ปาฏิหาริย์โลกวิญญาณ (ได้รับการตีพิมพ์จากAmity Publishing แล้ว)
5.3
เขียนโดย watcharakarn
วันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 เวลา 12.10 น.
67 ตอน
3 วิจารณ์
41.87K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 23.09 น. โดย เจ้าของนิยาย
14) เพลิงอสุเรศ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ‘ตอนนี้คงพึ่งใครไม่ได้อีกแล้ว’ ผมคิดอย่างจวนตัว ความกดดันรุมเร้าเข้ามาในนาทีที่วิกฤติที่สุด ซึ่งผมไม่เคยนึกฝันเลยว่าจะต้องมาพบเจอกับอะไรแบบนี้ สิ่งที่เคยเป็นแค่ความเชื่อ ความงมงายที่ไม่มีหลักฐานพยานอ้างอิงเมื่อตอนยังมี ลมหายใจนั้น
ทว่าบัดนี้กลับต้องมาเผชิญกับมันทั้งหมด…และผมกำลังถูกลากลงนรก!!!
ทันใดนั้นเอง
“ฟุ่บ…ฟุ่บ…ฟุ่บ” เปลวเพลิงก็ลุกโชนขึ้นท่ามกลางมวลอากาศทึบทึมมืดมิด เกิดเป็นกองไฟไหวท่วมไม้เท้ารูปหัวกะโหลกขนาดใหญ่ส่องสว่างให้เห็นร่างสูงทะมึนปานยักษาผิวดำมันปลาบสวมเครื่องทรงทองคำแพรวพรายด้วยรัตนชาติต่างสีเต็มยศศักดิ์
และที่น่ากลัวที่สุดคือดวงตาแดงเรืองที่แม้นมองไปที่ใครคนที่ถูกจับจ้องคงต้องมีอันขวัญหนีดีฝ่อไปเสียแทบทุกรายบัดนี้ได้เบิกโพลงขึ้นมาอีกหน มือขวาของท้าวมหายมกำสายโซ่ตรวนสีส้มแดงราวสีของแมกมาที่โยงยาวมาถึงข้อมือขวาของผมโดยไม่สะทกสะท้านต่อความร้อนอันรุนแรงนั้นเลยแม้แต่น้อย
ในที่สุดเจ้าผู้ยิ่งใหญ่แห่งแดนโลกันต์ก็ปรากฏกายออกมาจากเงื้อมเงาของความมืดยืนตระหง่านอยู่ต่อหน้าต่อตาผม ร่างที่สูงเกือบจรดฝ้าเพดานอาบไล้แสงไฟวูบไหวกั้นขวางช่องทางเดินแคบๆ จนหมดทางหนี รูปหน้าเหลี่ยมอวบอูมสีดำสนิทฉายแววนิ่งจนน่ากลัว เห็นแต่ดวงตาถมึงทึงใต้แนวคิ้วเข้มมองจ้องเขม็ง ริมฝีปากหนาเผยเขี้ยวขาวยื่นโง้งยาวออกมาตรงมุมทั้งสองด้าน
‘โอ้…นี่มันยักษ์จริงๆ ด้วย!’ เพียงแค่เห็นหัวเข่าก็อ่อนระทวย ตัวสั่นหนักแทบจะทรุดลงไปกองอยู่บนพื้น รู้สึกวูบวาบหวาดหวั่นไปทั่วทั้งตัว
สิ่งที่อยู่ตรงหน้าทำให้ผมต้องยอมจำนนอย่างหมดทางสู้…แทบจะก้มลงกราบกรานสิโรราบให้อีกฝ่ายหนึ่งในทันที
‘วิศรุฒินายจะต้องเปิดประตูนั้นด้วยมือของนายเอง’ พลันถ้อยคำของผู้เป็นอัจฉราก็ระลึกขึ้นมาในความคะนึง
ผมลอบมองไปที่ผนังด้านหลังที่ยังคงถูกความมืดปกคลุมในทันใดแว่วยินเสียงของความหวังสุดท้ายที่กำลังพร่ำร้องเพรียกหา…นี่สินะทางรอดเดียวของเรา
‘ถ้าพลาดทุกสิ่งทุกอย่างก็มีอันจบเห่…แต่มันก็ไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้วไม่ใช่หรือไร ลองดูสักตั้งวะ’ ผมตัดสินใจเสี่ยงแต่คงต้องถ่วงเวลาอีกฝ่ายเอาไว้เสียก่อน
“ท่านครับได้โปรดเมตตากรุณาผมเถิด ผมสำนึกผิดแล้ว” ผมแสร้งทำเป็นร้องขออภัยโทษพร้อมกับกระทดเท้าถอยไปช้าๆ น้ำตายังคงนองหน้าข้อแขนขวาอ่อนล้าและเจ็บแสบทุกครั้งที่เคลื่อนไหว
แค่เขยื้อนไปไม่กี่ก้าวแผ่นหลังก็เกือบจะชิดติดผนังวิญญาณพวกนั้น เสียงฮือ ฮือดังสูงๆ ต่ำๆ ของพวกมันเคล้าคลอมาเบาๆ ชวนให้ขนลุกระคนระคายหู ท่อนแขนยาวที่ยื่นออกมาพากันกวัดแกว่งไปมาเห็นเป็นเงาวูบไหวภายใต้แสงสลัวรางอุ้งมือมากมายขยับไขว่คว้าราวกับฝูงซอมบี้ผีดิบที่เห็นก้อนเนื้อวางล่ออยู่ตรงหน้าแต่ไม่อาจพาตัวให้หลุดพ้นออกมาจากผนังแข็งๆ ได้
“หากข้าอภัยให้กับทุกผู้ทุกคนได้ดั่งนั้น คงไม่มีใครต้องตกนรก…ทำเลวแล้วมาสำนึกตอนนี้เป็นเพราะเจ้ารู้สึกถึงความผิดบาปได้จริงน่ะหรือ” อีกฝ่ายพูดย้อนเสียงกร้าวเกิดเป็นกระแสลมปากพัดมาพาลให้ผมเผ้าพลิ้วสะบัด จนผมต้องยกมือขึ้นบังไว้ โชคดีจริงๆ ที่จมูกไม่ได้หายใจอีกต่อไปแล้วมิเช่นนั้นคงสูดรับเอากลิ่นปากเหม็นๆ เข้าไปเสียเต็มรัก
“ฮ่าฮ่าฮ่า” ท้าวมหายมหัวเราะเสียงกึกก้องแล้วจึงกล่าวต่อ “คนประเภทนี้เปรียบเสมือนศิลามณีที่ถูกหินปูนเกาะหนาหากไม่กะเทาะให้ลอกร่อนก็คงส่องไม่เห็นถึงความแวววาวของเนื้อใน เช่นเดียวกันคนที่มีใจบาปหยาบช้าเช่นเจ้าถ้าไม่ถูกลงทัณฑ์เสียบ้างก็คงไม่เข็ดขยาดหลาบจำและไม่มีวันไปผุดไปเกิดในชั้นภูมิที่สูงขึ้นกว่านี้ได้”
“ไม่ต้องห่วงหากองค์พญามัจจุราชได้ตัดสินเจ้าแล้ว ข้าจักนำส่งเจ้าไปมหาอเวจีโดยไวจะได้ชำระบาปอันหนักหนานั้นให้หมดดั่งใจเจ้าปรารถนา” ท่านท้าวซึ่งดูมีอารมณ์ขันมากกว่าภาพลักษณ์อันดุดันน่าเกรงขามที่ผมเห็นยังคงพูดเรื่อยเจื้อย “ไม่นานหรอกแค่หนึ่งชั่วกัปชั่วกัลป์เท่านั้นเอง ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
ท่าทางหัวร่องอหายของหัวหน้ายมทูตทำให้ผมรู้สึกใจคอไม่ดี เท่าที่เคยอ่านหนังสือมาผ่านๆ ตา หนึ่งชั่วกัปนี่กินระยะเวลาอยู่นานโขนับเป็นพันล้านปีเลยทีเดียวเรียกได้ว่าถึงขนาดโลกดับสูญไปรอบหนึ่งแล้วก็ยังไม่รู้ว่าจะหมดกัปเลยรึไม่
ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัวเรี่ยวแรงพาลจะหมดเอาเสียดื้อๆ ผู้เป็นใหญ่ในเมืองนรกเอ่ยปากออกมาแบบนี้คงไม่ใช่เรื่องล้อกันเล่นแน่ๆ
ทว่าบัดนี้กลับต้องมาเผชิญกับมันทั้งหมด…และผมกำลังถูกลากลงนรก!!!
ทันใดนั้นเอง
“ฟุ่บ…ฟุ่บ…ฟุ่บ” เปลวเพลิงก็ลุกโชนขึ้นท่ามกลางมวลอากาศทึบทึมมืดมิด เกิดเป็นกองไฟไหวท่วมไม้เท้ารูปหัวกะโหลกขนาดใหญ่ส่องสว่างให้เห็นร่างสูงทะมึนปานยักษาผิวดำมันปลาบสวมเครื่องทรงทองคำแพรวพรายด้วยรัตนชาติต่างสีเต็มยศศักดิ์
และที่น่ากลัวที่สุดคือดวงตาแดงเรืองที่แม้นมองไปที่ใครคนที่ถูกจับจ้องคงต้องมีอันขวัญหนีดีฝ่อไปเสียแทบทุกรายบัดนี้ได้เบิกโพลงขึ้นมาอีกหน มือขวาของท้าวมหายมกำสายโซ่ตรวนสีส้มแดงราวสีของแมกมาที่โยงยาวมาถึงข้อมือขวาของผมโดยไม่สะทกสะท้านต่อความร้อนอันรุนแรงนั้นเลยแม้แต่น้อย
ในที่สุดเจ้าผู้ยิ่งใหญ่แห่งแดนโลกันต์ก็ปรากฏกายออกมาจากเงื้อมเงาของความมืดยืนตระหง่านอยู่ต่อหน้าต่อตาผม ร่างที่สูงเกือบจรดฝ้าเพดานอาบไล้แสงไฟวูบไหวกั้นขวางช่องทางเดินแคบๆ จนหมดทางหนี รูปหน้าเหลี่ยมอวบอูมสีดำสนิทฉายแววนิ่งจนน่ากลัว เห็นแต่ดวงตาถมึงทึงใต้แนวคิ้วเข้มมองจ้องเขม็ง ริมฝีปากหนาเผยเขี้ยวขาวยื่นโง้งยาวออกมาตรงมุมทั้งสองด้าน
‘โอ้…นี่มันยักษ์จริงๆ ด้วย!’ เพียงแค่เห็นหัวเข่าก็อ่อนระทวย ตัวสั่นหนักแทบจะทรุดลงไปกองอยู่บนพื้น รู้สึกวูบวาบหวาดหวั่นไปทั่วทั้งตัว
สิ่งที่อยู่ตรงหน้าทำให้ผมต้องยอมจำนนอย่างหมดทางสู้…แทบจะก้มลงกราบกรานสิโรราบให้อีกฝ่ายหนึ่งในทันที
‘วิศรุฒินายจะต้องเปิดประตูนั้นด้วยมือของนายเอง’ พลันถ้อยคำของผู้เป็นอัจฉราก็ระลึกขึ้นมาในความคะนึง
ผมลอบมองไปที่ผนังด้านหลังที่ยังคงถูกความมืดปกคลุมในทันใดแว่วยินเสียงของความหวังสุดท้ายที่กำลังพร่ำร้องเพรียกหา…นี่สินะทางรอดเดียวของเรา
‘ถ้าพลาดทุกสิ่งทุกอย่างก็มีอันจบเห่…แต่มันก็ไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้วไม่ใช่หรือไร ลองดูสักตั้งวะ’ ผมตัดสินใจเสี่ยงแต่คงต้องถ่วงเวลาอีกฝ่ายเอาไว้เสียก่อน
“ท่านครับได้โปรดเมตตากรุณาผมเถิด ผมสำนึกผิดแล้ว” ผมแสร้งทำเป็นร้องขออภัยโทษพร้อมกับกระทดเท้าถอยไปช้าๆ น้ำตายังคงนองหน้าข้อแขนขวาอ่อนล้าและเจ็บแสบทุกครั้งที่เคลื่อนไหว
แค่เขยื้อนไปไม่กี่ก้าวแผ่นหลังก็เกือบจะชิดติดผนังวิญญาณพวกนั้น เสียงฮือ ฮือดังสูงๆ ต่ำๆ ของพวกมันเคล้าคลอมาเบาๆ ชวนให้ขนลุกระคนระคายหู ท่อนแขนยาวที่ยื่นออกมาพากันกวัดแกว่งไปมาเห็นเป็นเงาวูบไหวภายใต้แสงสลัวรางอุ้งมือมากมายขยับไขว่คว้าราวกับฝูงซอมบี้ผีดิบที่เห็นก้อนเนื้อวางล่ออยู่ตรงหน้าแต่ไม่อาจพาตัวให้หลุดพ้นออกมาจากผนังแข็งๆ ได้
“หากข้าอภัยให้กับทุกผู้ทุกคนได้ดั่งนั้น คงไม่มีใครต้องตกนรก…ทำเลวแล้วมาสำนึกตอนนี้เป็นเพราะเจ้ารู้สึกถึงความผิดบาปได้จริงน่ะหรือ” อีกฝ่ายพูดย้อนเสียงกร้าวเกิดเป็นกระแสลมปากพัดมาพาลให้ผมเผ้าพลิ้วสะบัด จนผมต้องยกมือขึ้นบังไว้ โชคดีจริงๆ ที่จมูกไม่ได้หายใจอีกต่อไปแล้วมิเช่นนั้นคงสูดรับเอากลิ่นปากเหม็นๆ เข้าไปเสียเต็มรัก
“ฮ่าฮ่าฮ่า” ท้าวมหายมหัวเราะเสียงกึกก้องแล้วจึงกล่าวต่อ “คนประเภทนี้เปรียบเสมือนศิลามณีที่ถูกหินปูนเกาะหนาหากไม่กะเทาะให้ลอกร่อนก็คงส่องไม่เห็นถึงความแวววาวของเนื้อใน เช่นเดียวกันคนที่มีใจบาปหยาบช้าเช่นเจ้าถ้าไม่ถูกลงทัณฑ์เสียบ้างก็คงไม่เข็ดขยาดหลาบจำและไม่มีวันไปผุดไปเกิดในชั้นภูมิที่สูงขึ้นกว่านี้ได้”
“ไม่ต้องห่วงหากองค์พญามัจจุราชได้ตัดสินเจ้าแล้ว ข้าจักนำส่งเจ้าไปมหาอเวจีโดยไวจะได้ชำระบาปอันหนักหนานั้นให้หมดดั่งใจเจ้าปรารถนา” ท่านท้าวซึ่งดูมีอารมณ์ขันมากกว่าภาพลักษณ์อันดุดันน่าเกรงขามที่ผมเห็นยังคงพูดเรื่อยเจื้อย “ไม่นานหรอกแค่หนึ่งชั่วกัปชั่วกัลป์เท่านั้นเอง ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
ท่าทางหัวร่องอหายของหัวหน้ายมทูตทำให้ผมรู้สึกใจคอไม่ดี เท่าที่เคยอ่านหนังสือมาผ่านๆ ตา หนึ่งชั่วกัปนี่กินระยะเวลาอยู่นานโขนับเป็นพันล้านปีเลยทีเดียวเรียกได้ว่าถึงขนาดโลกดับสูญไปรอบหนึ่งแล้วก็ยังไม่รู้ว่าจะหมดกัปเลยรึไม่
ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัวเรี่ยวแรงพาลจะหมดเอาเสียดื้อๆ ผู้เป็นใหญ่ในเมืองนรกเอ่ยปากออกมาแบบนี้คงไม่ใช่เรื่องล้อกันเล่นแน่ๆ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ