45วันพิชิตรักผีตานี
เขียนโดย ohohoh
วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2563 เวลา 21.04 น.
แก้ไขเมื่อ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2563 21.09 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) ดงเฮี้ยนเเห่งพระนคร
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความท่ามกลางความมืดมิด และแสงสว่างเดียวที่พบเห็นเป็นแสงจากคบเพลิงที่ใกล้มอดไหม้เต็มทน เอกกับพลู กำลังเดินท่ามกลางดงกล้วย ร่างกายกำยำจากการทำงานหนักด้วยสถานะที่เป็นเพียงคนหาปลาในพระนคร แต่ทว่าตอนนี้ร่างใหญ่กำลังสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว ด้วยบรรยากาศท่ามกลางป่ากล้วยที่เงียบสังด
“ทำไมวันนี้แลดูเส้นทางยาวไกลจังวะ ข้ารู้สึกว่ามันไม่ดีเสียแล้ว” พลูเริ่มสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว
“เอ็งเป็นคนบอกให้ข้ามาทางนี้แท้ๆ ตอนนี้เอ็งเริ่มเปลี่ยนใจแล้วรึ” เอกยังคงใช้มือปัดใบกล้วยน้อยใหญ่ให้พ้นจากทาง
“ก็ใครมันจะไปคิดเล่า ว่าฟ้าจะมืดเร็วเช่นนี้..เห้ยไอ้เอก เอ็งรอข้าด้วยสิวะ” เผลอแปปเดียว เอกก็เดินไกลจากพลูไปอย่างไม่ทันตั้งตัว
“ช่วงนี้เป็นฤดูหนาว มันก็มืดเร็วเป็นธรรมดา เอ็งเลิกบ่นแล้วย่ำเท้าให้มันเร็วขึ้นเถิด ประเดี๋ยวได้ถึงบ้านเช้าพอดี” เอกไม่ได้สนใจความหวาดกลัวเหมือนเช่นพลูไม่
ครึกๆ เสียงบางอย่างดังออกมาจากทางดงกล้วยที่มืดมิด พลูกระโจนตัวไปหลบหลังเอกโดยสัญชาติญาณ
“กูว่าแล้วไง....” พลูยิ่งตัวสั่นเทามากขึ้น พร้อมกับรีบท่องบทสวดออกมาอย่างลืมตัว “พวกข้าสองคนเพียงมาขอทางผ่านไปเท่านั้น ไม่ได้ตั้งใจจะมารบกวนแต่อย่างใด อย่าหลอกหลอนพวกข้าเลยแม่ตานี”
เพี๊ยะ เอกตีลงไปที่แผ่นหลังสั่นของพลูเต็มแรง จนทำให้คนตัวสั่นกลับกระโดดตัวขึ้นสูงลอยฟ้าในทันที
“ไอ้เอก เอ็งจะทำให้ข้าตกใจตายหรืออย่างไร” ได้สติพลูจึงหันไปตวาดใส่สหายรัก เอกยืนหัวเราะกับท่าทีของพลูอย่างอดไม่ได้
“ดูนั่น” เอกชี้มือไปทางบางอย่างที่กำลังดุ้กดิ๊กอยู่ที่พุ่มไม้ แสงจากคบไฟที่เอกส่องไปทำให้พลูเริ่มเห็นเจ้าสิ่งนั้นชัดเจน
“เหมียว”
แมวสีดำตาแป๋วกระโจนตัวออกมาเมื่อคบไฟเข้าไปใกล้ และหายไปในทันที พลูถึงกับหน้าเสีย ยิ่งได้เห็นสีหน้าของเอกที่ทำท่าล้อเลียนตนยิ่งทำให้อารมณ์ขุ่นมัวขึ้น
“เอ็งไม่เชื่อก็อย่าหลบลู่นะเว้ย ใครๆ ก็รู้ว่า....” พลูรีบหุบปากลง เรื่องอะไรจะมาพูดในที่แบบนี้
“ใครๆ ก็รู้ว่าป่าดงกล้วยนี้ เฮี้ยนเพียงใด” คราวนี้กลายเป็นเอกที่พูดออกมาแทน เล่นทำเอาพลูตะครุบปากให้หยุดพูดแทบไม่ทัน
“ไอ้เอก เอ็งนี่มัน...” พลูได้เพียงแค่คาดโทษเอกไว้ ก่อนจะคว้าคบไฟในมือเอกมาถือไว้และรีบเดินตรงไปทันที
“เฮ้ย ไปคนเดียวไม่กลัวแล้วหรอวะ” เอกตะโกนตามหลังพลูมา พร้อมกับรีบวิ่งตามพลู
เพียงพริบตาเดียว เสียงสายลมที่พัดอู้ๆ ก็เริ่มเข้ามาใกล้กับทั้งสอง พลูหัวใจเต้นแรง พร้อมทั้งพยายามเร่งฝีเท้าอย่างไม่ต้องพูดมาก
ฟึ้บ
คบไฟหนึ่งเดียวที่มีเป็นแสงสว่างในยามค่ำคืนเช่นนี้ก็ดับลง พลูยืนตัวแข็งทื่อมือจับเข้าไปที่แขนของเอก กลืนน้ำลายไหลลงคอเสียงดังเอื้อกใหญ่ มือก็เริ่มสั่นเทา
“กูว่าแล้ว มึงไม่น่าพูดมากเลย!!” พลูแทบเหมือนกำลังขาดใจตาย พลันลมหนาวก็พัดวูบเข้ามาในทันที คราวนี้หาใช่พลูที่รู้สึกกลัวเพียงคนเดียวไม่ ลมหนาวที่ปะทะมาถูกเนื้อด้านของเอกก็เริ่มทำให้ขนบนร่างกายพากันตั้งชัน
เปรี้ยง
เสียงฟ้าผ่าดังขึ้น พอทำให้ท้องฟ้าที่มืดสนิทเริ่มมีแสงมาให้มองเล็กน้อย
“ไปเถอะวะ แลเหมือนฝนจะตก” เอกสะกิดให้พลูเดินต่อไป พลูพยักหน้าถี่ๆ พร้อมกับเกาะเอกเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
เดินไปไกลมากขึ้นแล้ว แต่เหมือนกับว่าทางออกก็ยังไม่แม้แต่เข้ามาใกล้ ทั้งสองเหมือนดั่งเดินวนไปมาท่ามกลางป่าดงกล้วย พลันสายฝนก็เทกระหน่ำลงมาในทันที ทั้งสองพากันวิ่งเข้าไปหลบใต้ต้นกล้วยที่ใหญ่ที่สุด พลูดยืนกอดตัวเอกด้วยความหนาวสั่น สายตาก็พยายามไม่มองไปเรี่ยราดกลัวว่าจะเห็นในสิ่งที่ไม่ควรเห็น
“เอก ข้าว่า เรารีบไปเถอะวะ ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่นาน” พลูพยายามสะกิดเอก เอกไล่สายตามองไปเรื่อยๆ เห็นบางอย่างคล้ายกับว่าเป็นทางออกจากป่า
“เห้ย ข้าเห็นทางออกแล้ว” เอกตะโกนออกมา พร้อมกับรีบพากันตรงไปอย่างรวดเร็ว พลูยิ้มร่าอย่างปลงใจ อย่างน้อยก็ได้พ้นๆ จากดงกล้วยนี่เสียที
ปัก
ทั้งสองเหมือนกับวิ่งชนอะไรบางอย่างเข้าอย่างจัง จนทำให้ล้มคะมำมาอยู่ที่พื้น พลูร้องโอดโอยอยู่ที่พื้น พร้อมกับคลานไปหาเอกที่อยู่ไม่ไกล
“เป็นไรป่าววะ” พลูถามออกมา
“เจ็บนิดหน่อย” เอกว่าพลางเงยหน้าขึ้นมองวัตถุที่วิ่งเข้าใส่พวกเขา
เปรี้ยง
สายฟ้าผ่าลงมาก่อให้เกิดแสงประกายเล็กน้อย ทันทีบางอย่างที่อยู่ตรงหน้าก็ปรากฏพอให้ได้เห็นถนัดตาเพียงครู่ เอกตัวแข็งทื่อเหมือนดั่งวิญญาณหลุดลอยหายไปจนหมด
“เห้ยเอกเป็นอะไรวะ” พลูเห็นเพื่อนเงียบไป ก็เริ่มรู้สึกใจคอไม่ดี
เปรี้ยง
ฟ้าผ่าลงมาอีกครั้ง คราวนี้ทำให้พลูเป็นผู้ที่ได้มองเห็นเสียแทน
ร่างอรชรบอบบางขาวซีด ชุดสไบสีเขียวและโจงกระเบนสวย ใบหน้าของนางถูกปกคลุมไปด้วยผมที่ยาวสยายสีดำเข้ม
“ผีตานี” ทั้งเอกและพลูตะโกนออกมาพร้อมกัน พลันขาก็พาลุกขึ้นโดยอัติโนมัติ พร้อมกับทั้งล้มทั้งวิ่งออกไปเหมือนคนวิปลาศ เสียงกรีดร้องที่ดังตลอดเส้นทางที่ทั้งสองชายวิ่งออกไปดังลั่นไปทั่วทั้งป่า ราวกับมิใช่บุรุษแต่เป็นสตรี
“นางกล้วยหอม เอ็งทำให้พวกข้าถูกปลุกกันทั้งบาง” ผีตานีจากต้นกล้วยไข่ปรากฏเรือนร่างขึ้นมา พร้อมกับตรงเข้ามาชี้นิ้วด่าสตรีที่ผืนผมยาวสยายอยู่ตรงหน้า ทันทีที่ผีกล้วยไข่หันมาสบตาแม้กล้วยหอมชัดๆ หัวใจก็หลุดไปที่ตาตุ่มทันควัน
“ขุ่นเพ้ย เอ็งมันน่าสยดสยองยิ่งนัก” ผีกล้วยไข่ปากล้วยไข่ใส่หน้ากล้วยหอมไปหนึ่งใบ
“เอ็งไม่เห็นรึว่าฝนมันตก ข้าไม่ได้สระผมมาแรมปีแล้ว ใครจะไปรู้ว่าไอ้อีมันจะมาทางนี้” ผีกล้วยหอมสะบัดผมขึ้นเหมือนดั่งเป็นนางแบบยาสระผม
“เอาเถอะน่า ไหนๆ พวกมันก็สติหลุดไปแล้วจะแก้ไขอันใดได้ อีกอย่าง ฟ้ามืดแล้ว พวกเอ็งจะนอนกินบ้านกินดงกล้วยกันไปถึงไหน จะนอนกันจนตะวันขึ้นหรืออย่างไร ไปทำมาหากินกันได้แล้ว” แม่ผีกลัวยพัดเข้ามาปรามสถานการณ์พร้อมขับไล่พวกบรรดานางตานีที่มารุมต่อว่าผีกล้วยหอมให้ห่างออกไป
“อุ้ย” กล้วยพัดหันมามองหน้าแม่กล้วยหอมหัวใจก็แทบวายอีกครั้ง “นางกล้วยหอม เอ็งนี่ก็กระไร ทำตัวเยี่ยงผีเข้าไปทุกวัน หัดจัดการผมเผ้าเสียบ้าง” นางว่าจบก็เดินหายจากไป
“ก็ข้าอยู่กับพวกผี จะให้ทำตัวเป็นนางฟ้ารึ” กล้วยหอมเบ้ปากใส่นางกล้วยพัด
“อย่าอารมณ์เสียเลยจ้าแม่หญิง” แมวดำเดินเข้ามาเลียแข็งเลียขาแกล้วยหอมอย่างเอาอกเอาใจ
“จะไม่ให้อารมณ์เสียได้หรือ เมื่อครู่ไอ้อีสองตัวนั้นมันตะโกนด่าข้าว่าเป็นผีตานี” กล้วยหอมพ่นลมหายใจออกมาอย่างไม่พอใจ “ข้าไม่ใช่ผีตานี เอ็งก็รู้”
“ข้ารู้ว่าแม่หญิงหาใช่ผีตานีไม่ พวกมันก็แค่บ่าวในเรือน จะไปสนใจอันใดเล่าแม่หญิง” แมวดำพยายามปลอบอารมณ์ของกล้วยหอม กล้วยหอมอย่างอารมณ์ไม่คงที่ จึงได้แต่ทำเสียงปึ้งปั้ง
“เช่นนั้น เราไปหาท่านหลวงกันดีหรือไม่ เพื่อแม่หญิงจะหายกริ้ว” แมวดำเหมือนรู้ใจรีบเสนอความเห็นในทันที
เรือนไม้สักขนาดกลาง บานหน้าต่างของห้องยังคงเปิดยู่ เผยให้เห็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา กำลังก้มหน้าก้มตาอ่านตำราอย่างใจจดใจจ่อ กล้วยหอมยืนมองหลวงบดินพร้อมกับยิ้มกรุมกริ่มในใจ หลวงบดินอายุยังน้อยนิด แต่ทว่ากลับมีความสามารถมากโข จึงทำให้ได้เลื่อนยศป็นหลวงภายในอายุเพียงน้อย
“ต่อให้วันนี้ฟ้าทลาย แค่เพียงได้มองหน้าเจ้า ข้าเองก็พอใจแล้ว” กล้วยหอมยิ้มหวานปานน้ำผึ้ง
“อารมณ์ดีขึ้นแล้วใช่หรือไม่แม่หญิง” แมวดำกระซิบถาม กล้วยหอมเพียงพยักหน้าอ่อนๆ ตอบรับ
“ได้ยินว่า แม่หญิงบัวนั้นอายุได้เพลาออกเรือนแล้วเจ้าค่ะท่านพี่” เสียงของเจ้านายหญิงแห่งเรือนดังขึ้นพร้อมกับชายอีกผู้ที่กำลังเดินมาคู่กัน คนด้านข้างเป็นพระยาสิงห์ บิดาของหลวงบดิน กับท่านหญิงจันทร์ มารดาของหลวงบดิน
“บดินเองก็มีหน้าที่การงานที่ดี อีกทั้งอายุก็เหมาะสมที่จะออกเรือนแล้วเช่นกัน ท่านพี่เห็นว่าอย่างไร” ท่านหญิงบัวหันไปถามความเห็นของพระยาสิงห์
“ในพระนคร จะมีหญิงใดที่คู่ครวต่อบดินไปมากกว่าแม่หญิงบัว บุตรของเจ้าพระยาโพอีกเล่า” พระยาสิงห์กล่าวด้วยอารมณ์ขัน พลอยทำเอาภรรยายิ้มอย่างพอใจ มีเพียงสายตาเดียวที่แลดูเหมือนไม่สบอารมณ์นัก
“อะไรนะ จะให้หลวงบดิน ไปตบแต่งกับท่านหญิงบูดหรือ!!”
“บัวเจ้าค่ะแม่หญิง”
“จะอะไรก็ช่าง หลวงบดิน ไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นของผู้อื่นแต่เกิดมาเพื่อข้า” กล้วยหอมสายตาดุเดือน และจริงจัง
“ไหนแม่หญิงว่าแค่ได้มองก็พอใจเล่าเจ้าคะ” แมวดำยังคงย้อนแย้ง
“ตอนนี้ข้าไม่พอแล้ว ข้าอยากได้มากกว่านั้น!!” อยู่ดีๆ ของที่เคยเฝ้ามอง ก็กลับจะเปลี่ยนไป ใครกันจะทำใจได้
“ข้ามาอยู่ในยุคที่ต้องนั่งขี้กันกลางทุ่งนาก็ถือว่าชิบหายเต็มทนแล้ว ยังจักต้องมาเสียผู้ชายให้ชะนีอื่นอีกหรือ ข้าไม่ยอม!!!” กล้วยหอมทุบลงไปที่อกเสียงดังตุ้บๆ
“ใจเย็นเจ้าค่ะแม่หญิง ประเดี๋ยวเนื้อได้ช้ำพอดี” แมวดำพยายามกล่าวห้าม
“ไม่ใจยงใจเย็นมันแล้ว สาวยุค2020 เช่นข้า อยากได้สิ่งใดต้องได้ ข้าจะไม่ทน ข้าจะไม่ซ้อมเบิ่งเพื่อรอเวลาให้ผู้ชายของข้าเลิกกับใคร”
เปรี้ยง สายฟ้าฟาดลงมาทันทีที่กล้วยหอมยกมือขึ้น เล่นทำเอาสายตาของหลวงบดินมองลงมาที่ด้านล่าง ดวงตาคมเข้มหรี่เข้าหากันอย่างไม่เข้าใจ
“ต้นกล้วยหรือ” หลวงบดินเดินมาที่ขอบหน้าต่าง เพ่งมองไปที่ต้นกล้วยกลางสนามอย่างสงสัย
“ที่ตรงนี้มีต้นกล้วยอยู่เสียแต่เมื่อใดกัน”
“บดิน ปิดหน้าต่างเถิดลูก ประเดี๋ยวฝนจะสาดเอา” แม่หญิงจันทร์รีบเข้ามาที่ห้องบดิน เล่นเอาชายหนุ่มสะดุ้งตัวทันที
“ขอรับ ท่านแม่”
บานหน้าต่างถูกปิดแล้ว กล้วยหอมรีบคืนร่างมาเป็นคนเช่นเดิม และหลบเข้ามาใต้ชายคา พร้อมด้วยหัวใจที่เต้นรุนแรง
“เกือบโดนจับได้แล้ว” หล่อนบ่นพึมพำ
“แม่หญิง คงไม่คิดจะทำจริงหรอกนะเจ้าคะ” แมวดำถามย้ำ
“เรื่องอื่นข้าอาจจะไม่จริงจัง แต่เรื่องนี้ ข้าบอกเลยว่า ข้าสู้สุดใจ”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ