ปาฏิหาริย์โลกวิญญาณ (ได้รับการตีพิมพ์จากAmity Publishing แล้ว)
5.3
เขียนโดย watcharakarn
วันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 เวลา 12.10 น.
67 ตอน
3 วิจารณ์
41.95K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 23.09 น. โดย เจ้าของนิยาย
13) ทางรอด
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“มนุษย์กระจ้อยร่อยผู้แสนขลาดเขลาและโอหัง…เจ้ามันคนใจบาปหยาบช้า ทำชั่วมหันต์แล้วยังไม่สำเหนียกตัวอีกรึ หากยังคิดไม่ได้ข้าจักพาเจ้าไปจาระไนยังนรกภูมิเบื้องล่างนี้เอง ไม่ต้องพูดพล่าม ไปกับข้า เจ้าต้องไปกับข้าบัดเดี๋ยวนี้” เสียงของท้าวมหายมกึกก้องออกมาจากความมืดราวกับจะสะกดผมไว้ แม้ไม่เห็นรูปลักษณ์อันชัดเจนแต่ภาพของชายชราร่างมืดทะมึนนั้นยังคงติดตา ก่อเกิดเป็นความกลัวเกรงที่ส่งผลให้ผมถึงกับตัวสั่นสะท้าน
“ผมไม่ได้ทำอะไรผิด ท่านมาจับผมทำไม ปล่อยนะผมไม่ไป!” ผมปฏิเสธพร้อมกับกระชากมือกลับ เสียงสะอื้นที่เจือในถ้อยคำซึ่งแสร้งทำเป็นเข้มแข็งคงไม่ต่างอะไรกับพวกสุนัขจนตรอกที่เห่าใส่พญาราชสีห์
“ฮ่า ฮ่า พวกเดนมนุษย์ก็มักจะพูดเช่นนี้แล” อีกฝ่ายหนึ่งหัวเราะเสียงกึกก้อง “แน่ใจหรือว่าเจ้าไม่ได้ทำสิ่งใดที่ทำให้ข้าต้องรุดขึ้นมาถึงที่นี่”
‘นี่เราทำอะไรลงไปอย่างนั้นเหรอ’ ผมพยายามไตร่ตรองทบทวนการกระทำของตนเอง แล้วก็สำนึกถึงความผิดนั้น หรือว่าเป็นเพราะเรา…
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ไอ้พวกวิญญาณสวะพากันหัวเราะเยาะเย้ยกันครื้นเครง ท่าทีแข็งขืนของผมคงไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์เลวร้ายดีขึ้นกว่าที่เป็นเลยแม้แต่น้อย
ระหว่างนั้นเองที่พลันได้ยินเสียงๆ หนึ่งเล็ดลอดเข้ามาในรูหู
“ฮัลโหล หนึ่ง สอง สาม สี่ ได้ยินมั๊ยนายวิศรุฒิ ถ้าได้ยินแล้วตอบฉันด้วยนะนี่ฉันเองสาริกา”
“สาริกา…” ผมเปรยออกมาด้วยความดีใจอย่างสุดจะกลั้น
“ชูวส์ เบาๆ สิอย่ากระโตกกระตากไป” หญิงสาวเอ่ยเตือน
“อื้ม…” ผมพยักหน้าหงึกน้ำตาท่วมหน้าไปหมดแล้ว แต่ถึงกระนั้นก็หลุดยิ้มออกมาจนได้ ผมดีใจ ดีใจจริงๆ ที่เธอไม่ได้ทิ้งผมไป…เธอกลับมาช่วยผมละแล้…
“ฉันมาบอกลา” คำพูดของสาริกาที่สวนเข้ามาทำเอาความหวังที่กำลังเรืองรองดับวูบลงในทันที
‘อ่าวเฮ้ย…เวรแล้วไง!’ นี่เธอจะทอดทิ้งผมไปจริงๆ หรือนี่ ผมคิดด้วยความตระหนกตกใจ ทันใดนั้นมือโตเรียวที่กำข้อเท้าผมไว้ก็คลายออก
“นายท่าน เอามันไปไต่สวน เอามันไปรับผิด” ไอ้พวกวิญญาณกะโหลกกะลาร้องเชียร์กันยกใหญ่ แม้จะก่อกวนอารมณ์ให้ขุ่นเคืองอยู่มากแต่ผมก็ยังคงตั้งสมาธิพูดคุยกับสาริกาผ่านห้วงความคิดระหว่างเราทั้งสองคน โดยที่ยังไม่มีพวกมันตนใดตนหนึ่งผิดสังเกตกับท่าทีของผมที่สงบปากสงบคำลง
“ล้อเล่นน่าา….” อีกฝ่ายกลับคำก่อนจะเปลี่ยนมาพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังมากขึ้น “ฉันพานายมาแล้วยังไงก็ต้องรับผิดชอบให้ถึงที่สุดล่ะนะ…เอาล่ะตั้งใจฟังให้ดีนะ”
‘ปัดโธ่เอ้ย ยัยบ็องส์’ ผมอารมณ์ขุ่นอย่างคนเสียเส้น
เป็นอีกครั้งที่ร่างของผมวูบไหวอย่างแรงด้วยความลุ้นระทึก
“สิ่งที่นายต้องทำก็คือ เปิดประตู” นางฟ้าสาวกล่าว
‘ห๊ะอะไรนะให้ผมเปิดประตูเนี่ยนะ’ ผมเอี้ยวคอหันขวั่บไปทันที แล้วก็พบว่าผนังด้านหลังถูกพวกมันยึดครองไปหมดแล้วจะให้ผมเปิดมันทั้งๆ ที่รอบตัวผมมีแต่ความมืดและแสงอันน้อยนิดจากโซ่เหล็กร้อนๆ เนี่ยนะ
‘ผมทำไม่ได้หรอก’ ผมบอกเธอก่อนจะขอต่อรอง ‘มีแต่พวกมันยั้วเยี้ยไปหมดแบบนี้ผมจะทำได้ยังไง คุณไม่มีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้แล้วเหรอ’
“ไม่ค่ะ” หญิงสาวตอบห้วนๆ ก่อนจะยืนกรานเสียงแข็ง
“ถ้าไม่ทำหรือทำไม่ได้ก็เตรียมลงไปกราบเท้าท่านพญามัจจุราชได้เลย…ก็ช่วยไม่ได้นายอยากสบตาท่านท้าวเองนี่นะถึงได้โดนจับได้เตือนแล้วเตือนอีกว่าให้ระวังก็ไม่เชื่อ”
‘ก็ไอ้พวกนั้นมันจี๋ผม’ ผมชี้แจงแต่มันคงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะมาทุ่มเถียงกันในตอนนี้ จึงจำต้องรับสภาพ ‘รู้แล้วน่า…คุณยาย’ ผมมิวายยอกย้อน
ทันใดนั้นเอง
ตรวนเหล็กที่รัดข้อมืออยู่กระตุกไปข้างหน้า สายโซ่ถูกสาวไปช้าๆ ราวกับรอกที่ค่อยๆ กลืนหายเข้าไปในม่านสีดำสนิท
“โอ๊ยย!” ผมอุทานด้วยความเจ็บปวดเหลือแสน แต่ก็ยังพยายามดึงแขนฝืนร่างไว้เต็มกำลังแม้จะรู้ดีว่าคงจะทานทนพิษสงของตรวนเหล็กร้อนไปได้อีกไม่กี่น้ำ เลือดแดงฉานไหลอาบลงมาเรื่อยๆ หยดย้อยลงมาตามแขน ทรมานเหลือเกิน
รู้สึกเหมือนมือกำลังจะขาดออกเสียให้ได้
“รีบตัดสินใจเข้านะก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไปฉันคงช่วยนายได้เพียงเท่านี้ส่วนที่เหลือนั้น…ก็สุดแท้แต่นายแล้วล่ะ...วิศรุฒินายจะต้องเปิดประตูนั้นด้วยมือของนายเอง” อีกฝ่าบอกน้ำเสียงขรึม
‘โอเคได้ๆ’ ผมตอบสวนกลับไปในทันที
ถึงนาทีนี้แล้วก็คงไม่ต้องคิดให้มากความ ใครมันอยากลงนรกกันเล่า
“แล้วผมจะรู้ได้ยังไงว่ามันอยู่ไหน?” ผมถามต่อ แต่แล้วเสียงของคู่สนทนาก็ขาดหายไปเสียดื้อๆ
‘สาริกา คุณยังอยู่มั๊ย เฮ้ คุณ’ ผมพยายามร้องเรียก แต่ดูเหมือนว่าหน้าที่ของเธอได้สิ้นสุดลงแล้วพร้อมกับคำสั่งสุดท้าย นั่นคือผมจะต้องเปิดประตูหนีไฟบานเล็กๆ ที่จมอยู่ในคลื่นวิญญาณสวะให้จงได้
“ผมไม่ได้ทำอะไรผิด ท่านมาจับผมทำไม ปล่อยนะผมไม่ไป!” ผมปฏิเสธพร้อมกับกระชากมือกลับ เสียงสะอื้นที่เจือในถ้อยคำซึ่งแสร้งทำเป็นเข้มแข็งคงไม่ต่างอะไรกับพวกสุนัขจนตรอกที่เห่าใส่พญาราชสีห์
“ฮ่า ฮ่า พวกเดนมนุษย์ก็มักจะพูดเช่นนี้แล” อีกฝ่ายหนึ่งหัวเราะเสียงกึกก้อง “แน่ใจหรือว่าเจ้าไม่ได้ทำสิ่งใดที่ทำให้ข้าต้องรุดขึ้นมาถึงที่นี่”
‘นี่เราทำอะไรลงไปอย่างนั้นเหรอ’ ผมพยายามไตร่ตรองทบทวนการกระทำของตนเอง แล้วก็สำนึกถึงความผิดนั้น หรือว่าเป็นเพราะเรา…
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ไอ้พวกวิญญาณสวะพากันหัวเราะเยาะเย้ยกันครื้นเครง ท่าทีแข็งขืนของผมคงไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์เลวร้ายดีขึ้นกว่าที่เป็นเลยแม้แต่น้อย
ระหว่างนั้นเองที่พลันได้ยินเสียงๆ หนึ่งเล็ดลอดเข้ามาในรูหู
“ฮัลโหล หนึ่ง สอง สาม สี่ ได้ยินมั๊ยนายวิศรุฒิ ถ้าได้ยินแล้วตอบฉันด้วยนะนี่ฉันเองสาริกา”
“สาริกา…” ผมเปรยออกมาด้วยความดีใจอย่างสุดจะกลั้น
“ชูวส์ เบาๆ สิอย่ากระโตกกระตากไป” หญิงสาวเอ่ยเตือน
“อื้ม…” ผมพยักหน้าหงึกน้ำตาท่วมหน้าไปหมดแล้ว แต่ถึงกระนั้นก็หลุดยิ้มออกมาจนได้ ผมดีใจ ดีใจจริงๆ ที่เธอไม่ได้ทิ้งผมไป…เธอกลับมาช่วยผมละแล้…
“ฉันมาบอกลา” คำพูดของสาริกาที่สวนเข้ามาทำเอาความหวังที่กำลังเรืองรองดับวูบลงในทันที
‘อ่าวเฮ้ย…เวรแล้วไง!’ นี่เธอจะทอดทิ้งผมไปจริงๆ หรือนี่ ผมคิดด้วยความตระหนกตกใจ ทันใดนั้นมือโตเรียวที่กำข้อเท้าผมไว้ก็คลายออก
“นายท่าน เอามันไปไต่สวน เอามันไปรับผิด” ไอ้พวกวิญญาณกะโหลกกะลาร้องเชียร์กันยกใหญ่ แม้จะก่อกวนอารมณ์ให้ขุ่นเคืองอยู่มากแต่ผมก็ยังคงตั้งสมาธิพูดคุยกับสาริกาผ่านห้วงความคิดระหว่างเราทั้งสองคน โดยที่ยังไม่มีพวกมันตนใดตนหนึ่งผิดสังเกตกับท่าทีของผมที่สงบปากสงบคำลง
“ล้อเล่นน่าา….” อีกฝ่ายกลับคำก่อนจะเปลี่ยนมาพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังมากขึ้น “ฉันพานายมาแล้วยังไงก็ต้องรับผิดชอบให้ถึงที่สุดล่ะนะ…เอาล่ะตั้งใจฟังให้ดีนะ”
‘ปัดโธ่เอ้ย ยัยบ็องส์’ ผมอารมณ์ขุ่นอย่างคนเสียเส้น
เป็นอีกครั้งที่ร่างของผมวูบไหวอย่างแรงด้วยความลุ้นระทึก
“สิ่งที่นายต้องทำก็คือ เปิดประตู” นางฟ้าสาวกล่าว
‘ห๊ะอะไรนะให้ผมเปิดประตูเนี่ยนะ’ ผมเอี้ยวคอหันขวั่บไปทันที แล้วก็พบว่าผนังด้านหลังถูกพวกมันยึดครองไปหมดแล้วจะให้ผมเปิดมันทั้งๆ ที่รอบตัวผมมีแต่ความมืดและแสงอันน้อยนิดจากโซ่เหล็กร้อนๆ เนี่ยนะ
‘ผมทำไม่ได้หรอก’ ผมบอกเธอก่อนจะขอต่อรอง ‘มีแต่พวกมันยั้วเยี้ยไปหมดแบบนี้ผมจะทำได้ยังไง คุณไม่มีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้แล้วเหรอ’
“ไม่ค่ะ” หญิงสาวตอบห้วนๆ ก่อนจะยืนกรานเสียงแข็ง
“ถ้าไม่ทำหรือทำไม่ได้ก็เตรียมลงไปกราบเท้าท่านพญามัจจุราชได้เลย…ก็ช่วยไม่ได้นายอยากสบตาท่านท้าวเองนี่นะถึงได้โดนจับได้เตือนแล้วเตือนอีกว่าให้ระวังก็ไม่เชื่อ”
‘ก็ไอ้พวกนั้นมันจี๋ผม’ ผมชี้แจงแต่มันคงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะมาทุ่มเถียงกันในตอนนี้ จึงจำต้องรับสภาพ ‘รู้แล้วน่า…คุณยาย’ ผมมิวายยอกย้อน
ทันใดนั้นเอง
ตรวนเหล็กที่รัดข้อมืออยู่กระตุกไปข้างหน้า สายโซ่ถูกสาวไปช้าๆ ราวกับรอกที่ค่อยๆ กลืนหายเข้าไปในม่านสีดำสนิท
“โอ๊ยย!” ผมอุทานด้วยความเจ็บปวดเหลือแสน แต่ก็ยังพยายามดึงแขนฝืนร่างไว้เต็มกำลังแม้จะรู้ดีว่าคงจะทานทนพิษสงของตรวนเหล็กร้อนไปได้อีกไม่กี่น้ำ เลือดแดงฉานไหลอาบลงมาเรื่อยๆ หยดย้อยลงมาตามแขน ทรมานเหลือเกิน
รู้สึกเหมือนมือกำลังจะขาดออกเสียให้ได้
“รีบตัดสินใจเข้านะก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไปฉันคงช่วยนายได้เพียงเท่านี้ส่วนที่เหลือนั้น…ก็สุดแท้แต่นายแล้วล่ะ...วิศรุฒินายจะต้องเปิดประตูนั้นด้วยมือของนายเอง” อีกฝ่าบอกน้ำเสียงขรึม
‘โอเคได้ๆ’ ผมตอบสวนกลับไปในทันที
ถึงนาทีนี้แล้วก็คงไม่ต้องคิดให้มากความ ใครมันอยากลงนรกกันเล่า
“แล้วผมจะรู้ได้ยังไงว่ามันอยู่ไหน?” ผมถามต่อ แต่แล้วเสียงของคู่สนทนาก็ขาดหายไปเสียดื้อๆ
‘สาริกา คุณยังอยู่มั๊ย เฮ้ คุณ’ ผมพยายามร้องเรียก แต่ดูเหมือนว่าหน้าที่ของเธอได้สิ้นสุดลงแล้วพร้อมกับคำสั่งสุดท้าย นั่นคือผมจะต้องเปิดประตูหนีไฟบานเล็กๆ ที่จมอยู่ในคลื่นวิญญาณสวะให้จงได้
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ