มู่หลันกลางเหมันต์
-
เขียนโดย ลิ่วเม่ย
วันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2563 เวลา 22.40 น.
6 ตอน
1 วิจารณ์
5,965 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2563 22.43 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) สาบสูญเทพบรรพกาล
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเฉกเช่นคราแรกไม่แปรเปลี่ยน ความหนาวเหน็บในป่าเหมันต์ไม่เคยทุเลาลง หากแต่สิบชีวิตที่อาศัยอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้รู้สึกลำบากอะไร เวลาหลายแสนปีได้สร้างความเคยชินให้กับหนึ่งสตรีและเก้าสัตว์เวทย์ ทุกชีวิตใช้เวลากว่าสามในสี่ไปกับการฝึกวิชาและกำลังจนในที่สุดก็บรรลุระดับสูงสุดที่พึงมี มู่หลันด้วยกำเนิดจากไอวิเศษแห่งมู่หลันแดงและปราณธาตุรวมศูนย์จึงนับเป็นเทพผู้ครอบครองระดับสูงสุดของยุทธภพแต่แรก อาศัยเพียงการฝึกตนเป็นนิจเพื่อพัฒนาทักษะ แต่สัตว์เวทย์ของนางกลับแตกต่างแม้การกำเนิดจะคล้ายคลึงกันแต่พวกมันถือกำเนิดตามปราณธาตุสังกัดหาได้เกิดจากไอวิญญาณวิเศษ ดังนั้นเพื่อจะเลื่อนระดับสังกัดของตน พวกมันจึงต้องบากบั่นฝึกตนไม่ต่างจากเทพเซียนและมนุษย์ ในที่สุดผลจากการมานะบากบั่นในการฝึกฝนอย่างหนักกว่าแสนปีก็พาให้พวกมันเหยียบย่างสู่ระดับสูงสุดคือสัตว์เทพโบราณนับเป็นราชันย์แห่งสัตว์เวทย์ทั้งปวง
“พวกเจ้าไม่เบื่อกันหรอกหรือ ตอนนี้ก็บรรลุเป็นสัตว์เทพกันแล้วไยไม่ออกไปข้างนอกกันบ้างเล่า ไปเปิดหูเปิดตากันเสียบ้างว่าตอนนี้โลกภายนอกเป็นเช่นไร” มู่หลันเอ่ยปากกล่าวกับเหล่าสัตว์เวทย์ในขณะที่ทั้งหมดกำลังพักจากการประลองกำลังกันในยามเว่ย* ของวันหนึ่ง
“เหตุใดพวกข้าต้องสนใจผู้อื่นด้วยเล่าเจ้าคะ พวกข้าอยู่กับท่านที่นี่ก็สุขสบายดีเจ้าค่ะ” จิ้งจอกขาวเหม่ยหยวนตอบกลับนายหญิงของตน
“เหม่ยหยวนกล่าวไม่ผิด อีกประการคือพวกข้าเองก็ไม่ต้องการเข้าไปเกี่ยวข้องกับผู้อื่นขอรับ” ไห่หยางกิเลนหนุ่มเอ่ยสำทับสหาย
“และการเปิดผนึกป่าเหมันต์อาจจะเป็นการก่อความละโมบให้กับพวกเขาเหล่านั้นได้นะขอรับ” ราชันย์อินทรีหวางซู่เป็นผู้กล่าวต่อ
“ที่เจ้ากล่าวก็ไม่ผิด แล้วถ้าพวกเราไม่ได้ออกไปในฐานะของเทพบรรพกาลและสัตว์เวทย์โบราณแห่งป่าเหมันต์เล่า” สตรีผู้สวมอาภรณ์สีแดงฉานกล่าวเจ้าเล่ห์
“นายหญิง ที่แท้ก็เป็นท่านที่อยากออกไปหรอกหรือขอรับ” หมีป่าโหย่วสงเอ่ยถามนายหญิงของตน
“เสี่ยวสง ข้าเองก็ถือกำเนิดขึ้นมาหลายแสนปีแล้ว แต่ก็ไม่เคยย่างกรายออกไปจากป่าสวรรค์แห่งนี้เลย เมื่อมีสรรพสัตว์อื่นเกิดขึ้นมา ข้าย่อมต้องอยากรู้ว่าข้างนอกนั่นมีความเป็นไปเช่นใดบ้าง หากมีประโยชน์ ในกาลหน้าจักได้ใช้งานได้.....” หญิงสาวเจ้าผู้มีปานแดงรูปดอกไม้สวรรค์กล่าวตอบพลางหยุดคำที่ท้ายประโยค
“...แต่หากไร้ประโยชน์ จักได้ทำลายได้ทันท่วงทีหรือขอรับ” เหย่หูพยัคฆาเอ่ยต่อราวรับรู้ความคิดของสตรีผู้เป็นนาย
“ฮ่าฮ่าฮ่า เสี่ยวหูเห็นข้าโหดร้ายปานนั้นเชียวหรือ” เทพบรรพกาลกล่าวถามพยัคฆ์หนุ่มทีเล่นทีจริง
“เจ้าค่ะ / ขอรับ” หากแต่คำตอบที่ได้รับกลับมาจากราชันย์สัตว์เวทย์ทั้งเก้าก็พาให้เสียงหัวเราะของสตรีผู้มีรูปโฉมงามเป็นหนึ่งหยุดลงอย่างฉับพลันพลางรีบกล่าวแย้ง
“แม้ข้าจะถือกำเนิดก่อนพวกเจ้าและพวกเขาก็หาได้หมายความว่าข้าต้องรับบัญชาในการพิทักษ์ดินแดนให้มีแต่ความสงบสุขเสียหน่อย”
หนึ่งชั่วยามให้หลังหนึ่งนายหญิงและเก้าสัตว์เวทย์ก็ได้มาเยือนดินแดนภายนอกป่าสวรรค์ ในเวลานี้สตรีผู้เป็นนายและสองสัตว์เวทย์คือจู้หลงและเฟิ่งหวงกำลังยืนอยู่หน้าโรงเตี๊ยมเฟยชุ่ยลู่ ในขณะที่สัตว์เวทย์อีกเจ็ดตนรับคำสั่งจากนายหญิงของพวกมันแยกย้ายไปสังเกตการณ์ในที่ต่างๆ ของแผ่นดินที่กว้างใหญ่ผืนนี้ สำหรับเฟยชูลู่ เป็นโรงเตี๊ยมที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของดินแดนโบราณ เทพบรรพกาลปรากฏกายในร่างของสตรีที่มีรูปโฉมงดงามเฉกเช่นปกติ หากแต่ปานแดงรูปดอกมู่หลันที่เคยปรากฏกลางหน้าผากบัดนี้กลับเลือนหายไป นางสวมอาภรณ์สีแดงเลือดนกเช่นเคย และปกปิดใบหน้าของตนด้วยผ้าโปร่งสีขาว
“นายหญิง ข้าได้ยินว่าหากต้องการรู้ความเป็นไปใดในดินแดน ที่นี่เป็นสถานที่อันดับหนึ่งที่ผู้คนจากทุกเผ่าพันธุ์จะเข้ามาแลกเปลี่ยนข่าวสารกันตลอดปีเจ้าค่ะ” เฟิ่งหวงบอกเล่าสิ่งที่ตนได้รับรู้มาแก่ผู้เป็นนาย
“เข้าไปกันเถิด” สตรีชุดแดงกล่าวพลางก้าวนำเข้าสู่เฟยชุ่ยลู่
“เชิญคุณหนู ที่ด้านบนยังมีโต๊ะที่จัดไว้ในมุมที่ดีที่สุดของร้านเหลืออยู่ขอรับ” เมื่อเห็นสตรีที่มองเพียงครู่เดียวก็รู้ว่าไม่สามัญ อีกทั้งยังมีบ่าวชายหญิงที่น่าเกรงขามติดตามใกล้ชิด จึงคิดเอาไว้ก่อนว่าจักต้องเป็นคุณหนูของตระกูลเศรษฐีสักตระกูลของบ้านเมืองเป็นแน่ เพื่อหลีกเลี่ยงความบาดหมางที่อาจเกิดขึ้น เสี่ยวเอ้อร์ผู้มากประสบการณ์จึงรีบกล่าวเชิญและนำหนึ่งเทพและสองราชันย์แห่งสัตว์เวทย์ขึ้นสู่ชั้นสองของโรงเตี๊ยมอันดับต้นๆ แห่งนี้
เมื่อพาแขกมาส่งถึงโต๊ะและรับรายการอาหารเรียบร้อยแล้ว เสี่ยวเอ้อร์จึงรีบขอตัวออกไปและนำอาหารมาจัดขึ้นโต๊ะในเวลาเพียงแค่ครึ่งก้านธูป
“นั่งลงแล้วทานด้วยกันเถิด แม้จะอิ่มทิพย์แต่ลองอาหารของพวกเขาดูก็ไม่แย่อะไรนัก” มู่หลันกล่าวกับสองสัตว์เวทย์ ด้วยนางไม่เคยแบ่งแยกความเป็นนายบ่าว
“ขอบคุณนายหญิง” หนึ่งมังกรหนึ่งหงส์กล่าวพร้อมกันและนั่งลงตรงข้ามกับนายหญิงของตน
ในขณะที่กำลังลิ้มรสอาหารของเหล่ามนุษย์ หนึ่งเทพสองสัตว์เวทย์ก็ฟังการสนทนาของแขกคนอื่นๆ ไปด้วย แม้จะนั่งห่างไกลกันเพียงใด ด้วยเขตขั้นพลังของทั้งสามการสืบเรื่องราวความเป็นไปจากผู้อื่นด้วยวิธีการนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องยากเย็นอันใด กว่าครึ่งชั่วยามที่พวกนางนั่งฟังการสนทนาของผู้อื่น มีเรื่องราวใหม่มากมายที่พวกนางเพิ่งรับรู้
“ฟางฟาง ข้าได้ยินว่าปีนี้คุณชายตู้เหวินจะเข้าร่วมการประลองยุทธในเทศกาลผิงจิ้ง เป็นความจริงหรือไม่” เสียงหญิงสาวผู้หนึ่งเอ่ยถามหญิงสาวอีกคนที่นั่งร่วมโต๊ะ
“เป็นความจริง พี่ใหญ่รอเวลานี้และเตรียมตัวมาหลายปี” หญิงสาวนามว่าฟางฟางตอบกลับ
คำว่าเทศกาลผิงจิ้งได้ดึงดูดความสนใจของเทพบรรพกาลชุดแดงเป็นอย่างมาก เมื่อการสนทนาจบลงนางก็ได้รู้ว่าเทศกาลผิงจิ้งเกิดขึ้นครั้งแรกจากความร่วมมือกันระหว่างผู้นำของสี่เผ่าพันธุ์เพื่อแสดงถึงความเป็นพันธมิตรและอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข เทศกาลนี้จะเกิดขึ้นในทุกๆ หนึ่งร้อยปี แต่ละครั้งกินเวลาสิบวันสิบคืน ผู้คนต่างรอคอยเนื่องจากในงานจะมีการประลองยุทธระหว่างเผ่าพันธุ์ในช่วงกลางวัน ในช่วงกลางคืนจะมีการลอยโคมไฟ อีกทั้งยังมีร้านรวงเปิดขายสินค้ามากมายตลอดทั้งวันและคืน และเพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลผิงจิ้งครั้งที่หนึ่งพัน นายหญิงแห่งตำหนักมู่หลันบรรพกาลจึงได้คลายกำบังป่าเหมันต์และปรากฏกายขึ้นท่ามกลางความตื่นรู้ของทุกเผ่าพันธุ์ ทุกผู้คนทั่วดินแดนโบราณต่างรอคอยที่จะยลโฉมเทพมู่หลันแห่งป่าเหมันต์ด้วยนางเป็นเทพบรรพกาลที่นับได้ว่าลี้ลับยิ่ง อีกทั้งยังเลื่องชื่อในด้านวิชาเวทย์และวิชายุทธิ์ ยิ่งไปกว่านั้นทุกคนต่างมีความหวังว่าจะได้ก้าวขาเข้าไปในป่าหิมะสวรรค์ สถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยไอวิญญาณและปราณชีวิตซึ่งจะช่วยส่งเสริมพลังชีวิตของสรรพสัตว์ อีกทั้งยังเป็นประโยชน์ต่อการเดินพลังยุทธิ์ของเหล่าผู้ฝึกตน ความตื่นเต้นยิ่งทวีมากขึ้นไปเมื่อนางประกาศว่าจักให้ใช้ลานประลองของนางเป็นลานประลองยุทธของเทศกาลประจำปีนี้ โดยผู้ชนะจะได้รับใบมู่หลันแดงที่มากไปด้วยคุณประโยชน์นานับประการเป็นรางวัล
แม้นว่าเทพบรรพกาลจักเปิดป่าเหมันต์ แต่นางก็กำหนดให้เฉพาะผู้เข้าร่วมการประลองเท่านั้นที่มีสิทธิ์เยือนป่าสวรรค์และจะต้องอยู่แต่ภายในหุบเขาการประลองเท่านั้นพร้อมทั้งให้คำเตือนว่าพวกเขาจะไม่อาจรักษาชีวิตเอาไว้ได้หากก้าวขาสู่ส่วนอื่นของป่าสวรรค์ด้วยความหนาวเย็นจะทำให้พวกเขาถูกแช่แข็งไว้ท่ามกลางหิมะ เมื่อวันประลองวันแรกมาถึง ทุกคนต่างพร้อมหน้ากันปรากฏกายที่ทางเข้าป่าเหมันต์ และจะถูกเคลื่อนย้ายไปสู่หุบเขาฝั่งตะวันออกด้วยวิชาเวทย์ระดับสูงของนาง
สิบวันของการประลองผ่านพ้นไปเพียงชั่วพริบตาเดียว และผู้ชนะการประลองที่จะได้รับใบมู่หลันแดงจากเทพบรรพกาลคือคุณชายแซ่หลี่ นามว่าเฉิน หลี่เฉินเป็นคุณชายเผ่ามนุษย์ที่ความสามารถนับว่าเทียบเซียนสวรรค์ด้วยเขาใช้เวลากว่าหมื่นปีฝึกตนเพื่อเป็นหนึ่งในยุทธภพ และในที่สุดบุรุษระดับเซียนขั้นสอง ผู้สังกัดธาตุไฟและไม้ก็ได้เป็นผู้มีชัยเหนือการประลองสี่เผ่าพันธุ์โดยปราศจากความตระหนักรู้ว่าการครอบครองใบมู่หลันแดงครานี้อาจนำเขาไปสู่ความยากลำบากในวันหน้า
สองเดือนให้หลังสิ้นสุดเทศกาลผิงจิ้ง ทั่วทั้งดินแดนต่างได้รับข่าวที่น่าหดหู่คือการตายของหลี่เฉิน คุณชายระดับเซียนผู้นี้ถูกสังหารด้วยความโหดเหี้ยมและใบมู่หลันแดงที่เขาครอบครองก็ถูกขโมยไปเช่นกัน ทุกคนต่างคาดการณ์กันไปว่าใครเป็นผู้ลงมือครั้งนี้จนในที่สุดก็นำไปสู่ความบาดหมางระหว่างสี่เผ่าพันธุ์ ต่างฝ่ายต่างกล่าวหากันและยืนกรานว่าพืชวิเศษควรตกเป็นของตน เผ่ามนุษย์กล่าวว่าเพราะหลี่เฉินเป็นมนุษย์เพราะฉะนั้นใบมู่หลันแดงก็ควรต้องเป็นของเผ่ามนุษย์ ในขณะที่เผ่ามารก็กล่าวว่าคนของตนเป็นที่สองในการประลอง ถ้าหากสิ้นที่หนึ่งไปแล้ว รางวัลก็ควรต้องตกเป็นของเผ่าตน เผ่าปีศาจก็รีบยับยั้ง กล่าวว่าเผ่ามารจิตใจชั่วร้ายไม่ควรครอบครองพืชวิเศษนี้ เผ่าสวรรค์ก็ไม่ยอมน้อยหน้า กล่าวว่าใบมู่หลันแดงแต่เดิมก็เป็นของสวรรค์ เพราะฉะนั้นเมื่อไร้เจ้าของก็ควรกลับสู่เผ่าสวรรค์
เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมและหาข้อยุติ ผู้นำสี่เผ่าจึงตัดสินใจเยือนป่าเหมันต์เพื่อขอเข้าพบเทพบรรพกาล แม้ไม่มีผู้ใดรู้ว่าใครเป็นผู้ลงมือเหี้ยมโหดสังหารผู้ชนะการประลองในเทศกาลที่เกิดขึ้นในรอบร้อยปีและขโมยใบมู่หลันแดงไป หากแต่ผู้เป็นเจ้าของที่แท้จริงและมีไอวิญญาณของพืชวิเศษในกายย่อมเป็นข้อยกเว้น
“ข้าไม่ควรคิดว่าพวกเจ้าผู้มีจิตใจอันแสนโสมมจะวางตนเป็นเซียนและผู้บำเพ็ญยุทธที่สูงส่งได้ตั้งแต่แรก” มู่หลันกล่าวกับตนเองเสียงเบา หากแต่ทุกผู้คนกลับได้ยินเสียงหวานที่เต็มไปด้วยความเย็นชาอย่างชัดเจน ฉับพลันนั้นบรรยากาศรอบกายของเหล่าผู้มาเยือนก็เยือกเย็นขึ้นปานถูกฝังอยู่ใต้ภูเขาหิมะกองโต
“ราชาแห่งเผ่าสวรรค์ ข้าขอสั่งให้ท่านส่งตัวผู้กระทำความผิดให้กับเผ่ามนุษย์และส่งใบมู่หลันแดงคืนสู่ป่าเหมันต์โดยเร็วที่สุด และขอให้ท่านจงรู้ไว้ว่าทั้งตัวข้าและป่าเหมันต์หาได้สังกัดเผ่าสวรรค์ เผ่าสวรรค์ต่างหากที่อยู่ใต้อาณัติของข้า” สตรีเจ้าของตำหนักกลางเหมันต์กล่าวเสียงเย็นเมื่อรับรู้ว่าพืชวิเศษจากป่าหิมะตอนนี้ตกอยู่ภายใต้การครอบครองของเผ่าสวรรค์ เมื่อกล่าวจบจึงใช้เวทย์ย่นระยะทางเคลื่อนย้ายพวกเขาทั้งหมดกลับไปสู่เบื้องนอก
แม้จะได้รับคำสั่งจากเทพบรรพกาลให้รีบส่งคืนใบมู่หลันแดง เผ่าสวรรค์กลับหยิ่งผยองไม่ปฏิบัติตาม อีกทั้งยังไม่ส่งตัวนักโทษให้กับเผ่ามนุษย์ เมื่อเผ่าสวรรค์เหิมเกริม อีกสามเผ่าย่อมไม่ไว้หน้า พันธมิตรแสนปีแล้วอย่างไร เมื่อถูกหยามศักดิ์ศรีย่อมไม่อาจทนได้ ในท้ายที่สุดสงครามระหว่างเผ่าสวรรค์ มนุษย์ มาร และปีศาจจึงเกิดขึ้น นำมาซึ่งความบาดหมางและความป่าเถื่อนที่ไม่อาจรับไหว
มู่หลันไม่อาจทนดูแผ่นดินที่ตนถือกำเนิดขึ้นมาเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิงอันเกิดจากความโลภที่ไร้จุดสิ้นสุดของเหล่าเทพ มาร ปีศาจและมนุษย์ได้อีกต่อไป เมื่อการณ์มีทีท่าว่าจะเลวร้ายลงเรื่อยๆ นางจึงกระโจนขึ้นไปกลางอากาศ เรียกเสวียนปิง กระบี่เทพระดับสูงสุดอันมีคุณสมบัติธาตุรวมศูนย์ของตนออกมา เมื่อกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ปรากฏขึ้นในมือ นางตั้งสมาธิแน่วแน่เพื่อดึงปราณวิญญาณทั้งหมดในดินแดนโบราณให้มารวมกันที่กระบี่ จากนั้นจึงรวบรวมพลังของตนทั้งหมดส่งกระบี่เสวียนปิงลงไปที่พื้นธรณี เมื่อปลายกระบี่จรดพื้นดิน เกิดแสงสว่างวาบขึ้นไปทั่วทุกทิศ ธรณีแยกออก ดูดกลืนทุกสรรพชีวิตผู้ก่อความบาดหมาง จบสิ้นสงครามระหว่างสี่เผ่าพันธุ์พร้อมทั้งยังแบ่งดินแดนโบราณออกเป็นสี่ส่วนแยกกันคือดินแดนสวรรค์ ดินแดนปีศาจ ดินแดนมาร และดินแดนมนุษย์ อันเป็นผลให้ประวัติศาสตร์ถูกจารึกใหม่นับแต่บัดนั้น หากแต่ในบันทึกเหล่านั้นกลับไม่ปรากฏเรื่องราวว่าหลังจากสงครามสิ้นสุดลง เกิดสิ่งใดขึ้นกับเทพบรรพกาลผู้แยกธรณีโบราณ อีกทั้งยังไม่มีผู้ใดพบเห็นป่าเหมันต์และเก้าราชันย์แห่งสัตว์เวทย์มาอีกนานแสนนาน
“พวกเจ้าไม่เบื่อกันหรอกหรือ ตอนนี้ก็บรรลุเป็นสัตว์เทพกันแล้วไยไม่ออกไปข้างนอกกันบ้างเล่า ไปเปิดหูเปิดตากันเสียบ้างว่าตอนนี้โลกภายนอกเป็นเช่นไร” มู่หลันเอ่ยปากกล่าวกับเหล่าสัตว์เวทย์ในขณะที่ทั้งหมดกำลังพักจากการประลองกำลังกันในยามเว่ย* ของวันหนึ่ง
“เหตุใดพวกข้าต้องสนใจผู้อื่นด้วยเล่าเจ้าคะ พวกข้าอยู่กับท่านที่นี่ก็สุขสบายดีเจ้าค่ะ” จิ้งจอกขาวเหม่ยหยวนตอบกลับนายหญิงของตน
“เหม่ยหยวนกล่าวไม่ผิด อีกประการคือพวกข้าเองก็ไม่ต้องการเข้าไปเกี่ยวข้องกับผู้อื่นขอรับ” ไห่หยางกิเลนหนุ่มเอ่ยสำทับสหาย
“และการเปิดผนึกป่าเหมันต์อาจจะเป็นการก่อความละโมบให้กับพวกเขาเหล่านั้นได้นะขอรับ” ราชันย์อินทรีหวางซู่เป็นผู้กล่าวต่อ
“ที่เจ้ากล่าวก็ไม่ผิด แล้วถ้าพวกเราไม่ได้ออกไปในฐานะของเทพบรรพกาลและสัตว์เวทย์โบราณแห่งป่าเหมันต์เล่า” สตรีผู้สวมอาภรณ์สีแดงฉานกล่าวเจ้าเล่ห์
“นายหญิง ที่แท้ก็เป็นท่านที่อยากออกไปหรอกหรือขอรับ” หมีป่าโหย่วสงเอ่ยถามนายหญิงของตน
“เสี่ยวสง ข้าเองก็ถือกำเนิดขึ้นมาหลายแสนปีแล้ว แต่ก็ไม่เคยย่างกรายออกไปจากป่าสวรรค์แห่งนี้เลย เมื่อมีสรรพสัตว์อื่นเกิดขึ้นมา ข้าย่อมต้องอยากรู้ว่าข้างนอกนั่นมีความเป็นไปเช่นใดบ้าง หากมีประโยชน์ ในกาลหน้าจักได้ใช้งานได้.....” หญิงสาวเจ้าผู้มีปานแดงรูปดอกไม้สวรรค์กล่าวตอบพลางหยุดคำที่ท้ายประโยค
“...แต่หากไร้ประโยชน์ จักได้ทำลายได้ทันท่วงทีหรือขอรับ” เหย่หูพยัคฆาเอ่ยต่อราวรับรู้ความคิดของสตรีผู้เป็นนาย
“ฮ่าฮ่าฮ่า เสี่ยวหูเห็นข้าโหดร้ายปานนั้นเชียวหรือ” เทพบรรพกาลกล่าวถามพยัคฆ์หนุ่มทีเล่นทีจริง
“เจ้าค่ะ / ขอรับ” หากแต่คำตอบที่ได้รับกลับมาจากราชันย์สัตว์เวทย์ทั้งเก้าก็พาให้เสียงหัวเราะของสตรีผู้มีรูปโฉมงามเป็นหนึ่งหยุดลงอย่างฉับพลันพลางรีบกล่าวแย้ง
“แม้ข้าจะถือกำเนิดก่อนพวกเจ้าและพวกเขาก็หาได้หมายความว่าข้าต้องรับบัญชาในการพิทักษ์ดินแดนให้มีแต่ความสงบสุขเสียหน่อย”
หนึ่งชั่วยามให้หลังหนึ่งนายหญิงและเก้าสัตว์เวทย์ก็ได้มาเยือนดินแดนภายนอกป่าสวรรค์ ในเวลานี้สตรีผู้เป็นนายและสองสัตว์เวทย์คือจู้หลงและเฟิ่งหวงกำลังยืนอยู่หน้าโรงเตี๊ยมเฟยชุ่ยลู่ ในขณะที่สัตว์เวทย์อีกเจ็ดตนรับคำสั่งจากนายหญิงของพวกมันแยกย้ายไปสังเกตการณ์ในที่ต่างๆ ของแผ่นดินที่กว้างใหญ่ผืนนี้ สำหรับเฟยชูลู่ เป็นโรงเตี๊ยมที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของดินแดนโบราณ เทพบรรพกาลปรากฏกายในร่างของสตรีที่มีรูปโฉมงดงามเฉกเช่นปกติ หากแต่ปานแดงรูปดอกมู่หลันที่เคยปรากฏกลางหน้าผากบัดนี้กลับเลือนหายไป นางสวมอาภรณ์สีแดงเลือดนกเช่นเคย และปกปิดใบหน้าของตนด้วยผ้าโปร่งสีขาว
“นายหญิง ข้าได้ยินว่าหากต้องการรู้ความเป็นไปใดในดินแดน ที่นี่เป็นสถานที่อันดับหนึ่งที่ผู้คนจากทุกเผ่าพันธุ์จะเข้ามาแลกเปลี่ยนข่าวสารกันตลอดปีเจ้าค่ะ” เฟิ่งหวงบอกเล่าสิ่งที่ตนได้รับรู้มาแก่ผู้เป็นนาย
“เข้าไปกันเถิด” สตรีชุดแดงกล่าวพลางก้าวนำเข้าสู่เฟยชุ่ยลู่
“เชิญคุณหนู ที่ด้านบนยังมีโต๊ะที่จัดไว้ในมุมที่ดีที่สุดของร้านเหลืออยู่ขอรับ” เมื่อเห็นสตรีที่มองเพียงครู่เดียวก็รู้ว่าไม่สามัญ อีกทั้งยังมีบ่าวชายหญิงที่น่าเกรงขามติดตามใกล้ชิด จึงคิดเอาไว้ก่อนว่าจักต้องเป็นคุณหนูของตระกูลเศรษฐีสักตระกูลของบ้านเมืองเป็นแน่ เพื่อหลีกเลี่ยงความบาดหมางที่อาจเกิดขึ้น เสี่ยวเอ้อร์ผู้มากประสบการณ์จึงรีบกล่าวเชิญและนำหนึ่งเทพและสองราชันย์แห่งสัตว์เวทย์ขึ้นสู่ชั้นสองของโรงเตี๊ยมอันดับต้นๆ แห่งนี้
เมื่อพาแขกมาส่งถึงโต๊ะและรับรายการอาหารเรียบร้อยแล้ว เสี่ยวเอ้อร์จึงรีบขอตัวออกไปและนำอาหารมาจัดขึ้นโต๊ะในเวลาเพียงแค่ครึ่งก้านธูป
“นั่งลงแล้วทานด้วยกันเถิด แม้จะอิ่มทิพย์แต่ลองอาหารของพวกเขาดูก็ไม่แย่อะไรนัก” มู่หลันกล่าวกับสองสัตว์เวทย์ ด้วยนางไม่เคยแบ่งแยกความเป็นนายบ่าว
“ขอบคุณนายหญิง” หนึ่งมังกรหนึ่งหงส์กล่าวพร้อมกันและนั่งลงตรงข้ามกับนายหญิงของตน
ในขณะที่กำลังลิ้มรสอาหารของเหล่ามนุษย์ หนึ่งเทพสองสัตว์เวทย์ก็ฟังการสนทนาของแขกคนอื่นๆ ไปด้วย แม้จะนั่งห่างไกลกันเพียงใด ด้วยเขตขั้นพลังของทั้งสามการสืบเรื่องราวความเป็นไปจากผู้อื่นด้วยวิธีการนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องยากเย็นอันใด กว่าครึ่งชั่วยามที่พวกนางนั่งฟังการสนทนาของผู้อื่น มีเรื่องราวใหม่มากมายที่พวกนางเพิ่งรับรู้
“ฟางฟาง ข้าได้ยินว่าปีนี้คุณชายตู้เหวินจะเข้าร่วมการประลองยุทธในเทศกาลผิงจิ้ง เป็นความจริงหรือไม่” เสียงหญิงสาวผู้หนึ่งเอ่ยถามหญิงสาวอีกคนที่นั่งร่วมโต๊ะ
“เป็นความจริง พี่ใหญ่รอเวลานี้และเตรียมตัวมาหลายปี” หญิงสาวนามว่าฟางฟางตอบกลับ
คำว่าเทศกาลผิงจิ้งได้ดึงดูดความสนใจของเทพบรรพกาลชุดแดงเป็นอย่างมาก เมื่อการสนทนาจบลงนางก็ได้รู้ว่าเทศกาลผิงจิ้งเกิดขึ้นครั้งแรกจากความร่วมมือกันระหว่างผู้นำของสี่เผ่าพันธุ์เพื่อแสดงถึงความเป็นพันธมิตรและอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข เทศกาลนี้จะเกิดขึ้นในทุกๆ หนึ่งร้อยปี แต่ละครั้งกินเวลาสิบวันสิบคืน ผู้คนต่างรอคอยเนื่องจากในงานจะมีการประลองยุทธระหว่างเผ่าพันธุ์ในช่วงกลางวัน ในช่วงกลางคืนจะมีการลอยโคมไฟ อีกทั้งยังมีร้านรวงเปิดขายสินค้ามากมายตลอดทั้งวันและคืน และเพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลผิงจิ้งครั้งที่หนึ่งพัน นายหญิงแห่งตำหนักมู่หลันบรรพกาลจึงได้คลายกำบังป่าเหมันต์และปรากฏกายขึ้นท่ามกลางความตื่นรู้ของทุกเผ่าพันธุ์ ทุกผู้คนทั่วดินแดนโบราณต่างรอคอยที่จะยลโฉมเทพมู่หลันแห่งป่าเหมันต์ด้วยนางเป็นเทพบรรพกาลที่นับได้ว่าลี้ลับยิ่ง อีกทั้งยังเลื่องชื่อในด้านวิชาเวทย์และวิชายุทธิ์ ยิ่งไปกว่านั้นทุกคนต่างมีความหวังว่าจะได้ก้าวขาเข้าไปในป่าหิมะสวรรค์ สถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยไอวิญญาณและปราณชีวิตซึ่งจะช่วยส่งเสริมพลังชีวิตของสรรพสัตว์ อีกทั้งยังเป็นประโยชน์ต่อการเดินพลังยุทธิ์ของเหล่าผู้ฝึกตน ความตื่นเต้นยิ่งทวีมากขึ้นไปเมื่อนางประกาศว่าจักให้ใช้ลานประลองของนางเป็นลานประลองยุทธของเทศกาลประจำปีนี้ โดยผู้ชนะจะได้รับใบมู่หลันแดงที่มากไปด้วยคุณประโยชน์นานับประการเป็นรางวัล
แม้นว่าเทพบรรพกาลจักเปิดป่าเหมันต์ แต่นางก็กำหนดให้เฉพาะผู้เข้าร่วมการประลองเท่านั้นที่มีสิทธิ์เยือนป่าสวรรค์และจะต้องอยู่แต่ภายในหุบเขาการประลองเท่านั้นพร้อมทั้งให้คำเตือนว่าพวกเขาจะไม่อาจรักษาชีวิตเอาไว้ได้หากก้าวขาสู่ส่วนอื่นของป่าสวรรค์ด้วยความหนาวเย็นจะทำให้พวกเขาถูกแช่แข็งไว้ท่ามกลางหิมะ เมื่อวันประลองวันแรกมาถึง ทุกคนต่างพร้อมหน้ากันปรากฏกายที่ทางเข้าป่าเหมันต์ และจะถูกเคลื่อนย้ายไปสู่หุบเขาฝั่งตะวันออกด้วยวิชาเวทย์ระดับสูงของนาง
สิบวันของการประลองผ่านพ้นไปเพียงชั่วพริบตาเดียว และผู้ชนะการประลองที่จะได้รับใบมู่หลันแดงจากเทพบรรพกาลคือคุณชายแซ่หลี่ นามว่าเฉิน หลี่เฉินเป็นคุณชายเผ่ามนุษย์ที่ความสามารถนับว่าเทียบเซียนสวรรค์ด้วยเขาใช้เวลากว่าหมื่นปีฝึกตนเพื่อเป็นหนึ่งในยุทธภพ และในที่สุดบุรุษระดับเซียนขั้นสอง ผู้สังกัดธาตุไฟและไม้ก็ได้เป็นผู้มีชัยเหนือการประลองสี่เผ่าพันธุ์โดยปราศจากความตระหนักรู้ว่าการครอบครองใบมู่หลันแดงครานี้อาจนำเขาไปสู่ความยากลำบากในวันหน้า
สองเดือนให้หลังสิ้นสุดเทศกาลผิงจิ้ง ทั่วทั้งดินแดนต่างได้รับข่าวที่น่าหดหู่คือการตายของหลี่เฉิน คุณชายระดับเซียนผู้นี้ถูกสังหารด้วยความโหดเหี้ยมและใบมู่หลันแดงที่เขาครอบครองก็ถูกขโมยไปเช่นกัน ทุกคนต่างคาดการณ์กันไปว่าใครเป็นผู้ลงมือครั้งนี้จนในที่สุดก็นำไปสู่ความบาดหมางระหว่างสี่เผ่าพันธุ์ ต่างฝ่ายต่างกล่าวหากันและยืนกรานว่าพืชวิเศษควรตกเป็นของตน เผ่ามนุษย์กล่าวว่าเพราะหลี่เฉินเป็นมนุษย์เพราะฉะนั้นใบมู่หลันแดงก็ควรต้องเป็นของเผ่ามนุษย์ ในขณะที่เผ่ามารก็กล่าวว่าคนของตนเป็นที่สองในการประลอง ถ้าหากสิ้นที่หนึ่งไปแล้ว รางวัลก็ควรต้องตกเป็นของเผ่าตน เผ่าปีศาจก็รีบยับยั้ง กล่าวว่าเผ่ามารจิตใจชั่วร้ายไม่ควรครอบครองพืชวิเศษนี้ เผ่าสวรรค์ก็ไม่ยอมน้อยหน้า กล่าวว่าใบมู่หลันแดงแต่เดิมก็เป็นของสวรรค์ เพราะฉะนั้นเมื่อไร้เจ้าของก็ควรกลับสู่เผ่าสวรรค์
เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมและหาข้อยุติ ผู้นำสี่เผ่าจึงตัดสินใจเยือนป่าเหมันต์เพื่อขอเข้าพบเทพบรรพกาล แม้ไม่มีผู้ใดรู้ว่าใครเป็นผู้ลงมือเหี้ยมโหดสังหารผู้ชนะการประลองในเทศกาลที่เกิดขึ้นในรอบร้อยปีและขโมยใบมู่หลันแดงไป หากแต่ผู้เป็นเจ้าของที่แท้จริงและมีไอวิญญาณของพืชวิเศษในกายย่อมเป็นข้อยกเว้น
“ข้าไม่ควรคิดว่าพวกเจ้าผู้มีจิตใจอันแสนโสมมจะวางตนเป็นเซียนและผู้บำเพ็ญยุทธที่สูงส่งได้ตั้งแต่แรก” มู่หลันกล่าวกับตนเองเสียงเบา หากแต่ทุกผู้คนกลับได้ยินเสียงหวานที่เต็มไปด้วยความเย็นชาอย่างชัดเจน ฉับพลันนั้นบรรยากาศรอบกายของเหล่าผู้มาเยือนก็เยือกเย็นขึ้นปานถูกฝังอยู่ใต้ภูเขาหิมะกองโต
“ราชาแห่งเผ่าสวรรค์ ข้าขอสั่งให้ท่านส่งตัวผู้กระทำความผิดให้กับเผ่ามนุษย์และส่งใบมู่หลันแดงคืนสู่ป่าเหมันต์โดยเร็วที่สุด และขอให้ท่านจงรู้ไว้ว่าทั้งตัวข้าและป่าเหมันต์หาได้สังกัดเผ่าสวรรค์ เผ่าสวรรค์ต่างหากที่อยู่ใต้อาณัติของข้า” สตรีเจ้าของตำหนักกลางเหมันต์กล่าวเสียงเย็นเมื่อรับรู้ว่าพืชวิเศษจากป่าหิมะตอนนี้ตกอยู่ภายใต้การครอบครองของเผ่าสวรรค์ เมื่อกล่าวจบจึงใช้เวทย์ย่นระยะทางเคลื่อนย้ายพวกเขาทั้งหมดกลับไปสู่เบื้องนอก
แม้จะได้รับคำสั่งจากเทพบรรพกาลให้รีบส่งคืนใบมู่หลันแดง เผ่าสวรรค์กลับหยิ่งผยองไม่ปฏิบัติตาม อีกทั้งยังไม่ส่งตัวนักโทษให้กับเผ่ามนุษย์ เมื่อเผ่าสวรรค์เหิมเกริม อีกสามเผ่าย่อมไม่ไว้หน้า พันธมิตรแสนปีแล้วอย่างไร เมื่อถูกหยามศักดิ์ศรีย่อมไม่อาจทนได้ ในท้ายที่สุดสงครามระหว่างเผ่าสวรรค์ มนุษย์ มาร และปีศาจจึงเกิดขึ้น นำมาซึ่งความบาดหมางและความป่าเถื่อนที่ไม่อาจรับไหว
มู่หลันไม่อาจทนดูแผ่นดินที่ตนถือกำเนิดขึ้นมาเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิงอันเกิดจากความโลภที่ไร้จุดสิ้นสุดของเหล่าเทพ มาร ปีศาจและมนุษย์ได้อีกต่อไป เมื่อการณ์มีทีท่าว่าจะเลวร้ายลงเรื่อยๆ นางจึงกระโจนขึ้นไปกลางอากาศ เรียกเสวียนปิง กระบี่เทพระดับสูงสุดอันมีคุณสมบัติธาตุรวมศูนย์ของตนออกมา เมื่อกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ปรากฏขึ้นในมือ นางตั้งสมาธิแน่วแน่เพื่อดึงปราณวิญญาณทั้งหมดในดินแดนโบราณให้มารวมกันที่กระบี่ จากนั้นจึงรวบรวมพลังของตนทั้งหมดส่งกระบี่เสวียนปิงลงไปที่พื้นธรณี เมื่อปลายกระบี่จรดพื้นดิน เกิดแสงสว่างวาบขึ้นไปทั่วทุกทิศ ธรณีแยกออก ดูดกลืนทุกสรรพชีวิตผู้ก่อความบาดหมาง จบสิ้นสงครามระหว่างสี่เผ่าพันธุ์พร้อมทั้งยังแบ่งดินแดนโบราณออกเป็นสี่ส่วนแยกกันคือดินแดนสวรรค์ ดินแดนปีศาจ ดินแดนมาร และดินแดนมนุษย์ อันเป็นผลให้ประวัติศาสตร์ถูกจารึกใหม่นับแต่บัดนั้น หากแต่ในบันทึกเหล่านั้นกลับไม่ปรากฏเรื่องราวว่าหลังจากสงครามสิ้นสุดลง เกิดสิ่งใดขึ้นกับเทพบรรพกาลผู้แยกธรณีโบราณ อีกทั้งยังไม่มีผู้ใดพบเห็นป่าเหมันต์และเก้าราชันย์แห่งสัตว์เวทย์มาอีกนานแสนนาน
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ