Knight of the dawn: The Awakening of Nephilim อัศวิน แห่ง รุ่งอรุณ ตอน อุบัติการณ์ แห่ง เนฟีลิม

-

เขียนโดย The_Emperor

วันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2563 เวลา 08.50 น.

  13 ตอน
  6 วิจารณ์
  11.75K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2563 09.25 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

11) สหายร่วมเดินทาง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

Knight of the dawn: The Awakening of Nephilim

 

บทที่ 11 : สหายผู้ร่วมเดินทาง

 

“นั่นแหละครับนายน้อย ดีมาก” เสียงของโซล่าร์ ฮันเตอร์เอ่ยชมอาเชอร์อยู่ข้าง ๆ ตอนนี้เด็กหนุ่มกำลังฝึกยิงลูกธนูแบบใหม่ ที่บริษัทของท่านตาเพิ่งจะผลิตคิดค้นขึ้นมาใหม่ และเตรียมตัวที่จะปล่อยขายในเดือนหน้า ผู้เป็นประธานบอร์ดผู้บริหารอาวุโสอย่างอาเธอร์ ก็นำมาให้หลานชายของเขามาทดลองใช้กันก่อนใครเพื่อนเลย

 

ลูกธนูแบบใหม่นี้อาเชอร์เคยเห็นโซล่าร์ใช้ยิงใส่เจ้าคิเมียร่าที่โคโลนิญ่า มันเป็นลูกธนูที่ปล่อยกระแสไฟฟ้าช็อตใส่เป้าหมาย ซึ่งจะช็อตใส่เป้าหมายโดยตรงก็ได้ หรือจะยิงใส่ใกล้เป้าหมายเพื่อสกัดกั้นการเคลื่อนไหวก้ได้ อยู่ที่ว่าเขาจะใช้งานมันแบบไหนมากกว่าเท่านั้นเอง

 

“ดีครับ งั้นวันนี้เราพอแค่นี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวนายน้อยจะไม่มีแรงไปสอบพรุ่งนี้” โซล่าร์โยนกระป๋องเครื่องดื่มชูกำลังให้อาเชอร์ดื่มดับกระหาย ถึงแม้ว่าโซล่าร์จะเป็นคนมาฝึกยิงธนูให้เขาแทนเลออสที่ยังคงสลบไสลในโรงพยาบาลอยู่ แต่บทเรียนของโซล่าร์นั้นกลับไม่ได้โหดน้อยลงไปกว่าเลออสเลยแม้แต่นิดเดียว

 

ก็นะ...โซล่าร์เป็นเอลฟ์นี่นา แล้วเอลฟ์ก็ใช้ธนูมาก่อนมนุษย์ตั้งหลายร้อยปีด้วย

 

ตอนนี้อาเชอร์มาอยู่ที่นี้ได้เกือบสามเดือนแล้วนับจากเหตุการณ์มื้อเย็นครั้งแรกอันสุดประทับใจเมื่อครั้งมาเยือนคฤหาสน์คิงสตัน แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาเห็นอาร์กัสแทบจะนับครั้งได้เลย อาร์กัสไม่ค่อยอยู่บ้านและปฏิเสธที่จะร่วมโต๊ะอาหารทุกครั้งที่มีเขา นั่นทำเอาเด็กหนุ่มยิ่งรู้สึกไม่เข้าใจว่าเขาไปทำอะไรให้ญาติผู้พี่คนนี้กันแน่

 

ส่วนอเล็กซ์ลูกพี่ลูกน้องอีกของอาเชอร์ แม้จะถูกอาร์กัสพูดอะไรไม่ดีหลายอย่างเกี่ยวกับตัวเขาให้เด็กน้อยฟัง แต่เด็กน้อยกลับสนิทกับอาเชอร์เร็วมาก อาจเป็นเพราะว่าพวกผู้ใหญ่หลาย ๆ คนออกไปทำงานนอกบ้านกันหมด ทั้งบ้านจึงมีแต่เขาคนเดียวเท่านั้นที่อเล็กซ์สามารถแวะเวียนมาเล่นด้วยได้

 

อเล็กซ์พอเห็นอาเชอร์ซ้อมยิงธนูกับโซล่าร์ จากที่อเล็กซ์เล่นดาบไม้กับเด็กหนุ่มเป็นประจำ ตอนนี้เปลี่ยนมาให้ความสนใจกับธนูแทนเสียแล้ว แถมเมื่อเร็ว ๆ นี้ เด็กน้อยเพิ่งใช้ความเป็นเด็กน้อยอ้อนท่านตาให้ซื้อธนูของเล่น เพื่อมายิงธนูเล่นกับเขา

 

“เอ่อ คุณโซล่าร์ครับ ตอนที่คุณสอบเข้าเป็นยังไงบ้างครับ?” อาเชอร์ถามอาจารย์ใหม่ของเขาหลังจากที่ดื่มเครื่องดื่มชูกำลังดับกระหาย

 

“อืม...คิดว่าไม่น่าจะต่างกันมากนะครับ ข้อสอบภาคทฤษฎีจะเป็นแบบปรนัย ส่วนภาคปฏิบัตินั้นเปลี่ยนแนวไปทุกปีครับ ไม่มีใครรู้นอกจากผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการออกแบบการสอบภาคปฏิบัติในสถาบัน”

 

อาเชอร์ดึงลูกธนูกระแสไฟฟ้าออกมาจากเป้าธนูที่เขายิงไป เพื่อนำไปชาร์จไฟฟ้าใหม่ จากสภาพเป้าธนูที่ถูกยิงโดยตรงมีสภาพไหม้เกรียม เขาก็ภาวนาให้เขาไม่ต้องอยู่ในสถานการณ์บังคับที่ต้องยิงมันใส่เป้าหมายโดยตรงก็แล้วกัน

 

ทั้งเด็กหนุ่มและเอลฟ์ผู้เป็นอาจารย์ช่วยกันเคลียร์สนามฝึกที่ท่านตาลงทุนสร้างให้อาเชอร์ใหม่ทั้งหมด หลังจากเคลียร์ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เจ้าตัวแสบถึงเพิ่งมาพร้อมกับพี่เลี้ยงของเขา

 

“อ้าว พี่อาเชอร์เลิกซ้อมไปแล้วเหรอ?” เด็กน้อยเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่ผิดหวัง เมื่อคืนเขาไม่น่านอนดึกเลย วันนี้ถึงตื่นมาสายขนาดนี้

 

“ใช่แล้วล่ะอเล็กซ์ เดี๋ยวพี่จะต้องไปฝึกอย่างอื่นต่อน่ะ”

 

“โธ่ เราฝึกยิงธนูกันอีกไม่ได้เหรอ น้า คุณโซล่าร์ น้า” เด็กน้อยพยายามจะอ้อนโวล่าร์ให้มาฝึกธนูใหม่อีกครั้ง อาเชอร์ทราบมาว่าทีมบอดี้การ์ดของท่านตานั้นสนิทกับท่านตา ท่านยาย และท่านน้าพอสมควร โดยเฉพาะเอ็ดมันด์ที่เจ้าตัวเล็กชอบให้เล่นขี่ม้าส่งเมืองที่สุด (ก็ออร์คตัวสูงใหญ่ที่สุดในทีมนี่นา)

 

นอกเหนือจากนี้ก็จะมีเรซ สาวผิวแทนผู้ชื่นชอบระเบิดเป็นชีวิตจิตใจจากบราซิลี และการ์เน็ตหนุ่มผมแดงสุดเฟี้ยวที่มักจะมาเล่นกับอเล็กซ์บ่อย ๆ แต่ตอนนี้พวกทั้งหมดติดภารกิจจากท่านตาโดยตรงจึงไม่ได้แวะมาเล่นด้วยเหมือนทุกครั้ง

 

“เอาไว้พรุ่งนี้ก่อนนะครับนายน้อย วันนี้นายน้อยอาเชอร์ต้องไปฝึกอย่างอื่นต่อแล้ว” เอลฟ์หนุ่มลูบหัวอเล็กซ์อย่างอ่อนโยน และพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล อเล็กซ์ที่รู้ตัวว่าอ้อนเอลฟ์หนุ่มผู้นี้ไม่ได้ก็ทำท่าทางสลดลงนิดหน่อย

 

“เอางั้นก็ได้...” เวลาที่เด็กน้อยดูซึมนั้น น่าสงสารจับใจเป็นที่สุด โซล่าร์จึงถอนหายใจออกมาเบา ๆ อย่างใจอ่อน

 

“เอาอย่างงี้นะครับ เดี๋ยววันนี้ผมจะสอนเทคนิคการยิงแบบเอลฟ์ให้นายน้อยแทนฝึกยิงธนูกับนายน้อยอาเชอร์นะครับ”

 

“เอ๊ะ จริง ๆ เหรอ คุณโซล่าร์ไม่โกหกนะครับ!” ภาพของเด็กน้อยนั่งซึมเมื่อสักครู่นี้หายไปทันควัน

 

“จริงครับ สัญญาเลย แต่ขอผมไปจัดการธุระเดี๋ยวเดียวนะครับ แล้วผมจะรีบมาช่วงก่อนมื้อเที่ยง” ทั้งโซล่าร์และอเล็กซ์ตัวแสบเกี่ยวก้อยสัญญากัน ทำเอาอาเชอร์และพี่เลี้ยงของอเล็กซ์ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ อมยิ้มขึ้นมา

 

ขนาดเอลฟ์เป็นเผ่าพันธุ์ที่ยึดถือเรื่องสัจจะเป็นที่สุด ยังยอมใจอ่อนให้เจ้าตัวแสบนี่ นับว่ากลยุทธ์ลูกหมานั่งหงอยนั้นได้ผลเกินคาดเลยทีเดียว

 

อาเชอร์เมื่อเห็นว่าอเล็กซ์ยังวุ่นวายอยู่กับเอลฟ์หนุ่ม เขาก็รีบออกจากสนามฝึกอย่างเงียบ ๆ เพราะถ้าเจ้าตัวเล็กจำได้ว่าเขาจะต้องไปสอบพรุ่งนี้ และอาจจะไม่ได้อยู่บ้านนานหลายเดือน อเล็กซ์อาจจะงอแงไม่ให้เขาไปสอบแน่ ๆ

 

ตอนนี้อาเชอร์เดินมาถึงห้องเขาแล้ว เมเทียเองก็กำลังฝึกสมาธิของเธออยู่ เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มเข้ามาแล้วเธอก็ลืมตาขึ้น

 

“โซล่าร์ฝึกหนักเลยเหรอ?”

 

“ไม่ได้โหดน้อยไปกว่าท่านลุงเลยท่านป้า เผลอ ๆ น่าจะหนักกว่าอีก” อาเชอร์นั่งขัดสมาธิลงก่อนที่จะเริ่มทำสมาธิเช่นกัน อันที่จริงเขาพยายามเรียกเมเทียด้วยชื่อของนางเฉย ๆ แล้ว แต่ทำยังไงได้ เขาถูกเลี้ยงมาจากสังคมตะวันออกมาตลอด ให้เรียกคนที่เลี้ยงดูเขามาด้วยชื่อเฉย ๆ เขารู้สึกไม่ชินยังไงก็ไม่รู้ เมเทียจึงอนุโลมให้เด็กหนุ่มเรียกท่านป้าได้เฉพาะตอนที่อยู่กันตามลำพังเท่านั้น

 

“ก็อย่างนี้แหละ โซล่าร์เป็นเอลฟ์ที่ใช้ธนูด้วย ก็ต้องโหดเป็นธรรมดา” เมเทียกล่าวกับเด็กหนุ่ม ก่อนที่เธอจะทำสมาธิด้วยเช่นกัน มีหลายเรื่องที่เธอเองก็ไม่เข้าใจในพลังของเด็กหนุ่มคนนี้เช่นกัน

 

“พลังของเด็กคนนี้แปลกมาก” เธอหวนนึกถึงตอนที่อาเชอร์เพิ่งเริ่มฝึกควบคุมพลังของตนเอง เธอเอ่ยกับเลออสอย่างไม่เข้าใจ

 

“ยังไงเหรอ?”

 

“ข้าเองก็บอกไม่ถูกเช่นกัน แต่ข้ารู้สึกได้ว่ามันไม่รูปแบบเดียวกันกับนักเวทอย่างพวกข้า”

 

เมเทียส่ายหัวให้กับความทรงจำเมื่อครั้งที่อาเชอร์ระเบิดพลังใส่พวกลูกขุนนางตอนนั้น แม้จะผ่านมานานหลายปีแล้ว แต่เธอก็ยังคงหาคำตอบไม่ได้ว่าพลังที่อาเชอร์มีนั้นเป็นแบบไหนกันแน่ จะเสกเวทมนตร์อย่างที่เธอทำก็ไม่ใช่ จะดึงพลังงานภายในตัวเองมาเสริมร่างกายตนเองให้แข็งแกร่งแบบพวกนักรบก็ไม่ใช่เช่นกัน

 

เพราะพลังของเด็กหนุ่มคนนี้มันเหมือนอยู่กึ่งกลางระหว่างนักเวทและนักรบ กล่าวคือเขาดึงพลังงานภายในตัวเองออกมาเป็นรูปแบบของลูกธนูหรือวิชาธนูแห่งแสงที่พ่อของเด็กคนนี้เป็นคนตั้งชื่อ และเห็นได้ชัดว่ายิ่งใช้ธนูแห่งแสงมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้พลังงานในร่างกายของอาเชอร์ลดลงตามไปด้วย นั้นจึงทำให้เขาเหนื่อยทุกครั้งที่ใช้ธนูแห่งแสง

 

ตอนนี้พลังงานของเด็กหนุ่มกลับมาคงที่แล้ว หลังจากที่พลังงานของเขาเสียหายไปเมื่อตอนที่เขารวบรวมพลังงานของตนเสริมการโจมตีของธนูในทางน้ำระบายใต้เมืองหลวงของโชซอน นับว่าพลังของเขานั้นฟื้นฟูได้เร็วพอสมควร และดูเหมือนจะมีพลังเพิ่มมากกว่าเดิมอีกด้วย

 

“เอาล่ะ ค่อย ๆ คลายสมาธินะอาเชอร์” เมื่อเห็นว่าพลังของเด็กหนุ่มกลับมาคงที่แล้ว หญิงวัยกลางคนจึงบอกให้เขาคลายการทำสมาธิลง

 

เด็กหนุ่มลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ และหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ ตอนนี้เขารู้สึกภายในร่างกายของเขามากลับมาปกติแล้ว แม้ว่าจะมองไม่เห็นก็ตาม

 

“พลังของเจ้ากลับมาคงที่แล้ว ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงอีก”

 

เด็กหนุ่มถอนหายใจอย่างโล่งใจ ตอนนี้เขาน่าจะใช้ชีวิตได้ตามปกติเสียที ที่ผ่านมาเขามักจะทำอะไรก็ตาม มักจะเหนื่อยง่ายตลอด

 

“วันนี้เจ้ารีบพักผ่อนนะอาเชอร์ เดี๋ยววันนี้ข้าจะไปเยี่ยมเลออสเองนะ เอาแรงสำหรับเตรียมดีกว่า” เมเทียรีบพูดดักอาเชอร์ทันทีที่เด็กหนุ่มเตรียมกระเป๋าคาดอกเพื่อจะออกไปข้างนอก

 

“เอ่อ ได้ครับ ผมจะพักผ่อนให้พร้อมสำหรับพรุ่งนี้” อาเชอร์ตอบตกลงอย่างเสียไม่ได้ ปกติของทุกวันที่เขาและเมเทียจะไปเยี่ยมไข้ที่โรงพยาบาลในเมือง

 

เกือบสามเดือนมานี้เลออสยังคงนอนสงบนิ่งไม่ต่างจากคนที่นอนหลับเฉย ๆ ภาพที่เขาเห็นทุกครั้งคือสายของอะไรต่อมิอะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมด ตอนนี้ละอองมารในร่างกายของชายวัยกลางคนน่าจะใกล้หมดแล้ว แต่หมอก็ยืนยันว่าควรเอาละอองมารออกจากร่างกายให้หมดเสียจึงจะทำการปลุกเลออสให้ออกจากสภาวะจำศีลได้

 

“อืม ไม่เป็นอะไรหรอกอาเชอร์ เดี๋ยวข้าไปก่อนนะ”

 

“ครับท่านป้า รับรองว่าข้าจะเอาตำแหน่งนักศึกษาใหม่มาฝากแน่นอน” เมเทียยิ้มให้อาเชอร์อีกครั้ง ก่อนที่เธอจะออกจากห้องไป และเมื่อทั้งห้องมีเพียงอยู่คนเดียว อาเชอร์ก็เกิดอาการกระสับกระส่ายขึ้นมา แม้จะบอกว่าเขาจะต้องเป็นนักศึกษาใหม่ของที่สถาบันอัศวินแห่งรุ่งอรุณให้ได้ แต่ในใจของเขาก็แอบรู้สึกหวั่น ๆ อยู่เหมือนกันว่าถ้าพลาดขึ้นมาเขาจะทำยังไงดี

 

อาเชอร์จึงตัดสินใจที่จะพักทุกอย่าง ทั้งการอ่านหนังสือ ทั้งการฝึกซ้อม เขาหันกลับมาผ่อนคลาย พยายามไม่คิดมาก ทั้งเดินเล่นรอบคฤหาสน์ เดินเล่นตามสวนต่าง ๆ ภายในเขตของคิงสตัน ทั้งพยายามทำให้ตัวเองไม่ว่างจนคิดฟุ้งซ่านเรื่อยเปื่อย เขาทำแบบนั้นตลอดช่วงบ่ายจนกระทั่งเลยเวลาทานข้าวเย็นไปแล้ว

 

“ใจเย็นสิอาเชอร์ นายทำได้แน่นอน” เด็กหนุ่มนอนปลอบตัวเองครั้งสุดท้าย ก่อนที่ความง่วงจะเข้าเล่นงานเขา จนเขาหลับไปโดยที่ไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด

 

“อาเชอร์” ทันทีที่เด็กหนุ่มรู้สึกถึงใครบางคนที่เรียกเขา เขาก็ลืมตาขึ้นทันที ตอนนี้เขาไม่ได้นอนอยู่ในห้องนอนของเขา แต่กลับอยู่ในทุ่งดอกไม้แห่งหนึ่ง ที่เขาก็ไม่สามารถอธิบายว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนกันแน่

 

“อาเชอร์” เสียงเพรียกหาเด็กหนุ่มอย่างอ่อนโยนต่างจากทุกครั้งที่ผ่านมา เด็กหนุ่มมองหาต้นเสียงไปมา สุดท้ายสายตาของเขาก็ไปสะดุดกับร่างของชายผมสั้นสีบรอนทองคนหนึ่งที่ยืนหันหลังให้เขาอยู่

 

“นั่นใครน่ะ?” อาเชอร์ตะโกนถามชายคนนั้นไป ชายคนนั้นก็หันหน้ามาหาเขา อาเชอร์รู้สึกได้ทันทีว่า เขารู้สึกคุ้นเคยกับชายหนุ่มคนนี้อย่างประหลาด ยิ่งไปกว่านั้นนัยน์ตาของชายคนนั้น ยังเป็นสีน้ำเงินสว่างเช่นเดียวกันกับเขาอีกด้วย

 

“อาเชอร์...”

 

“!!!” เด็กหนุ่มรู้สึกตัวอีกที เขาก็สะดุ้งตื่นลุกขึ้นมานั่งบนเตียง ทำไมพอเขาอายุย่างเข้าสิบแปดปี เขาถึงฝันอะไรประหลาดประหลาดแบบนี้เต็มไปหมด แต่ถือว่าฝันคราวนี้ไม่ได้เลวร้ายเหมือนครั้งที่ผ่านมา

 

“กี่โมงแล้วเนี่ย...” พอหยิบนาฬิกาตรงหัวนอนมาดูเท่านั้นแหละ อาเชอร์ก็แทบจะลุกจากที่นอนตัวเองไม่ทัน ก็นี้มันสายแล้วไงล่ะ!

 

“บ้าเอ๊ย! สายแล้ว สายแล้ว สายแล้ววว!” เด็กหนุ่มหวีดร้องและเปลี่ยนเสื้อผ้าของตนเองไวอย่างมาก คิดว่าน่าจะเป็นการเปลี่ยนเสื้อผ้าไวที่สุดในชีวิตของเขาแล้วล่ะ

 

เด็กหนุ่มรู้สึกหงุดหงิดตัวเองทุกครั้งที่เขาจะออกจากห้องก็ต้องลืมอะไรยิบย่อยตลอด ทั้งบัตรประจำตัวผู้เข้าสอบ ทั้งตั๋วเรือเหาะ และเขาก็ไม่ลืมที่จะสะพานกระเป๋าใส่ธนูของเขาเด็ดขาด ที่ลินโด้ไม่อนุญาตให้พกพาอาวุธอย่างประเจิดประเจ้อ ดังนั้นเขาจึงเตรียมอาวุธของเขาพร้อมแล้วตั้งแต่เมื่อวาน

 

พอไปถึงห้องรับประทานอาหาร เขาก็พบว่าทั้งท่านตา ท่านยาย และอเล็กซ์นั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารอยู่แล้ว อ้อยังมีท่านน้าด้วยอีกคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร เพราะวันนี้อเล็กซานดร้าลาพักร้อนมาอยู่กับลูกของเธอ

 

“เอ่อ เดี๋ยวรีบไปก่อนนะครับ ผมจะสายแล้ว!” อาเชอร์ยอมที่จะเสียมารยาทวันหนึ่ง เขารีบหยิบแผ่นขนมปังเข้าปากแล้วรีบวิ่งออกจากห้องรับประทานอาหารไป

 

“ให้น้าไปส่งไหมอาเชอร์?”

 

“ไม่...ไม่เป็นไรครับท่านน้า ตอนนี้น่าจะทันรถโดยสารเข้าเมืองอยู่ รบกวนท่านน้าเปล่า ๆ เดี๋ยวผมไปแล้วนะครับทุกคน!” ไม่รอให้อเล็กซานดร้าตอบตกลง เขาก็รีบวิ่งออกจากห้องอาหารอย่างรวดเร็ว

 

“โชคดีนะอาเชอร์ พวกเราเอาใจช่วยนะ!” ท่านยายตะโกนตามหลังอาเชอร์ไปพลางหัวเราะไปด้วย ตอนที่เอลิน่าไปสอบก็เป็นแบบนี้เช่นกัน ออกจากบ้านสายและไปสอบด้วยตัวเองโดยไม่อยากรบกวนพ่อแม่

 

“โชคดีน้า พี่อาเชอร์” เด็กน้อยโบกมือบ๊ายบายพี่อาเชอร์ แม้จะเหงาอยู่บ้าง แต่วันนี้แม่ของเขากลับมาแล้ว เลยโบกมือและอวยพรให้พี่อาเชอร์แทนที่จะรั้งตัวเอาไว้

 

ส่วนอาเธอร์ คิงสตัน เมื่อเห็นหลานของตัวเองพ้นสายตาไปแล้ว เขาก็บอกกับครอบครัวว่าเขาขอไปเช็กหุ้นของบริษัทที่ห้องทำงานของตน แต่พอมาถึงห้องทำงานของตนเอง เขากลับไม่ได้เช็กหุ้นของบริษัทอย่างที่บอกเอาไว้ ชายชรามาดนิ่งเปิดแขนเสื้อของเขาก่อนที่เขาจะกดปุ่มเครื่องมือสื่อสารในรูปแบบนาฬิกาข้อมือเพื่อติดต่อใครบางคน

 

“โซล่าร์ ฉันมีงานให้นายด่วนที่สุด...ใช่ ยกเลิกงานที่แฟรนดิสได้เลย...หา ให้ใครมาแทนเหรอ...ให้ คริสตัสไปแทนก็แล้วกัน...ตอนนี้ตามอาเชอร์ไปด่วนที่สุด ให้เขาไปถึงท่าเรือโดยไร้รอยขีดข่วนนะ!”

 

 

 

เกือบไปแล้ว...

 

อาเชอร์ถอนหายใจอย่างโล่งอก เมื่อเขาขึ้นรถโดยสารที่ผ่านเขตหน้าคฤหาสน์คิงสตันได้อย่างฉิวเฉียด แม้จะต้องอัดแน่กับผู้โดยสารคนอื่น ๆ บนรถก็ตาม ตอนนี้เขาอยู่ที่น้ำพุจัตุรัสใจกลางเมือง ผู้คนที่นี่พลุกพล่าน ต่างจากแถว ๆ คฤหาสน์คิงสตัน

 

เด็กหนุ่มมองดูรถวิ่งไปมา แต่ในหัวของเขากลับนึกถึงเส้นทางที่จะไปต่ออยู่ตลอด ตอนที่เข้าเมืองหลวงมาเขาก็ตรงดิ่งไปที่โรงพยาบาลเท่านั้น แต่พอจะต้องไปสถานที่อื่น ๆ ในหัวของเขาก็เปล่าว่าง ไม่มีอะไรเลย...

 

“ใจเย็นสิอาเชอร์ ลองดูป้ายบอกสิ” เขาพูดกับตัวเอง และเริ่มมองหาป้ายที่บ่งบอกว่าจะไปยังท่าเรือเรือเหาะเมืองเอลรินที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวง แต่ปัญหาคือเขาเพิ่งไปเยือนที่นั่นตอนแรกเมื่อเกือบสามเดือนก่อน มาถึงตอนนี้เขาก็ลืมเส้นทางไปจนหมดสิ้นแล้ว

 

“หลงทางเหรอพ่อหนุ่ม?” ในขณะที่เขาลุกลี้ลุกลนอยู่นั้น ชายอายุประมาณสี่สิบคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหาเขา ชายคนนั้นแต่งตัวปอน ๆ ต่างจากชาวเมืองทั่วไปที่แต่งตัวดูภูมิฐาน

 

“เอ่อ...ครับ ผมจะไปท่าเรือเรือเหาะเมืองเอลรินน่ะครับ แต่ตอนนี้ผมจำไม่ได้ว่าต้องไปทางไหน” อาเชอร์ตัดสินใจบอกจุดประสงค์ของตนเอง ถ้าเขาไม่พูด วันนี้เขาก็คงไปไม่ถึงสถาบันแน่ ๆ

 

“อ๋อ เธอคงจะไปสอบที่สถาบันอัศวินแห่งรุ่งอรุณสินะ”

 

“ใช่ครับ” อาเชอร์เอ่ยออกมาด้วยความประหลาดใจ

 

“ไม่ต้องแปลกใจเหรอพ่อหนุ่ม วันนี้คนหนุ่มคนสาวที่มุ่งหน้าไปท่าเรือเมืองเอลรินน่ะมีแต่พวกที่จะสอบเป็นอัศวินแห่งรุ่งอรุณทั้งนั้นแหละ ทุกคนในลินโด้ก็รู้กันทั้งนั้นว่าวันนี้เป็นวันที่สำคัญต่ออนาคตของพวกเธอ” อาเชอร์พยักหน้าให้กับคำตอบของชายผู้นี้

 

“งั้นแสดงว่า ถ้าผมตามคนที่ดูอายุใกล้เคียงกับผม ผมก็จะไปที่ท่าเรือได้ใช่ไหมครับ”

 

“อ่า ใช่แล้วล่ะ แต่ถ้าจะเอาให้ชัวร์ ๆ นะ เธอต้องไปรอที่ป้ายรถโดยสารฝั่งนู้นน่ะ เห็นไหม” เด็กหนุ่มมองตามที่ชายคนนั้นชี้ไป เขาก็พบว่าตอนนี้เขาอยู่คนละฝั่งกันกับจุดรอรถโดยสารไปเมืองเอลริน

 

“ขอบคุณมากนะครับ เดี๋ยวผมจะรีบไปจุดรอรถโดยสารก่อนนะครับ”

 

“ไม่เป็นไร โชคดีแล้วกันนะพ่อหนุ่ม เป็นอัศวินแห่งรุ่งอรุณให้ได้ล่ะ” ชายคนนั้นตบบ่าของอาเชอร์เบา ๆ เด็กหนุ่มโค้งคำนับขอบคุณให้ชายผู้มีน้ำใจผู้นี้ ก่อนที่ทั้งคู่จะแยกกัน

 

เขากำลังเดินหน้าไปยังจุดรอรถโดยสาร แต่แล้วเขาก็รู้สึกว่าบางอย่างมันโล่ง ๆ ผิดปกติ และเขาไม่นานนักเขาก็ทราบแล้วว่า

 

กระเป๋าคาดอกของเขาหายไป!

 

เด็กหนุ่มรีบหันซ้ายหันขวาว่ากระเป๋าคาดอกของเขาตกหายไปไหนหรือไม่ แต่แล้วสายตาของเขาก็ไปสะดุดกับชายเมื่อสักครู่ เขากำลังวิ่งออกจากจุดนั้นอย่างรวดเร็ว และในมือของชายคนนั้นก็กำลังถือกระเป๋าของเขาอยู่

 

“ช่วยด้วยครับ ช่วยผมด้วย ผมโดนขโมยกระเป๋า!” เด็กหนุ่มรีบวิ่งตามชายคนนั้นไปอย่างรวดเร็ว และชายคนนั้นก็วิ่งห่างจากเขาไปอีก อาเชอร์รีบเร่งฝีเท้าของตัวเองให้เร็วขึ้น ชายคนนั้นก็รีบเร่งฝีเท้าของตัวเองเช่นกัน

 

เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าวิ่งชนฝูงชนไปกี่คนแล้ว เขาก็ทำได้แต่ขอโทษขอโพย และรีบวิ่งตามชายคนนั้นต่อ ในขณะที่เด็กหนุ่มคิดว่าชายคนนั้นกำลังจะพ้นสายตาของเขาไป เขาก็เห็นว่าชายคนนั้นโดนเด็กวัยรุ่นอีกคนใช้ไม้ยาว ๆ ฟาดหลังและจับทุ่มชายคนนั้นทุ่ม จนชายคนนั้นล้มไปกองกับพื้น

 

“นี้ลุง ขโมยของคนอื่นเขาน่ะมันไม่ดีรู้ไหม ปล่อยกระเป๋านั้นลงซะ หรือไม่งั้นก็ไปกินข้าวฟรีในคุกเลือกเอาละกัน” เพียงเท่านั้นแหละชายที่ขโมยกระเป๋าของเขาก็ยอมทิ้งกระเป๋าของเขาดี ๆ และรีบวิ่งหนีไป

 

“เฮ้อ ให้ตายสิ ในเมืองใหญ่อย่างนี้ยังมีโจรวิ่งราวกระเป๋าอีกเหรอเนี่ย” เด็กหนุ่มที่ช่วยอาเชอร์ขัดขาของหัวขโมยก้มลงไปเก็บกระเป๋าคาดอกและปัดเศษฝุ่น

 

อาเชอร์วิ่งมาถึงเด็กหนุ่มคนนั้นด้วยอาการที่เหน็ดเหนื่อยและหอบหายใจถี่ ๆ เด็กหนุ่มคนนั้นเมื่อเห็นว่าผู้ที่น่าจะเป็นเจ้าของกระเป๋าวิ่งมาถึงแล้ว เขาก็ยื่นกระเป๋าใบนนั้นให้อาเชอร์

 

“อ่ะ นี้ของนายใช่ไหม” อาเชอร์แหงนหน้ามองเด็กหนุ่มคนนั้นอีกครั้ง สิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือใบหูอันเรียวยาวของเด็กหนุ่มคนนี้

 

เอลฟ์เหรอเนี่ย...

 

ปกติอาเชอร์มักจะเห็นเอลฟ์ไว้ผมยาวที่ผู้หญิง และผู้ชาย แต่เอลฟ์หนุ่มตรงหน้าเขากลับตัดสั้น ไถข้างแกะลาย แถมยังเจาะหูอีกสามรูที่หูด้านซ้ายด้วย...เอ่อ นี้เอลฟ์ชาวร็อกหรือนี่?

 

“เอ่อ ขอบใจมาก ๆ นะ” อาเชอร์รับกระเป๋าของเขามาจากเอลฟ์หนุ่มผู้นี้

 

“ไม่เป็นไรน่า เรื่องเล็กน้อย ฉันได้ยินเสียงนายตะโกนร้องขอความช่วยเหลือเลยมาดักหน้าหัวขโมยคนนี้” เอลฟ์หนุ่มยิ้มกว้างให้อาเชอร์ รู้แล้วน่าจะเป็นผู้ที่อัธยาศัยดีเลยทีเดียว

 

“เฮ้อ โชคดีจริง ๆ ที่ไม่มีอะไรหาย” อาเชอร์ลองเช็กของที่อยู่ด้านใน เขาโล่งอกที่ไม่มีอะไรหายไป เงินที่พกติดตัวมาก็ยังอยู่เหมือนเดิม

 

“เฮ้ นั่นนายกำลังจะไปที่สถาบันอัศวินแห่งรุ่งอรุณใช่ไหม?”

 

“เอ่อ ใช่ แล้วนายรู้ได้ยังไงล่ะ?” พออาเชอร์เอ่ยจบ เอลฟ์หนุ่มก็ชูบัตรประจำตัวของผู้เข้าสอบให้อาเชอร์ดู

 

“ฉันเองก็กำลังจะไปเหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่าต้องไปทางไหนต่อนี่สิ”

 

“งั้นไปกับฉันไหมล่ะ ฉันพอจะรู้แล้วว่าเราต้องไปจุดรอรถที่ไหน” อาเชอร์ตัดสินใจชวนเอลฟ์หนุ่มผู้นี้ เขารู้สึกว่าถูกชะตากับผู้ที่ช่วยเหลือเขายังไงบอกไม่ถูก

 

“จริงดิ เจ๋งไปเลย! งั้นพวกเราไป พร้อม ๆ กันเลยดีกว่า” เอลฟ์หนุ่มคนนั้นหัวดราะร่า และกอดไหล่อาเชอร์ทันที เด็กหนุ่มสะดุ้งไปเล็กน้อย เพราะถึงแม้หน้าตาเขาจะเป็นชาวตะวันตก แต่เขาก็โตมาในสังคมตะวันออก และที่นั่นก็ไม่มีใครทักทายกันแบบนี้ นอกจากจะสนิทกันมาก ๆ เท่านั้น

 

“อ่า ฉันยังไม่ได้แนะนำตัวเลยนี่นา ฉัน คู คูฮูลินน์ เรียกว่าคูเฉย ๆ ก็ได้ ยินดีที่รู้จัก” ดูเหมือนคูจะรู้ตัวว่าเขารุกหนักเกินไป จึงคลายมือจากไหล่เพื่อนใหม่ และแนะนำตัวเอง

 

“อาเชอร์ อาเชอร์ คิงสตัน ยินดีที่รู้จักนะคู” เด็กหนุ่มทั้งสองจับมือทักทายตามแบบสากล ทั้งคู่ต่างก็ยิ้มให้แก่กัน

 

“ชื่ออาเชอร์นี้ นายเป็นนักธนูใช่ป่ะ?”

 

“ก็ประมาณนั้นแหละ แล้วนี้อาวุธของนายเหรอ?” อาเชอร์ชี้ไปยังไม้ยาว ๆ ที่คูใช้อัดหัวขโมยเมื่อสักครู่ แต่พอดูดี ๆ อีกที มันไม่ใช้ไม้ยาว ๆ แต่มันดูเหมือนหอก เพราะตรงยอดไม้นั้นเหมือนมีส่วนที่แหลมคมอยู่ แต่เขาก็ไม่แน่ใจ เพราะว่ามันถูกห่อให้ผ้าอย่างมิดชิด

 

“อ๋อ ใช่แล้วล่ะ นี้อาวุธประจำตระกูลฉันเองแหละ” ทั้งคู่พูดคุยกันเรื่อยเปื่อย และเดินไปยังจุดรอรถโดยสาร พวกเขาไม่ได้รู้สึกตัวเลยว่ามีใครคนหนึ่งแอบมองพวกเขาอยู่ห่าง ๆ

 

“ดูเหมือน นายน้อยน่าจะได้เพื่อนใหม่แล้วสินะ” โซล่าร์เอ่ยกับตัวเองเบา ๆ เมื่อสักครู่นี้แค่เขาละสายตาไปแป๊บนึงนายน้อยของเขาก็โดนวิ่งราวกระเป๋าไปเสียแล้ว ถ้าเจ้าเอลฟ์หนุ่มผู้นั้นไม่ขัดขาหัวขโมยไปเสียก่อน เขาคงยิงธนูที่ปล่อยกระแสไฟฟ้าอ่อน ๆ สำหรับการจับกุมไปแล้ว

 

โซล่าร์กดหูฟังสื่อสารของเขารายงานตรงต่ออาเธอร์ผู้ห่วงหลานทันทีที่เขาเห็นว่านายน้อยกับเพื่อนใหม่ขึ้นรถโดยสารไปลงที่เมืองเอลรินเรียบร้อยแล้ว

 

“ดีมากโซล่าร์ งั้นกลับมาที่คฤหาสน์ที ฉันมีบางอย่างที่ต้องให้นายทำเท่านั้น”

 

“รับทราบครับ” โซล่าร์วางสายกับนายจ้าง แต่ดูเหมือนมีอะไรบางอย่างรบกวนจิตใจของเขาเกิน เขารู้ว่าเอลฟ์เพื่อนใหม่ของนายน้อยนั้นไม่เป็นอันตรายแน่นอนเขามองออก แต่เขาดันรู้สึกว่าเหมือนเขาเคยเห็นหน้าเอลฟ์หนุ่มนั้นที่ไหนมาก่อนมา แต่เขานึกไม่ออกว่าเอลฟ์หนุ่มนั้นเป็นใครกันแน่

 

 

ในที่สุดทั้งอาเชอร์และคูต่างก็พาตัวเองขึ้นมาอยู่บนเรือเหาะเที่ยวบินพิเศษที่จะตรไปยังสถาบันอัศวินแห่งรุ่งอรุณจนได้ ตอนนี้พวกเขากำลังนั่งพักผ่อนอยู่ในห้องโถงกลางรับรองของเรือเหาะ ทั้งหน้าต่างและดาดฟ้า ถูกปิดไม่อนุญาตให้พวกเขามองวิวด้านนอกได้ เนื่องจากที่ตั้งของสถาบันนั้นเป็นความลับ ไม่เปิดเผยต่อสาธารณชน แม้กระทั่งรัฐบาลของลินโด้เองก็ไม่รู้ว่าสถาบันอัสวินแห่งรุ่งอรุณนั้นตั้งที่ไหนกันแน่

 

ดังนั้นตอนนี้พวกเด็กหนุ่มสาวที่อายุใกล้เคียงกันกับอาเชอร์นั้นคือผู้ที่มีอายุสิบแปดเต็มบริบูรณ์ หรือกำลังจะสิบแปดในปีนี้ (ยกเว้นอายุของคูที่มากกว่าอาเชอร์ เพราะเอลฟ์มีอายุเป็นยี่สิบเท่าของมนุษย์ แต่เมื่อคำนวณออกมาแล้ว เขาก็เพิ่งเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นของมนุษย์นั้นเอง) กำลังคุยพูดกันจอแจในห้องโถงแห่งนี้

 

ส่วนมากพวกเขาก็จะทำความรู้จักกัน ว่าเป็นใครมาจากไหนกันบ้าง ยิ่งอยู่ในห้องโถงยิ่งทำให้อาเชอร์รับรู้ได้ว่า มีเด็กวัยรุ่นจากทั่วโลกมาสอบที่สถาบันแห่งนี้ คงเป็นการยืนยันได้ว่าสถาบันแห่งนี้เป็นที่นิยมของเด็กวัยรุ่นทั่วโลกจริง ๆ

 

“เอ๋ นายมาจากโชซอนเหรออาเชอร์” คูร้องออกมาอย่างประหลาดใจ เขาสังเกตเห็นธนูของอาเชอร์ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันแล้ว ธนูของอาเชอร์ไม่ใช่รูปร่างของธนูที่ผู้คนในยูโรเปียนใช้กัน

 

“ใช่แล้วล่ะ ท่านพ่อท่านแม่ของฉันเป็นทูตที่ไปประจำสถานทูตในโชซอนน่ะ ตอนนั้นฉันก็ยังเด็ก เลยต้องตามพวกท่านไปด้วย ก็เลยโตที่โชซอนน่ะ” อาเชอร์ท่องสคริปท์ที่ท่านตากับเมเทียเตี๊ยมให้เขามานี้เกือบครึ่งค่อนวัน เพราะอาวุธที่เขาใช้ มันไม่เหมือนกับที่ชาวยูโรเปียนใช้

 

“โห เจ๋งไปเลย ฉันล่ะอยากไปที่เอซาเนียบ้าง นายรู้อะไรม่ะ ตั้งแต่เกิดมานี้ฉันยังไม่เคยออกนอกบ้านเกิดมาก่อนเลย”

 

“แล้วบ้านเกิดนายอยู่ที่ไหนกันล่ะ”

 

“เอ่อ...เอลเวนแลนด์ นายรู้จักใช่ม่ะ ที่อยู่ใกล้ ๆ กับนีน็อกซ์น่ะ” อาเชอร์พยักหน้าให้คู เอลแวนแลนด์คือดินแดนของเอลฟ์ที่ออกเดินทางมาจากทวีปฮัล์ฟเฮม แผ่นดินแม่ของเหล่าเอลฟ์ทั้งมวล พวกเขาเลือกที่จะเดินทางออกจากแผ่นดินแม่ มาช่วยมนุษย์รบกับพวกออร์คในสงครามเผ่าพันธุ์ที่ผ่านมาแล้วกว่าห้าร้อยปี

 

การกระทำครั้งนี้ทำให้พันธมิตรเผ่าพันธุ์อย่าง มนุษย์ เอลฟ์ และคนแคระชนะศึก แต่ก็ทำให้เอลฟ์กลุ่มนี้โดนขับไล่จากฮัล์ฟเฮม พวกเขาจึงปักหลักตรงดินแดนว่างเปล่าที่อยู่ใกล้อาณาจักรนีน็อกซ์ทางตอนเหนือของยูโรเปียนนับจากนั้นเป็นต้นมา

 

“งั้นพวกเราก็เป็นอัศวินแห่งรุ่งอรุณให้ได้กันไหมล่ะ ถ้าอย่างนั้นเราได้เที่ยวรอบโลกแน่ ๆ ” อาเชอร์เอ่ยกับคูพร้อมกับทานช็อกโกแลตแท่งที่หยิบมาจากเคาน์เตอร์บาร์

 

“แน่นอนสหาย ถ้าแบบนั้นพวกเราก็เลิกได้ว่าจะไปลงพื้นที่ปฏิบัติงานที่ไหนก็ได้” โชคดีที่ภายในห้องโถงแห่งนี้ยังมีเคาน์เตอร์บาร์ของว่างให้พวกเขาได้หยิบทานแก้เบื่อกันไปบ้าง และดูเหมือนว่าเอลฟ์หนุ่มผู้นี้จะเป็นคอขนมหวานกว่าอาเชอร์เสียอีก

 

“ก็นะ ฉันเป็นพลหอก (Lancer) นี่นา น้ำตาลพวกนี้มันก็เป็นแหล่งพลังงานชั้นดีให้สายที่ชอบใช้กำลังต่อสู้อยู่แล้ว” เพื่อนใหม่ของเขาว่าอย่างนั้น เขาก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ คูยังอธิบายให้อาเชอร์ฟังด้วยว่าภาพลักษณ์ของคนส่วนมากเข้าใจว่าเอลฟ์ใช้ได้แต่ธนู แต่ในความเป็นจริงนั้น เอลฟ์สามารถใช้อาวุธได้ทุกประเภทอยู่ที่การฝึกฝนของแต่ละคนมากกว่า อย่างเช่นคูก็ฝึกฝนการต่อสู้ด้วยหอกมาตั้งแต่อายุยังน้อย ๆ

 

“ขณะนี้พวกเราได้เข้าเขตน่านฟ้าของสถาบันแห่งรุ่งอรุณแล้ว ขอให้ผู้โดยสารทุกท่านนั่งประจำที่ด้วยครับ” เสียงประกาศจากกัปตันเรือเหาะดังขึ้น ทำให้พวกเด็ก ๆ รีบไปนั่งประจำที่นั่งของตัวเองทันที รวมไปถึงอาเชอร์และคูด้วย แต่พวกเขาไม่ได้นั่งอยู่ใกล้ ๆ พวกเขาจึงนัดเจอกันที่ทางออก

 

หน้าต่างทุกบานค่อย ๆ เปิดขึ้นอัตโนมัติพร้อมกันกับเสียงอุทานด้วยความตื่นเต้นของเด็ก ๆ ไม่เว้นแม้กระทั่งอาเชอร์

 

เพราะสถาบันแห่งนี้ เป็นสถาบันที่ตั้งอยู่บนเกาะลอยฟ้า!

 

เกาะลอยฟ้านั่นมีเพียงสะพานสายเดียวที่เชื่อมต่อระหว่างตัวเกาะกับพื้นดินฝั่งตรงข้าม นอกนั้นมีแต่ขอบหน้าผาเป็นปราการธรรมชาติที่ปกป้องการบุกรุกสถาบัน เรือเหาะอีกหลายลำลงเทียบท่าที่สถานีเกาะลอยฟ้าแห่งนี้ ท่าเรือเกาะลอยฟ้าที่อยู่สองที่ตั้ง หนึ่งคือท่าเรือที่อยู่ในน้ำปกติด้านล่างเกาะลอยฟ้า ท่าเรือนั้นสำหรับประชาชนทั่วไปที่มาเยี่ยมชมตัวเกาะลอยฟ้า สองคือท่าเรือที่อยู่ในอากาศติดกับส่วนของเกาะลอยฟ้า ท่าเรือนี้สำหรับบุคลากร นักศึกษาของสถาบัน และผู้ที่มาสอบเข้าที่สถาบันแห่งนี้โดยเฉพาะ

 

ทันทีที่เรือเหาะเทียบท่าท่าเรือ พวกเด็กวัยรุ่นภายในเรือต่างก็ลุกขึ้นจากที่นั่งของตนด้วยความตื่นเต้น อีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้ จะเป็นตัวตัดสินอนาคตของพวกเขาแล้ว

 

อาเชอร์ สู้เว้ย!

 

อาเชอร์ตะโกนปลุกใจตนเองในใจ ก่อนที่จะจัดแจงสัมภาระของตนเองให้เรียบร้อย และไปเจอคูที่ทางออกตามที่ได้นัดแนะเอาไว้

 

เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกอะไรแปลก ๆ เหมือนมีผีเสื้อบินวนอยู่ในท้อง อาจจะเป็นเพราะว่าเขาตื่นเต้นก็เป็นได้ แต่ไม่ว่าเขาจะตื่นเต้นขนาดไหน ตอนนี้เขาก็พร้อมที่สู้เพื่ออนาคตตัวเองแล้ว!

 

To be continued...................................

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา