ปาฏิหาริย์โลกวิญญาณ (ได้รับการตีพิมพ์จากAmity Publishing แล้ว)
5.3
เขียนโดย watcharakarn
วันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 เวลา 12.10 น.
67 ตอน
3 วิจารณ์
41.88K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 23.09 น. โดย เจ้าของนิยาย
12) วิญญาณสวะ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความมือข้างหนึ่งของไอ้วิญญาณโสโครกพวกนั้นคว้าหมับเข้าที่ข้อเท้าซ้ายของผม
“เหว๋ออ!” อารามตกใจทำให้ผมร้องลั่นสะดุ้งโหยงยิ่งในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ด้วยแล้วยังมาซวยถูกเล่นงานเข้าอีก…บ้าชะมัด
“ปล่อยนะเว้ย ฉันบอกให้ปล่อย!” ผมตะคอกใส่มันอย่างโกรธจัด ใบหน้าซีดๆ อันหลอกหลอนของชายชราหัวล้านเลี่ยนแบบทุ่งหมาหลงโผล่ขึ้นมาจากธารน้ำดำข้นเหนียวตรงข้างๆ เท้าซ้ายของผมพร้อมกับจ้องเขม็งขึ้นมาชวนให้อกสั่นขวัญผวาอยากถอยหนี ทว่าแม้จะพยายามออกเรี่ยวแรงชักขาเท่าใดมันก็หน่วงหนึบเท้าจนแทบยกไม่ไหว
“อื้ดด…ฮึ่บ” คราวนี้ผมลองใช้มือดึงต้นขาอีกแรงแต่ก็ไม่เป็นผล
“ฮ่าฮ่าฮ่าจะหนีไปไหนจับได้แล้ว ไปอยู่กับพวกเราเถอะ ไปอยู่กับพวกเราาาา” เจ้าของใบหน้าเหี่ยวๆ ผอมตอบดวงตาเล็กรีเหมือนพวกอาแปะอากงหัวเราะร่วนจนตาหยีก่อนจะพูดพล่ามอะไรก็ไม่รู้ซึ่งผมไม่อยากจะฟัง
“หุบปากนะไอ้ผีสวะ!” ผมแผดเสียงลั่น เจ็บใจเหลือเกินที่เสียรู้พวกมันทั้งๆ ที่เกือบจะรอดไปได้อยู่แล้วเชียว อีกนิดเดียวแท้ๆ เวรเอ้ยน่าเจ็บใจนัก
“ฉันไม่ไปไหนกับพวกแกทั้งนั้นแหละ” ผมตวาดซ้ำ
“ฮึ่บ” แม้จะลองพยายามดูอีกหนแต่ก็ไม่สำเร็จ มือเรียวใหญ่นั้นยังคงกำข้อเท้าผมไว้แน่น
‘ทำไงดี ทำไงดี’ ผมคิด คิด คิด อย่างร้อนรนขณะที่เหล่าใบหน้าชายหญิงเหล่านั้นพากันอ้าปากหัวเราะเยาะเย้ยเสียงดังอื้ออึง
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
“ฮิ ฮิ ฮิ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
ภายใต้ความมืดและแสงไฟวับแวมมีแต่ใบหน้า ท่อนแขนยาวๆ และฝ่ามือของพวกมันเต็มฝาผนัง แน่นขนัดอยู่ตามพื้น ผุดโผล่ลงมาจากฝ้าเพดานพรืดไปหมด ช่างเป็นภาพที่น่าขนผองสยองเกล้ายิ่งนัก
“ช่วยด้วย สาริกาช่วยผมด้วย ผมถูกมันจับได้!” ผมเอียงตัวหันไปร้องเรียกหญิงสาวผ่านบานประตูซึ่งในตอนนี้ถูกพวกวิญญาณสวะกลบกลืนไปหมดแล้วอย่างอับจนหนทาง ปรารถนาให้เสียงจากผู้ขลาดกลัวสะท้อนไปถึงหูของนางอัปสร แต่ไอ้พวกเวรนั่นก็ยังขัดคอผมไม่เลิก
“ไม่มีใครช่วยแกได้หรอก มาอยู่กับพวกเราเถิดดดด พวกเราเหงา เหงาเหลือเกินนน” มันคร่ำครวญแล้วจึงเปล่งเสียงดังฮือ ฮือ ออกมาจากช่องปากเสียงโหยหวน
‘พวกแกเหงาแล้วมาเกี่ยวอะไรกับฉันเนี่ยไอ้ผีบ้า’
‘สาริกาช่วยด้วย’ ผมภาวนาด้วยความกลัวจับใจ…แต่ก็ไร้วี่แวว อีกฝ่ายจากไปแล้วโดยทิ้งผมไว้ให้เผชิญชะตากรรมแต่เพียงผู้เดียว
พอตระหนักถึงความพลั้งพลาดแล้วก็คิดเสียดายจนน้ำตาคลอ
‘เราช้าไป ช้าเกินไป’
“ปล่อยนะโว้ย!” ผมตะคอกขู่พลางดึงเท้าขวาขึ้นพรวดหวังจะกระทืบหน้าให้มันเจ็บปวดจนต้องยอมปล่อยทว่าสถานการณ์กลับเลวร้ายลงไปอีก เมื่อแรงกระชากทำให้ร่างที่ยืนอยู่เสียการทรงตัวเอนไปแอ่นมาเหมือนต้นไม้ที่กำลังโงนเงนจะล้มมิล้มแหล่สองมือแผ่กางราวกับตีนจิ้กจกตุ๊กแกที่กำลังหาที่ยึดเกาะ แต่เมื่อมองไปรอบด้านก็เห็นแต่ใบหน้าซีดราวกับศพ ท่อนแขนและอุ้งมือมากมายพยายามไขว่คว้าหมายจะจับผม
“หึ๋ยย!” ผมอุทานลั่นเมื่อไม่อาจประคองตัวได้อีกต่อไป
“ปึ้ก!” หัวเข่าขวาที่ปักทิ่มลงไปใส่หน้าของวิญญาณสวะอีกตนอย่างจังทำให้มันทำหน้าเหยเกหลับตาปี๋ แน่นอนว่ามันคงเจ็บที่ถูกกระแทกเต็มแรงจนน้ำสีดำอุ่นๆ ไหลออกมาจากโพรงจมูกนั่นราวกับเลือดกำเดาไหล แต่ผมกลับไม่รู้สึกดีใจเลยแม้แต่น้อยเมื่อต้องอยู่ในท่าน่าอึดอัดทรมานแบบนี้โดยเฉพาะเมื่อมองเห็นมันลืมตาโพลงขึ้นมาและอ้าปากใช้แผงฟันผุกร่อนสีคล้ำดูเน่าๆ งับหัวเข่าผมไว้แล้วก็…
“เฮ้ยอย่านะ ฮ่า ฮ่า จั๊กกะจี้” ผมหลุดออกอาการเมื่อถูกมันใช้ลิ้นดุนๆ และเลียแผล็บระรัว ส่วนปากพะงาบงับขึ้นลงฟันแข็งๆ ครูดไปบนผิวเนื้ออ่อนแทะเล็มเข่าผมประหนึ่งดังเด็กน้อยที่กำลังโลมเลียอมยิ้มอย่างเอร็ดอร่อยให้ความรู้สึกเจ็บแปลบและเย็นๆ คันๆ ในคราวเดียว
ทันใดนั้นเองที่ผมเผลอเหลือบสายตาขึ้นมองข้างหน้าอย่างลืมตัว
‘อ๊ะ!’ ซวยแล้ว
“วืบบ” ฉับพลันดวงเนตรสีแดงเรืองคู่นั้นก็ปิดลงแล้วกลืนหายเข้าไปในความมืดมิดพร้อมกับเปลวเพลิงบนมหาไม้เท้าอันเรืองฤทธิ์เหลือเพียงเวิ้งอากาศสีนิลและกลิ่นอายอันน่าสะพรึงที่แผ่ปกคลุมไปถ้วนทั่ว ครู่หนึ่งที่สรรพเสียงเงียบลงราวกับมหรรณพที่ไร้คลื่นลม
ก่อนที่ชั่วพริบตาจะปรากฏตรวนเหล็กร้อนฉ่าจนเห็นเป็นสีแดงส้มล็อกข้อมือขวาของผมเอาไว้พร้อมกับสายโซ่ระอุไฟราวกับถูกแผดเผาในอุณหภูมิที่ร้อนจัดลากโยงเข้าไปในความมืดมิดดั่งรัตติกาลนั้น
“อ๊าาาาาาก ร้อนนน!!!” ผมร้องลั่นด้วยความตกใจระคนเจ็บปวดทรมาน รู้สึกแสบร้อนจนดิ้นพล่านน้ำตาไหลนองอาบหน้า รีบใช้มืออีกข้างแกะออกตามสัญชาตญาณแต่แค่เพียงแตะก็ต้องสะบัดมือหนีเพราะมันร้อนเหลือจนนิ้วมือพองไปหมด
‘เกิดอะไรขึ้นกันวะเนี่ย’
“วื้บบบ!” ไม่ทันไรสายเหล็กก็ขึงตึงแล้วกระชากไปข้างหน้าอย่างแรงจนตัวผมโยนไปตามทิศทางที่ถูกกระตุก
“โอ๊ยยย!” ผมโอดครวญเมื่อถูกแผ่นเหล็กร้อนๆ จี้ผิวหนังบริเวณข้อมือจนไหม้ลึกไปถึงเนื้อใน เลือดไหลโซมลงมา จากบาดแผลเหวอะ ก่อนที่มันจะถูกดึงอีกครั้งราวกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างภายใต้ความมืดกำลังสาวลากโซ่เส้นนี้อยู่
“โอ๊ยยย เจ็บนะโว้ยยย!” ผมตะเบ็งเสียงอย่างโกรธจัด ความเจ็บปวดแล่นร้าวไปทั่วทั้งแขนขณะที่ผมพยายามขืนตัวยันกายไว้อย่างสุดกำลังก่อนที่เสียงทุ้มเปี่ยมพลังอำนาจจะดังขึ้นอีกครั้ง
“เหว๋ออ!” อารามตกใจทำให้ผมร้องลั่นสะดุ้งโหยงยิ่งในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ด้วยแล้วยังมาซวยถูกเล่นงานเข้าอีก…บ้าชะมัด
“ปล่อยนะเว้ย ฉันบอกให้ปล่อย!” ผมตะคอกใส่มันอย่างโกรธจัด ใบหน้าซีดๆ อันหลอกหลอนของชายชราหัวล้านเลี่ยนแบบทุ่งหมาหลงโผล่ขึ้นมาจากธารน้ำดำข้นเหนียวตรงข้างๆ เท้าซ้ายของผมพร้อมกับจ้องเขม็งขึ้นมาชวนให้อกสั่นขวัญผวาอยากถอยหนี ทว่าแม้จะพยายามออกเรี่ยวแรงชักขาเท่าใดมันก็หน่วงหนึบเท้าจนแทบยกไม่ไหว
“อื้ดด…ฮึ่บ” คราวนี้ผมลองใช้มือดึงต้นขาอีกแรงแต่ก็ไม่เป็นผล
“ฮ่าฮ่าฮ่าจะหนีไปไหนจับได้แล้ว ไปอยู่กับพวกเราเถอะ ไปอยู่กับพวกเราาาา” เจ้าของใบหน้าเหี่ยวๆ ผอมตอบดวงตาเล็กรีเหมือนพวกอาแปะอากงหัวเราะร่วนจนตาหยีก่อนจะพูดพล่ามอะไรก็ไม่รู้ซึ่งผมไม่อยากจะฟัง
“หุบปากนะไอ้ผีสวะ!” ผมแผดเสียงลั่น เจ็บใจเหลือเกินที่เสียรู้พวกมันทั้งๆ ที่เกือบจะรอดไปได้อยู่แล้วเชียว อีกนิดเดียวแท้ๆ เวรเอ้ยน่าเจ็บใจนัก
“ฉันไม่ไปไหนกับพวกแกทั้งนั้นแหละ” ผมตวาดซ้ำ
“ฮึ่บ” แม้จะลองพยายามดูอีกหนแต่ก็ไม่สำเร็จ มือเรียวใหญ่นั้นยังคงกำข้อเท้าผมไว้แน่น
‘ทำไงดี ทำไงดี’ ผมคิด คิด คิด อย่างร้อนรนขณะที่เหล่าใบหน้าชายหญิงเหล่านั้นพากันอ้าปากหัวเราะเยาะเย้ยเสียงดังอื้ออึง
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
“ฮิ ฮิ ฮิ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
ภายใต้ความมืดและแสงไฟวับแวมมีแต่ใบหน้า ท่อนแขนยาวๆ และฝ่ามือของพวกมันเต็มฝาผนัง แน่นขนัดอยู่ตามพื้น ผุดโผล่ลงมาจากฝ้าเพดานพรืดไปหมด ช่างเป็นภาพที่น่าขนผองสยองเกล้ายิ่งนัก
“ช่วยด้วย สาริกาช่วยผมด้วย ผมถูกมันจับได้!” ผมเอียงตัวหันไปร้องเรียกหญิงสาวผ่านบานประตูซึ่งในตอนนี้ถูกพวกวิญญาณสวะกลบกลืนไปหมดแล้วอย่างอับจนหนทาง ปรารถนาให้เสียงจากผู้ขลาดกลัวสะท้อนไปถึงหูของนางอัปสร แต่ไอ้พวกเวรนั่นก็ยังขัดคอผมไม่เลิก
“ไม่มีใครช่วยแกได้หรอก มาอยู่กับพวกเราเถิดดดด พวกเราเหงา เหงาเหลือเกินนน” มันคร่ำครวญแล้วจึงเปล่งเสียงดังฮือ ฮือ ออกมาจากช่องปากเสียงโหยหวน
‘พวกแกเหงาแล้วมาเกี่ยวอะไรกับฉันเนี่ยไอ้ผีบ้า’
‘สาริกาช่วยด้วย’ ผมภาวนาด้วยความกลัวจับใจ…แต่ก็ไร้วี่แวว อีกฝ่ายจากไปแล้วโดยทิ้งผมไว้ให้เผชิญชะตากรรมแต่เพียงผู้เดียว
พอตระหนักถึงความพลั้งพลาดแล้วก็คิดเสียดายจนน้ำตาคลอ
‘เราช้าไป ช้าเกินไป’
“ปล่อยนะโว้ย!” ผมตะคอกขู่พลางดึงเท้าขวาขึ้นพรวดหวังจะกระทืบหน้าให้มันเจ็บปวดจนต้องยอมปล่อยทว่าสถานการณ์กลับเลวร้ายลงไปอีก เมื่อแรงกระชากทำให้ร่างที่ยืนอยู่เสียการทรงตัวเอนไปแอ่นมาเหมือนต้นไม้ที่กำลังโงนเงนจะล้มมิล้มแหล่สองมือแผ่กางราวกับตีนจิ้กจกตุ๊กแกที่กำลังหาที่ยึดเกาะ แต่เมื่อมองไปรอบด้านก็เห็นแต่ใบหน้าซีดราวกับศพ ท่อนแขนและอุ้งมือมากมายพยายามไขว่คว้าหมายจะจับผม
“หึ๋ยย!” ผมอุทานลั่นเมื่อไม่อาจประคองตัวได้อีกต่อไป
“ปึ้ก!” หัวเข่าขวาที่ปักทิ่มลงไปใส่หน้าของวิญญาณสวะอีกตนอย่างจังทำให้มันทำหน้าเหยเกหลับตาปี๋ แน่นอนว่ามันคงเจ็บที่ถูกกระแทกเต็มแรงจนน้ำสีดำอุ่นๆ ไหลออกมาจากโพรงจมูกนั่นราวกับเลือดกำเดาไหล แต่ผมกลับไม่รู้สึกดีใจเลยแม้แต่น้อยเมื่อต้องอยู่ในท่าน่าอึดอัดทรมานแบบนี้โดยเฉพาะเมื่อมองเห็นมันลืมตาโพลงขึ้นมาและอ้าปากใช้แผงฟันผุกร่อนสีคล้ำดูเน่าๆ งับหัวเข่าผมไว้แล้วก็…
“เฮ้ยอย่านะ ฮ่า ฮ่า จั๊กกะจี้” ผมหลุดออกอาการเมื่อถูกมันใช้ลิ้นดุนๆ และเลียแผล็บระรัว ส่วนปากพะงาบงับขึ้นลงฟันแข็งๆ ครูดไปบนผิวเนื้ออ่อนแทะเล็มเข่าผมประหนึ่งดังเด็กน้อยที่กำลังโลมเลียอมยิ้มอย่างเอร็ดอร่อยให้ความรู้สึกเจ็บแปลบและเย็นๆ คันๆ ในคราวเดียว
ทันใดนั้นเองที่ผมเผลอเหลือบสายตาขึ้นมองข้างหน้าอย่างลืมตัว
‘อ๊ะ!’ ซวยแล้ว
“วืบบ” ฉับพลันดวงเนตรสีแดงเรืองคู่นั้นก็ปิดลงแล้วกลืนหายเข้าไปในความมืดมิดพร้อมกับเปลวเพลิงบนมหาไม้เท้าอันเรืองฤทธิ์เหลือเพียงเวิ้งอากาศสีนิลและกลิ่นอายอันน่าสะพรึงที่แผ่ปกคลุมไปถ้วนทั่ว ครู่หนึ่งที่สรรพเสียงเงียบลงราวกับมหรรณพที่ไร้คลื่นลม
ก่อนที่ชั่วพริบตาจะปรากฏตรวนเหล็กร้อนฉ่าจนเห็นเป็นสีแดงส้มล็อกข้อมือขวาของผมเอาไว้พร้อมกับสายโซ่ระอุไฟราวกับถูกแผดเผาในอุณหภูมิที่ร้อนจัดลากโยงเข้าไปในความมืดมิดดั่งรัตติกาลนั้น
“อ๊าาาาาาก ร้อนนน!!!” ผมร้องลั่นด้วยความตกใจระคนเจ็บปวดทรมาน รู้สึกแสบร้อนจนดิ้นพล่านน้ำตาไหลนองอาบหน้า รีบใช้มืออีกข้างแกะออกตามสัญชาตญาณแต่แค่เพียงแตะก็ต้องสะบัดมือหนีเพราะมันร้อนเหลือจนนิ้วมือพองไปหมด
‘เกิดอะไรขึ้นกันวะเนี่ย’
“วื้บบบ!” ไม่ทันไรสายเหล็กก็ขึงตึงแล้วกระชากไปข้างหน้าอย่างแรงจนตัวผมโยนไปตามทิศทางที่ถูกกระตุก
“โอ๊ยยย!” ผมโอดครวญเมื่อถูกแผ่นเหล็กร้อนๆ จี้ผิวหนังบริเวณข้อมือจนไหม้ลึกไปถึงเนื้อใน เลือดไหลโซมลงมา จากบาดแผลเหวอะ ก่อนที่มันจะถูกดึงอีกครั้งราวกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างภายใต้ความมืดกำลังสาวลากโซ่เส้นนี้อยู่
“โอ๊ยยย เจ็บนะโว้ยยย!” ผมตะเบ็งเสียงอย่างโกรธจัด ความเจ็บปวดแล่นร้าวไปทั่วทั้งแขนขณะที่ผมพยายามขืนตัวยันกายไว้อย่างสุดกำลังก่อนที่เสียงทุ้มเปี่ยมพลังอำนาจจะดังขึ้นอีกครั้ง
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ