ปาฏิหาริย์โลกวิญญาณ (ได้รับการตีพิมพ์จากAmity Publishing แล้ว)
5.3
เขียนโดย watcharakarn
วันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 เวลา 12.10 น.
67 ตอน
3 วิจารณ์
41.94K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 23.09 น. โดย เจ้าของนิยาย
10) เทวานิรมิต
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“ว๊าาากอีผีจูออน!” ผมร้องลั่นตัวสั่นขวัญผวาก่อนจะปล่อยหมัดตุ้ยท้องแฟบๆ เข้าไปเต็มรักจนมันตัวงอ ใบหน้าขาววอก ริมฝีปากซีดเซียวและกลุ่มผมยาวสีนิลนั่นพาลให้ผมคิดเตลิดถึง ‘คายาโกะ’ ผีแม่ลูกอ่อนสุดเฮี้ยนที่เต็มไปด้วยแรงอาฆาตในภาพยนตร์แนวระทึกขวัญสั่นประสาทของญี่ปุ่น เพียงแต่ไอ้ผีตัวนี้ที่ผมเจอดูแก่ชรากว่ามาก
“อุ๊ก!” มันร้องอุทานพลางเลื่อนมือขวากุมหน้าท้อง ส่วนมือซ้ายทำทีเป็นยกมือขึ้นเป็นเชิงห้ามแต่ไม่ทันที่ผมจะปล่อยให้มันได้พูด
“ฉันกะแล้วว่าแกต้องเป็นนังผีร้าย” ผมประกาศเสียงกร้าวไม่รอช้าวาดกำปั้นชกเปรี้ยงเข้าใส่ใบหน้าเหี่ยวย่นด้านข้างอย่างจังจนอีกฝ่ายหน้าหันร่างผอมๆ ล้มโครมลงไปกองกับพื้น
ไม่ผิดจากที่สังหรณ์ใจไว้จริงๆ ด้วย มันคงพยายามล่อลวงผมให้ติดกับโดยจำแลงกายเป็นนางฟ้าแสนสวยอกสะบึมหลอกล่อยั่วยวนให้เราตายใจ ถึงตอนนี้คงต้องยอมรับเลยว่า
มันน่ากลัวจริงๆ
“หยะหยะหยุดก่อนน ฟังฉันก่อนนน” มันแกล้งอ้อนวอนเสียงแหบแห้ง โถ…ดูน่าเวทนาชะมัด…แต่ไม่สำเร็จหรอกนังผีหงำเหงือก
หนอยแน่ทำเป็นสำออยเรอะ
“ป้าบ!” ผมเตะอีกดอกเข้าตรงชายโครงจนนังผีร้อยเล่มเกวียนตัวงอเหมือนกุ้ง…โชคดีจริงๆ ที่ผมไหวตัวทันชิงโจมตีมันก่อน ไม่อย่างนั้นผมคงโดนมันเล่นงานแย่แน่ๆ
“ฉะฉะฉันไปฆ่าพ่อแกเหรอออ”
หนอยแน่มันยังมีหน้ามาพูดจายโสโอหังใส่ผม คงต้องสั่งสอนอีกสักทีแต่ขณะที่กำลังเตะซ้ำลงไปนั่นเอง อีกฝ่ายซึ่งนอนตะแคงข้างอยู่ก็ใช้สองมือคว้าหมับเข้าที่ฝ่าเท้าของผมแล้วยกขึ้นพรวดจนผมเสียหลักหงายเก๋ง
“เหวอออ!”
‘เสร็จมันเข้าแล้วสิ’ ร่างของผมล้มตึงอย่างหมดท่า มันซึ่งถือไพ่เหนือกว่ารีบคลานเข้าหาคร่อมตัวผมไว้ทันที
“อย่านะ อย่าเข้ามา อย่า กลัวแล้ว” ผมพยายามยกมือยกไม้ขึ้นป้องใบหน้าหลับตาปี๋ โอ้…ถ้าคราวนี้มันฆ่าผมตายซ้ำสองจะทำไงดี
“ฉันไม่ใช่ผีโว้ยไอ้บ้า!” มันกระชากคอเสื้อผมดึงขึ้นมาตะคอกใส่หน้าก่อนจะกระแทกหลังผมกับพื้นเต็มแรงดังอั๊ก ถึงขนาดนี้แล้วยังมีหน้ามาแก้ตัวน้ำขุ่นๆ อีกหรือนี่
“ทำอะไรไม่มีสติแบบนี้ถึงได้ตายโง่ๆ แบบนี้ไง” ถ้อยคำนั้นทำให้ผมพลันตาสว่าง “นี่ยังไม่แน่ใจอีกเหรอว่าฉันคือนางฟ้าตัวจริงเสียงจริง” อีกฝ่ายบอกเสียงฉุน
“แล้วทำไม ทำไมคุณถะถึงหน้ายับแล้วก็ขาวโบ๊ะเป็นผีโปะแป้งแบบนั้นล่ะ” แม้จะยังกลัวๆ อยู่แต่ก็อดที่จะเถียงออกไปไม่ได้
“ก็ฉันเสียพลังไปเยอะ มันก็เป็นแบบนี้แหละ” เธออธิบายเสียงดุ
หรือว่าผมจะคิดมากเกินไป
“รู้แล้ว รู้แล้ว” ผมตอบไปส่งๆ ให้อีกฝ่ายคลายความโมโห
“ถึงฉันจะเป็นนางฟ้านางสวรรค์ แต่ก็มีความอดทนจำกัดนะยะถ้าคราวหน้ายังทำตัวบ้าๆ แบบนี้อีกล่ะก็ฉันจะซัดนายให้หมอบกระแตเลยทีเดียว” เธอขู่แล้วจึงกระแทกหลังผมลงกับพื้นกระเบื้องสีขาวอีกหน
จากนั้นสาริกาจึงปล่อยมือที่ขยุมอยู่ตรงคอเสื้อยืดแล้วลุกยืนขึ้น
…เฮ้ออโล่งอก
“ฉันคงต้องใช้เวลาอีกสักหน่อยกว่าพลังจะฟื้นคืนดังเดิม” เธอแจงแล้วจึงยกสองมือย่นๆ จับแก้มตอบๆ บ่นงึมงำกับตัวเอง “หน้าไม่ฟูแบบนี้น่าอายจริงๆ เลยเรา”
“รีบลุกขึ้นมาเร็วเข้าเดี๋ยวท่านท้าวก็ตามมาเจอหรอก” อีกฝ่ายสั่งพลางยื่นนิ้วเหี่ยวๆ มาให้ผมจับ
พอเห็นคนชราใส่ชุดเกาะอกเอวลอยสวมถุงมือและรองเท้าบูทส้นเข็มสีแดงแล้วมันก็ละเหี่ยเพลียตับอย่างบอกไม่ถูก
“เอ้าเร็วรีบๆ ยื่นมือมาซะสิ” คุณยาย เอ้ย เธอกล่าวแสดงท่าทีเก้อเขินเล็กน้อยออกมาให้เห็น “อย่าบ่นน่าเดี๋ยวพอนายแก่ก็มีสภาพไม่ต่างจากฉันไปสักเท่าไหร่หรอกตาบื้อ” หญิงชราพูดแก้เกี้ยว
‘อ้อแน่นอน แต่อย่างน้อยผมก็คงไม่เอาชุดสาวพริตตี้มาใส่ฝืนสังขารแบบนี้หรอกมั้ง’ ผมเชื่อสนิทใจว่าที่เห็นนี้คือร่างอันแท้จริงของเธอเป็นแน่ เพราะรูปร่างหน้าตาเหมือนในรูปถ่ายที่เจ้าตัวให้ดูก่อนหน้านี้เปี๊ยบ
“ขอบคุณ” ผมบอกห้วนๆ พร้อมกับยื่นมือซ้ายวางลงบนฝ่ามือเล็กๆ นั่น
“ฮึ่บ” สาริกาโน้มตัวลงใช้สองมือออกแรงฉุดร่างผมให้ลุกยืนขึ้น ร่องอกหย่อนคล้อยใต้ผ้าหนังแก้วสีขาวไหวกระเพื่อมมองแล้วไม่เจริญหูเจริญตาเอาเสียเลย
“เมื่อตะกี้ขอโทษนะคุณผมเข้าใจผิดไปหน่อย…คงไม่เจ็บหรอกใช่มั๊ย” ผมกล่าวแก้เก้อหวังว่าอีกฝ่ายจะไม่ถือโทษโกรธกัน
“พูดเองเออเองเสร็จสรรพเลยนะ…เชอะ” สาริกาค้อนขวั่บเข้าให้ “แค่วิญญาณกระจอกอย่างนายทำอะไรฉันไม่ได้อยู่แล้วล่ะ”
‘คนแก่แล้วงอนเหมือนเด็กวัยรุ่นนี่ดูยังไงก็แปลกๆ แหะ’
“เลิกค่อนแคะฉันได้แล้ว” เธอต่อว่าพลางยกมือจัดเผ้าจัดผมยาวๆ ให้เข้าที่เข้าทาง “ฉันไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้สักหน่อย”
“อะไรคุณผมยังไม่ได้ว่าอะไรคุณเลยสักคำนะ” ผมทักท้วง
“ความคิดนายมันพูดบอกฉันแทนหมดแล้ว” เธอว่าทำเป็นหน้ามุ่ยคิ้วขมวดใหญ่เชียว
ปกติแล้วผมเป็นคนไม่ช่างจำนรรจาสักเท่าไหร่ คนอื่นมักมองว่าผมเป็นคนเงียบขรึม และไม่ค่อยสุงสิงกับใครเท่าใดนัก ซึ่งมันก็ใช่…ยกเว้นเสียแต่ว่ามันมีความจำเป็นหรือวันนั้นอารมณ์ดีมากเป็นพิเศษ ทว่าในทางกลับกันยิ่งผมพูดน้อยเท่าไหร่ก็พบว่าตนเองก็ยิ่งเป็นคนคิดมาก และบ่นพร่ำเพรื่ออยู่ในใจมากขึ้นเท่านั้น…เพราะฉะนั้นเรื่องที่จะห้ามตนเองไม่ให้คิดมันก็คงยากพอๆ กับการเข็นครกขึ้นภูเขานั่นแหละ
“โอเคครับผมจะระมัดระวังให้มากกว่านี้” ผมตอบเอาใจเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายขุ่นเคืองไปมากกว่านี้ อย่างไรเราสองคนก็ถือว่าได้ลงเรือลำเดียวกันแล้วนี่นะ
เมื่อผมมองไปที่นั่น…
ประตูเล็กๆ สีเทาเข้มยังคงปรากฏแสงสีขาวสว่างเจิดจ้าลอดออกมาตามร่องประตูราวกับว่าด้านหลังนั้นมีสปอรท์ไลท์ดวงมหึมาส่องสว่างอยู่กระนั้นแหละ…เหลือเชื่อจริงๆ…ไม่น่าจะเป็นไปได้เพราะผมก็เคยเดินผ่านแถวนี้อยู่บ้างแต่ก็ไม่เคยเห็นอะไรประหลาดแบบนี้มาก่อนเลย
“นั่นมันอะไรน่ะ?” ผมถามด้วยความสงสัยพลางยกมือขึ้นบังและหรี่ตาอยากจะรู้เหลือเกินว่าข้างหลังแผ่นเหล็กนั้นมีอะไรซุกซ่อนอยู่กันแน่
“มันคือประตูเทวานิรมิต…เป็นประตูวิเศษซึ่งสามารถพาเราไปยังสถานที่ต่างๆ ตามแต่ใจปรารถนา” สาริกาซึ่งตอนนี้ผิวขาวเริ่มเปล่งปลั่งผ่องใสเกือบจะกลับมาเหมือนเดิมแล้วอธิบาย “ถ้าจะให้เปรียบก็คงจะคล้ายๆ กับประตูวารป์หรือประตูวิเศษของโดเรม่อนนั่นแหละ” หญิงชราให้คำจำกัดความมันไว้แบบนั้น
“เพียงแต่ว่าประตูเทวานิรมิตนี้ไม่มีรูปลักษณ์ที่ชัดเจนรวมถึงไม่อาจกำหนดตำแหน่งแห่งที่ได้ตายตัว ต้องใช้วิทยาการชั้นสูงจากบนสวรรค์ในการส่งกระแสพลังงานลงมายังโลกมนุษย์รวมถึงตรวจหาพิกัดของมัน” เธอกล่าวอย่างเป็นการเป็นงาน “ซึ่งมีแต่ผู้ที่ละจากกายหยาบแล้วเท่านั้นที่จะเห็นมันได้”
ผมมองอีกฝ่ายด้วยความทึ่งไม่คิดว่าแดนสุขาวดีจะมีเทคโนโลยีที่ก้าวไกลขนาดนี้เชียว คิดๆ ดูคำว่าเทคโนโลยีสำหรับพวกเทวดานางฟ้าจริงๆ แล้วก็คงไม่ต่างอะไรกับการใช้เวทย์มนต์คาถาเสกมาหรอกมั้ง ก็อย่างเช่นเขฬะนาคานั่นไง
เพียงแต่ไอ้ประตูวิเศษนี่คงจะมีระบบอะไรที่มันซับซ้อนเกินกว่าที่เธอจะทำได้เพียงลำพังมากกว่า ส่วนเรื่องที่บอกว่าบนสวรรค์ก็มีเทวดานักประดิษฐ์ฝีมือขั้นเทพอยู่ด้วย…ผมเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อ
อย่างกับหลุดเข้ามาในอีกมิติหนึ่งแน่ะ…
“อุ๊ก!” มันร้องอุทานพลางเลื่อนมือขวากุมหน้าท้อง ส่วนมือซ้ายทำทีเป็นยกมือขึ้นเป็นเชิงห้ามแต่ไม่ทันที่ผมจะปล่อยให้มันได้พูด
“ฉันกะแล้วว่าแกต้องเป็นนังผีร้าย” ผมประกาศเสียงกร้าวไม่รอช้าวาดกำปั้นชกเปรี้ยงเข้าใส่ใบหน้าเหี่ยวย่นด้านข้างอย่างจังจนอีกฝ่ายหน้าหันร่างผอมๆ ล้มโครมลงไปกองกับพื้น
ไม่ผิดจากที่สังหรณ์ใจไว้จริงๆ ด้วย มันคงพยายามล่อลวงผมให้ติดกับโดยจำแลงกายเป็นนางฟ้าแสนสวยอกสะบึมหลอกล่อยั่วยวนให้เราตายใจ ถึงตอนนี้คงต้องยอมรับเลยว่า
มันน่ากลัวจริงๆ
“หยะหยะหยุดก่อนน ฟังฉันก่อนนน” มันแกล้งอ้อนวอนเสียงแหบแห้ง โถ…ดูน่าเวทนาชะมัด…แต่ไม่สำเร็จหรอกนังผีหงำเหงือก
หนอยแน่ทำเป็นสำออยเรอะ
“ป้าบ!” ผมเตะอีกดอกเข้าตรงชายโครงจนนังผีร้อยเล่มเกวียนตัวงอเหมือนกุ้ง…โชคดีจริงๆ ที่ผมไหวตัวทันชิงโจมตีมันก่อน ไม่อย่างนั้นผมคงโดนมันเล่นงานแย่แน่ๆ
“ฉะฉะฉันไปฆ่าพ่อแกเหรอออ”
หนอยแน่มันยังมีหน้ามาพูดจายโสโอหังใส่ผม คงต้องสั่งสอนอีกสักทีแต่ขณะที่กำลังเตะซ้ำลงไปนั่นเอง อีกฝ่ายซึ่งนอนตะแคงข้างอยู่ก็ใช้สองมือคว้าหมับเข้าที่ฝ่าเท้าของผมแล้วยกขึ้นพรวดจนผมเสียหลักหงายเก๋ง
“เหวอออ!”
‘เสร็จมันเข้าแล้วสิ’ ร่างของผมล้มตึงอย่างหมดท่า มันซึ่งถือไพ่เหนือกว่ารีบคลานเข้าหาคร่อมตัวผมไว้ทันที
“อย่านะ อย่าเข้ามา อย่า กลัวแล้ว” ผมพยายามยกมือยกไม้ขึ้นป้องใบหน้าหลับตาปี๋ โอ้…ถ้าคราวนี้มันฆ่าผมตายซ้ำสองจะทำไงดี
“ฉันไม่ใช่ผีโว้ยไอ้บ้า!” มันกระชากคอเสื้อผมดึงขึ้นมาตะคอกใส่หน้าก่อนจะกระแทกหลังผมกับพื้นเต็มแรงดังอั๊ก ถึงขนาดนี้แล้วยังมีหน้ามาแก้ตัวน้ำขุ่นๆ อีกหรือนี่
“ทำอะไรไม่มีสติแบบนี้ถึงได้ตายโง่ๆ แบบนี้ไง” ถ้อยคำนั้นทำให้ผมพลันตาสว่าง “นี่ยังไม่แน่ใจอีกเหรอว่าฉันคือนางฟ้าตัวจริงเสียงจริง” อีกฝ่ายบอกเสียงฉุน
“แล้วทำไม ทำไมคุณถะถึงหน้ายับแล้วก็ขาวโบ๊ะเป็นผีโปะแป้งแบบนั้นล่ะ” แม้จะยังกลัวๆ อยู่แต่ก็อดที่จะเถียงออกไปไม่ได้
“ก็ฉันเสียพลังไปเยอะ มันก็เป็นแบบนี้แหละ” เธออธิบายเสียงดุ
หรือว่าผมจะคิดมากเกินไป
“รู้แล้ว รู้แล้ว” ผมตอบไปส่งๆ ให้อีกฝ่ายคลายความโมโห
“ถึงฉันจะเป็นนางฟ้านางสวรรค์ แต่ก็มีความอดทนจำกัดนะยะถ้าคราวหน้ายังทำตัวบ้าๆ แบบนี้อีกล่ะก็ฉันจะซัดนายให้หมอบกระแตเลยทีเดียว” เธอขู่แล้วจึงกระแทกหลังผมลงกับพื้นกระเบื้องสีขาวอีกหน
จากนั้นสาริกาจึงปล่อยมือที่ขยุมอยู่ตรงคอเสื้อยืดแล้วลุกยืนขึ้น
…เฮ้ออโล่งอก
“ฉันคงต้องใช้เวลาอีกสักหน่อยกว่าพลังจะฟื้นคืนดังเดิม” เธอแจงแล้วจึงยกสองมือย่นๆ จับแก้มตอบๆ บ่นงึมงำกับตัวเอง “หน้าไม่ฟูแบบนี้น่าอายจริงๆ เลยเรา”
“รีบลุกขึ้นมาเร็วเข้าเดี๋ยวท่านท้าวก็ตามมาเจอหรอก” อีกฝ่ายสั่งพลางยื่นนิ้วเหี่ยวๆ มาให้ผมจับ
พอเห็นคนชราใส่ชุดเกาะอกเอวลอยสวมถุงมือและรองเท้าบูทส้นเข็มสีแดงแล้วมันก็ละเหี่ยเพลียตับอย่างบอกไม่ถูก
“เอ้าเร็วรีบๆ ยื่นมือมาซะสิ” คุณยาย เอ้ย เธอกล่าวแสดงท่าทีเก้อเขินเล็กน้อยออกมาให้เห็น “อย่าบ่นน่าเดี๋ยวพอนายแก่ก็มีสภาพไม่ต่างจากฉันไปสักเท่าไหร่หรอกตาบื้อ” หญิงชราพูดแก้เกี้ยว
‘อ้อแน่นอน แต่อย่างน้อยผมก็คงไม่เอาชุดสาวพริตตี้มาใส่ฝืนสังขารแบบนี้หรอกมั้ง’ ผมเชื่อสนิทใจว่าที่เห็นนี้คือร่างอันแท้จริงของเธอเป็นแน่ เพราะรูปร่างหน้าตาเหมือนในรูปถ่ายที่เจ้าตัวให้ดูก่อนหน้านี้เปี๊ยบ
“ขอบคุณ” ผมบอกห้วนๆ พร้อมกับยื่นมือซ้ายวางลงบนฝ่ามือเล็กๆ นั่น
“ฮึ่บ” สาริกาโน้มตัวลงใช้สองมือออกแรงฉุดร่างผมให้ลุกยืนขึ้น ร่องอกหย่อนคล้อยใต้ผ้าหนังแก้วสีขาวไหวกระเพื่อมมองแล้วไม่เจริญหูเจริญตาเอาเสียเลย
“เมื่อตะกี้ขอโทษนะคุณผมเข้าใจผิดไปหน่อย…คงไม่เจ็บหรอกใช่มั๊ย” ผมกล่าวแก้เก้อหวังว่าอีกฝ่ายจะไม่ถือโทษโกรธกัน
“พูดเองเออเองเสร็จสรรพเลยนะ…เชอะ” สาริกาค้อนขวั่บเข้าให้ “แค่วิญญาณกระจอกอย่างนายทำอะไรฉันไม่ได้อยู่แล้วล่ะ”
‘คนแก่แล้วงอนเหมือนเด็กวัยรุ่นนี่ดูยังไงก็แปลกๆ แหะ’
“เลิกค่อนแคะฉันได้แล้ว” เธอต่อว่าพลางยกมือจัดเผ้าจัดผมยาวๆ ให้เข้าที่เข้าทาง “ฉันไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้สักหน่อย”
“อะไรคุณผมยังไม่ได้ว่าอะไรคุณเลยสักคำนะ” ผมทักท้วง
“ความคิดนายมันพูดบอกฉันแทนหมดแล้ว” เธอว่าทำเป็นหน้ามุ่ยคิ้วขมวดใหญ่เชียว
ปกติแล้วผมเป็นคนไม่ช่างจำนรรจาสักเท่าไหร่ คนอื่นมักมองว่าผมเป็นคนเงียบขรึม และไม่ค่อยสุงสิงกับใครเท่าใดนัก ซึ่งมันก็ใช่…ยกเว้นเสียแต่ว่ามันมีความจำเป็นหรือวันนั้นอารมณ์ดีมากเป็นพิเศษ ทว่าในทางกลับกันยิ่งผมพูดน้อยเท่าไหร่ก็พบว่าตนเองก็ยิ่งเป็นคนคิดมาก และบ่นพร่ำเพรื่ออยู่ในใจมากขึ้นเท่านั้น…เพราะฉะนั้นเรื่องที่จะห้ามตนเองไม่ให้คิดมันก็คงยากพอๆ กับการเข็นครกขึ้นภูเขานั่นแหละ
“โอเคครับผมจะระมัดระวังให้มากกว่านี้” ผมตอบเอาใจเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายขุ่นเคืองไปมากกว่านี้ อย่างไรเราสองคนก็ถือว่าได้ลงเรือลำเดียวกันแล้วนี่นะ
เมื่อผมมองไปที่นั่น…
ประตูเล็กๆ สีเทาเข้มยังคงปรากฏแสงสีขาวสว่างเจิดจ้าลอดออกมาตามร่องประตูราวกับว่าด้านหลังนั้นมีสปอรท์ไลท์ดวงมหึมาส่องสว่างอยู่กระนั้นแหละ…เหลือเชื่อจริงๆ…ไม่น่าจะเป็นไปได้เพราะผมก็เคยเดินผ่านแถวนี้อยู่บ้างแต่ก็ไม่เคยเห็นอะไรประหลาดแบบนี้มาก่อนเลย
“นั่นมันอะไรน่ะ?” ผมถามด้วยความสงสัยพลางยกมือขึ้นบังและหรี่ตาอยากจะรู้เหลือเกินว่าข้างหลังแผ่นเหล็กนั้นมีอะไรซุกซ่อนอยู่กันแน่
“มันคือประตูเทวานิรมิต…เป็นประตูวิเศษซึ่งสามารถพาเราไปยังสถานที่ต่างๆ ตามแต่ใจปรารถนา” สาริกาซึ่งตอนนี้ผิวขาวเริ่มเปล่งปลั่งผ่องใสเกือบจะกลับมาเหมือนเดิมแล้วอธิบาย “ถ้าจะให้เปรียบก็คงจะคล้ายๆ กับประตูวารป์หรือประตูวิเศษของโดเรม่อนนั่นแหละ” หญิงชราให้คำจำกัดความมันไว้แบบนั้น
“เพียงแต่ว่าประตูเทวานิรมิตนี้ไม่มีรูปลักษณ์ที่ชัดเจนรวมถึงไม่อาจกำหนดตำแหน่งแห่งที่ได้ตายตัว ต้องใช้วิทยาการชั้นสูงจากบนสวรรค์ในการส่งกระแสพลังงานลงมายังโลกมนุษย์รวมถึงตรวจหาพิกัดของมัน” เธอกล่าวอย่างเป็นการเป็นงาน “ซึ่งมีแต่ผู้ที่ละจากกายหยาบแล้วเท่านั้นที่จะเห็นมันได้”
ผมมองอีกฝ่ายด้วยความทึ่งไม่คิดว่าแดนสุขาวดีจะมีเทคโนโลยีที่ก้าวไกลขนาดนี้เชียว คิดๆ ดูคำว่าเทคโนโลยีสำหรับพวกเทวดานางฟ้าจริงๆ แล้วก็คงไม่ต่างอะไรกับการใช้เวทย์มนต์คาถาเสกมาหรอกมั้ง ก็อย่างเช่นเขฬะนาคานั่นไง
เพียงแต่ไอ้ประตูวิเศษนี่คงจะมีระบบอะไรที่มันซับซ้อนเกินกว่าที่เธอจะทำได้เพียงลำพังมากกว่า ส่วนเรื่องที่บอกว่าบนสวรรค์ก็มีเทวดานักประดิษฐ์ฝีมือขั้นเทพอยู่ด้วย…ผมเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อ
อย่างกับหลุดเข้ามาในอีกมิติหนึ่งแน่ะ…
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ