ที่ฝังอยู่ใต้นทีสีดำซึ่งเต็มไปด้วยใบหน้าและท่อนแขนมากมายอีกทั้งยังถูกความมืดปกคลุมปิดบังสายตาไว้จนมิดแบบนี้มันก็คงไม่ต่างอะไรกับการงมเข็มในมหาสมุทรนั่นแหละ
“แล้ว แล้ว แล้วไอ้มหาอเวจีนี่มันเป็นยังไงเหรอครับ?” ผมแสร้งทำเป็นเจ้าหนูจำไมไถ่ถามอีกฝ่ายพลางทิ่มมือพรวดลงไปอีกที่หนึ่งซึ่งต่ำลงมา
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้าอยากรู้นักหรือว่ามันเป็นเช่นไร” เสียงก้องกังวานดังออกมาพร้อมกับลมกรรโชกแรงจนแทบล้ม สายโซ่สะบัดไหวพลอยทำให้แผลตรงข้อมือถูกบาดลึกเข้าไปอีก
“โอ๊ย…” ผมโอดครวญก่อนจะรีบตอบละล่ำละลักกลับไป “คะคะครับ ครับ” พลางควานหาคานผลักประตูอย่างลนลาน ทว่า…
‘ไม่เจอ!’
‘ทำไมไม่เจอวะบ้าเอ๊ย’ ผมเริ่มหมดหวัง รีบชักแขนออกมาอย่างทุลักทุเลแล้วจึงเสือกมือพรวดเข้าไปอีกครั้งหนึ่งในตำแหน่งที่ห่างออกไปและในคราวนี้เองที่นิ้วได้ปะทะเข้ากับวัตถุแข็งๆ คล้ายท่อนเหล็กยาวๆ ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้านูนเด่นออกมาจึงรีบจับๆ คลำๆ สำรวจดูในทันใด
‘เจอแล้ว!...ใช่จริงๆ ด้วย’ ผมดีใจจนแทบกระโดดแต่จำต้องเก็บอาการเหยียบมันเอาไว้ เพราะหากอีกฝ่ายรู้ว่าผมแอบมีลูกเล่นตุกติกแล้วล่ะก็คงไม่แคล้วตกที่นั่งลำบากเป็นแน่
“ถ้าอย่างนั้นจงไปดูให้ประจักษ์สายตาแก่ตนเองเถิดฮ่า ฮ่า ฮ่า” ขาดคำร่างทะมึนนั้นก็กระตุกสายโซ่อย่างแรงทำให้ผมตัวถลันหน้าถลาไปจนเกือบล้มมือที่จมอยู่ในน้ำโสโครกหลุดพรวดออกมาทันที
“อ๊าก!” ผมร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดก่อนจะวิงวอนน้ำตานองหน้า “ทะท่าน ท่านได้โปรดเถอะ ผมไม่อยากตกนรก ผมไม่อยากไป”
“เจ้าต้องไปรับโทษทัณฑ์ที่เจ้าก่อไว้!” ท้าวมหายมตวาดน้ำเสียงเกรี้ยวกราด แล้วจึงออกแรงดึงอย่างไม่ปราณีปราศรัยราวกับเห็นผมเป็นแค่สุนัขตัวหนึ่งที่หลงเดินออกนอกฟุตบาทจึงกระชากสายจูงให้มันกลับขึ้นมาบนทางเท้า
“ไม่ ปล่อยผมนะ” ผมร้องอย่างเสียขวัญพยายามแข็งขืนหยัดกายไว้พร้อมกับโถมตัวเข้าหาผนังราวกับเห็นมันเป็นเบาะเตียงนุ่มๆ ก่อนที่ไอ้มือซีดๆ มากมายเหล่านั้นจะพากันโอบรัดร่างผมไว้แน่นทำให้เคลื่อนไหวไม่ถนัด
บ้างก็ใช้ปากงับฟันขบตามร่างกายจนเจ็บเนื้อเจ็บตัวไปหมด ส่วนวิญญาณตนอื่นๆ ก็พร้อมใจกันประสานเสียงโฮ่ฮาเสียดแทงเข้ามาในรูหูฟังแล้วชวนหงุดหงิดรำคาญใจนัก
แต่ผมก็กัดฟันสู้สุดชีวิตล้วงมือเข้าไปในตำแหน่งเดิมอีกหนระหว่างที่เจ้าของตรวนอันหนักอึ่งก็พยายามฉุดกระชากลากถูผมไปให้ได้เช่นกัน
“ไปกับข้าบัดเดี๋ยวนี้!” ท่านท้าวสั่งเสียงกร้าวเกิดลมปานพายุพัดหวือเข้ามาอีกระลอก
“อ๊าก!” ผมร้องเสียงหลงเมื่อเหล็กร้อนๆ ครูดกับเนื้อแดงจนเจ็บปวดรวดร้าวไปทั่วทั้งแขน แต่ก็ยังโชคดีที่แขนซ้ายเกาะคานผลักของบานประตูไว้ได้ทันท่วงที
“ไม่ ไม่ ไม่ ผมไม่ไป” ผมยังคงแข็งข้อ
“ข้าไม่คิดว่าเจ้ามันจะดื้อด้านถึงเพียงนี้ ถ้าอยากรับรสความทรมานว่าเป็นเยี่ยงไรนักล่ะก็” พูดเสร็จชายชราผู้เป็นใหญ่แห่งแดนโลกันต์ก็ทำปากขมุบขมิบแล้วจึงจรดไม้เท้าลงบนผนัง แสงไฟบนหัวไม้เท้าเปล่งแสงเรืองรองส่องให้เห็นใบหน้าซีดๆ ของมนุษย์ชายหญิงกำลังทำหน้าขยาดเมื่อมีเพลิงร้อนจี๋มาจ่ออยู่ใกล้ๆ
“อย่าาาา นายท่าน อย่าาาา ร้อนน ข้าร้อนน” เสียงโหยหวนของพวกวิญญาณชั้นต่ำบ่งบอกถึงความกลัวเหลือคณานับ เปลวไฟติดพรึ่บอย่างรวดเร็วก่อนจะลุกโพลงขึ้นแล้วโหมไหม้มาตามผนังพร้อมกับเสียงกรีดร้องแหลมสูงดังระงม ส่วนสะเก็ดไฟที่ร่วงหล่นก็ทำปฏิกิริยากับเชื้อเพลิงด้านล่างเกิดเป็นไฟลุกท่วมไล่ลามมาตามพื้นด้วยเช่นกัน
‘ซวยแล้ว!’ พ่อเจ้าประคุณเล่นย่างสดกันเลยรึนี่
“ฮือ ฮือ ฮือ” พวกวิญญาณสวะพากันแตกตื่น บ้างก็น้ำตาไหลพรากออกมาอย่างน่าเวทนา
“อ๊าาา!” เสียงหวีดร้องฟังโหยหวนปานจะขาดใจขณะที่เพลิงกัลป์แผดเผาพวกมันเป็นแถบๆ อย่างรวดเร็ว
ประเดี๋ยวเดียวพื้นผนังและเพดานก็ลุกเป็นไฟประหนึ่งโพรงอัคคีสีแดงส้มซึ่งขยายวงลุกลามเข้ามาเรื่อยๆ แขนดำเป็นตอตะโกหลายสิบท่อนสะบัดโบกไปมา นิ้วมือเหล่านั้นต่างกระตุกเต้นหงิกงอด้วยความทรมานอย่างแสนสาหัส ท่ามกลางเปลวเพลิงที่ลุกโพลง เห็นสภาพอันน่าสลดหดหู่นั้นแล้วก็อเนจอนาถสายตายิ่งนัก
แต่ที่น่ากลัวที่สุดก็คือใบหน้าอันเหี้ยมเกรียมอำมหิตของผู้ก่อการกลับกำลังเผยยิ้มน้อยๆ อย่างพึงใจ ราวกับฆาตกรโรคจิตที่พร่าผลาญชีวิตผู้อื่นได้อย่างเลือดเย็น
“เหวออ!” ผมร้องลั่น เมื่อเห็นไฟลามลึกเข้ามาใกล้แล้ว ขณะคลื่นความร้อนที่โหมรุนแรงส่งผลให้ผิวหนังแสบร้อนจนแทบไหม้
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เสียงหัวเราะอย่างผยองเดชของผู้ที่ถือไพ่เหนือกว่าดังกึกก้องท่ามกลางเปลวไฟ น่าแปลกที่ท้าวมหายมกลับไม่ได้เป็นเดือดเป็นร้อนกับมหาอัคคีที่กำลังเผาผลาญวิญญาณสวะเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าเนื้อหนังกายาท่านไม่สะทกสะท้านต่อพระเพลิงกระนั้นแหละ
“มัวทำอะไรอยู่ตาบื้อ…ทำไมไม่เปิดประตูสักทีเล่า” ฉับพลันนั้นเสียงติติงของสาริกาก็ดังสอดเข้ามาในรูหู แม้จะฟังแล้วชวนขุ่นเคืองแต่ความดีใจนั้นกลับมีมากกว่า
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ