จากบูรพาสู่โพ้นทะเล
7.0
เขียนโดย HIMARAYA
วันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 เวลา 15.17 น.
6 ตอน
2 วิจารณ์
6,289 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 16.36 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) ขนมแต่งงาน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความหลังจาก ‘ศึกสายน้ำสองหมู่บ้าน’ จบลงได้ร่วมเดือน เป็งกวงก็ยังลุกไม่ขึ้น หลายคนลงความเห็นว่าเป็งกวงอาจจะพิการ เดินไม่ได้ไปตลอดชีวิต ช่วงแรกหลังเหตุการณ์ผ่านไปไม่นาน ยี่เก้า เกาย้งและอุ่ยจิวยังวนเวียนไปเยี่ยมเพื่อนที่บ้านบ้าง แต่เมื่อเวลาค่อยๆผ่านไป เป็งกวงอาการไม่ดีขึ้น สภาพจิตใจย่ำแย่ลง บ้านอาเป็งก็เหมือนปกคลุมด้วยเมฆดำ ครอบครัวเก็บตัวเงียบ เป็งกวงปฏิเสธพบหน้าใคร นานวันเข้าก็กลายเป็นกำแพงกั้นคนภายนอก อุ่ยจิวก็กลายเป็นเงียบขรึมไป ส่วนเกาย้งยิ่งนับวัน ยิ่งห่างเหินหายหน้าไป หลังจากกลับมาจากไปเยี่ยมบ้านผู้เฒ่าคราวก่อน ยี่เก้าแวะเวียนไปหาเกาย้งที่ศาลเจ้าสามครั้ง แต่ไม่เคยได้พบหน้า พักหลังยี่เก้ารู้สึกเกรงใจแปะล้งคนเฝ้าศาลเจ้า จึงไม่กล้าแวะไปอีก
ยี่เก้าใช้เวลาที่เหลือของฤดูร้อนช่วยเตี่ยเลี้ยงหมู วันหนึ่งหลังเทศกาลส่งเจ้าขึ้นสวรรค์ เตี่ยก็ไปเจรจาสู่ขอลูกสาวตระกูลแต้มาเป็นเจ้าสาวให้ยี่เก้า นัดแนะพิธีแต่งงานในวันมงคลที่จะมาถึงอีกไม่เกินสามสัปดาห์ ช่วงสายวันเดียวกันยี่เก้าเดินไปเกาอาย้ง แต่ไม่พบใครที่ศาลเจ้านอกจากแปะล้งเช่นเคย ยี่เก้าบ่ายหน้าเดินไปทางท้ายหมู่บ้านตั้งใจไปแจ้งข่าวมงคลกับผู้เฒ่าฮก ระหว่างทางเดินไปบ้านเฒ่าฮกครั้งนี้ ยี่เก้าสังเกตเห็นบางอย่างผิดปกติ เส้นทางนี้ไม่ค่อยมีใครใช้ คราวที่แล้วเส้นทางนี้มีต้นไม้กิ่งไม้ระเกะระกะ แต่ครั้งนี้ดูผิดหูผิดตาเหมือนมีคนใช้เส้นทางนี้ประจำ ระหว่างคิดสงสัยสองเท้าก็นำพายี่เก้ามาถึงบ้านเฒ่าฮกพอดี
ครั้งนี้ยี่เก้าไม่เห็นเฒ่าฮกยืนยิ้มตรงประตูไม้และประตูก็ปิดสนิท ยี่เก้าก้าวเท้าถึงหน้าประตูบ้าน ขณะที่ยกมือป้องปากกำลังจะตะโกนเรียกผู้อาวุโส ประตูก็แง้มออกเพียงน้อย สายตาผู้เฒ่าหลังประตูจ้องเขม็ง เมื่อเห็นว่าเป็นยี่เก้ามาคนเดียว แววตากร้าวจึงค่อยคลายลงเหมือนอย่างที่เคย “เข้ามาสิ” ผู้เฒ่าพูดสั้นกระชับเพียงคำเดียว เมื่อยี่เก้าก้าวเท้าพ้นประตู ผู้อาวุโสหันกลับไปมองนอกประตูอีกครั้ง เมื่อแน่ใจไม่มีใครอยู่แถวนั้นก็ปิดประตูลงดาลไม่ให้ใครเข้ามาได้อีก “พักหลังนี้รู้สึกเหมือนมีคนมาวนเวียนอยู่ไม่ไกลจากบริเวณบ้าน ทำให้รู้สึกระแวง” เฒ่าชราบอกกับยี่เก้า
“อั๊วมาหาวันนี้ ตั้งใจเอาขนมแต่งงานมาบอกข่าวมงคลแก่ผู้อาวุโส อั๊วกำลังจะแต่งงานกับลูกสาวตระกูลแต้” ยี่เก้ากล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “อั้วยินดีด้วยนะอาเบ๊ เป็นฝั่งเป็นฝา มีลูกสะใภ้มาช่วยดูแล ครอบครัวลื้อจะได้สบายใจ ลูกสาวคนไหนของตระกูลแต้หรือ?” ผู้อาสุโสถามกลับพร้อมรอยยิ้ม
“แต้สีลูกสาวคนรอง”
“อั๊วเห็นอีรับจ้างปั่นฝ้ายหาเงินช่วยเหลือครอบครัว มาตั้งแต่ตัวเล็กตัวน้อย ยินดีกับลื้อด้วยนะที่จะได้ภรรยาขยันขันแข็ง ช่วยกันทำมาหากิน” ผู้เฒ่ามองยี่เก้าแบบเดียวกับที่คนแก่มองดูลูกหลานด้วยความเอ็นดู
“ผู้อาวุโส จะให้เกียรติมาร่วมงานมงคลสมรส อั๊วกับลูกสาวตระกูลแต้ได้หรือไม่?” ยี่เก้าถามยิ้มแย้ม
“พักนี้สุขภาพอั๊วย่ำแย่เต็มที แขนขาไม่ค่อยมีแรง ไหนๆลื้อก็อุตส่าห์เดินทางมาแล้ว อั๊วขออวยพรลื้อกับลูกสาวตระกูลแต้ล่วงหน้า วันนี้-ที่นี่เลยล่ะกันนะ ส่วนวันงานพิธีก็ให้เป็นบรรยากาศของคนหนุ่ม - สาว และครอบครัวลื้อเถอะ” เฒ่าฮกกล่าวน้ำเสียงหนักแน่นแต่อบอุ่น
“อั๊วน้อมรับคำอวยพร ขอผู้อาวุโสแข็งแรงในเร็ววัน ถึงตอนนี้ให้คนที่อั๊วอยากให้มาร่วมงานมีแค่อุ่ยจิวคนเดียวที่รับคำเชิญ” ยี่เก้ากล่าว “แล้วเป็งกวง กับเกาย้งล่ะ?” ความสงสัยปรากฎบนคิ้วขาวที่ขมวดย่นบนใบหน้าชราขมวด
“เป็งกวงยังลุกไม่ขึ้น ว่ากันว่าอีอาจกลับมาเดินไม่ได้อีกแล้ว ทางครอบครัวก็เสียใจมาก ไม่ต้อนรับขับสู้ผู้ใด” ยี่เก้าตอบเสียงทุ้ม
“เป็นเช่นนั้นหรือ? ยังหนุ่มยังแน่น ช่างน่าเวทนาแท้ๆ” เฒ่าฮกกล่าวด้วยน้ำเสียงหม่นหมอง “แล้วเป็งฮวด อาเจ็กของเป็งกวงยังอยู่ที่บ้านหลังนั้นหรือไม่?” เฒ่าอาวุโสถามต่อคล้ายมีนัยยะ
“อั๊วไม่รู้ อั๊วไม่ได้พบเจ๊กเป็งอีกเลยตั้งแต่กลับมาจากอึ่งเต็กกี๊ เกาย้งก็เหมือนกันหายหน้าไปจากหมู่บ้านหลายสัปดาห์แล้ว ไม่ได้บอกกล่าวอะไรไว้เลย”
แววตาฝ้าขุ่นของเฒ่าชราเปลี่ยนไป เฒ่าฮกจ้องมองยี่เก้าอย่างด้วยสีหน้าไม่สบายใจ จนยี่เก้าต้องเอ่ยถาม “ผู้อาวุโส มีสิ่งใดไม่สบายใจหรือ?”
“เรื่องนี้อาจเกี่ยวข้องกับความเป็น–ความตายนะ ยังไม่รู้ว่าจริงเท็จประการใด ยี่เก้าลื้อเก็บความลับได้ใช่มั้ย ห้ามไปคุยกับใครหมู่บ้านเด็ดขาด?” น้ำเสียงชราเบาลงเกือบเป็นเสียงกระซิบ แต่กลับจริงจังกว่าทุกครั้ง
เบ๊ยี่เก้างุนงงด้วยคำถาม ทั้งที่ตั้งใจจะมาแจ้งข่าวมงคล แต่เหมือนเรื่องราวจะไม่ปกติเสียแล้ว เมื่อผู้อาวุโสกล่าวถึงความเป็น-ความตายขึ้นมาเช่นนี้ “ผู้อาวุโส มีสิ่งใดในใจเกี่ยวข้องกับเกาย้ง และเจ็กเป็งอย่างนั้นหรือ?”
เฒ่าชราตอบกลับด้วยคำถาม “ถ้าอั๊วจำไม่ผิด เป็งฮวด อาเจ็กของเพื่อนลื้อไปเซียงไฮ้ตั้งแต่สองปีก่อน และเพิ่งกลับมาที่เตี่ยเอี๊ยเพียงสองเดือนก่อนศึกสายชิงสายน้ำใช่หรือไม่? แล้วเมื่อกลับมา เป็งฮวดได้ไปรายงานตัวกับนายอำเภอไหม?”
“ใช่ อาเป็งเคยเล่าให้อั๊ว อาย้ง และอาลิ้มฟังว่าอาเจ็กไปทำงานโรงพิมพ์ในเซี่ยงไฮ้ แต่แล้ววันหนึ่งก็กลับมาที่เตี่ยเอี๊ยโดยไม่ส่งข่าวมาบอกล่วงหน้า วันที่เจ๊กเป็งกลับมาที่เสี่ยไจ๊วันแรก คนที่บ้านแทบจำไม่ได้ เรื่องไปรายงานตัวกับนายอำเภอหรือไม่นั้น อั๊วไม่รู้ แต่เป็งกวงเล่าว่าอาเจ็กแทบไม่พูดจากับใคร หนวดเครายาว นัยตาดูแปลกไปเป็นคนล่ะคน บอกแต่ว่าเหนื่อยเพราะเดินมาหลายวัน ขอพักผ่อนห้ามรบกวน แล้วก็ไม่ยอมปริปากเรื่องใดอีก โดยเฉพาะเรื่องที่ไปอยู่เซี่ยงไฮ้”
“เบ๊ยี่เก้า ลื้อได้รับรู้เรื่องการกวาดล้างขบวนการหัวก้าวหน้าในเซี่ยงไฮ้หรือไม่?” เฒ่าฮกถามหยั่งเชิง คนหนุ่ม “ไม่ อั๊วไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนั้นมาก่อน เตี่ยเอี๊ยอยู่ห่างไกลจากเซี่ยงไฮ้มากนัก ใครคือขบวนการหัวก้าวหน้าหรือ แล้วเหตุใดพวกเขาจึงถูกปราบปราม ท่านผู้เฒ่าโปรดชี้แนะ”
“พวกหัวก้าวหน้าเป็นพวกนักศึกษาปัญญาชนตามเมืองใหญ่ มีจุดเริ่มขบวนการมาตั้งแต่แปดปีก่อน ส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่ม-สาวนี่แหละ พวกนี้ไม่พอใจรัฐบาลจีนในสมัยนั้นที่อ่อนแอ มองว่ารัฐบาลไร้ศักดิ์ศรี ที่ปล่อยชาวต่างชาติโดยเฉพาะญี่ปุ่นที่เข้ามาขยายอิทธิพลในมณฑลซานตงหลังจากสงครามโลกจบจึงก่อการประท้วง”
“พวกญี่ปุ่นปกครองดินแดนแมนจูเรียมานานแล้ว ตั้งแต่ปลายราชวงศ์ชิงเหตุใดยังต้องการรุกรานประเทศเราอีก” ยี่เก้าสงสัยยิ่งนัก
“อั๊วว่าพวกญี่ปุ่นวางแผนยึดเมืองจีนทั้งประเทศ มันเป็นสิ่งที่คนจีนยอมไม่ได้ ดินแดนที่เคยยิ่งใหญ่นับพันปีตกต่ำลงมาขนาดนี้ ด้วยสายตาคับแคบที่ไม่ยอมเปิดกว้างของพวกราชวงศ์ชิง ขณะที่บรรดาแม่ทัพ-ขุนศึกต่างแย่งชิงอำนาจ จึงทำให้แผ่นดินระส่ำระส่ายขาดเอกภาพที่จะต่อกรกับชาติตะวันตก และพวกญี่ปุ่น”
“แล้วมันเกิดอะไรขึ้นที่เซี่ยงไฮ้เมื่อเดือนเมษายน และเกี่ยวข้องอย่างไรกับเจ๊กเป็งและเกาย้ง” อั๊วไม่เข้าใจแม้แต่น้อย รบกวนท่านผู้เฒ่าช่วยไขความสงสัยด้วย” ยี่เก้าได้ยินเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่จากเฒ่าฮกเมื่อตนพูดจบประโยค รู้ว่าคงไม่ใช่เรื่องมงคลแต่ก็อยากจะฟังเรื่องราวจากเฒ่า
“หลังเหตุการณ์ 4 พฤษภาคม แปดปีก่อน ขบวนการหัวก้าวหน้าส่วนใหญ่ได้รับแนวคิดการปกครองระบอบคอมมิวนิสต์จนมีก่อตั้ง ‘พรรคคอมมิวนิสต์จีน’ ขึ้น โดยชูความเสมอภาคต่อต้านระบบศักดินา และต่อต้านการครอบงำของพวกฝรั่ง พรรคคอมมิวนิสต์จีนจึงได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย การเคลื่อนไหวของผู้ฝักใฝ่ระบอบนี้ ผลักดันให้เกิดการนัดหยุดงานประท้วงของแรงงาน และกรรมกรเพื่อเป็นการต่อรองเรียกร้องสิทธิและค่าตอบแทนที่เป็นธรรม”
“นั่นย่อมทำให้บรรดาเจ้าของกิจการไม่พอใจที่จะต้องเสียผลประโยชน์ ในเดือนเมษายนที่ผ่านมามีการประท้วงครั้งใหญ่จนเกิดเป็นการจราจลในเซี่ยงไฮ้โดยกลุ่มสหภาพแรงงาน ที่สนับสนุนโดยพรรคคอมมิวนิสต์ รัฐบาลจึงปราบปรามกลุ่มผู้ประท้วงและจับแกนนำมาประหารชีวิต”
“ผู้เฒ่าคิดว่าเจ๊กเป็งเป็นพวกคอมมิวนิสต์!?” ยี่เก้าเริ่มปะติปะต่อเรื่องราว ผู้เฒ่าไม่ตอบ ทอดสายตาออกไปภายนอก “ถ้าหากพรรคคอมมิวนิสต์ต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมแก่ชาวจีนทุกชนชั้น การกระทำนั้นควรค่าแก่การยกย่องมิใช่หรือ?” ยี่เก้าถามด้วยความซื่อ
เฒ่าฮกถอนหายใจอีกครั้งก่อนตอบ “การจลาจลครั้งนั้น เกิดจากการที่คนของพรรคคอมมิวนิสต์ที่ไปร่วมรบในกองทัพพิชิตขุนศึกภาคเหนือ ได้เข่นฆ่าชาวต่างชาติในนานกิง ทำให้รัฐบาลของพวกต่างชาติโกรธแค้นเป็นอันมาก หากรัฐบาลกลางไม่ทำสิ่งใดเพื่อแสดงความรับผิดชอบล่ะก็ กองกำลังจากหลายชาติอาจจะรุมทึ้งแผ่นดินจีน ประวัติศาสตร์จะกลับไปซ้ำรอย กับคราวกบฏนักมวย* ที่กองทัพแปดชาติบุกเข้าไปถึงพระราชวังต้องห้าม”
“เพื่อไม่ให้เหตุการณ์ซ้ำรอยในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานจากภายนอก รัฐบาลกลางจึง ส่งฑูตไปบอกรัฐบาลประเทศต่างๆ ว่ากลุ่มที่ไล่เข่นฆ่าชาวต่างชาติเป็นคนของพรรคคอมมิวนิสต์ และเริ่มทำการกวาดล้างพันธมิตรที่ร่วมปราบเหล่าขุนศึกมาด้วยกัน” ยี่เก้าเริ่มเข้าใจขึ้นมาแล้ว ในใจไม่อยากจะเชื่อว่าความขัดแย้งทางการเมืองที่ห่างไกลกับชีวิตชนบทในหมู่บ้านนี้ กลับมาถึงตัวเพื่อนสนิทในสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วง
“ระหว่างกลุ่มที่กำจัดชาวต่างชาติที่เอารัดเอาเปรียบคนจีนมานาน กับกลุ่มที่ยอมทำทุกอย่างไม่ให้ประเทศจีนถูกชาวต่างชาติรุกราน ใครจะบอกได้ว่าฝ่ายไหนรักชาติมากกว่ากัน” น้ำเสียงเฒ่าฮกฟังว่างเปล่า สายตายังคงเหม่อมองภายนอก
“งั้นก็หมายความว่าทางการกำลังไล่จับกุมคนที่เป็นคอมมิวนิสต์” ยี่เก้าถามด้วยความเป็นห่วงเพื่อน “อั๊วไม่ได้แน่ใจอะไรนักแต่ก็อาจเป็นไปได้ เป็งฮวดคงคาดว่าตนว่ากำลังถูกตามล่าทำให้ต้องเก็บตัว ส่วนเกาย้งยังไม่รู้แน่ชัด แต่จู่ๆ ก็หายไป ย่อมมีความเป็นไปได้ที่จะเข้าร่วมกับเค้าด้วย ยังไงก็ตาม การจะบอกว่าใครเป็นคอมมิวนิสต์ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ห้ามพูดเรื่องนี้กับคนในหมู่บ้านเด็ดขาด” เฒ่าชรากล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งก่อนหันมามองหน้ายี่เก้าด้วยสายตาที่อ่อนโยนลง “บ้านเมืองกำลังวุ่นวาย ลื้อต้องรักษาตัวให้ดีเพื่อคอยดูแลลูก-เมีย”
ชีวิตอั๊วพบเห็นมามากแล้ว คนที่ชีวิตครอบครัวพังทลายอย่างน่าเศร้าเพียงเพราะเคลื่อนไหวทางการเมือง มองด้านหนึ่งก็นับเป็นความเสียสละที่น่ายกย่อง แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ตายเพื่ออุดมการณ์ บางคนเข้าใจไปว่าตนมีจิตใจสูงส่ง ยึดถือคุณธรรมอุดมการณ์เหนือผู้อื่น แต่เมื่อมองอีกด้าน คนเหล่าไม่ได้เข้าใจสถาณการ์ได้อย่างถ่องแท้ จึงตกเป็นเหยื่อของกระแสความเปลี่ยนแปลง มันไม่ใช่แค่ชีวิตลื้อคนเดียว ต้องคิดถึงคนข้างหลังด้วย ลื้อเข้าใจใช่มั้ย” ยี่เก้าตั้งใจฟังสิ่งที่ผู้เฒ่าพูด
“ลื้อกำลังจะมีครอบครัวที่ต้องดูแล การได้สร้างครอบครัวที่มีความสุขและอบอุ่นเป็น ชีวิตสมบูรณ์ที่บุรุษคู่ควร” เฒ่าอาวุโสสั่งสอนเบ๊ยี่เก้าอีกครั้ง “อั๊วขอโทษลื้อนะ ที่มาชวนคุยเรื่องเป็นเรื่องไม่น่าฟัง ในวันที่ควรแต่พูดแต่เรื่องมงคล” ยี่เก้าพยักหน้ารับ ขณะที่หลายความคิดตีกันในหัวเพราะยังตั้งตัวไม่ทันกับหลายเรื่องที่ได้รับรู้ จึงไม่ได้พูดอะไรออกไปอีก
“เอาล่ะ ขอบใจสำหรับขนมแต่งงานนะ ขอบใจมากอาเบ๊ อั๊วขอให้ลื้อกับลูกสาวตระกูลแต้สร้างครอบครัวที่มีความสุข ขอให้ลื้อขยันขันแข็งและมีชีวิตที่ดีขึ้น” ยี่เก้าน้อมรับคำอวยพร “ขอบคุณผู้อาวุโส ผู้เฒ่าเหนื่อยล้ามากแล้ว วันนี้อั๊วขอตัวกลับก่อนเพื่อให้ผู้อาวุโสพักผ่อน หลังวันแต่งงานจะพาภรรยามาคารวะผู้อาวุโสเมื่อโอกาสอำนวย”
เบ๊ยี่เก้าเดินออกจากบ้านเฒ่าฮก เดินย้อนไปตามทางเดิม ระหว่างเดินเหม่อลอยยังไม่ถึงครึ่งทาง มีเสียงคุ้นเคยเรียกมาจากด้านหลัง ยี่เก้าหันกลับไปมองเห็นเล้าเกาย้งยืนอยู่ไม่ห่าง
“เกาย้ง! ลื้อหายไปไหนมา อั๊วไปหาลื้อที่ศาลเจ้าหลายครั้งไม่เจอลื้อ ครั้งสุดท้ายที่ไปหาลื้อ แปะล้งบอกว่าลื้อคงไม่กลับไปอยู่ที่ศาลเจ้าแล้ว เกิดอะไรขึ้น? ลื้อย้ายออกมาอยู่ท้ายหมู่บ้านแล้วหรือ ทำไมไม่บอกอั๊วสักคำ?” เกาย้งดีใจ ไม่ติดว่าจะได้เจอเพื่อนเร็วกว่าที่คิด
“ขอโทษทีนะที่อั๊วไม่ได้บอกลื้อว่าอั๊วไม่ได้อาศัยนอนที่ศาลเจ้าแล้ว แต่อั๊วนอนที่ไหนไม่สำคัญหรอกนะ คนอย่างอั๊วอยู่ใต้ฟ้าก็ถือเป็นที่นอนได้หมด ว่าแต่ลื้อไปเยี่ยมเฒ่าฮกมาหรือ ผู้เฒ่าเป็นอย่างไรบ้าง?” แม้บุคลิกเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่น้ำเสียงยังเป็นเกาย้งคนเดิม
“วันนี้อีดูเหนื่อยๆน่ะ แวะเอาขนมแต่งงานมาให้อี อั๊วกำลังจะแต่งงานน่ะ อั๊วบอกอุ่ยจิวไปแล้ว แต่ไม่รู้จะไปหาลื้อที่ไหน เจอลื้อก็ดีแล้ว อั๊วเชิญลื้อมางานแต่งงานอั๊วด้วยนะ อีกสิบวันลื้อมาบ้านอั๊วนะ” อาเบ๊กล่าวเชิญด้วยน้ำเสียงดีใจ เกาย้งเพียงยิ้มพร้อมพยักหน้าเบาๆ
“แล้วลื้อไม่ได้อาศัยอยู่ที่ศาลเจ้าแล้ว อั๊วจะไปเยี่ยมหาลื้อได้ที่ไหน แล้วลื้อจะไปทำอะไรต่อ?” อาเบ๊ถามต่อ “ลื้อจำที่อั๊วเล่าให้ลื้อฟังว่าอั๊วมีอะไรที่อยากทำตอนที่เราเดินกลับจากหมู่บ้านอึ่งเต็กกี้วันนั้นได้มั้ย?” เกาย้งถามกลับราวไม่ได้ยินคำถามสุดท้ายของยี่เก้า
เบ๊ยี่เก้าพยักหน้า “อั๊วอยากจะอุทิศชีวิตเพื่อคนชนชั้นล่าง และสร้างชาติจีนของเราให้กลับมายิ่งใหญ่ ไม่ให้พวกต่างชาติมาข่มเหงเอาเปรียบได้อีก” เกาย้งอากัปกิริยาเปลี่ยนไป ยี่เก้ารับรู้ได้ถึงอารมณ์ที่ระอุในใจเพื่อนมากกว่าครั้งไหน นี่เป็นครั้งแรกที่ยี่เก้าเริ่มรู้สึกว่าเกาย้งเปลี่ยนไป แค่ไม่กี่สัปดาห์ที่ไม่เจอกัน เล้าเกาย้งกลับไม่เหลือเค้าความร่าเริงเหมือนเก่า
“ยี่เก้าลื้อฟังอั๊วนะ อั๊วอยากให้ลื้อมาร่วมด้วย เราจะช่วยกันเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เป็นอยู่ให้ดีขึ้น เป็นสังคมที่เสมอภาคและเท่าเทียม ถ้าพวกเราทำสำเร็จ จะไม่มีคนจีนคนไหนมาตีกันแย่งน้ำ แย่งปุ๋ยกัน จะไม่เกิดขึ้นอีก” เกาย้งชักชวนด้วยใบหน้าแสยะยิ้ม แต่สำหรับยี่เก้า นี่เป็นรอยยิ้มที่ไม่คุ้นเคยและชวนอึดอัดมากกว่าครั้งไหน
“ทุกวันนี้ต้าชิงก็ล่มสลายไปนานแล้ว ไม่ได้มีจักรพรรดิองค์ใดปกครองจีนอีกแล้ว!” แม้ประโยคสั้นๆ แต่ทำให้เกาย้งมีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย ไม่ได้ยินเพื่อนแสดงความคิดเห็นทางการเมืองมาก่อน
“ใช่ ราชวงศ์ชิงล่มสลายไปแล้วก็จริง แต่แผ่นดินยังแตกแยก คนโลภมาก ใฝ่สูงคิดตั้งราชวงศ์ใหม่อย่างหยวนสือไขยังมีมากมาย พวกขุนศึกทั้งหลายก็ต่างติดแต่ผลประโยชน์พรรคพวกตนเอง แผ่นดินจีนของเรา ถ้าการปฏิวัติไม่ได้เริ่มต้นจากชนชั้นกรรมาชีพ และผู้ใช้แรงงาน ความเท่าเทียมที่แท้จริงย่อมไม่ได้ทางเกิดขึ้นไปได้!!” น้ำเสียงท้ายประโยคดังเกือบเท่าเสียงตะโกน
ยี่เก้ามองเพื่อนกำหมัดหายใจฟืดฟาดครู่หนึ่งโดยไม่ได้พูดอะไร ชั่วอึดใจเกาย้งก็หันมาพร้อมรอยยิ้ม “นี่แหละ คือ สาเหตุที่พวกเราต้องช่วยกัน หลังจากนี้อั๊วจะไปชวนอุ่ยจิวด้วย อั๊วเชื่อว่าอุ่ยจิวต้องยินดีเข้าร่วมด้วยแน่ พวกเราจะแก้แค้นคนที่ทำให้เป็งกวงต้องเป็นแบบนี้” น้ำเสียงเกาย้งเอาจริง ยี่เก้ามองหน้าเพื่อนที่โตมาด้วยกันครู่หนึ่ง ก็กล่าวว่า “ลื้อจะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นได้อย่างไร ทุกวันนี้แค่ข้าวจะกินให้อิ่มท้องยังแทบเป็นไปไม่ได้ แค่ตีกันแย่งลำธารสายเดียวก็มีคนหมดแรงตาย แล้วพวกเราจะไปสู้รบปรบมือกับใครที่ไหนได้”
ลมที่พัดเมื่อครู่สงบนิ่ง ใบไม้ไม่กระดิก มีเพียงความเงียบงันกั้นระหว่างเด็กหนุ่มทั้งสองที่เติบโตมาด้วยกัน เป็นวินาทีที่เนิบช้าและเนินนานก่อนที่เกาย้งทำลายความเงียบด้วย ประโยคที่กัดกร่อนความรู้สึกเพื่อนแต่วัยเยาว์ “ยี่เก้า อั๊วกับลื้อรู้จักกันมานาน อั๊วรู้ว่าลื้อไม่ใช่คนขี้ขลาด ศึกคราวที่แล้วลื้อยังเอาชนะได้ อั๊วเดาว่าเป็นเพราะลื้อกำลังจะแต่งงาน” เกาย้งหรี่ตาเพ่งมองหน้าเพื่อน สีหน้ายี่เก้าปฏิเสธความจริงไม่ทัน จะโกหกไปก็ไม่มีประโยชน์จึงเลือกที่จะเงียบ
“ลื้อแต่งงานก็ช่วยต่อสู้เพื่อมวลชนได้ แต่งงานแล้วก็ศึกษาแนวทางแบบลัทธิมาซ์กได้ เมื่อถึงวันที่การต่อสู้มาถึง ลื้อก็พาเมียไปด้วย จะได้ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง” เกาย้งกล่าวเสียงราบเรียบ แม้มุมปากยังมีคราบรอยยิ้ม แต่ยี่เก้ากลับไม่เห็นรอยยิ้มในแววตาเพื่อนแต่น้อย
ยี่เก้าส่ายหัวช้าๆ “ถ้าอั๊วจะมีครอบครัว อั๊วย่อมต้องดูแลเมียและลูกอั๊วให้ดีที่สุด อั๊วจะตั้งใจช่วยที่บ้านเลี้ยงหมู อั๊วจะทำงานหนักเพื่อให้มีชีวิตที่ดีขึ้น อั๊วขอโทษลื้อนะเกาย้ง แต่อั๊วไม่สามารถไปร่วมขบวนการคอมมิวนิสต์กับลื้อได้” จบประโยคยี่เก้าใจหาย ที่เผลอพูดคำว่าพรรคมิวนิสต์ออกไป
“อั๊วเข้าใจลื้อ.. คนส่วนใหญ่ก็ย่อมเห็นความสุขส่วนตนสำคัญกว่าความทุกข์ยากของผู้อื่น” เกาย้งกล่าวสีหน้าเรียบเฉย ยี่เก้าเงียบไม่โต้ต้อบ ในใจกึ่งหนึ่งคิดเคืองกับคำประชดประชันของเพื่อน กึ่งหนึ่งโล่งที่เพื่อนไม่ได้เอะใจ ว่าตนรู้ได้อย่างไรว่าพรรคคอมมิวนิสต์คือตัวแทนของลัทธิมาซ์ก เพราะชาวบ้านในหมู่บ้านยังไม่ค่อยมีใครรู้จักแนวคิดนี้
“วันหนึ่งการปฏิวัติสังคมใหม่สำคัญ ลื้ออาจจะต้องเสียใจที่ไม่ได้เลือกอยู่ข้างมวลชนผู้ทุกข์ยาก วันนั้น ลื้อจะได้รับผลของความเพิกเฉยต่อความทุกข์ทนของเพื่อนร่วมชาติ ครอบครัวลื้อเป็นพ่อค้าขายหมู พวกชนชั้นกฎุมพีอย่างลื้อจะกลายเป็นจำเลยของประวัติศาสตร์” เกาย้งกล่าวเสียงสั่น สันกรามปูดโปน ไม่มีคราบยิ้มหลงเหลือ
“แล้วลื้อไม่คิดหรือว่า มีกลุ่มคนที่ได้รับผลประโยชน์จากความเปลี่ยนแปลงที่ลื้อหวังจะสร้าง มีคนที่รอช่วงชิงผลประโยชน์จากการปฏิวัติ สักวันลื้ออาจจะถูกหักหลัง เหมือนที่หยวนซือไขทรยศ ดร.ซุน และพรรคก๊กมินตั๋ง” ยี่เก้าพยายามข่มอารมณ์ ขณะโต้เพื่อนด้วยคำถาม
“ถ้าไม่มีการสูญเสียสิ่งใด ก็ย่อมไม่ใช่การเปลี่ยนแปลง ต้องมีผู้เสียสละอีกมาก เพื่อสังคมที่ดีขึ้น”
เกาย้งแยกเขี้ยวกระแทกเสียง นัยย์ตาที่แคยแจ่มใสกลายเป็นถมึงทึง
บรรยากาศระหว่างชายหนุ่มสองคนอึมครึม จนไม่ได้รับรู้การมาถึงของแสงอ่อนสี และหมู่แมลงร้องประสานเสียงยามเย็น
ยี่เก้าถอนหายใจก่อนพยักหน้าช้าๆ “อั๊วนับถือในอุดมการณ์ของลื้อ อั๊วชื่นชมที่ลื้ออุทิศเพื่อคนอื่น แต่ลื้อเอาอุดมการณ์ที่ลื้อยึดมั่นไปยัดใส่มือคนอื่นไม่ได้ หน้าที่ ภาระ และชะตาชีวิตคนเราต่างกัน อั๊วขอให้ลื้อยอมรับในคุณค่าที่ผู้อื่นยึดถือด้วย” คำพูดบรรยายความรู้สึกยี่เก้าตามจริง
“เช่นนั้นก็ย่อมได้” เกาย้งหายใจฟึดฟัดอีกครั้ง “ถ้าลื้อกับอั๊วมีอุดมการณ์ต่างกัน ทางของเราก็ย่อมต้องแยกกันเดิน อั๊วขออวยพรให้ลื้อมีความสุขกับเมียของลื้อ สักวันเราอาจจะได้เจอกันอีก” กล่าวจบเกาย้งก็หันหลังเดินไปตามทิศทางที่ยี่เก้าเดินมา
ยี่เก้ามองตามเพื่อนจนเดินหายลับไปในป่าข้างทางโดยไม่หันกลับมามองตนแม้แต่น้อย ยี่หันหลังกลับ ก้าวเท้าเดินมุ่งหน้าสู่หมู่บ้านเสี่ยไจ๊ด้วยหัวใจที่โหวงเหวงอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน
ยี่เก้าใช้เวลาที่เหลือของฤดูร้อนช่วยเตี่ยเลี้ยงหมู วันหนึ่งหลังเทศกาลส่งเจ้าขึ้นสวรรค์ เตี่ยก็ไปเจรจาสู่ขอลูกสาวตระกูลแต้มาเป็นเจ้าสาวให้ยี่เก้า นัดแนะพิธีแต่งงานในวันมงคลที่จะมาถึงอีกไม่เกินสามสัปดาห์ ช่วงสายวันเดียวกันยี่เก้าเดินไปเกาอาย้ง แต่ไม่พบใครที่ศาลเจ้านอกจากแปะล้งเช่นเคย ยี่เก้าบ่ายหน้าเดินไปทางท้ายหมู่บ้านตั้งใจไปแจ้งข่าวมงคลกับผู้เฒ่าฮก ระหว่างทางเดินไปบ้านเฒ่าฮกครั้งนี้ ยี่เก้าสังเกตเห็นบางอย่างผิดปกติ เส้นทางนี้ไม่ค่อยมีใครใช้ คราวที่แล้วเส้นทางนี้มีต้นไม้กิ่งไม้ระเกะระกะ แต่ครั้งนี้ดูผิดหูผิดตาเหมือนมีคนใช้เส้นทางนี้ประจำ ระหว่างคิดสงสัยสองเท้าก็นำพายี่เก้ามาถึงบ้านเฒ่าฮกพอดี
ครั้งนี้ยี่เก้าไม่เห็นเฒ่าฮกยืนยิ้มตรงประตูไม้และประตูก็ปิดสนิท ยี่เก้าก้าวเท้าถึงหน้าประตูบ้าน ขณะที่ยกมือป้องปากกำลังจะตะโกนเรียกผู้อาวุโส ประตูก็แง้มออกเพียงน้อย สายตาผู้เฒ่าหลังประตูจ้องเขม็ง เมื่อเห็นว่าเป็นยี่เก้ามาคนเดียว แววตากร้าวจึงค่อยคลายลงเหมือนอย่างที่เคย “เข้ามาสิ” ผู้เฒ่าพูดสั้นกระชับเพียงคำเดียว เมื่อยี่เก้าก้าวเท้าพ้นประตู ผู้อาวุโสหันกลับไปมองนอกประตูอีกครั้ง เมื่อแน่ใจไม่มีใครอยู่แถวนั้นก็ปิดประตูลงดาลไม่ให้ใครเข้ามาได้อีก “พักหลังนี้รู้สึกเหมือนมีคนมาวนเวียนอยู่ไม่ไกลจากบริเวณบ้าน ทำให้รู้สึกระแวง” เฒ่าชราบอกกับยี่เก้า
“อั๊วมาหาวันนี้ ตั้งใจเอาขนมแต่งงานมาบอกข่าวมงคลแก่ผู้อาวุโส อั๊วกำลังจะแต่งงานกับลูกสาวตระกูลแต้” ยี่เก้ากล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “อั้วยินดีด้วยนะอาเบ๊ เป็นฝั่งเป็นฝา มีลูกสะใภ้มาช่วยดูแล ครอบครัวลื้อจะได้สบายใจ ลูกสาวคนไหนของตระกูลแต้หรือ?” ผู้อาสุโสถามกลับพร้อมรอยยิ้ม
“แต้สีลูกสาวคนรอง”
“อั๊วเห็นอีรับจ้างปั่นฝ้ายหาเงินช่วยเหลือครอบครัว มาตั้งแต่ตัวเล็กตัวน้อย ยินดีกับลื้อด้วยนะที่จะได้ภรรยาขยันขันแข็ง ช่วยกันทำมาหากิน” ผู้เฒ่ามองยี่เก้าแบบเดียวกับที่คนแก่มองดูลูกหลานด้วยความเอ็นดู
“ผู้อาวุโส จะให้เกียรติมาร่วมงานมงคลสมรส อั๊วกับลูกสาวตระกูลแต้ได้หรือไม่?” ยี่เก้าถามยิ้มแย้ม
“พักนี้สุขภาพอั๊วย่ำแย่เต็มที แขนขาไม่ค่อยมีแรง ไหนๆลื้อก็อุตส่าห์เดินทางมาแล้ว อั๊วขออวยพรลื้อกับลูกสาวตระกูลแต้ล่วงหน้า วันนี้-ที่นี่เลยล่ะกันนะ ส่วนวันงานพิธีก็ให้เป็นบรรยากาศของคนหนุ่ม - สาว และครอบครัวลื้อเถอะ” เฒ่าฮกกล่าวน้ำเสียงหนักแน่นแต่อบอุ่น
“อั๊วน้อมรับคำอวยพร ขอผู้อาวุโสแข็งแรงในเร็ววัน ถึงตอนนี้ให้คนที่อั๊วอยากให้มาร่วมงานมีแค่อุ่ยจิวคนเดียวที่รับคำเชิญ” ยี่เก้ากล่าว “แล้วเป็งกวง กับเกาย้งล่ะ?” ความสงสัยปรากฎบนคิ้วขาวที่ขมวดย่นบนใบหน้าชราขมวด
“เป็งกวงยังลุกไม่ขึ้น ว่ากันว่าอีอาจกลับมาเดินไม่ได้อีกแล้ว ทางครอบครัวก็เสียใจมาก ไม่ต้อนรับขับสู้ผู้ใด” ยี่เก้าตอบเสียงทุ้ม
“เป็นเช่นนั้นหรือ? ยังหนุ่มยังแน่น ช่างน่าเวทนาแท้ๆ” เฒ่าฮกกล่าวด้วยน้ำเสียงหม่นหมอง “แล้วเป็งฮวด อาเจ็กของเป็งกวงยังอยู่ที่บ้านหลังนั้นหรือไม่?” เฒ่าอาวุโสถามต่อคล้ายมีนัยยะ
“อั๊วไม่รู้ อั๊วไม่ได้พบเจ๊กเป็งอีกเลยตั้งแต่กลับมาจากอึ่งเต็กกี๊ เกาย้งก็เหมือนกันหายหน้าไปจากหมู่บ้านหลายสัปดาห์แล้ว ไม่ได้บอกกล่าวอะไรไว้เลย”
แววตาฝ้าขุ่นของเฒ่าชราเปลี่ยนไป เฒ่าฮกจ้องมองยี่เก้าอย่างด้วยสีหน้าไม่สบายใจ จนยี่เก้าต้องเอ่ยถาม “ผู้อาวุโส มีสิ่งใดไม่สบายใจหรือ?”
“เรื่องนี้อาจเกี่ยวข้องกับความเป็น–ความตายนะ ยังไม่รู้ว่าจริงเท็จประการใด ยี่เก้าลื้อเก็บความลับได้ใช่มั้ย ห้ามไปคุยกับใครหมู่บ้านเด็ดขาด?” น้ำเสียงชราเบาลงเกือบเป็นเสียงกระซิบ แต่กลับจริงจังกว่าทุกครั้ง
เบ๊ยี่เก้างุนงงด้วยคำถาม ทั้งที่ตั้งใจจะมาแจ้งข่าวมงคล แต่เหมือนเรื่องราวจะไม่ปกติเสียแล้ว เมื่อผู้อาวุโสกล่าวถึงความเป็น-ความตายขึ้นมาเช่นนี้ “ผู้อาวุโส มีสิ่งใดในใจเกี่ยวข้องกับเกาย้ง และเจ็กเป็งอย่างนั้นหรือ?”
เฒ่าชราตอบกลับด้วยคำถาม “ถ้าอั๊วจำไม่ผิด เป็งฮวด อาเจ็กของเพื่อนลื้อไปเซียงไฮ้ตั้งแต่สองปีก่อน และเพิ่งกลับมาที่เตี่ยเอี๊ยเพียงสองเดือนก่อนศึกสายชิงสายน้ำใช่หรือไม่? แล้วเมื่อกลับมา เป็งฮวดได้ไปรายงานตัวกับนายอำเภอไหม?”
“ใช่ อาเป็งเคยเล่าให้อั๊ว อาย้ง และอาลิ้มฟังว่าอาเจ็กไปทำงานโรงพิมพ์ในเซี่ยงไฮ้ แต่แล้ววันหนึ่งก็กลับมาที่เตี่ยเอี๊ยโดยไม่ส่งข่าวมาบอกล่วงหน้า วันที่เจ๊กเป็งกลับมาที่เสี่ยไจ๊วันแรก คนที่บ้านแทบจำไม่ได้ เรื่องไปรายงานตัวกับนายอำเภอหรือไม่นั้น อั๊วไม่รู้ แต่เป็งกวงเล่าว่าอาเจ็กแทบไม่พูดจากับใคร หนวดเครายาว นัยตาดูแปลกไปเป็นคนล่ะคน บอกแต่ว่าเหนื่อยเพราะเดินมาหลายวัน ขอพักผ่อนห้ามรบกวน แล้วก็ไม่ยอมปริปากเรื่องใดอีก โดยเฉพาะเรื่องที่ไปอยู่เซี่ยงไฮ้”
“เบ๊ยี่เก้า ลื้อได้รับรู้เรื่องการกวาดล้างขบวนการหัวก้าวหน้าในเซี่ยงไฮ้หรือไม่?” เฒ่าฮกถามหยั่งเชิง คนหนุ่ม “ไม่ อั๊วไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนั้นมาก่อน เตี่ยเอี๊ยอยู่ห่างไกลจากเซี่ยงไฮ้มากนัก ใครคือขบวนการหัวก้าวหน้าหรือ แล้วเหตุใดพวกเขาจึงถูกปราบปราม ท่านผู้เฒ่าโปรดชี้แนะ”
“พวกหัวก้าวหน้าเป็นพวกนักศึกษาปัญญาชนตามเมืองใหญ่ มีจุดเริ่มขบวนการมาตั้งแต่แปดปีก่อน ส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่ม-สาวนี่แหละ พวกนี้ไม่พอใจรัฐบาลจีนในสมัยนั้นที่อ่อนแอ มองว่ารัฐบาลไร้ศักดิ์ศรี ที่ปล่อยชาวต่างชาติโดยเฉพาะญี่ปุ่นที่เข้ามาขยายอิทธิพลในมณฑลซานตงหลังจากสงครามโลกจบจึงก่อการประท้วง”
“พวกญี่ปุ่นปกครองดินแดนแมนจูเรียมานานแล้ว ตั้งแต่ปลายราชวงศ์ชิงเหตุใดยังต้องการรุกรานประเทศเราอีก” ยี่เก้าสงสัยยิ่งนัก
“อั๊วว่าพวกญี่ปุ่นวางแผนยึดเมืองจีนทั้งประเทศ มันเป็นสิ่งที่คนจีนยอมไม่ได้ ดินแดนที่เคยยิ่งใหญ่นับพันปีตกต่ำลงมาขนาดนี้ ด้วยสายตาคับแคบที่ไม่ยอมเปิดกว้างของพวกราชวงศ์ชิง ขณะที่บรรดาแม่ทัพ-ขุนศึกต่างแย่งชิงอำนาจ จึงทำให้แผ่นดินระส่ำระส่ายขาดเอกภาพที่จะต่อกรกับชาติตะวันตก และพวกญี่ปุ่น”
“แล้วมันเกิดอะไรขึ้นที่เซี่ยงไฮ้เมื่อเดือนเมษายน และเกี่ยวข้องอย่างไรกับเจ๊กเป็งและเกาย้ง” อั๊วไม่เข้าใจแม้แต่น้อย รบกวนท่านผู้เฒ่าช่วยไขความสงสัยด้วย” ยี่เก้าได้ยินเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่จากเฒ่าฮกเมื่อตนพูดจบประโยค รู้ว่าคงไม่ใช่เรื่องมงคลแต่ก็อยากจะฟังเรื่องราวจากเฒ่า
“หลังเหตุการณ์ 4 พฤษภาคม แปดปีก่อน ขบวนการหัวก้าวหน้าส่วนใหญ่ได้รับแนวคิดการปกครองระบอบคอมมิวนิสต์จนมีก่อตั้ง ‘พรรคคอมมิวนิสต์จีน’ ขึ้น โดยชูความเสมอภาคต่อต้านระบบศักดินา และต่อต้านการครอบงำของพวกฝรั่ง พรรคคอมมิวนิสต์จีนจึงได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย การเคลื่อนไหวของผู้ฝักใฝ่ระบอบนี้ ผลักดันให้เกิดการนัดหยุดงานประท้วงของแรงงาน และกรรมกรเพื่อเป็นการต่อรองเรียกร้องสิทธิและค่าตอบแทนที่เป็นธรรม”
“นั่นย่อมทำให้บรรดาเจ้าของกิจการไม่พอใจที่จะต้องเสียผลประโยชน์ ในเดือนเมษายนที่ผ่านมามีการประท้วงครั้งใหญ่จนเกิดเป็นการจราจลในเซี่ยงไฮ้โดยกลุ่มสหภาพแรงงาน ที่สนับสนุนโดยพรรคคอมมิวนิสต์ รัฐบาลจึงปราบปรามกลุ่มผู้ประท้วงและจับแกนนำมาประหารชีวิต”
“ผู้เฒ่าคิดว่าเจ๊กเป็งเป็นพวกคอมมิวนิสต์!?” ยี่เก้าเริ่มปะติปะต่อเรื่องราว ผู้เฒ่าไม่ตอบ ทอดสายตาออกไปภายนอก “ถ้าหากพรรคคอมมิวนิสต์ต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมแก่ชาวจีนทุกชนชั้น การกระทำนั้นควรค่าแก่การยกย่องมิใช่หรือ?” ยี่เก้าถามด้วยความซื่อ
เฒ่าฮกถอนหายใจอีกครั้งก่อนตอบ “การจลาจลครั้งนั้น เกิดจากการที่คนของพรรคคอมมิวนิสต์ที่ไปร่วมรบในกองทัพพิชิตขุนศึกภาคเหนือ ได้เข่นฆ่าชาวต่างชาติในนานกิง ทำให้รัฐบาลของพวกต่างชาติโกรธแค้นเป็นอันมาก หากรัฐบาลกลางไม่ทำสิ่งใดเพื่อแสดงความรับผิดชอบล่ะก็ กองกำลังจากหลายชาติอาจจะรุมทึ้งแผ่นดินจีน ประวัติศาสตร์จะกลับไปซ้ำรอย กับคราวกบฏนักมวย* ที่กองทัพแปดชาติบุกเข้าไปถึงพระราชวังต้องห้าม”
“เพื่อไม่ให้เหตุการณ์ซ้ำรอยในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานจากภายนอก รัฐบาลกลางจึง ส่งฑูตไปบอกรัฐบาลประเทศต่างๆ ว่ากลุ่มที่ไล่เข่นฆ่าชาวต่างชาติเป็นคนของพรรคคอมมิวนิสต์ และเริ่มทำการกวาดล้างพันธมิตรที่ร่วมปราบเหล่าขุนศึกมาด้วยกัน” ยี่เก้าเริ่มเข้าใจขึ้นมาแล้ว ในใจไม่อยากจะเชื่อว่าความขัดแย้งทางการเมืองที่ห่างไกลกับชีวิตชนบทในหมู่บ้านนี้ กลับมาถึงตัวเพื่อนสนิทในสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วง
“ระหว่างกลุ่มที่กำจัดชาวต่างชาติที่เอารัดเอาเปรียบคนจีนมานาน กับกลุ่มที่ยอมทำทุกอย่างไม่ให้ประเทศจีนถูกชาวต่างชาติรุกราน ใครจะบอกได้ว่าฝ่ายไหนรักชาติมากกว่ากัน” น้ำเสียงเฒ่าฮกฟังว่างเปล่า สายตายังคงเหม่อมองภายนอก
“งั้นก็หมายความว่าทางการกำลังไล่จับกุมคนที่เป็นคอมมิวนิสต์” ยี่เก้าถามด้วยความเป็นห่วงเพื่อน “อั๊วไม่ได้แน่ใจอะไรนักแต่ก็อาจเป็นไปได้ เป็งฮวดคงคาดว่าตนว่ากำลังถูกตามล่าทำให้ต้องเก็บตัว ส่วนเกาย้งยังไม่รู้แน่ชัด แต่จู่ๆ ก็หายไป ย่อมมีความเป็นไปได้ที่จะเข้าร่วมกับเค้าด้วย ยังไงก็ตาม การจะบอกว่าใครเป็นคอมมิวนิสต์ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ห้ามพูดเรื่องนี้กับคนในหมู่บ้านเด็ดขาด” เฒ่าชรากล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งก่อนหันมามองหน้ายี่เก้าด้วยสายตาที่อ่อนโยนลง “บ้านเมืองกำลังวุ่นวาย ลื้อต้องรักษาตัวให้ดีเพื่อคอยดูแลลูก-เมีย”
ชีวิตอั๊วพบเห็นมามากแล้ว คนที่ชีวิตครอบครัวพังทลายอย่างน่าเศร้าเพียงเพราะเคลื่อนไหวทางการเมือง มองด้านหนึ่งก็นับเป็นความเสียสละที่น่ายกย่อง แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ตายเพื่ออุดมการณ์ บางคนเข้าใจไปว่าตนมีจิตใจสูงส่ง ยึดถือคุณธรรมอุดมการณ์เหนือผู้อื่น แต่เมื่อมองอีกด้าน คนเหล่าไม่ได้เข้าใจสถาณการ์ได้อย่างถ่องแท้ จึงตกเป็นเหยื่อของกระแสความเปลี่ยนแปลง มันไม่ใช่แค่ชีวิตลื้อคนเดียว ต้องคิดถึงคนข้างหลังด้วย ลื้อเข้าใจใช่มั้ย” ยี่เก้าตั้งใจฟังสิ่งที่ผู้เฒ่าพูด
“ลื้อกำลังจะมีครอบครัวที่ต้องดูแล การได้สร้างครอบครัวที่มีความสุขและอบอุ่นเป็น ชีวิตสมบูรณ์ที่บุรุษคู่ควร” เฒ่าอาวุโสสั่งสอนเบ๊ยี่เก้าอีกครั้ง “อั๊วขอโทษลื้อนะ ที่มาชวนคุยเรื่องเป็นเรื่องไม่น่าฟัง ในวันที่ควรแต่พูดแต่เรื่องมงคล” ยี่เก้าพยักหน้ารับ ขณะที่หลายความคิดตีกันในหัวเพราะยังตั้งตัวไม่ทันกับหลายเรื่องที่ได้รับรู้ จึงไม่ได้พูดอะไรออกไปอีก
“เอาล่ะ ขอบใจสำหรับขนมแต่งงานนะ ขอบใจมากอาเบ๊ อั๊วขอให้ลื้อกับลูกสาวตระกูลแต้สร้างครอบครัวที่มีความสุข ขอให้ลื้อขยันขันแข็งและมีชีวิตที่ดีขึ้น” ยี่เก้าน้อมรับคำอวยพร “ขอบคุณผู้อาวุโส ผู้เฒ่าเหนื่อยล้ามากแล้ว วันนี้อั๊วขอตัวกลับก่อนเพื่อให้ผู้อาวุโสพักผ่อน หลังวันแต่งงานจะพาภรรยามาคารวะผู้อาวุโสเมื่อโอกาสอำนวย”
เบ๊ยี่เก้าเดินออกจากบ้านเฒ่าฮก เดินย้อนไปตามทางเดิม ระหว่างเดินเหม่อลอยยังไม่ถึงครึ่งทาง มีเสียงคุ้นเคยเรียกมาจากด้านหลัง ยี่เก้าหันกลับไปมองเห็นเล้าเกาย้งยืนอยู่ไม่ห่าง
“เกาย้ง! ลื้อหายไปไหนมา อั๊วไปหาลื้อที่ศาลเจ้าหลายครั้งไม่เจอลื้อ ครั้งสุดท้ายที่ไปหาลื้อ แปะล้งบอกว่าลื้อคงไม่กลับไปอยู่ที่ศาลเจ้าแล้ว เกิดอะไรขึ้น? ลื้อย้ายออกมาอยู่ท้ายหมู่บ้านแล้วหรือ ทำไมไม่บอกอั๊วสักคำ?” เกาย้งดีใจ ไม่ติดว่าจะได้เจอเพื่อนเร็วกว่าที่คิด
“ขอโทษทีนะที่อั๊วไม่ได้บอกลื้อว่าอั๊วไม่ได้อาศัยนอนที่ศาลเจ้าแล้ว แต่อั๊วนอนที่ไหนไม่สำคัญหรอกนะ คนอย่างอั๊วอยู่ใต้ฟ้าก็ถือเป็นที่นอนได้หมด ว่าแต่ลื้อไปเยี่ยมเฒ่าฮกมาหรือ ผู้เฒ่าเป็นอย่างไรบ้าง?” แม้บุคลิกเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่น้ำเสียงยังเป็นเกาย้งคนเดิม
“วันนี้อีดูเหนื่อยๆน่ะ แวะเอาขนมแต่งงานมาให้อี อั๊วกำลังจะแต่งงานน่ะ อั๊วบอกอุ่ยจิวไปแล้ว แต่ไม่รู้จะไปหาลื้อที่ไหน เจอลื้อก็ดีแล้ว อั๊วเชิญลื้อมางานแต่งงานอั๊วด้วยนะ อีกสิบวันลื้อมาบ้านอั๊วนะ” อาเบ๊กล่าวเชิญด้วยน้ำเสียงดีใจ เกาย้งเพียงยิ้มพร้อมพยักหน้าเบาๆ
“แล้วลื้อไม่ได้อาศัยอยู่ที่ศาลเจ้าแล้ว อั๊วจะไปเยี่ยมหาลื้อได้ที่ไหน แล้วลื้อจะไปทำอะไรต่อ?” อาเบ๊ถามต่อ “ลื้อจำที่อั๊วเล่าให้ลื้อฟังว่าอั๊วมีอะไรที่อยากทำตอนที่เราเดินกลับจากหมู่บ้านอึ่งเต็กกี้วันนั้นได้มั้ย?” เกาย้งถามกลับราวไม่ได้ยินคำถามสุดท้ายของยี่เก้า
เบ๊ยี่เก้าพยักหน้า “อั๊วอยากจะอุทิศชีวิตเพื่อคนชนชั้นล่าง และสร้างชาติจีนของเราให้กลับมายิ่งใหญ่ ไม่ให้พวกต่างชาติมาข่มเหงเอาเปรียบได้อีก” เกาย้งอากัปกิริยาเปลี่ยนไป ยี่เก้ารับรู้ได้ถึงอารมณ์ที่ระอุในใจเพื่อนมากกว่าครั้งไหน นี่เป็นครั้งแรกที่ยี่เก้าเริ่มรู้สึกว่าเกาย้งเปลี่ยนไป แค่ไม่กี่สัปดาห์ที่ไม่เจอกัน เล้าเกาย้งกลับไม่เหลือเค้าความร่าเริงเหมือนเก่า
“ยี่เก้าลื้อฟังอั๊วนะ อั๊วอยากให้ลื้อมาร่วมด้วย เราจะช่วยกันเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เป็นอยู่ให้ดีขึ้น เป็นสังคมที่เสมอภาคและเท่าเทียม ถ้าพวกเราทำสำเร็จ จะไม่มีคนจีนคนไหนมาตีกันแย่งน้ำ แย่งปุ๋ยกัน จะไม่เกิดขึ้นอีก” เกาย้งชักชวนด้วยใบหน้าแสยะยิ้ม แต่สำหรับยี่เก้า นี่เป็นรอยยิ้มที่ไม่คุ้นเคยและชวนอึดอัดมากกว่าครั้งไหน
“ทุกวันนี้ต้าชิงก็ล่มสลายไปนานแล้ว ไม่ได้มีจักรพรรดิองค์ใดปกครองจีนอีกแล้ว!” แม้ประโยคสั้นๆ แต่ทำให้เกาย้งมีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย ไม่ได้ยินเพื่อนแสดงความคิดเห็นทางการเมืองมาก่อน
“ใช่ ราชวงศ์ชิงล่มสลายไปแล้วก็จริง แต่แผ่นดินยังแตกแยก คนโลภมาก ใฝ่สูงคิดตั้งราชวงศ์ใหม่อย่างหยวนสือไขยังมีมากมาย พวกขุนศึกทั้งหลายก็ต่างติดแต่ผลประโยชน์พรรคพวกตนเอง แผ่นดินจีนของเรา ถ้าการปฏิวัติไม่ได้เริ่มต้นจากชนชั้นกรรมาชีพ และผู้ใช้แรงงาน ความเท่าเทียมที่แท้จริงย่อมไม่ได้ทางเกิดขึ้นไปได้!!” น้ำเสียงท้ายประโยคดังเกือบเท่าเสียงตะโกน
ยี่เก้ามองเพื่อนกำหมัดหายใจฟืดฟาดครู่หนึ่งโดยไม่ได้พูดอะไร ชั่วอึดใจเกาย้งก็หันมาพร้อมรอยยิ้ม “นี่แหละ คือ สาเหตุที่พวกเราต้องช่วยกัน หลังจากนี้อั๊วจะไปชวนอุ่ยจิวด้วย อั๊วเชื่อว่าอุ่ยจิวต้องยินดีเข้าร่วมด้วยแน่ พวกเราจะแก้แค้นคนที่ทำให้เป็งกวงต้องเป็นแบบนี้” น้ำเสียงเกาย้งเอาจริง ยี่เก้ามองหน้าเพื่อนที่โตมาด้วยกันครู่หนึ่ง ก็กล่าวว่า “ลื้อจะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นได้อย่างไร ทุกวันนี้แค่ข้าวจะกินให้อิ่มท้องยังแทบเป็นไปไม่ได้ แค่ตีกันแย่งลำธารสายเดียวก็มีคนหมดแรงตาย แล้วพวกเราจะไปสู้รบปรบมือกับใครที่ไหนได้”
ลมที่พัดเมื่อครู่สงบนิ่ง ใบไม้ไม่กระดิก มีเพียงความเงียบงันกั้นระหว่างเด็กหนุ่มทั้งสองที่เติบโตมาด้วยกัน เป็นวินาทีที่เนิบช้าและเนินนานก่อนที่เกาย้งทำลายความเงียบด้วย ประโยคที่กัดกร่อนความรู้สึกเพื่อนแต่วัยเยาว์ “ยี่เก้า อั๊วกับลื้อรู้จักกันมานาน อั๊วรู้ว่าลื้อไม่ใช่คนขี้ขลาด ศึกคราวที่แล้วลื้อยังเอาชนะได้ อั๊วเดาว่าเป็นเพราะลื้อกำลังจะแต่งงาน” เกาย้งหรี่ตาเพ่งมองหน้าเพื่อน สีหน้ายี่เก้าปฏิเสธความจริงไม่ทัน จะโกหกไปก็ไม่มีประโยชน์จึงเลือกที่จะเงียบ
“ลื้อแต่งงานก็ช่วยต่อสู้เพื่อมวลชนได้ แต่งงานแล้วก็ศึกษาแนวทางแบบลัทธิมาซ์กได้ เมื่อถึงวันที่การต่อสู้มาถึง ลื้อก็พาเมียไปด้วย จะได้ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง” เกาย้งกล่าวเสียงราบเรียบ แม้มุมปากยังมีคราบรอยยิ้ม แต่ยี่เก้ากลับไม่เห็นรอยยิ้มในแววตาเพื่อนแต่น้อย
ยี่เก้าส่ายหัวช้าๆ “ถ้าอั๊วจะมีครอบครัว อั๊วย่อมต้องดูแลเมียและลูกอั๊วให้ดีที่สุด อั๊วจะตั้งใจช่วยที่บ้านเลี้ยงหมู อั๊วจะทำงานหนักเพื่อให้มีชีวิตที่ดีขึ้น อั๊วขอโทษลื้อนะเกาย้ง แต่อั๊วไม่สามารถไปร่วมขบวนการคอมมิวนิสต์กับลื้อได้” จบประโยคยี่เก้าใจหาย ที่เผลอพูดคำว่าพรรคมิวนิสต์ออกไป
“อั๊วเข้าใจลื้อ.. คนส่วนใหญ่ก็ย่อมเห็นความสุขส่วนตนสำคัญกว่าความทุกข์ยากของผู้อื่น” เกาย้งกล่าวสีหน้าเรียบเฉย ยี่เก้าเงียบไม่โต้ต้อบ ในใจกึ่งหนึ่งคิดเคืองกับคำประชดประชันของเพื่อน กึ่งหนึ่งโล่งที่เพื่อนไม่ได้เอะใจ ว่าตนรู้ได้อย่างไรว่าพรรคคอมมิวนิสต์คือตัวแทนของลัทธิมาซ์ก เพราะชาวบ้านในหมู่บ้านยังไม่ค่อยมีใครรู้จักแนวคิดนี้
“วันหนึ่งการปฏิวัติสังคมใหม่สำคัญ ลื้ออาจจะต้องเสียใจที่ไม่ได้เลือกอยู่ข้างมวลชนผู้ทุกข์ยาก วันนั้น ลื้อจะได้รับผลของความเพิกเฉยต่อความทุกข์ทนของเพื่อนร่วมชาติ ครอบครัวลื้อเป็นพ่อค้าขายหมู พวกชนชั้นกฎุมพีอย่างลื้อจะกลายเป็นจำเลยของประวัติศาสตร์” เกาย้งกล่าวเสียงสั่น สันกรามปูดโปน ไม่มีคราบยิ้มหลงเหลือ
“แล้วลื้อไม่คิดหรือว่า มีกลุ่มคนที่ได้รับผลประโยชน์จากความเปลี่ยนแปลงที่ลื้อหวังจะสร้าง มีคนที่รอช่วงชิงผลประโยชน์จากการปฏิวัติ สักวันลื้ออาจจะถูกหักหลัง เหมือนที่หยวนซือไขทรยศ ดร.ซุน และพรรคก๊กมินตั๋ง” ยี่เก้าพยายามข่มอารมณ์ ขณะโต้เพื่อนด้วยคำถาม
“ถ้าไม่มีการสูญเสียสิ่งใด ก็ย่อมไม่ใช่การเปลี่ยนแปลง ต้องมีผู้เสียสละอีกมาก เพื่อสังคมที่ดีขึ้น”
เกาย้งแยกเขี้ยวกระแทกเสียง นัยย์ตาที่แคยแจ่มใสกลายเป็นถมึงทึง
บรรยากาศระหว่างชายหนุ่มสองคนอึมครึม จนไม่ได้รับรู้การมาถึงของแสงอ่อนสี และหมู่แมลงร้องประสานเสียงยามเย็น
ยี่เก้าถอนหายใจก่อนพยักหน้าช้าๆ “อั๊วนับถือในอุดมการณ์ของลื้อ อั๊วชื่นชมที่ลื้ออุทิศเพื่อคนอื่น แต่ลื้อเอาอุดมการณ์ที่ลื้อยึดมั่นไปยัดใส่มือคนอื่นไม่ได้ หน้าที่ ภาระ และชะตาชีวิตคนเราต่างกัน อั๊วขอให้ลื้อยอมรับในคุณค่าที่ผู้อื่นยึดถือด้วย” คำพูดบรรยายความรู้สึกยี่เก้าตามจริง
“เช่นนั้นก็ย่อมได้” เกาย้งหายใจฟึดฟัดอีกครั้ง “ถ้าลื้อกับอั๊วมีอุดมการณ์ต่างกัน ทางของเราก็ย่อมต้องแยกกันเดิน อั๊วขออวยพรให้ลื้อมีความสุขกับเมียของลื้อ สักวันเราอาจจะได้เจอกันอีก” กล่าวจบเกาย้งก็หันหลังเดินไปตามทิศทางที่ยี่เก้าเดินมา
ยี่เก้ามองตามเพื่อนจนเดินหายลับไปในป่าข้างทางโดยไม่หันกลับมามองตนแม้แต่น้อย ยี่หันหลังกลับ ก้าวเท้าเดินมุ่งหน้าสู่หมู่บ้านเสี่ยไจ๊ด้วยหัวใจที่โหวงเหวงอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ