จากบูรพาสู่โพ้นทะเล

7.0

เขียนโดย HIMARAYA

วันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 เวลา 15.17 น.

  6 ตอน
  2 วิจารณ์
  6,290 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 16.36 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) เรือสำเภาสู่สยาม

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ปุยเมฆลอยอ้อยอิ่งบนท้องฟ้า เสียงจั๊กจั่นขับเพลงฤดูร้อน เบ๊ยี่เก้าก้าวเท้าเดินไปตามทาง ได้ยินเสียงเด็กๆ ตะโกนไล่แย่งเก็บขี้หมากันแว่วอยู่ไม่ไกล ยี่เก้าอดขำไม่ได้เมื่อนึกกลับไปถึงตัวเองตอนเด็กๆ ที่แย่งกับเพื่อนๆ ไล่เก็บขี้หมาเพื่อไปขายเป็นปุ๋ย กองขี้หมากลายมาเป็นรายได้เล็กๆ น้อยๆ ที่เด็กพอจะทำได้

 

วันนี้ยี่เก้าเสร็จงานเร็วกว่าทุกวัน นานๆ ทีจะมีเวลาระหว่างวันเหลือจากช่วยเตี่ยเลี้ยงหมู แหงนหน้ามองฟ้า พระอาทิตย์ไม่ตรงหัวบอกเวลายังไม่เที่ยงวัน ยี่เก้าตั้งใจจะไปคารวะผู้อาวุโสฮก ยี่เก้าแวะบ้านอุ่ยจิวเพื่อชวนไปด้วยกัน อุ่ยจิวปฏิเสธ เพราะต้องตัดฟืนตลอดช่วงบ่าย ยี่เก้าเดินต่อไปที่ศาลเจ้าที่เกาย้งอาศัยอยู่ อาศัยนอนตั้งแต่กำพร้า

 

ศาลเจ้าเล็กๆ นี้ ตั้งอยู่ระหว่างทางเดินออกท้ายหมู่บ้าน ขนาบด้วยไร่ส้ม เมื่อยี่เก้ามาหยุดอยู่หน้าศาลเจ้า อาแปะล้ง คนเฝ้าศาลเจ้ากำลังยืนแซะคราบน้ำตาเทียนที่หยดย้อยออกจากเชิงเทียนเชื่อมเป็นทางยาวลงมาบนโต๊ะตั้งเครื่องไหว้ทีเทพเจ้าฟ้าดิน ยี่เก้าถามถึงเพื่อนเล่นแต่เยาว์วัย อาแปะคนเฝ้าศาลเจ้าส่ายหัวช้าๆ เกาย้งไม่อยู่ อีออกไปข้างนอกแต่เช้ามาหลายวันแล้ว ไม่ได้บอกว่าไปไหน พูดจบก็หันกลับไปทำงาน ส่ายหัวพึมพำกับตัวเองคล้ายยี่เก้าไม่เคยยืนอยู่ตรงนั้นมาก่อน เพื่อนไม่อยู่ ยี่เก้าผละเดินออกจากศาลเจ้ามุ่งหน้าไปทางท้ายหมู่บ้าน

 

พระอาทิตย์ลอยคว้างเหนือหัวขณะยี่เก้าก้าวเท้าเดินออกจากหมู่บ้าน

 

บ้านผู้อาวุโสฮกใช้เวลาเดินประมาณสี่สิบนาที ระหว่างทางเดินไปบ้านเฒ่าอาวุโส เป็นไร่ส้มที่ถูกทิ้งร้างจนกลายเป็นป่าโปร่ง ครึ่งทางมีหินก้อนใหญ่อยู่ริมทาง ยี่เก้าเดินทอดน่องมาถึงบ้านก่ออิฐถือปูนหลังเก่า กาลเวลากะเทาะสีให้แตกร้าว หลุดร่อนหล่นเป็นฝุ่น

 

เมื่อนานมาแล้วบริเวณนี้มีเคยมีหลายครอบครัวอยู่ใกล้กัน มีปลูกเป็นบ้านปูนอยู่ไม่เกินสิบห้าหลัง ทุกหลังถูกทิ้งร้างเหลือเพียงหลังเดียว คือหลังที่เฒ่าฮกอาศัยอยู่เดียวดาย

 

ผู้อาวุโสเหมือนรู้ว่าจะมีคนมาเยี่ยม จำไม่ได้ว่ากี่วันแล้วที่เฒ่าชราไม่ได้พบพูดจากับใคร นับตั้งแต่วันที่กลับจากบ้านอึ่งเต็กกี๊ เบ๊ยี่เก้าแปลกใจที่เห็นเฒ่าชรายิ้มน้อยๆ ก้าวออกมาจากประตูไม้ที่แง้มกว้าง “อั๊วเผอิญผ่านมาทางนี้ เห็นบ้านผู้อาวุโสจึงมาเยี่ยมคารวะ” ยี่เก้าออกตัวแก้เกี้ยว “เฒ่าฮกยิ้มพยักหน้า ขอบในนะอาเบ๊ ขอบใจลื้อที่อุตส่าห์มาแต่ไกล” ยี่เก้ายิ้มเจื่อนด้วยขวยเขินผู้เฒ่าที่จับโกหกได้ “เชิญๆเข้ามานั่งดื่มน้ำชา” ยี่เก้าเดินตามเฒ่าชราร่างผอมเกร็งผ่านประตูไม้เข้าไปในอาณาเขตบ้าน เจ้าของบ้านพาแขกต่างวัยเดินผ่านลานบ้านไปนั่งที่โต๊ะไม้ เฒ่าฮกเปิดฝากาน้ำชาที่ทำด้วยผ้า รินน้ำชาให้แขกโดยไม่ถืออาวุโส ชายสองคน-จากสองวัยก็เริ่มสนทนากันท่ามกลางเสียงจักจั่นจากป่าริมทาง

 

"บรรพบุรุษอั๊วเป็นช่างทำตี่จู่เอี๊ยะประจำหมู่บ้าน ย้ายมาจากทางเหนือของมณฑลกว่างตง ก๋งมาสร้างบ้านก่ออิฐถือปูนในบริเวณนี้เป็นหลังแรก เมื่อก่อนพื้นที่ตรงนี้เคยเป็นหมู่บ้าน ก่อนถูกทิ้งร้างอย่างที่ลื้อเห็น บ้านตรงนี้ที่เหลือแทบทุกหลังก็ฝีมือก๋งอั๊วกับชาวบ้านหลายคนช่วยกัน" 

 

"ทำไมชาวบ้านถึงต้องย้ายออกไปจากตรงนี้ล่ะท่านผู้เฒ่า?" ยี่เก้าสงสัย "หลังจากปีที่ฝูงแมลงผีกับโรคระบาดผ่านไป เริ่มมีชาวบ้านบางส่วนขยับขยายไปหาผืนดินที่อุดมสมบูรณ์กว่า อาจเพราะว่าพวกนั้นไม่อยากอยู่ในหมู่บ้านที่มีคนตายด้วยโรคร้ายกันมากมายอีกต่อไป เมื่อพบว่าพื้นดินทางนั้นให้ผลพืชงอกงามดี จึงค่อยๆพากันทยอยย้ายไปจนหมดในเวลาต่อมา" เฒ่าขยับพัดในมือเชื่องช้า พร้อมกล่าวต่อกับยี่เก้า "ถ้าลื้ออยากรู้เรื่องหมู่บ้านนี้ อั๊วคงตอบลื้อได้ไม่มาก เพราะอั๊วออกไปพเนจรภายนอกกว่าครึ่งชีวิต ได้กลับมาที่นี่อีกครั้งหลังราชวงศ์ชิงล่มสลายไปหลายปี หมู่บ้านที่ข้ารู้จักก็ไม่เหมือนเดิมอีก”

 

เรื่องที่อั๊วอยากฟังไม่ใช่เรื่องของหมู่บ้านนี้หรอก ท่านผู้เฒ่า อั๊วอยากฟังเรื่องการเดินทาง อั๊วได้ยินมาว่าผู้เฒ่าเคยเดินทางผจญภัยในต่างแดน ขอผู้เฒ่าฮกช่วยเล่าเรื่องราวให้อั๊วฟังได้หรือไม่?

 

เฒ่าฮกหันไปทางยี่เก้า หรี่ตามองหนุ่มน้อยชั่วครู่ก่อนระบายลมหายใจเฮือกหนึ่ง "ได้สิ อั๊วจะเล่าให้ลื้อฟัง เรื่องราวเหมือนเพิ่งเกิดมาเมื่อวาน" ยี่เก้าสังเกตเห็นรอยยิ้มน้อยๆ ในดวงตาฝ้าขุ่น แต่ยังแจ่มใสของเฒ่าผู้ผ่านโลก เป็นดวงตาที่พบเห็นความเปลี่ยนแปลงมากมาย ทั้งของโลกและชีวิตของผู้คน 

 

"ตอนอั๊วยังอายุแค่สิบสี่-สิบห้าปี อั๊วเป็นลูกชายคนเดียวที่ชอบเอาแต่เที่ยวเล่น วันๆ เอาแต่ซุกซนเดินท่องไปในป่ารอบหมู่บ้าน หายไปทีล่ะเป็นวันๆ จนเตี่ยกับแม่อั๊วเอือมระอา นั่นเป็นช่วงที่โรคระบาดระลอกแรกผ่านไปไม่นาน ชาวบ้านบางส่วนย้ายไปอยู่ในพื้นที่ที่กลายเป็นหมู่บ้านเสี่ยไจ๊ในปัจจุบัน”

 

“แล้ววันหนึ่งวันหนึ่ง..แม่อั๊วให้กำเนิดน้องสาว..”

 

“การมีน้องสาวตัวน้อยวัยไม่กี่วันทำให้อั๊วขลุกอยู่แต่ในบ้านเป็นสัปดาห์ ไม่ออกไปไหน เฝ้ามองชีวิตน้อยๆ ที่มาเพิ่มความชุ่มชื้นให้ครอบครัว และหมู่บ้านที่เหี่ยวแห้งของเรา ขณะที่ชาวบ้านเริ่มย้ายออกไปหลายครอบครัว แม้ว่าตอนนั้นอั๊วยังเด็กแต่อั๊วก็จำได้ดีว่าสัมผัสผิวบอบบางนุ่มนิ่มในอ้อมกอด อั๊มอุ้มโอบประคองน้องสาวอย่างอ่อนโยนคล้ายกลัวชีวิตน้อยๆ จะแหลกสลายคามือ”

 

“หลังจากสัปดาห์แรกผ่านไปไม่กี่วัน เช้าวันหนึ่งแม่อั๊วบอกอยากกินลูกหนูนาห่อผัก ให้อั๊วออกไปหาลูกหนูนากลับมา แม่จะต้มผักรอ สำหรับไว้ห่อลูกหนูตัวแดงๆ กินเพื่อบำรุงร่างกาย”

 

“อั๊วใช้เวลาจนบ่าย ได้ลูกหนูเพิ่งเกิดมาสี่ตัว เมื่อกลับมาถึงบ้านถึงพบความจริง ว่าแม่เอาขี้เถ้าอุดปากน้องสาวแล้วเอาร่างไปฝังในป่าด้านหลัง ชีวิตน้อยๆ นอนอยู่ในหลุมที่เตี่ยขุดรอไว้ล่วงหน้าตั้งแต่วันที่รู้ว่าได้ลูกสาว ทั้งสองคนไม่อยากให้อั๊วเห็นจึงออกอุบายให้อั๊วออกไปข้างนอก”

 

“อั๊วไม่เคยรู้มาก่อนว่าการที่อั๊วยังหายใจอยู่ เพียงเพราะเป็นลูกชายผู้สามารถสืบทอดตระกูลต่อไปได้ อั๊วไม่เคยมีโอกาสได้รู้ว่าก่อนอั๊วเกิด มีพี่สาวกี่คนที่นอนอมขี้เถ้าอยู่ในป่า วันนั้นอั๊วร้องไห้ตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ตกไปจนพระจันทร์ขึ้น เมื่ิอจันทร์เพ็ญลอยพ้นยอดกอไผ่หน้าบ้าน อั๊วก็เก็บเสื้อผ้าสองชุดเดินออกจากหมู่บ้าน"

 

ยี่เก้ามองตามเรื่องเล่าของเฒ่าฮกผ่านประตูไปสุดสายตาที่กอไผ่สูงใหญ่ ..กอไผ่อาวุโสผู้เป็นพยานโศกนาฎกรรมของบ้านตระกูลฮกกำลังลู่สายลมอ่อนโยนในแดดบ่าย

 

“อั๊วเดินเท้าไปถึงท่าเรือจางหลินในอีกสองวันต่อมา อั๊วใช้เงินที่ขโมยจากบ้านซื้อตั๋วเรือไปสยาม เป็นการเดินทางที่ใช้เวลายาวนานราวชั่วกาล อั๊วลงเรือสำเภาหัวแดงด้วยเสื้อผ้าสองชุด กับแตงเขียวสองลูก”

 

“ก่อนจะลงเรือ อั๊วอธิฐานต่อเจ้าแม่ทับทิม ภาวนาให้เดินทางปลอดภัย” สายควันจากปลายบุหรี่ลอยสูงจางในอากาศ เสียงแมลงซ้อนอยู่เบื้องน้ำเสียงชรา พระอาทิตย์เคลื่อนตัวเชื่องช้า “เรือสำเภาหัวแดงบรรทุกสินค้าจากแต้จิ๋วไปขายเต็มท้องเรือ คนที่โดยสารต้องอยู่บนดาดฟ้าเรือตลอดทาง อั๊วนอนหนุนแตงเขียวลูกหนึ่งนอนกอดไว้อีกลูกหนึ่งทุกค่ำคืนด้วยกลัวว่าเกิดพายุซัดเรือล่มอั๊วขณะนอนหลับจะมีอะไรให้กอดเกาะไม่ให้หมดแรงจมน้ำ”

 

“คลื่นลมมหาสมุทรนั้นยากแท้หยั่งถึงน่ากลัวนัก ช่วงคลื่นลมสงบมีเพียงสีฟ้าเข้มกับสีฟ้าครามระหว่างวัน และสีดำสนิทรอบด้านในระหว่างคืน แต่จะงดงามที่สุดตรงรอยต่อระหว่างวันและคืน บางวันชีวิตก็อยู่ระหว่างความเป็นความตายที่แขวนอยู่บนระลอกคลื่น วันหนึ่งในคลื่นคลั่ง เรือสำเภาหัวแดงถูกโยนลอยด้วยแรงคลื่น ก่อนท้องเรือกระแทกลงฟาดฟองสมุทร สลับไป-มาเนิ่นนานจนหลายคนรากแตก น้ำอ้วกผสมน้ำทะเลที่คลื่นซัดเข้ามาไหลไป-มาเลอะเต็มบนดาดฟ้าเรือ มันเป็นชั่วยามทรมานที่ยาวนานที่สุดในชีวิต อั๊วคิดว่าคงไม่รอดแน่ หากรอดไปได้ชีวิตที่เหลือคือกำไร”

 

“แต่ที่สุดแล้วเทพเจ้าก็คุ้มครองให้เรือเรารอดพ้นจากพายุวันนั้นมาได้” 

 

"ระหว่างทาง พวกเราต้องช่วยกันหย่อนร่างหญิงคนหนึ่งลงสู่ก้นทะเล นางเดินทางไปไม่ถึงสยามเพราะร่างกายทนต่อสภาพขาดน้ำไม่ไหว นางตั้งใจไปตามหาพี่ชาย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เจอกัน พวกคนบนเรือบอกว่านางจะต้องกลายเป็นดวงวิญญาณอาภัพต้องเร่ร่อนอยู่ในทะเล แต่ก็ไม่ทางเลือกอื่น เพราะเรือไม่สามารถนำร่างของนางเดินทางไปด้วยได้”

 

“อาหารตากแห้งกับแตงเขียวช่วยประทังชีวิตมาจนถึงสยามในเดือนกุมภาพันธ์ 2410 เรือสำเภาเข้าเทียบขายสินค้าที่ท่าเรือโปเส็ง เป็นท่าเรือของขุนนางเชื้อสายจีนฮกเกี้ยน ที่ต้นตระกูลเข้ามารับราชการจนกินตำแหน่งสูง ท่าเรือโปเส็งตั้งอยู่ในชุมชนตักลักเกียะ ที่นั่นเป็นแหล่งค้าขายที่มีทั้งคนจีนฮกเกี้ยน จีนแคะ จีนแต้จิ๋วอยู่ร่วมกัน เลยไปทางทิศใต้อีกไม่ไกล เป็นย่านของชาวตะวันตกที่เพิ่งเริ่มเข้ามาในสยามมากขึ้น แต่ชาวตะวันตกเหล่านี้เดินทางมาพร้อมกับเรือสมัยใหม่ ที่เรียกว่า ‘เรือกลไฟ’”

 

“ชาวสยามส่วนใหญ่ ปลูกบ้านเรือนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำที่แตกกิ่งก้านเป็นลำคลอง เลื้อยเข้าแผ่นดินทั้งสองฝั่ง คลองเหล่านี้เชื่อมโยงทักถอเป็นเส้นทางคมนาคมทางเรือ ส่วนบ้านที่อยู่อาศัยมีทั้งเป็นเรือนแพลูกบวบ และเรือนที่กั้นฝาด้วยซีกไผ่สานขัดกันเป็นฝืน หลังคาก็ใช้ใบต้นไม้ชนิดหนึ่ง(จาก)​มามัดซ้อนกันเป็นตับก่อนนำขึ้นไปมุงหลังคา แต่บ้านขุนนางจะเป็นเรือนหมู่ยกสูงสร้างด้วยไม้กระดานแผ่นใหญ่ หลังคามุงด้วยกระเบื้อง พวกชาวสยามผู้ชายนุ่งผ้าท่อนล่างเปลือยท่อนบน ผู้หญิงนุ่งผ้าสองผืนสีทึมทึบ​ ทั้งชายและหญิงล้วนนิยมไว้ผมสั้น และเคี้ยวหมากจนฟันดำ"

 

“ย่านตักลัคเกียะเป็นชุมทางการค้า มีตลาดจับจ่ายซื้อของกันคึกคัก เพราะว่าตอนนั้นสยามเพิ่งเริ่มเปิดประเทศจึงมีทั้งพ่อค้าผมดำ ผมทอง เดินควั่กไขว่ เมื่อแรกไปถึงอั๊วก็รับจ้างเป็นคนหาบน้ำอาศัยนอนในวัดญวน ต่อมาข้าไปช่วยงานศาลเจ้าโจวซือกง ศาลเจ้าเก่าแก่ในชุมชนบ่อยเข้า จึงย้ายไปขออาศัยนอนที่นั่น” เฒ่าอาวุโสพักจิบชา จุดบุหรี่อัดควันเข้าปอด ยี่เก้ามองตามสายควันที่ลอยสูงก่อนจางไป

 

“อั๊วก็เหมือนคนจีนที่เพิ่งไปถึงใหม่ๆ คนอื่นๆ ที่รับจ้างแบกหาบทุกอย่างตามที่มีคนจ้าง จนมาวันหนึ่ง เจ้าของสำนักโคมเขียวในสำเพ็งมาว่าจ้างอั๊วให้แบกกระสอบข้าวสารไปส่ง ระหว่างที่แบกกระสอบข้าวผ่านลานประหารหน้าวัดสามแพ่งมาได้ไม่กี่ก้าว ก็รู้สึกตัวหนาวสั่นวูบวาบ แล้วอั๊วก็ล้มลงหมดสติไป..”

 

สี่วันต่อมา..

เตียวฮกขยับเปลือกตาขึ้นช้าๆ รู้สึกปวดจากแสงจ้าจากภายนอกที่แยงตา เตียวฮกตื่นมาพบว่าตัวเองได้รับการรักษาพยาบาล อยู่ในโรงหมอที่ดัดแปลงจากตึกแถวสำหรับให้เช่าอาศัย โดยมีหมอฝรั่งเป็นผู้อุปการะ หมอฝรั่งคนนี้พูดภาษาไทยที่เป็นภาษาของชาวสยามได้ดี โดยมีล่ามชาวจีนแต้จิ๋วเป็นชายวัยกลางคนชื่อตั้งหย่งเส็ง ช่วยสื่อสารกับกลุ่มคนไข้ชาวจีน

 

หย่งเส็งเข้ามาลำดับเหตุการณ์ให้เตียวฮกฟังว่า ครูสอนศาสนาชื่อ บาทหลวงจอห์นสันไปธุระแถววัดสามแพ่ง ระหว่างทางกลับเห็นลื้อนอนหมดสติ ตัวสั่นอยู่บนทางเดินบนทางเดิน มีกระสอบข้าวทับบนร่าง ด้วยความสงสารจึงเรียกให้คนจีนแถวนั้นช่วยนำตัวลงเรือข้ามแม่น้ำมารักษาตัวที่นี่”

 

“ฝั่งนี้เป็นฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาเรียกว่า ‘กรุงธนบุรี’ ”

 

“ตอนนั้นอั๊วล้มป่วยเป็นโรคไข้รากสาดใหญ่ ถ้าไม่ได้ยาหมอฝรั่งคงถึงแก่ความตายไปตั้งแต่วันนั้น อาหย่งเส็งบอกกับอั๊วว่าโชคดีได้เจอหมอเทวดา หมอฝรั่งเคยรักษาพระสงฆ์ที่ถูกประทัดระเบิดใส่ โดยการผ่าตัด พระสงฆ์รูปนั้นสูญเสียแขนขวาแต่ก็รักษาชีวิตไว้ได้”

 

“หมอเทวดาเป็นฝรั่งหรือ?? ยี่เก้าทำหน้าฉงนพร้อมกับหัวเราะเบาๆ “แล้วอาหย่งเส็งเป็นใครมาจากไหนหรือ?”  

 

“ตั้งหย่งเส็งอายุมากกว่าอั๊วสองปี เกิดที่สยาม เป็นลูกหลานชาวแต้จิ๋วที่ไปทำไร่กระเทียมอยู่หัวเมืองจันทบุรี หมอฝรั่งไปพบเข้าที่โบสถ์ของชุมชนชาวคริสต์ คราวไปสำรวจหัวเมืองตะวันออกกับมิตรสหายที่เป็นขุนนางของสยาม ครอบครัวอาหย่งเส็งมีลูกหลายคน จึงขอฝากลูกชายคนโตไว้คอยติดตามรับใช้หมอฝรั่ง เพราะอาหย่งเส็งเกิดในสยามจึงไม่ได้ไว้ผมเปียอย่างชาวจีนทั่วไปในสมัยนั้น”

 

“ส่วนหมอฝรั่งนั้น แรกเดินทางมาสยามด้วยกิจการทางศาสนา แต่ด้วยความมุ่งมั่นต่อวิชาชีพ จึงประสบความสำเร็จทางการแพทย์ หมอฝรั่งเดินทางมาจากดินแดนที่เพิ่งเกิดใหม่ไม่ถึงร้อยปี เรียกว่า สหรัฐอเมริกา ซึ่งอยู่ห่างไกลคนล่ะซีกโลกกับสยามใช้เวลาเดินทางกลางมหาสมุทรหลายเดือน หมอฝรั่งมาที่นี่เพื่อช่วยรักษาคนไข้พร้อมกับเผยแพร่ศาสนาคริสต์”

 

ระหว่างพักรักษาตัว เตียวฮกพยายามทำตัวให้เป็นประโยชน์กับกิจการในโรงพิมพ์ของหมอฝรั่ง บ้านพักและโรงพิมพ์ของหมอฝรั่งอยู่ริมแม่น้ำ เลยวัดกัลยาฯ ไปไม่ไกล ตั้งอยู่ปากคลองสายใหญ่ ปากคลองอีกฝั่งเป็นป้อมปราการก่ออิฐถือปูนทรงฝรั่ง หมอเล่าว่าพวกฝรั่งเศสมาสร้างไว้เมื่อร้อยปีก่อน

 

เตียวฮกเริ่มโดยช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ จนร่างกายหายดี ก็ขออยู่รับใช้ช่วยหมองานฝรั่งที่โรงพิมพ์ด้วย “วันที่หย่งเส็งพาอั๊วเข้าไปขออนุญาตหมอฝรั่ง อั๊วพูดภาษาไทยไม่ได้จึงทำได้เพียงก้มหน้า ปล่อยให้หย่งเส็งคุยกับหมอฝรั่งด้วยภาษาไทย เพียงไม่กี่คำหมอฝรั่งก็หันมายิ้มและพยักหน้าเบาๆ จากนั้นมา ทุกวันอั้วก็ไปทำงานในโรงพิมพ์หมอฝรั่ง พอเลิกงานตอนเย็นก็ไปเรียนภาษาไทยกับหย่งเส็งโรงหมอ” ผู้เฒ่าน้ำเสียงแจ่มใส

 

“ผู้อาวุโสดูมีความสุข เมื่อเล่าถึงหมอฝรั่งกับอาหย่งเส็ง” ยี่เก้าพูดน้ำเสียงยิ้มแย้ม

 

“อืม ทุกวันเวลาดีๆ ในชีวิตอั๊วอยู่ที่นั่น ที่ริมแม่น้ำสีหยกสายนั้น” น้ำเสียงชรายิ้มแย้มกว่า

 

เสียงกอไผ่เสียดสีส่งเสียงข้ามรั้วมาตามจังหวะลมยามเย็น แดดกล้าเริ่มทอแสงอ่อน

 

“แต่มีวันหนึ่งที่อั๊วจำได้แม่น ระหว่างที่อยู่กับหมอฝรั่ง เป็นวันที่ประหลาดนัก อั๊วจำได้ชัดเจนว่าเป็นช่วงฤดูฝน แต่วันนั้นเมฆฝนไม่มีท่าจะตั้งเค้า แต่จู่ๆ ท้องฟ้ากลับมืดเร็วดำ นึกไปว่าพายุฝนกำลังจะมา แต่เมื่อเดินออกไปแหงนมองฟ้า อั๊วก็ตกตะลึงจนเข่าอ่อน เมื่อเห็นดวงอาทิตย์กำลังถูกกลืนช้าๆ ความมืดปกคลุมพระนคร พระปรางค์วัดอรุณที่เคยเด่นสง่าริมแม่น้ำกลายเป็นแท่งเสาทึบทึมดูคล้ายป้ายหลุมศพขนาดมหึมา เสี้ยวโค้งดำค่อยเคลื่อนทับดวงอาทิตย์ ไม่นานความมืดก็เข้าบดบังจนเหลือเพียงเสี้ยวแสงกลางฟ้า ขณะนั้นมีเรือพายออกมาจากคลองเข้าสู่แม่น้ำ คนบนเรือตะโกนร้องว่า ราหูๆ!!! อั๊วไม่รู้จักว่าราหูคืออะไร แต่ชาวบ้านเริ่ม เคาะปี๊บ ตีระฆัง จุดประทัดกันอลวนจนเสียงดังไปทั่ว เผอิญเวลานั้นหมอฝรั่งกับครูศาสนาคนอื่นๆ ไม่อยู่ เพราะกำลังตามเสด็จพระเจ้าแผ่นดินไปหัวเมืองทางใต้ ด้วยความตกใจอั๊ววิ่งเข้าไปหาอาหย่งเส็งในเรือน เห็นอาหย่งเส็งก้มคุดคู้อยู่ใต้เตียงไม้สำหรับคนไข้ มือข้างหนึ่งกำไม้กางเขน มือข้างหนึ่งกำลูกประคำ ปากสวดมนต์สำเนียงแต้จิ๋วฟังไม่ได้ศัพท์ เตียงไม้สำหรับคนไข้มีสองเตียง เตียงหนึ่งมีอาหย่งเส็งหมอบคุดคู้ อีกเตียงมีลังอุปกรณ์วางอยู่ข้างใต้ จึงไม่เหลือที่พอให้อั๊วเข้าไปซุกได้ เมื่อไม่มีที่ให้หลบ อั๊วก็คว้าเอาถาดกับไม้ออกมาช่วยชาวบ้านเคาะตีไล่ความมืด หลับหูหลับตีอยู่จนหูอื้อสนิท ก็เลยค่อยๆ ลืมตาดู พบว่าความมืดกำลังปลดปล่อยให้แสงอาทิตย์กลับมาสว่างอีกครั้ง”

 

“ชาวสยามร่ำลือกันว่าเป็นลางร้าย แต่หมอฝรั่งเรียกมันว่า ‘ปรากฎการณ์’”

 

“ไม่ว่าลางบอกเหตุร้ายเป็นเรื่องจริงหรือแค่ความเชื่อ แต่พระเจ้าแผ่นดินเสด็จสวรรคตจากอาการไข้ป่าหลังกลับจากบ้านหว้ากอได้ไม่ถึงเดือน จากวันนั้นหมอฝรั่งก็เงียบไม่พูดคุยกับใครไปหลายวัน”

 

ช่วงสายของวันหนึ่งวันหมอฝรั่งบอกเตียวฮกกับหย่งเส็งว่าจะมีแขกมาเยี่ยมตอนบ่าย ให้คอยต้อนรับอย่าออกไปไหน เมื่อพระอาทิตย์ทำมุมบอกเวลาบ่าย ก็มีชายชาวสยามสามคนมาถามหาหมอฝรั่ง สองคนที่เดินนำหน้าถามหาหมอฝรั่ง คนแรกหิ้วกระเป๋าใบใหญ่ อีกคนแบกขาตั้งไม้สามขาขนาดยาวเกินครึ่งตัวคนถือ ส่วนชายคนที่ยืนท้ายสุด แต่งกายแบบตะวันตก ดูเป็นชนชั้นสูง ทรงหน้าอวบรับริมฝีปากอิ่มปลายคว่ำหยัก ขนคิ้วสั้นขีดโค้งอยู่ใกล้ดวงตาเรียบเฉย

 

เมื่อหมอฝรั่งออกมาจากประตูบ้าน ก็ทักทายยิ้มแย้มว่า “สวัสดีคุณพระ” ก่อนสนทนาเป็นภาษาอังกฤษเล็กน้อย จากนั้นหมอเชิญทั้งสามเข้าเรือนไปนั่งที่โต๊ะรับแขก สักครู่ใหญ่ หมอฝรั่งก็ส่งเสียงเรียกให้จีนฮกกับหย่งเส็งตามเข้าไปหา

 

เมื่อทั้งสองเดินเข้าไป เห็นหมอฝรั่งนั่งอยู่บนเก้าอี้มีพนักผิงข้างโต๊ะกลมที่คลุมด้วยผ้าเยียรบับไว้อย่างบรรจง บนโต๊ะมีเพียงหีบหมากประดับมุกสวยงาม ท่อนแขนขวาเท้ารวบไปกับขอบโต๊ะกำมือหลวมๆ มองเห็นคนติดตามที่มากับแขกของหมอฝรั่ง กำลังง่วนกับการตั้งขาตั้งไม้สามขา ปลายขาตั้งมีกล่องสี่เหลี่ยมสีดำติดอยู่ ปล่องยืดออกมาได้สั้นๆ ที่มีกระจกทึบๆปลายปล่องด้านหลังมีผ้าคลุมสีดำ ใกล้ๆกัน คุณพระกำลังยืนสอนและกำกับการจัดวางขาตั้งแก่คนติดตาม

 

“หย่งเส็ง กับจีนฮก เข้ามายืนชักภาพร่วมกัน” หมอฝรั่งกล่าวพร้อมพยักหน้าเรียก เตียวฮกทำตามคำบอกหมอฝรั่งเข้าไปยืนอยู่ข้างเก้าอี้ โดยที่ไม่รู้ว่าการ ‘ชักภาพ’ คืออะไร ผิดกับหย่งเส็งปฏิเสธที่การชักภาพ เพราะเคยได้ยินว่าเป็นการชักภาพทำให้วิญญาณจะถูกดึงไปใส่ในภาพถ่าย ทำให้อายุสั้น หมอฝรั่งอธิบายกึ่งปลอบใจล่ามเก่าแก่ ว่าสิ่งประดิษฐ์นี้เรียกว่า กล้องถ่ายภาพฟิล์มกระจกแบบเปียก เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่มีมานานแล้ว เป็นวิทยาการตะวันตก ไม่ได้มีอาถารรพ์ใดๆ หย่งเส็งจึงยอมเข้าไปยืนข้างโต๊ะยอมให้ชักภาพแต่โดยดี”

 

พระปรีชากลการปกติท่านไม่ได้รับจ้างถ่ายภาพ แต่มาด้วยชอบพลอกันกับหมอฝรั่ง

ท่านกำลังไปรับราชการที่เมืองกบินทร์บุรี ด้วยไมตรีจิตรจึงแวะมาลาและชักภาพหมอฝรั่ง หมอฝรั่งจึงถือโอกาสนี้ให้คนสนิทได้ร่วมถ่ายภาพด้วย

 

ครั้งหนึ่ง หลังจากหมดคนไข้ เตียวฮกมีโอกาสอยู่ด้วยกันกับหมอฝรั่งเพียงสองคน ด้วยความสงสัย จีนฮกจึงถามว่า “ภรรยาคนแรกของหมอทำงานรับใช้ราชสำนักสยามจนป่วยตายด้วยโรคเขตร้อน หมอก็พาลูกๆ กลับไปเข้าโรงเรียนที่ประเทศบ้านเกิดแล้วกลับมา ทั้งเปิดโรงหมอ ทั้งทำโรงพิมพ์หมอทำหนังสือเรียนภาษาไทยให้ความรู้แก่ชาวบ้าน ทั้งที่ไม่ใช่งานเผยแพร่ศาสนาโดยตรง หมอทำแบบนี้ิ หมายความว่าหมอรักสยามมากกว่าอเมริกาบ้านเกิดหรือ..?” หมอฝรั่งมีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถาม แต่รอยน้อยไ ก็ปรากฎเหนือเคราครึ้ม “จีนฮกอายุเธอยังน้อย เมื่อเธอโตขึ้นและมีโอกาสได้เห็นโลกมากขึ้น เธอจะเข้าใจว่าการแบ่งเขตแดนต่างๆ นั้นเป็นเพียงเส้นสมมติ สำหรับคนเป็นหมอ โรคร้ายไม่มีพรมแดน ศรัทธาต่อพระเจ้าก็เช่นกัน ที่สำคัญ อเมริกามีการแพทย์ที่เจริญก้าวหน้ากว่าที่นี่มากนัก มีหมอเก่งๆ มากกว่าที่นี่มากนัก ดังนั้นการที่หมออยู่ที่นี่ย่อมทำประโยชน์ได้มากกว่าอยู่ที่บ้านเกิด"

 

เตียวฮกในร่างชรานิ่งเงียบเมื่อจบประโยค ดิ่งจมลงในวันวานดุจได้กลับไปยืนต่อหน้าหมอฝรั่งผู้มีพระคุณ หัวใจชราย้อนอดีตถึงคำถามที่หมอฝรั่งถามตนกลับ...

 

“แล้วเธอล่ะ จีนฮก เธอข้ามทะเลมาต่างแดนคนเดียวตั้งแต่อายุ สิบสี่-สิบห้าปี เธอรักสยามมากกว่าเมืองจีนหรือ?.. ดูเหมือนว่าเธอหนีอะไรมามากกว่านะ” หมอฝรั่งมองหน้าเด็กหนุ่มผมเปียที่ยืนนิ่งไม่ตอบคำ หมอฝรั่งถอนหายใจเบาๆ ก่นกล่าวต่อ “วันที่บาทหลวงจอห์นสันพาเธอลงเรือข้ามแม่น้ำมาส่งที่โรงหมอ ฤทธิ์ไข้ทำเธอเพ้อไม่ได้สติ นายหย่งเส็งบอกว่าเธอเพ้อซ้ำไปซ้ำมาทั้งคืนว่า แม่ฆ่าน้องทำไม..”

 

“เธอคงมีแผลใจที่อยากลืม เอาเถอะ หมอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่บ้านเกิดเธอในเมืองจีน แต่อยากให้เธอจำไว้ว่าในทุกการกระทำย่อมมีเหตุผล และเราไม่อาจตัดสินความรักของใครได้ด้วยสิ่งที่ตาเห็นเท่านั้น ลองเปิดใจให้ความศรัทธาในพระเจ้า พระองค์อาจทรงชี้ทางให้เธอหลุดพ้นจากความทุกข์ แต่วันนี้ค่ำมากแล้วเธอไปพักเถอะ”

 

ดึกสงัดคืนนั้น เงาจันทร์ครึ่งดวงที่สะท้อนในแม่น้ำเจ้าพระยากระเพื่อมเป็นวงคลื่นน้อยๆ ยามต้องหยาดน้ำตาของหนุ่มน้อยที่หยดลงผืนน้ำ มันเป็นยามค่ำสงบงันและว้าเหว่กว่าคืนไหนๆ

 

“ปกติหมอฝรั่งเป็นคนพูดน้อยเพราะลงมือทำมากกว่าพูด และด้วยเป็นคนมีจิตใจดีจึงเป็นที่รักของทั้งชาวสยาม ชาวจีน อั๊วมารู้ภายหลังที่ว่า กว่าสิบปีก่อนโรงหมอฝรั่งตั้งอยู่อีกฝั่งของแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นตึกแถวอยู่ระหว่างวัดสามแพ่งกับวัดเกาะ แต่วันหนึ่งกัปตันเรือฝรั่งแวะมาที่โรงหมอ ระหว่างทางกลับฝรั่งเกิดกระทบกระทั่งกับพระในวัดเกาะเพราะดันไปยิงนกในเขตวัด” กลายเป็นข้อพิพาท ร้อนถึงเจ้าของที่ดิน ถูกทางการกดดันไม่ให้หมอเช่าที่เปิดกิจการต่อไป ทำให้หมอฝรั่งต้องย้ายออกมาอยู่อีกฝรั่งแม่น้ำ ตอนนั้น ทางการสยามไม่ไว้วางใจฝรั่งเป็นทุนเดิม กลัวว่าหมอฝรั่งมีเจตนาแอบแฝงทางการเมือง เข้ามาปลุกระดมชาวจีนให้ต่อต้านรัฐบาลสยาม เพราะเวลานั้นพวกฝรั่งหัวทองนำเรือปืนไปรุกรานแผ่นดินต่างๆ ไปทั่ว”

 

“หมอฝรั่งทำความดี ช่วยเหลือผู้คนไม่แบ่งแยกเชื้อชาติ เหตุใดจึงถูกกลั่นแกล้งฟ้า - ดินไม่ช่วยเหลือคนดีหรือ?” ยี่เก้าถามด้วยความสงสัย ผู้เฒ่าส่ายหัวพร้อมตอบ “จิตใจที่ดีงามของวิญญูชน ไม่ต้องพึ่งฟ้า-ดินให้ช่วยหรอกนะ มีแต่ความตั้งใจจริงที่แน่วแน่เท่านั้นแหละ ที่แม้แต่ฟ้า-ดินยังต้องเป็นพยาน”

 

"ฟังดูแล้วหมอฝรั่งท่านนี้น่านับถือจริงๆ รักษาอาการป่วยและยังชุบเลี้ยงให้งานทำ ทั้งที่เป็นคนต่างชาติและไม่รู้จักกันมาก่อน" อาเบ๊กล่าวด้วยน้ำเสียงเลื่อมใส เฒ่าชราวัย 80 ปี พยักหน้าแผ่วเบา "หมอฝรั่งคือบุคคลผู้อุทิศชีวิตเพื่อผู้อื่นโดยไม่เกี่ยงสีผิว และศาสนาอย่างแท้จริง - วิญญูชนไม่ได้ติดสินที่ชาติตระกูลฉันใด คุณค่าของคนก็ไม่ได้ตัดสินที่ตำแหน่งฉันนั้น” เฒ่าชรากระแอมไล่ของเหลวที่เกะกะเส้นเสียง บ้วนเสมหะลงกระโถนสังกะสี ก่อนกล่าวต่อ “จำไว้นะอาเบ๊ ไม่ว่าชนชาติไหน ดวงตาสีอะไร ต่างมีทั้งคนดี และคนเลวปะปน มนุษย์เราก็เช่นกัน ไม่มีขาวบริสุทธิ์ ไม่มีดำสนิท ทุกคนล้วนถูกความดี ความชั่วเข้าผลัดเปลี่ยนหมุนเข้ามาครอบงำจิตใจ”

 

ยี่เก้าพยักหน้ารับก่อนถามต่อ “อั๊วได้ยินมาจากเกาย้งว่า พระเจ้าแผ่นดินสยามมีเชื้อสายจีนแต้จิ๋ว เป็นเรื่องจริงหรือไม่?”  

 

“เป็นเรื่องจริง แต่เกิดขึ้นนับร้อยปีก่อนที่อั๊วจะไปถึงที่นั่น ได้ยินว่าในรัชสมัยของ ’แต้อ๊วง’ ชาวจีนแต้จิ๋วเดินทางเข้ามาสยามกันมาก เพราะชาวแต้จิ๋วได้ติดตามพระองค์ช่วยการศึกสงครามจนสร้างอาณาจักรขึ้นมาใหม่ หลังเมืองหลวงเดิมถูกทำลายโดยกองทัพของอาณาจักรข้างเคียง ด้วยความดีความชอบนี้ พระองค์จึงเปิดรับชาวแต้จิ๋วและชาวจีนอื่นๆ เข้ามาเป็นจำนวนมาก” เฒ่าอาวุโสมวนบุหรี่จุดสูบ ระบายควันผ่านแผงหนวดสีเลา

 

“หลังจากอยู่ทำงานกับหมอฝรั่งมาหลายปี อั๊วก็รู้จักกับหญิงสาวชุมชนกุฎีจีนโดยบังเอิญ อาเหล่ากงของนางเป็นชาวโปรตุเกสมาแต่งงานกับลูกสาวคนเดียวของขุนจีนคนหนึ่ง เรารู้จักกันโดยอังเอิญ วันนั้นนางทำถาดใส่ขนมขายหลุดมือตกลงไปในแม่น้ำ อั๊วเดินผ่านไปพอดี เลยลงไปงมขึ้นมาให้นาง เราจึงได้รู้จักกัน..” 

 

“ไม่นานหลังจากนั้น อั๊วก็เข้ารีตนับถือคริสต์และแต่งงานกับนาง เราอยู่-กินกันหลายปีในชุมชนกุฎีจีนนั่นแหละ จนหมอฝรั่งจากไป เราสองกันก็เลยพากันข้ามแม่น้ำกลับไปอาศัยอยู่ฝั่งพระนครในชุมชนโบสถ์พระแม่ลูกประคำที่กำลังมีการสร้างโบสถ์ใหม่แทนหลังเก่าที่ทุดโทรมไป อั๊วทำงานก่อสร้างโบสถ์พระแม่ลูกประคำหลังใหม่ ส่วนเมียอั๊วรับจ้างย้อม และเย็บเสื้อผ้า ระหว่างนั้นเรามีลูกสาวด้วยกันเป็นครอบครัวเล็กๆ ที่มีความสุข”

 

มุมปากเบ๊ยี่เก้าเจือรอยยิ้มตามเรื่องเล่าของเฒ่าชราโดยไม่รู้ตัว “การพบรักกันแบบนั้นมันเป็นอย่างไรกันหรือ?” เฒ่าชราเลิกคิ้วมองหนุ่มน้อยคู่สนทนา “อั๊วอยากรู้ว่ามันแตกต่างกับการที่ครอบครัวเลือกคู่ครองให้หรือไม่?”

 

“เรื่องนั้นอั๊วไม่รู้หรอก” ผู้เฒ่ากล่าวติดหัวเราะ สองดวงตายิ้มให้ว่าที่เจ้าบ่าว หมอฝรั่งเคยบอกไว้ว่า ความรักไม่ใช่การพบเจอ การพบเจอเป็นเพียงส่วนหนึ่งของความรัก ความรักเกี่ยวกับว่า เราจะอยู่เพื่อกันและกันได้แค่ไหน” ยี่เก้าพยักหัวหงึกๆ นิ่งไปครู่หนึ่ง “แล้วทำไมผู้อาวุโสถึงกลับมาเมืองจีนแต่ผู้เดียว ไม่พาครอบครัวกลับมาด้วย?” สิ้นคำถาม ตาเฒ่านิ่งเงียบไม่ตอบ แววตาฝ้าขุ่นมองสูงคล้ายมองเห็นอะไรบางอย่างในความเงียบ

 

ความเงียบงันเข้าครอบงำชั่วครู่ ในใจยี่เก้ารู้สึกอึดอัดและสำนึกผิดกับคำถามที่ไม่สมควร ในที่สุดเฒ่าอาวุโสก็พูดเสียงแหบแห้งโดยไม่มองยี่เก้า “เรื่องนี้มันยาว นี่เย็นมากแล้ว อั๊วจะเล่าให้ลื้อฟังวันหลัง วันนี้ลื้อควรกลับถึงบ้านก่อนฟ้ามืด มิเช่นนั้น ครอบครัวจะเป็นห่วง”

 

เบ๊ยี่เก้าที่เพลิดเพลินกับเรื่องเล่าของเฒ่าฮกจนลืมเวลา เมื่อรู้ตัวว่าท้องฟ้าสุกงอมจึงขอลาผู้เฒ่า เดินกลับบ้านก่อนอาทิตย์จะสิ้นแสง เฒ่าอาวุโสมองยี่เก้าเดินออกจากบ้านไปจนลับตา ถอนหายใจช้าๆ ก่อนเดินเข้ามาในเรือนผลักประตูไม้เข้าไปในห้องเก็บของ

 

ในแสงอ่อนของยามเย็น เฒ่าฮกเหม่อมองสร้อยลูกประคำห้อยไม้กางเขนที่แขวนบนผนัง ข้างสร้อยไม้กางเขนเป็นภาพถ่ายหมอฝรั่งนั่งบนเก้าอี้มีพนักพิง เท้าแขนกับโต๊ะที่ปูผ้ารองอย่างบรรจง มีชาวจีนสองคนยืนขนาบ ชื้นน้ำกลบดวงตาขุ่นฝ้า ความทรงจำพรั่งพรูท่วมหัวใจชราที่เต้นแผ่ว เต็มไปด้วยความรำลึกถึงวันเวลาที่อยู่กับหมอฝรั่ง ค่ำคืนอบอุ่นที่ได้กอดลูกหอมเมีย ..ลูก-เมียที่ไม่มีวันได้เจอกันอีก

 

อาทิตย์อัสดงหลังก้อนเมฆ ลมพัดแผ่ว ผิวกายที่ชุ่มเหงื่อรู้สึกเย็นขึ้นเมื่อต้องลม เบ๊ยี่เก้าเดินออกจากบ้านเฒ่าฮกมุ่งหน้ากลับหมู่บ้าน โดยที่ไม่รู้ตัวแม้แต่น้อยว่าถูกลอบมองอยู่..

 

 

***************************************

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา