เรื่องราวในโลกสัตว์เทพ
-
เขียนโดย NobYK
วันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2563 เวลา 05.56 น.
8 ตอน
0 วิจารณ์
7,181 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2563 06.06 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) ตอนที่ 1.5 การเริ่มต้นอันแสนดี
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ*เปลี่ยนชื่อมังกรจาก บาโบ เป็น ชิบารุ ถ้ามีตรงไหนตกหล่นสามารถคอมเม้นไว้ได้นะคะ*
วิญญาณสัตว์เทพในตัวผมมีชื่อว่าชิบารุ เขาเป็นวิญญาณที่เก่าแก่อารมณ์แรงและใจร้อน ซึ่งต่างจากผมที่เป็นคนปวกเปียกและขี้กลัวจนโดนเขาโกรธอยู่บ่อยครั้ง
วันนี้ผมกับพี่ไคมะต้องเลือกโรงเรียนที่จะเรียนต่อ ของผมเป็นโรงเรียนมัธยมต้น ของพี่ไคมะเป็นมัธยมปลาย ส่วนพี่ซาจินั้นเรียนอยู่มัธยมปลายปี 3 อยู่แล้ว
หลังจากกินข้าวร่วมกันเสร็จคนใช้จะมาเก็บจานออกไปแล้วพวกเรา 4 คนจะนั่งคุยเรื่องต่างๆ กันเล็กน้อยก่อนจะแยกย้ายกันกลับห้องนอน
“เอาล่ะพวกนายได้คิดเอาไว้กันรึยังว่าจะเรียนต่อที่ไหน”
“ครับ! ผมจะเข้าเรียนที่เดียวกันกับพี่ซาจิ ผมเป็นคนเดียวที่จะสู้เคียงข้างพี่ซาจิได้ดีที่สุด”
“อืม ไม่มีปัญหาแล้วมารุล่ะ”
ท่านพ่อพยักหน้ารับคำของพี่ไคมะแล้วหันมามองผมเพื่อขอคำตอบ ผมกังวลเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆ พูดออกมาอย่างแผ่วเบา
“ผม...ไม่อยากไปโรงเรียนครับ”
พอพูดจบทั้งห้องก็เงียบไปพักหนึ่งก่อนที่ผมจะรู้สึกเสียวสันหลังวูบขึ้นมาและที่ใบหน้าของท่านพ่อก็โกรธจัด ผมจึงก้มหน้าลงและทำสีหน้าสลด
“เฮ้ย-”
“น่าท่านพ่อ ไม่ลองฟังเหตุผลจากมารุดูก่อนล่ะครับ”
ในตอนที่ท่านพ่อขึ้นเสียงใส่ผมพี่ซาจิก็ยิ้มและพูดขัดเอาไว้ก่อน ท่านพ่อมองพี่แล้วถอนหายใจหน่ายๆ ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินไปที่ประตู พลางพูดกับพี่ซาจิไปด้วย
“ถ้างั้นก็ถามเหตุผลเอาเองละกัน หวังว่าจะได้คำตอบที่น่าพอใจนะ”
“ครับ”
หลังจบคำของพี่ซาจิท่านพ่อก็เดินออกไปและปิดประตูอย่างแรงจนเกิดเสียงดังสนั่นไปทั่ว แล้วพี่ซาจิก็หันมาหาผมโดยที่ยังยิ้มแบบเดิมอยู่
“มารุมีอะไรหรือเปล่าทำไมถึงไม่อยากได้โรงเรียนงั้นหรอ”
“ผมเข้าหาใครไม่เก่ง พูดไม่เก่ง เพื่อนก็มีแต่คนไม่จริงใจ ผมเกลียดแบบนั้นที่สุดเลย”
พอผมพูดแบบนั้นพี่ไคมะก็ลุกขึ้นแล้วประสานหมัดเข้าที่มือซ้ายตัวแองแล้วพูดอย่างก้าวร้าว
“ไอ้พวกแบบนั้นน่ะ นายต้องสั่งสอนมันซะบ้างให้สำนึก”
“หยุดเลยไคมะนายก็รู้มารุในตอนนี้น่ะทำแบบนายไม่ได้หรอกนะ”
พี่ซาจิผ่อนลมหายใจเล็กน้อยและให้พี่ไคมะใจเย็น ใช่ผมไม่เหมือนกับพวกพี่ ผมไม่อยากต่อสู้ไม่สิไม่กล้ามากกว่า การต่อสู้น่ะน่ากลัวจะตาย ไม่อยากเจ็บตัวด้วย
“ยังไงก็ลองไปดูก่อนแล้วกันอาจจะไม่เหมือนที่เดิมก็ได้ แล้วหลังจากนั้นจะทำยังไงก็ค่อยว่ากันอีกที แต่พี่จะช่วยคุยกับท่านพ่อให้เอง”
“ขอบคุณครับพี่ซาจิ”
“หรือถ้าอยากให้สั่งสอนมันเมื่อไหร่ก็บอกได้ล่ะ พี่จะจัดการเอง”
พี่ไคมะพูดพลางยิ้มอย่างดุดันจนโดนพี่ซาจิดุที่ใช้ความรุนแรงแก้ปัญหา หลังจากนั้นพวกเราก็แยกย้ายกันส่วนพี่ซาจิก็ไปคุยกับพ่อให้ว่าจะให้ผมเข้าเรียนที่ใหม่ ผมจึงได้แต่นอนหลับไปโดยหวังว่ามันจะจบไม่เหมือนเดิม
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
หลังจากผ่านไป 2 เดือนก็ถึงวันเปิดเรียนวันแรกผมแต่งตัวออกจากคฤหาสน์โดยมีคนใช้ขับไปส่งถึงหน้าโรงเรียน ในตอนที่อยู่บนรถผมจึงตั้งสมาธิคุยกับชิบารุในใจ
“จะเป็นอะไรรึเปล่านะ”
“เรื่องไปโรงเรียนงั้นหรอ”
“อือ”
“ไม่เป็นไรหรอกก็แค่เรียนไปตามปกติ ถ้าไม่ชอบอะไรก็เมินแล้วก็นอนไปซะ ไม่มีใครกล้าว่าอะไรนายหรอก”
“หรอ ผมจะลองดู”
พอดีกับที่ผมคุยกับชิบารุจบรถก็หยุดพอดีเมื่อลงจากรถก็สังเกตว่ามีคนมามุงเต็มไปหมด ผมหน้าซีดเล็กน้อยแล้วก้มหน้ามองแต่พื้นอย่างเดียวแล้วเดินโดยไม่หันไปมองรอบๆ อีก
“อย่าเดินก้มหน้านะเว้ย! เงยหน้าขึ้นมาซะ ทำตัวให้สมกับเป็นผู้ชายหน่อย!”
ชิบารุขึ้นเสียงใส่ผม จนเผลอสะดุ้งเล็กน้อยและหยุดชะงักลงพอโดนว่าไปแบบนั้นผมเลยค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมามองด้านหน้า
มีคนมากมายกำลังส่งสายตาจับจ้องมาที่ผมพอสบตาก็ยิ้มให้แบบที่จนดูออกว่าปลอมจนชวนอ้วก แล้วก็มีบางคนเดินเข้ามาพยายามจะตีสนิทจนผมเผลอวิ่งหนีเข้าไปในโรงเรียน จนเจอห้องน้ำและเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในนั้น
“น่าสมเพชชะมัด”
“ผมขอโทษ...”
“ไอ้พวกแบบนั้นนายก็ปฏิเสธเสียงแข็งไปก็จบแล้วมะ”
“ตะ แต่...”
“ไม่มีแต่โว้ย!”
ผมโดนชิบารุตะคอกใส่อีกแล้วแต่จะให้พูดอะไรแบบนั้นกับคนที่ไม่รู้จักน่ะ ทำไม่ได้หรอก เพราะผมนั่งซึมไม่ตอบเขาชิบารุเลยเงียบไปและไม่พูดอะไรต่อ
หลังจากนั้นผมก็นั่งอยู่แบบนั้นจนดูเวลาในโทรศัพท์อีกไม่กี่นาทีก็จะเริ่มเรียนแล้วคนอื่นๆ คงเข้าห้องไปกันหมดแล้วมั้ง
พอคิดได้แบบนั้นแล้วก็เดินออกจากห้องน้ำแล้วมองไปรอบๆ เหมือนจะไม่มีใครแล้วจริงๆ ผมจึงถอนหายใจเล็กน้อยแล้วเดินหาห้องเรียนของตัวเองที่ดูเอาไว้เมื่อเข้าไปในห้องคนทั้งห้องก็เงียบลงและจ้องมองมาที่ผมจนผมแทบจะเป็นลม
พอมองหาโต๊ะว่าที่ก็แทบจะเต็มทั้งหมดแล้วเหลือแต่เตียงโต๊ะคู่ที่อยู่หลังสุดริมหน้าต่างซึ่งตัวริมด้านในมีคนนั่งอยู่แล้ว เธอมีผมสีดำยาวมัดหางม้าสีหน้านิ่งจนเดาไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่
ในตอนที่ผมเดินเข้ามาเธอก็มองมาเหมือนกันก่อนจะหันกลับไปเหม่อมองนอกหน้าต่างผมจึงสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเดินไปนั่งที่ว่างนั้นแล้วคุยกับเธอ
“สะ- สวัสดี ระ- เราตั้งแต่วันนี้จะนั่งข้างๆ เธอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ”
เพราะประหม่ากับคิดมากเกินไปรึเปล่านะสิ่งที่ผมพูดออกไปจึงตะกุกตะกักจนฟังแทบไม่รู้เรื่อง ไม่นะเธอต้องไม่ชอบใจผมแน่ๆ
พอพูดจบเธอคนนั้นก็หันมามองผมโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าเลยแม้แต่น้อย พอโดนมองแบบนั้นเข้าก็รู้สึกกลัวเธอจัง แล้วเธอก็ค่อยๆ พูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบปนเบื่อหน่าย
“อือ ฝากเนื้อฝากตัวด้วย”
เธอพูดแค่นั้นแล้วก็หันกลับไปอย่างไม่สนใจใยดีจนน่า ตกใจแต่ไม่ทันได้พูดอะไรครูก็เดินเข้ามาพอดี
“ฮ่าๆ ถูกใจแม่หนูคนนี้ว่ะ ต่างจากคนที่นายเคยเจอมาลิบลับเลย”
“จริงหรอเธอไม่ได้เกลียดผมใช่ไหมที่ทำท่าทางแบบนั้น”
“ไม่หรอกไม่ได้เกลียดแต่ก็คงไม่ได้ชอบมากนักหรอกนะ ฮ่าๆ”
ชิบารุที่คุยเรื่องของเธอคนนั้นมีน้ำเสียงร่าเริงพร้อมทั้งหัวเราะชอบใจใหญ่เลย หลังจากครูแนะนำตัวเสร็จก็ให้เตรียมจด เมื่อผมหาปากกาในกระเป๋าก็ไม่เจอ
‘จะ- จำได้ว่าใส่มาแล้วหนิ’
ผมพึมพำออกมาอย่างแผ่วเบาแล้วคุยกับชิบารุอีกครั้งในใจ
“นี้ชิบารุผมใส่มาแน่ๆ แล้วใช่ไหม”
“อา ใส่มาแล้ว เฮ้เจ้าหนูนี่มันกลิ่นอายของเวทมนตร์”
“เอ๋ มีคนเอาออกไปหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิ มัวรออะไรอยู่ล่ะเอาเรื่องพวกแม่งไปเลย!!”
“เอ่~ ไม่ไหวหรอก”
“ถ้าไม่รังเกียจ ยืมไหม?”
ในตอนนั้นเองเธอคนนั้นที่นั่งกับผมก็ยื่นปากกามาให้แท่งหนึ่งพร้อมทำสีหน้าเอือมๆ พลางมองไปข้างหลังผมเล็กน้อย เธอคงรู้ล่ะมั้งว่าผมโดนแกล้งแถมยังคงเดาได้ด้วยว่าใครทำ เก่งจัง
“อื้อ! ขอบใจนะ”
ผมยิ้มด้วยความดีใจแล้วรับปากกาด้ามนั้นมาจากเธอ พอผ่านไปตลอดคาบเช้าก็ได้เธอช่วยอะไรหลายๆ อย่างเลย ทั้งหนังสือเรียนที่ลืมหยิบมาเอง กับไม่เข้าใจสิ่งที่ครูสอนเธอก็ช่วยผมไว้ตลอดเลย
“นี้ผมชวนเธอไปกินข้าวเที่ยงด้วยกันดีไหมอะ”
“ดีดิ เธอจะได้เป็นเพื่อนคนแรกของนายไง”
“เอาล่ะ!”
“นี่ ลงไปกินข้าวด้วยกันไหม-”
ไม่ทันได้พูดอะไรต่อเธอก็หยิบข้าวกล่องขึ้นมาบนโต๊ะแล้วหันมามองผมด้วยสีหน้านิ่งๆ แบบเดิมแต่ภายในดวงตานั้นมีความสงสัยเล็กน้อย
“หือ เมื่อกี้ได้พูดอะไรหรือเปล่า”
“เอะ อะ เปล่าไม่มีอะไร”
เพราะกำลังอึ้งอยู่เลยตอบแบบติดขัดไปจากนั้นเธอก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างรู้สึกผิดแล้วพูดต่อ
“งั้นหรอ ชั้นน่าจะหูแว่วไปเองโทษที”
“มะ ไม่หรอก ผมผิดเอง”
“หือ”
“เปล่า...ไม่มีอะไร”
ผมตอบเธอไปแบบนั้นพร้อมทั้งมีท่าทีห่อเหี่ยวเพราะพลาดโอกาสอยู่กับเธอไป แล้วก็เดินออกจากห้องไปแล้วคุยกับชิบารุอีกครั้ง
“เมื่อกี้น่ะ...”
“อา แม่หนูนั่นได้ยินทุกอย่างนั่นแหละแต่ทำเป็นไม่ได้ยิน”
“อะไรกัน~”
“หึหึ เหมือนจะโดนหลบหน้าอยู่นะน่าสนใจจริงๆ ทำตัวแทบจะไม่สนใจสถานะของนายเลยนะ”
“จริงหรอ ถ้างั้นผมตัดสินใจแล้ว ผมจะต้องเป็นเพื่อนกับเธอให้ได้!”
“โอ้ให้มันได้แบบนี้สิเจ้าหนู เริ่มด้วยห่อข้าวมาด้วยเป็นไงล่ะจะได้อยู่ด้วยกัน”
“จริงด้วย ความคิดดีมากเลย ขอบคุณนะชิบารุ”
พอตัดสินใจได้แบบนั้นผมก็เดินต่อไปโดยยิ้มอย่างมีความสุขจนลืมเรื่องสายตารอบๆ ไปหมดเลยแปลกจังพอไม่สนใจได้แบบนี้แล้วก็ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัวเลยหนิ อื้ม! อาจจะไม่แย่อย่างที่คิดก็ได้นะ!
วิญญาณสัตว์เทพในตัวผมมีชื่อว่าชิบารุ เขาเป็นวิญญาณที่เก่าแก่อารมณ์แรงและใจร้อน ซึ่งต่างจากผมที่เป็นคนปวกเปียกและขี้กลัวจนโดนเขาโกรธอยู่บ่อยครั้ง
วันนี้ผมกับพี่ไคมะต้องเลือกโรงเรียนที่จะเรียนต่อ ของผมเป็นโรงเรียนมัธยมต้น ของพี่ไคมะเป็นมัธยมปลาย ส่วนพี่ซาจินั้นเรียนอยู่มัธยมปลายปี 3 อยู่แล้ว
หลังจากกินข้าวร่วมกันเสร็จคนใช้จะมาเก็บจานออกไปแล้วพวกเรา 4 คนจะนั่งคุยเรื่องต่างๆ กันเล็กน้อยก่อนจะแยกย้ายกันกลับห้องนอน
“เอาล่ะพวกนายได้คิดเอาไว้กันรึยังว่าจะเรียนต่อที่ไหน”
“ครับ! ผมจะเข้าเรียนที่เดียวกันกับพี่ซาจิ ผมเป็นคนเดียวที่จะสู้เคียงข้างพี่ซาจิได้ดีที่สุด”
“อืม ไม่มีปัญหาแล้วมารุล่ะ”
ท่านพ่อพยักหน้ารับคำของพี่ไคมะแล้วหันมามองผมเพื่อขอคำตอบ ผมกังวลเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆ พูดออกมาอย่างแผ่วเบา
“ผม...ไม่อยากไปโรงเรียนครับ”
พอพูดจบทั้งห้องก็เงียบไปพักหนึ่งก่อนที่ผมจะรู้สึกเสียวสันหลังวูบขึ้นมาและที่ใบหน้าของท่านพ่อก็โกรธจัด ผมจึงก้มหน้าลงและทำสีหน้าสลด
“เฮ้ย-”
“น่าท่านพ่อ ไม่ลองฟังเหตุผลจากมารุดูก่อนล่ะครับ”
ในตอนที่ท่านพ่อขึ้นเสียงใส่ผมพี่ซาจิก็ยิ้มและพูดขัดเอาไว้ก่อน ท่านพ่อมองพี่แล้วถอนหายใจหน่ายๆ ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินไปที่ประตู พลางพูดกับพี่ซาจิไปด้วย
“ถ้างั้นก็ถามเหตุผลเอาเองละกัน หวังว่าจะได้คำตอบที่น่าพอใจนะ”
“ครับ”
หลังจบคำของพี่ซาจิท่านพ่อก็เดินออกไปและปิดประตูอย่างแรงจนเกิดเสียงดังสนั่นไปทั่ว แล้วพี่ซาจิก็หันมาหาผมโดยที่ยังยิ้มแบบเดิมอยู่
“มารุมีอะไรหรือเปล่าทำไมถึงไม่อยากได้โรงเรียนงั้นหรอ”
“ผมเข้าหาใครไม่เก่ง พูดไม่เก่ง เพื่อนก็มีแต่คนไม่จริงใจ ผมเกลียดแบบนั้นที่สุดเลย”
พอผมพูดแบบนั้นพี่ไคมะก็ลุกขึ้นแล้วประสานหมัดเข้าที่มือซ้ายตัวแองแล้วพูดอย่างก้าวร้าว
“ไอ้พวกแบบนั้นน่ะ นายต้องสั่งสอนมันซะบ้างให้สำนึก”
“หยุดเลยไคมะนายก็รู้มารุในตอนนี้น่ะทำแบบนายไม่ได้หรอกนะ”
พี่ซาจิผ่อนลมหายใจเล็กน้อยและให้พี่ไคมะใจเย็น ใช่ผมไม่เหมือนกับพวกพี่ ผมไม่อยากต่อสู้ไม่สิไม่กล้ามากกว่า การต่อสู้น่ะน่ากลัวจะตาย ไม่อยากเจ็บตัวด้วย
“ยังไงก็ลองไปดูก่อนแล้วกันอาจจะไม่เหมือนที่เดิมก็ได้ แล้วหลังจากนั้นจะทำยังไงก็ค่อยว่ากันอีกที แต่พี่จะช่วยคุยกับท่านพ่อให้เอง”
“ขอบคุณครับพี่ซาจิ”
“หรือถ้าอยากให้สั่งสอนมันเมื่อไหร่ก็บอกได้ล่ะ พี่จะจัดการเอง”
พี่ไคมะพูดพลางยิ้มอย่างดุดันจนโดนพี่ซาจิดุที่ใช้ความรุนแรงแก้ปัญหา หลังจากนั้นพวกเราก็แยกย้ายกันส่วนพี่ซาจิก็ไปคุยกับพ่อให้ว่าจะให้ผมเข้าเรียนที่ใหม่ ผมจึงได้แต่นอนหลับไปโดยหวังว่ามันจะจบไม่เหมือนเดิม
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
หลังจากผ่านไป 2 เดือนก็ถึงวันเปิดเรียนวันแรกผมแต่งตัวออกจากคฤหาสน์โดยมีคนใช้ขับไปส่งถึงหน้าโรงเรียน ในตอนที่อยู่บนรถผมจึงตั้งสมาธิคุยกับชิบารุในใจ
“จะเป็นอะไรรึเปล่านะ”
“เรื่องไปโรงเรียนงั้นหรอ”
“อือ”
“ไม่เป็นไรหรอกก็แค่เรียนไปตามปกติ ถ้าไม่ชอบอะไรก็เมินแล้วก็นอนไปซะ ไม่มีใครกล้าว่าอะไรนายหรอก”
“หรอ ผมจะลองดู”
พอดีกับที่ผมคุยกับชิบารุจบรถก็หยุดพอดีเมื่อลงจากรถก็สังเกตว่ามีคนมามุงเต็มไปหมด ผมหน้าซีดเล็กน้อยแล้วก้มหน้ามองแต่พื้นอย่างเดียวแล้วเดินโดยไม่หันไปมองรอบๆ อีก
“อย่าเดินก้มหน้านะเว้ย! เงยหน้าขึ้นมาซะ ทำตัวให้สมกับเป็นผู้ชายหน่อย!”
ชิบารุขึ้นเสียงใส่ผม จนเผลอสะดุ้งเล็กน้อยและหยุดชะงักลงพอโดนว่าไปแบบนั้นผมเลยค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมามองด้านหน้า
มีคนมากมายกำลังส่งสายตาจับจ้องมาที่ผมพอสบตาก็ยิ้มให้แบบที่จนดูออกว่าปลอมจนชวนอ้วก แล้วก็มีบางคนเดินเข้ามาพยายามจะตีสนิทจนผมเผลอวิ่งหนีเข้าไปในโรงเรียน จนเจอห้องน้ำและเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในนั้น
“น่าสมเพชชะมัด”
“ผมขอโทษ...”
“ไอ้พวกแบบนั้นนายก็ปฏิเสธเสียงแข็งไปก็จบแล้วมะ”
“ตะ แต่...”
“ไม่มีแต่โว้ย!”
ผมโดนชิบารุตะคอกใส่อีกแล้วแต่จะให้พูดอะไรแบบนั้นกับคนที่ไม่รู้จักน่ะ ทำไม่ได้หรอก เพราะผมนั่งซึมไม่ตอบเขาชิบารุเลยเงียบไปและไม่พูดอะไรต่อ
หลังจากนั้นผมก็นั่งอยู่แบบนั้นจนดูเวลาในโทรศัพท์อีกไม่กี่นาทีก็จะเริ่มเรียนแล้วคนอื่นๆ คงเข้าห้องไปกันหมดแล้วมั้ง
พอคิดได้แบบนั้นแล้วก็เดินออกจากห้องน้ำแล้วมองไปรอบๆ เหมือนจะไม่มีใครแล้วจริงๆ ผมจึงถอนหายใจเล็กน้อยแล้วเดินหาห้องเรียนของตัวเองที่ดูเอาไว้เมื่อเข้าไปในห้องคนทั้งห้องก็เงียบลงและจ้องมองมาที่ผมจนผมแทบจะเป็นลม
พอมองหาโต๊ะว่าที่ก็แทบจะเต็มทั้งหมดแล้วเหลือแต่เตียงโต๊ะคู่ที่อยู่หลังสุดริมหน้าต่างซึ่งตัวริมด้านในมีคนนั่งอยู่แล้ว เธอมีผมสีดำยาวมัดหางม้าสีหน้านิ่งจนเดาไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่
ในตอนที่ผมเดินเข้ามาเธอก็มองมาเหมือนกันก่อนจะหันกลับไปเหม่อมองนอกหน้าต่างผมจึงสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเดินไปนั่งที่ว่างนั้นแล้วคุยกับเธอ
“สะ- สวัสดี ระ- เราตั้งแต่วันนี้จะนั่งข้างๆ เธอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ”
เพราะประหม่ากับคิดมากเกินไปรึเปล่านะสิ่งที่ผมพูดออกไปจึงตะกุกตะกักจนฟังแทบไม่รู้เรื่อง ไม่นะเธอต้องไม่ชอบใจผมแน่ๆ
พอพูดจบเธอคนนั้นก็หันมามองผมโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าเลยแม้แต่น้อย พอโดนมองแบบนั้นเข้าก็รู้สึกกลัวเธอจัง แล้วเธอก็ค่อยๆ พูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบปนเบื่อหน่าย
“อือ ฝากเนื้อฝากตัวด้วย”
เธอพูดแค่นั้นแล้วก็หันกลับไปอย่างไม่สนใจใยดีจนน่า ตกใจแต่ไม่ทันได้พูดอะไรครูก็เดินเข้ามาพอดี
“ฮ่าๆ ถูกใจแม่หนูคนนี้ว่ะ ต่างจากคนที่นายเคยเจอมาลิบลับเลย”
“จริงหรอเธอไม่ได้เกลียดผมใช่ไหมที่ทำท่าทางแบบนั้น”
“ไม่หรอกไม่ได้เกลียดแต่ก็คงไม่ได้ชอบมากนักหรอกนะ ฮ่าๆ”
ชิบารุที่คุยเรื่องของเธอคนนั้นมีน้ำเสียงร่าเริงพร้อมทั้งหัวเราะชอบใจใหญ่เลย หลังจากครูแนะนำตัวเสร็จก็ให้เตรียมจด เมื่อผมหาปากกาในกระเป๋าก็ไม่เจอ
‘จะ- จำได้ว่าใส่มาแล้วหนิ’
ผมพึมพำออกมาอย่างแผ่วเบาแล้วคุยกับชิบารุอีกครั้งในใจ
“นี้ชิบารุผมใส่มาแน่ๆ แล้วใช่ไหม”
“อา ใส่มาแล้ว เฮ้เจ้าหนูนี่มันกลิ่นอายของเวทมนตร์”
“เอ๋ มีคนเอาออกไปหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิ มัวรออะไรอยู่ล่ะเอาเรื่องพวกแม่งไปเลย!!”
“เอ่~ ไม่ไหวหรอก”
“ถ้าไม่รังเกียจ ยืมไหม?”
ในตอนนั้นเองเธอคนนั้นที่นั่งกับผมก็ยื่นปากกามาให้แท่งหนึ่งพร้อมทำสีหน้าเอือมๆ พลางมองไปข้างหลังผมเล็กน้อย เธอคงรู้ล่ะมั้งว่าผมโดนแกล้งแถมยังคงเดาได้ด้วยว่าใครทำ เก่งจัง
“อื้อ! ขอบใจนะ”
ผมยิ้มด้วยความดีใจแล้วรับปากกาด้ามนั้นมาจากเธอ พอผ่านไปตลอดคาบเช้าก็ได้เธอช่วยอะไรหลายๆ อย่างเลย ทั้งหนังสือเรียนที่ลืมหยิบมาเอง กับไม่เข้าใจสิ่งที่ครูสอนเธอก็ช่วยผมไว้ตลอดเลย
“นี้ผมชวนเธอไปกินข้าวเที่ยงด้วยกันดีไหมอะ”
“ดีดิ เธอจะได้เป็นเพื่อนคนแรกของนายไง”
“เอาล่ะ!”
“นี่ ลงไปกินข้าวด้วยกันไหม-”
ไม่ทันได้พูดอะไรต่อเธอก็หยิบข้าวกล่องขึ้นมาบนโต๊ะแล้วหันมามองผมด้วยสีหน้านิ่งๆ แบบเดิมแต่ภายในดวงตานั้นมีความสงสัยเล็กน้อย
“หือ เมื่อกี้ได้พูดอะไรหรือเปล่า”
“เอะ อะ เปล่าไม่มีอะไร”
เพราะกำลังอึ้งอยู่เลยตอบแบบติดขัดไปจากนั้นเธอก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างรู้สึกผิดแล้วพูดต่อ
“งั้นหรอ ชั้นน่าจะหูแว่วไปเองโทษที”
“มะ ไม่หรอก ผมผิดเอง”
“หือ”
“เปล่า...ไม่มีอะไร”
ผมตอบเธอไปแบบนั้นพร้อมทั้งมีท่าทีห่อเหี่ยวเพราะพลาดโอกาสอยู่กับเธอไป แล้วก็เดินออกจากห้องไปแล้วคุยกับชิบารุอีกครั้ง
“เมื่อกี้น่ะ...”
“อา แม่หนูนั่นได้ยินทุกอย่างนั่นแหละแต่ทำเป็นไม่ได้ยิน”
“อะไรกัน~”
“หึหึ เหมือนจะโดนหลบหน้าอยู่นะน่าสนใจจริงๆ ทำตัวแทบจะไม่สนใจสถานะของนายเลยนะ”
“จริงหรอ ถ้างั้นผมตัดสินใจแล้ว ผมจะต้องเป็นเพื่อนกับเธอให้ได้!”
“โอ้ให้มันได้แบบนี้สิเจ้าหนู เริ่มด้วยห่อข้าวมาด้วยเป็นไงล่ะจะได้อยู่ด้วยกัน”
“จริงด้วย ความคิดดีมากเลย ขอบคุณนะชิบารุ”
พอตัดสินใจได้แบบนั้นผมก็เดินต่อไปโดยยิ้มอย่างมีความสุขจนลืมเรื่องสายตารอบๆ ไปหมดเลยแปลกจังพอไม่สนใจได้แบบนี้แล้วก็ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัวเลยหนิ อื้ม! อาจจะไม่แย่อย่างที่คิดก็ได้นะ!
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ