Realm of Udis : When the great kingdom had fallen. The last warrior reincarnated to another world
เขียนโดย asitara
วันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2564 เวลา 12.02 น.
แก้ไขเมื่อ 25 มกราคม พ.ศ. 2564 12.13 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) บทที่๑ ในราตรีอันธกาล
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ...กลางฤดูหนาว ศักราช ๑๗๐๔…
เสียงฟ้าคำรามก้องมาเป็นระยะๆสลับกับสายฝนที่โปรยปรายเป็นม่านขาว ฝนหลงฤดูที่ไม่ควรจะมีมาในฤดูกาลนี้กลับสาดซัดลงสู่นครหลวงของอาณาจักรอันเพิ่งฟื้นขึ้นจากกองเถ้าธุลีแห่งความพินาศได้เพียง 15 ขวบปีราวกับเป็นการไว้อาลัย ฟืนไฟในเมืองมอดดับลับแสงเหลือไว้เพียงความมืดมิดของราตรีกาล ผสานกับความเงียบงันซึมเซาในพยับเมฆหมอก...แล้วเพียงไม่นาน ทั้งพายุและฝนก็ค่อยๆซาลง ดั่งเช่นดวงชะตาของอาณาจักรนั้น
...ความวุ่นวายและสงครามกลางเมืองที่เผาไหม้ให้พระนครแห่งใหม่สิ้นสุดอายุขัยลงอย่างรวดเร็วบัดนี้สงบราบคาบลงแล้ว ไม่มีผู้ใดอาจหาญขึ้นมาท้าทายถามอำนาจของ “เจ้าชีวิต” ผู้เพิ่งผ่านพิภพพิชิตชัยในสงครามที่ผ่านมาหมาดๆ บนเชิงเทินป้อมกำแพงเมือง ศีรษะของเหล่าผู้พ่ายแพ้แห่งอาณาจักรเก่ายังคงถูกเสียบประจานไว้ให้แร้งกาจิกกินชวนทุเรศสังเวชนัยน์ตา ไม่นับขุนนางน้อยใหญ่นับร้อยที่ล้มตายเพราะมีข้อเคืองขัดในกาลก่อนแก่เจ้าผู้ครองแผ่นดินมาแต่ต้นจนแทบหาที่ฝังศพไม่ได้ ในยามค่ำคืนหามีผู้ใดกล้าออกนอกเคหาไม่ ด้วยว่ามีผีตายโหงหัวขาดถูกฝังอยู่กลาดเกลื่อนจนมีเสียงร่ำลือว่า ทุกราตรีผีร้ายวิญญาณหลอนออกอาละวาดอยู่ทั่วไป…
ไม่ไกลนักจากแนวป้อมกำแพงเมืองมีคุกที่ถูกสร้างขึ้นอยู่ริมแม่น้ำสายใหญ่ ในคุกแห่งนั้นบรรยากาศเยียบเย็น มีเพียงแสงไฟสลัวรางจากคบไฟที่ส่องให้ความสว่างไม่กี่ดวง แสงวูบวาบสะท้อนให้เกิดเงามืดมัวคล้ายกับวิญญาณร้ายซุกซ่อนแอบเร้น ห้องขังส่วนใหญ่ว่างเปล่าเพราะคนที่เคยอยู่บัดนี้หากไม่ทอดร่างเป็นศพในหลุม ก็มอดไหม้เป็นเถ้าธุลีไปเสียเกือบหมดสิ้นแล้ว มีเพียงความวังเวงและมืดดำปกคลุมอยู่ทั่วไป
ความเงียบงันอันน่าอึดอัดของสถานที่ถูกทำลายลงด้วยเสียงฝีเท้ามากมายหลายคู่ที่ดังก้องขึ้น แสงไฟวับแวมจากคบไต้ส่องเเสงสว่างขับไล่ความมืดในคุกออกไปชั่วขณะ มันคือการมาของคณะบุคคลที่สำคัญและทรงอำนาจยิ่งในยามนี้ ยามที่อำนาจทั้งหลายถูกมอบให้แก่ชายผู้หนึ่งที่ทรงศักดิ์ฐานะยิ่งกว่าใคร เขามาพร้อมด้วยข้าบริวารไม่น้อยไปกว่ายี่สิบคน ที่ล้วนเกาะกุมอาวุธไว้อย่างระแวดระวังภัยและพร้อมจะใช้ชีวิตของตนเข้าป้องกันผู้ที่ตนอารักขาอยู่ ประตูด้านในคุกถูกเปิดออก ยามผู้เฝ้าคุมทั้งสองทรุดกายลงหมอบราบกับพื้นที่เย็นเฉียบ ศีรษะก้มลงชิดกับพื้นด้วยความยำเกรงอย่างที่สุด เมื่อชายผู้นั้นหยุดยืนที่หน้าประตู บรรดาผู้ที่ติดตามมาก็ทรุดกายลงด้วยทีท่าไม่ต่างไปจากยามทั้งสองของคุกแห่งนั้น
โดยปราศจากคำพูดหรือซุ่มเสียงใดๆ ชายผู้ทรงอำนาจกว่าผู้ใดคนนั้นย่างเท้าของตนก้าวผ่านกลุ่มคนที่หมอบราบอยู่ออกมาเบื้องหน้าและมุ่งหน้าไปยังทางเข้าอันดำมืดเบื้องหลังประตูคุก หากก่อนที่เขาจะเดินผ่านเข้าไป เสียงใครสักคนหนึ่งก็ดังขึ้นจากเบื้องหลัง
“พี่ท่าน โปรดไตร่ตรองอีกครั้งหนึ่งเถิด!!”
พร้อมกับเสียงนั้น ผู้คนอีกหลายคนอยู่ในอาการรีบเร่งตามมาจากทางด้านหลังของกลุ่มที่หมอบราบอยู่กับพื้น เจ้าของเสียงทักท้วงนั้นเป็นชายวัยกลางคน เค้าหน้าเครียดเคร่งทรงอำนาจละม้ายคล้ายคลึงกับผู้ที่มาถึงก่อนหน้าทว่าอ่อนวัยกว่าเล็กน้อย
“พี่ท่าน หามีประโยชน์อันใดไม่ที่พี่ท่านจะต้องไปพบกับมัน ทั้งที่พี่ท่านก็เมตตายืดชีวิตให้แก่มันมาหลายครา มันจะสำนึกในบุญคุณก็หาได้ไม่ แล้วไยท่านต้องลดตนมาเกลี้ยกล่อมมันถึงที่นี่”
คำพูดนั้นฟังชัดว่าเจือไปด้วยความไม่พอใจ ทั้งเต็มไปด้วยโทสะและความงุนงงสงสัย แต่กระนั้นน้ำเสียงที่เอ่ยออกไปก็ยังแฝงความยำเกรงแก่ผู้ที่ตนเองพูดด้วยอย่างชัดเจน
“เหนืออื่นใด บัดนี้พี่ท่านเป็นดังเจ้าเหนือหัว ผู้สำเร็จแก่การแผ่นดินทั้งมวลแล้ว ไยพี่ท่านจึงหมายทำเกียรติตนให้มัวหมองดังนี้ ข้าไม่เข้าใจ!! แล้วไม่มีผู้ใดเลยหรือ ที่จะรู้จักทัดทานพี่ท่านไว้บ้าง หากเป็นเช่นนั้น ก็ดูเหมือนว่าจะเลี้ยงไว้เสียเปล่า สู้เอาไปเลี้ยงนกกาเสียมิดีกว่า”
ประโยคท้ายนั้นตวัดไปยังบรรดาเหล่าผู้ที่ติดตามมาอย่างเกรี้ยวกราด ครั้นสิ้นวาจาพวกที่หมอบราบอยู่ก็ยิ่งยอบกายลงไปเสียยิ่งกว่าเดิม เนื้อตัวสั่นสะท้าน เพราะนั่นคือประกาศิตจากชายผู้ถูกเรียกขานว่า พญาเสือ และต่างก็รู้ว่าสิ่งที่บุรุษผู้นั้นพูด เขาย่อมทำได้ หาไม่แล้ว บรรดาขุนนางแผ่นดินเก่าร่วมสองร้อยคน คงมิกลายเป็นผีหัวขาดกันโดยง่าย หลังเหตุการณ์สังหารหมู่นั้น ก็หามีผู้ใดกล้าขัดประสงค์ของเขาอีก หากจะมีก็คงมีเพียงผู้ที่เพิ่งถูกขัดขวางมิให้ย่างเท้าเข้าสู่ที่อัปมงคลเบื้องหน้าเท่านั้น
ความเงียบงันเข้ามาปกคลุมอีกครั้งเมื่อ “พญาเสือ” พูดจบ ทว่าเพียงไม่นานนักมันก็ถูกทำลายลงด้วยเสียงทอดถอนใจ แล้วผู้มากด้วยวัยและอำนาจยิ่งกว่าก็เอ่ยขึ้น
“น้องเรา..จงฟังข้า ระงับโทสะและความขุ่นเคืองของเจ้าลงเสียบ้าง อย่าให้บ่าวไพร่ทั้งหลายต้องหวาดหวั่นไปมากกว่านี้”
ประโยคนั้นถูกกล่าวขึ้นอย่างราบเรียบ ทว่ามากไปด้วยอำนาจ พลางที่คนพูดก็มองตรงไปยังน้องชายที่เพิ่งแสดงความเกรี้ยวกราดด้วยโทสะจริต สายตาอันเต็มไปด้วยพลานุภาพของเจ้าแผ่นดินสบเข้ากับสายตาของผู้อ่อนอาวุโสกว่า มันมีอิทธิพลมาพอที่จะทำให้ผู้เป็นน้องสะท้านใจ สายตาที่แข็งกร้าวเมื่อสักครู่อ่อนวูบลง พร้อมๆกับคำพูดที่แผ่วเบาลง
“หามิได้ พี่ท่าน” เขาตอบ “ข้าเพียงสงสัยยิ่งนัก ว่าเหตุใดพี่ท่านจึงต้องการมาพบกับ “มันผู้นั้น” อีก ทั้งที่มันก็ไม่เคยยินยอมสยบสวามิภักดิ์แก่ท่านเลย ไม่ว่าท่านจะเมตตามันอย่างไรก็ตาม…”
“เรื่องนั้นข้าย่อมรู้ดี” ผู้พี่ตอบกลับ “แต่ถึงอย่างไร ข้าก็ยังคงอยากได้มันมารับใช้ข้างกายอยู่ดี เจ้าเองก็จำได้มิใช่หรือ ว่าเมื่อครั้งที่พวกเรา เจ้า ข้า และคนผู้นั้นยังเป็นเพียงทัพเร่ร่อนก่อนจะรวมแผ่นดินนี้ได้ “มัน” เป็นนักรบที่ยอดเยี่ยมเพียงใด….ในยามที่เหล่าผู้มีฝีมือต่างล้มหายตายจากกันไปมากมาย เจ้าไม่คิดหรือว่า มันกลับจะเป็นกำลังสำคัญแก่เราทั้งหมายได้”
“อันตรายเกินไป!! นั่นข้ายิ่งไม่อาจเห็นด้วยกับท่านเลยแม้แต่น้อย” ผู้อ่อนอาวุโสกว่าตอบ สีหน้าของเขาแสดงออกชัดเจนว่าไม่อาจยอมรับในสิ่งที่ผู้เป็นพี่ชายต้องการ “ยิ่งเสียกว่าหอกข้างแคร่ หรือเลี้ยงเสือไว้เสียอีก คนอย่างมัน ไม่มีวันเปลี่ยนใจมารับใช้ท่านแน่นอน รังแต่จะเป็นเสี้ยนหนามต่อไปในภายหน้าหากว่ายังคงปล่อยให้มันมีชีวิตอยู่ต่อไป...ถึงแม้ว่าครั้งหนึ่ง มันจะเคยช่วยชีวิตทั้งท่านและข้าไว้ พี่ท่านโปรดตรองดูเถิด...”
ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง และท่าทีที่แสดงออกด้วยความเป็นกังวลของผู้เป็นน้อง เจ้าผู้ครองแผ่นดินคนใหม่จึงเอื้อมมือไปตบเบาๆที่บ่าของน้องชาย “ข้าเข้าใจในความกังวลของเจ้า น้องเรา…เอาเถิด นี่คงเป็นคราสุดท้ายแล้วที่ข้าจะได้ให้โอกาสแก่มัน หากแม้นว่ามันยังคงยืนยันเฉกเช่นที่ผ่านมา…ข้า ก็จะไม่เสียเวลากับมันอีกต่อไป”
“แต่เมื่อเจ้ามาถึงที่นี่แล้ว เจ้าจะไปพบ “มัน” กับข้าหรือไม่ก็ให้เจ้าตัดสินใจเอาเถิด”
ผู้เป็นน้องชายถอดถอนใจคราหนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น “ข้าควรรู้ว่า ไม่ว่าอย่างไรข้าก็เปลี่ยนใจพี่ไม่ได้ เอาเถิด ข้าจะไปกับท่านด้วย ข้าก็อยากเห็นเหมือนกัน ว่ามันจะยังคงยืนกรานได้หรือไม่ หากมันรู้ว่านี่คือโอกาสสุดท้ายของมัน แต่หากว่ามันไม่สำนึกในความปราณีของท่าน ข้าหวังว่าท่านจะไม่เสียเวลากับมันอีกต่อไป…และข้าขอให้ท่านโปรดระวังตนให้จงหนัก เพราะถึงความชิงชังที่มันมีแก่พวกเราคงไม่สลายลงเพียงเพราะท่านปราณีกับมันเป็นแน่!!”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ