มู่หลันกลางเหมันต์

-

เขียนโดย ลิ่วเม่ย

วันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2563 เวลา 22.40 น.

  6 ตอน
  1 วิจารณ์
  5,958 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2563 22.43 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) บทนำ ป่าเหมันต์

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

หลายล้านปีก่อนที่มนุษย์และสรรพสัตว์จะถือกำเนิดขึ้น ปรากฏเพียงดินแดนโบราณผืนหนึ่งที่กว้างใหญ่ไพศาลครอบคลุมผืนฟ้า พื้นดิน และมหาสมุทร ท่ามกลางธรรมชาติที่สุขสมบูรณ์เหล่านั้น ป่าเหมันต์นับว่าเป็นจุดแรกเริ่มที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณและปราณชีวิต ป่าแห่งนี้เปรียบเสมือนแผ่นดินขนาดย่อมที่ล้อมรอบด้วยหุบเขาหลายพันลูกและแม่น้ำหลายร้อยสาย อีกทั้งยังปรากฏความพิลึกพิลั่นอีกประการคือตลอดทั้งปีถูกปกคลุมด้วยหิมะและความหนาวเหน็บเนื่องจากมีธาตุน้ำแข็งหนาแน่น หากแต่ภายใต้ผืนดินกลับเป็นจุดกำเนิดปราณธาตุไฟ น้ำ ลม ทอง หิน ไม้ แสง และความมืด กล่าวได้ว่าป่าเหมันต์เป็นจุดศูนย์กลางที่รวมเก้าธาตุก่อกำเนิดเอาไว้ และด้วยคุณลักษณะเหล่านี้ทำให้มันกลายเป็นสถานที่แห่งเดียวที่พบมู่หลันแดง พืชหายากที่มีคุณสมบัติวิเศษมากมายทั้งมอบชีวิต ความอ่อนเยาว์ และความอมตะ นอกจากนี้ไอวิเศษจากมู่หลันแดงนับล้านต้นยังเป็นต้นกำเนิดของหนึ่งในเทพบรรพกาลแห่งแดนสวรรค์เช่นกัน

ในช่วงหนึ่งของสภาวะที่ไร้ซึ่งกาลเวลาแน่ชัด ท่ามกลางความเหน็บหนาวและฝนฟ้าคะนอง ไอวิเศษแห่งมู่หลันแดงทั่วทั้งหุบเขาได้แผ่กระจายออกและไปกระจุกตัวรวมกันอย่างหนาแน่นที่บริเวณศูนย์กลางของป่าหิมะแห่งนี้ เวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าใดไม่มีผู้ใดทราบ ไอวิเศษที่เต็มไปด้วยปราณชีวิตเหล่านั้นก็ได้ก่อตัวเป็นหญิงสาวผู้หนึ่งที่มีใบหน้างดงาม เส้นผมดำขลับที่ยาวสยายเลยบั้นท้ายลงไป ผิวเนียนละเอียดหมดจด และบริเวณกลางหน้าผากปรากฏปานแดงลักษณะเช่นดอกมู่หลัน คล้ายว่าตระหนักรู้ถึงการกำเนิดและพลังวิญญาณของตน หญิงสาวผู้นั้นได้ตอบรับพลังแห่งธรรมชาติโดยบันดาลตำหนักมู่หลันสวรรค์ขึ้นที่กลางหัวใจแห่งป่าเหมันต์

ในแต่ละวัน นายหญิงแห่งตำหนักมู่หลันสวรรค์ใช้เวลาไปกับการฝึกตนทั้งพลังปราณและอาวุธ รวมทั้งเวทย์โอสถและเวทย์อักขระ สี่หมื่นปีผ่านไปนางกลายเป็นผู้สำเร็จหมื่นวิชาเวทย์พันกระบวนยุทธิ์และยังเป็นเลิศในการหลอมรวมธาตุก่อกำเนิดทั้งเก้าทั้งน้ำแข็ง ไฟ น้ำ ลม ทอง หิน ไม้ แสง และความมืดด้วยนางถือกำเนิดขึ้นมาจากเก้าปราณธาตุรวมศูนย์ เพราะฉะนั้นสำหรับหญิงสาวเจ้าของตำหนักสวรรค์ผู้นี้แล้วนางจะสามารถหยิบยืมปราณธาตุที่ปรากฏทั่วทั้งดินแดนได้ทุกเมื่อยามต้องการ และด้วยอานุภาพของไอปราณแห่งมู่หลันแดงอันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต นางยังคงอ่อนเยาว์และงามสง่าเฉกเช่นครั้งที่ถือกำเนิดขึ้นมา หากเป็นผู้อื่นแล้วการมีตำหนิบนร่างกายยิ่งที่ใบหน้าย่อมไม่ใช่เรื่องพึงประสงค์และอาจถูกมองว่าน่ารังเกียจเสียด้วยซ้ำ แต่เมื่อเป็นนางแล้วเรื่องราวกลับพลิกด้านเนื่องจากปานแดงรูปดอกมู่หลันที่กลางหน้าผากดูแล้วยิ่งส่องประกายเป็นเอกลักษณ์ที่งดงาม

กลางราตรีหนึ่งที่เงียบสงัด นางนั่งกระสับกระส่ายบนแท่นฝึกด้วยปราณธาตุทั้งเก้าในร่างกายส่งสัญญาณว่าจะมีสิ่งสำคัญเกิดขึ้นในค่ำคืนนี้ เมื่อไม่อาจอดทนต่ออาการร้อนรนในอกได้ จึงใช้เวทย์ย่นระยะทางก้าวไปสู่ศูนย์กลางของป่าหิมะ เพียงชั่วพริบตาเดียวนางก็จากฝั่งตะวันออกมายืนอยู่หน้าตำหนักมู่หลันบรรพกาล เมื่อธรรมชาติรับรู้การมาถึงของนางก็บันดาลให้เกิดความมหัศจรรย์ด้วยการให้กำเนิดสัตว์เวทย์ทั้งเก้าซึ่งจะเป็นราชาแห่งสัตว์เวทย์ทั้งปวง แผ่นดินรอบทิศของป่าเหมันต์เกิดรอยแยก ปราณธาตุทั้งเก้าสายไหลเวียนเคลื่อนผ่านรอยแยกนั้นไปรวมกันเหนือแหล่งรวมศูนย์ของธาตุโบราณ เวลาผ่านไปครึ่งเค่อธาตุน้ำแข็งได้ก่อกำเนิดมังกรหิมะ ธาตุไฟก่อกำเนิดหงส์เพลิง ธาตุน้ำก่อกำเนิดกิเลนผยอง ธาตุลมก่อกำเนิดอินทรีทอง ธาตุทองก่อกำเนิดพยัคฒา ธาตุหินก่อกำเนิดหมาป่าภูเขา ธาตุไม้ก่อกำเนิดหมีใหญ่ ธาตุแสงก่อกำเนิดจิ้งจอกขาว และธาตุความมืดก่อกำเนิดอสรพิษดำทมิฬ เก้าสัตว์เวทย์ถือกำเนิดในร่างแท้จริงก่อนที่จะเปลี่ยนสู่ร่างมนุษย์ เมื่อสัตว์เวทย์ในร่างมนุษย์เหล่านั้นพบว่าที่ศูนย์กลางของพวกมันปรากฏหญิงสาวที่มีกลิ่นอายของไอวิญญาณแห่งมู่หลันแดงก็คุกเข่าลงแล้วกล่าวพร้อมกัน

“นายหญิง” หลังจากที่กล่าวจบมนุษย์ชายหญิงทั้งเก้าก็ได้สละโลหิตของตนหนึ่งแต้มใหญ่ในขณะที่ฟากของหญิงสาวผู้สวมอาภรณ์สีแดงก็กระทำเช่นเดียวกัน การกระทำนี้เรียกว่าการก่อพันธะผูกพัน

“ลุกขึ้นเถิด” หญิงสาวเจ้าของปานรูปดอกมู่หลันกล่าวขึ้นภายหลังการทำพันธะเสร็จสิ้น

“ขอรับ / เจ้าค่ะ” เก้าสัตว์เวทย์ตอบรับและลุกขึ้นยืน ในเวลานี้หญิงสาวได้พิศดูร่างมนุษย์ทั้งเก้าตนก็พบว่าสัตว์เวทย์ทั้งเก้าของนางนั้นผู้เป็นบุรุษก็หล่อเหลาผู้เป็นสตรีก็งดงามหาใครเทียบ

“พวกเจ้ามีนามว่าอย่างไรกันบ้าง” ผู้เป็นนายเอ่ยถาม

“พวกข้าหาได้มีชื่อเรียกขานไม่ ขอนายหญิงช่วยคิดหาให้ด้วยขอรับ” เหล่าสัตว์เวทย์นิ่งเงียบไปเล็กน้อยก่อนที่ร่างมนุษย์ของมังกรหิมะจะกล่าวขึ้น

“ถ้าเช่นนั้น มังกรหิมะเจ้ามีนามว่าจู้หลง หงส์เพลิงคือเฟิ่งหวง กิเลนให้ชื่อไห่หยาง อินทรีเรียกหวางซู่ พยัคฆาคือเหย่หู หมาป่าให้นามเสวหลาง หมีใหญ่ชื่อว่าโหย่วสง จิ้งจอกขาวคือเหม่ยหยวน อสรพิษนามหม่างเสอ”

“ขอบคุณนายหญิง” เก้าสัตว์เวทย์กล่าวขอบคุณนายหญิงหลังจากได้นามของทุกตนเรียบร้อยแล้ว

หลังจากพานพบกัน หนึ่งสตรีเก้าสัตว์เวทย์ใช้ชีวิตร่วมกันในป่าเหมันต์ โดยผู้เป็นนายอาศัยอยู่ที่ตำหนักหลักอันเป็นศูนย์กลาง ในขณะที่สัตว์เวทย์ทั้งเก้าต่างแยกกันไปอาศัยอยู่รอบป่าหิมะตามจุดที่ปราณธาตุของตนหนาแน่นที่สุด แม้จะมีพันธะผูกพันกันไว้ นายหญิงแห่งป่าเหมันต์ได้ให้อิสระกับสัตว์เวทย์ทุกตนในการใช้ชีวิตของตน ให้กลับมาเมื่อเรียกหา หากแต่เหล่าสัตว์เวทย์กลับต้องการที่จะอยู่ข้างๆ นายหญิง กล่าวได้ว่าทุกชีวิตในป่าแห่งนี้หาได้เป็นเพียงนายบ่าวหรือเพื่อนร่วมแผ่นดิน แต่เป็นครอบครัวของกันและกัน แม้ว่าพวกมันจะถือกำเนิดขึ้นมาพร้อมกับปราณธาตุที่กล้าแข็งแต่ก็ยังจำเป็นต้องฝึกฝนในการใช้พลังเหล่านั้นออกไป ด้วยเหตุนี้ผู้เป็นนายจึงจัดให้มีการประลองฝีมือระหว่างกันทุกๆ สามวันเพื่อตรวจสอบและกระตุ้นความก้าวหน้าของเหล่าสัตว์เวทย์ ในกลุ่มพวกมันผู้ที่มีพัฒนาการมากที่สุดคือจู้หลงและเฟิ่งหวง มังกรหนุ่มและหงส์สาว เพราะฉะนั้นในการประลองครานี้ทั้งสองตนจำต้องประลองกำลังกันและแน่นอนว่าการประลองครั้งนี้ย่อมเป็นที่ตั้งตารอของหนึ่งคนและเจ็ดสัตว์เวทย์ที่เหลือด้วยน้ำแข็งกับไฟช่างเป็นการปะทะที่พาให้ใจคนหนาวเหน็บและรุ่มร้อนำปในคราเดียวกัน

เมื่อวันประลองมาถึง สมาชิกของป่าเหมันต์ต่างมารวมตัวกันบริเวณลานประลองฝั่งตะวันตกที่กินขนาดเท่าหุบเขาหกลูก บริเวณแห่งนี้มีความพิเศษคือมีเพียงไอวิญญาณแต่ปราศจากปราณธาตุทั้งปวงด้วยหญิงสาวเจ้าของปานแดงรูปดอกมู่หลันตระหนักได้ว่าหากการประลองเกิดขึ้นบนพื้นที่ซึ่งมีปราณธาตุอย่างหนึ่งหนาแน่นย่อมไม่เป็นธรรมต่อผู้เข้าประลองที่ไม่ได้สังกัดปราณธาตุนั้น อีกทั้งยังไม่อาจชี้ชัดได้ว่าผู้ประลองมีพัฒนาการขึ้นหรือไม่ นางจึงได้ดึงปราณธาตุออกไปและทำให้พื้นที่ตรงนี้เป็นลานประลองอย่างแท้จริง

เมื่อเหล่าสัตว์เวทย์เห็นนายหญิงของตนเดินเข้ามาจึงได้กล่าวคำนับ

“นายหญิง”

“หากมาพร้อมกันแล้วก็เริ่มกันเลยเถิด... จู้หลง เฟิ่งหวง ตั้งใจเข้าเล่า ข้าอยากรู้นักว่าวันนี้ป่าเหมันต์จะยังคงถูกปกคลุมไปด้วยหิมะหรือว่าข้าจะได้เห็นเพลิงแผดเผาไปทั่วทั้งหุบเขา” นางพยักหน้ารับคำทักทายแล้วจึงกล่าวสำทับกับหนึ่งมังกรหนึ่งหงส์เพลิงพลางหัวเราะร่าเริง

“เจ้าค่ะ ข้าจะทำให้ป่าเหมันต์กลายเป็นป่าคิมหันต์ให้ได้” เฟิ่งหวงตอบรับนายหญิงของตนอย่างหนักแน่น

“อย่าชะล่าใจมากไปนัก ถึงจะเป็นสตรีข้าก็ไม่อ่อนข้อให้เจ้าแน่” จู้หลงกล่าวทันทีหลังจบคำหงส์เพลิง

“พวกเจ้าดูสิ ยังไม่ทันเริ่มประลอง พวกนั้นก็ตีกันเสียแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า” หม่างเสอกล่าวกับสหายตนอื่นพลางขำขันอย่างสนุกสนาน หม่างเสอตนนี้เป็นอสรพิษดำที่เมื่ออยู่ในร่างมนุษย์ก็มีรูปร่างบึกบึนสูงใหญ่เฉกเช่นเมื่ออยู่ในร่างกำเนิด อีกทั้งยังคงลักษณะของความเจ้าเล่ห์ไว้บนใบหน้าตลอดเวลา

“เอาเถิด เริ่มเลยเถิด... จู้หลง เฟิ่งหวง ขึ้นสู่ลานประลอง” ผู้เป็นนายหญิงสั่ง เมื่อได้รับคำสั่งแล้ว สองสัตว์เวทย์คู่ประลองจึงได้ขึ้นสู่ลานประลองและเริ่มการตัดสินผู้เป็นหนึ่งของสัตว์เวทย์แห่งป่าเหมันต์

เมื่อสัญญาณให้เริ่มการประลองดังขึ้น ทั้งมังกรหนุ่มและหงส์สาวพุ่งเข้าใส่กันอย่างรวดเร็ว ต่างฝ่ายต่างผลัดกันรุกผลัดกันรับ เวลาผ่านไปกว่าสิบชั่วยามในที่สุดเฟิ่งหวงก็ได้โอกาสออกกระบวนท่าโจมตีอีกครั้ง นางออกปราณธาตุไฟโจมตีไปที่เบื้องหน้าของจู้หลง หากแต่มังกรหิมะหลบเลี่ยงได้ทันจึงไม่โดนลูกเพลิงเล่นงาน ในขณะเดียวกันมังกรหนุ่มก็ใช้ปราณธาตุน้ำแข็งของตนออกโดยบันดาลให้เกิดลิ่มน้ำแข็งหลายร้อยเล่ม อาวุธแหลมคมที่เต็มไปด้วยความหนาวเหน็บไม่ต่างจากไอเย็นของป่าเหมันต์เหล่านี้พุ่งตรงไปที่ร่างปราดเปรียวของเฟิ่งหวงในบัดดล ยากเกินกว่าจะหลบเลี่ยงได้ทั้งหมด ผ่านไปเพียงหนึ่งลมหายใจร่างของหงส์เพลิงก็เต็มไปด้วยลิ่มน้ำแข็งกว่าสิบเล่ม หงส์สาวผู้ครอบครองปรานธาตุไฟไม่อาจต้านความหนาวเหน็บได้ ร่างกายของนางทั้งภายในและภายนอกกำลังถูกแช่แข็ง นางไม่อาจเคลื่อนไหวตัวได้อีกต่อไป ทันใดนั้นสัตว์เวทย์ทุกตนก็ได้ยินเสียงของนายหญิงแห่งตำหนักมู่หลันสวรรค์

“สิ้นสุดการประลอง สัตว์เวทย์ผู้เป็นหนึ่งแห่งป่าเหมันต์ จู้หลง” หญิงสาวผู้สวมอาภรณ์สีแดงเลือดนกกล่าวขึ้นหลังการประลองจบลงและปรากฏผู้แพ้ชนะ เมื่อสิ้นสุดคำกล่าวนั้น นางจึงใช้พลังปราณดึงลิ่มน้ำแข็งออกจากร่างของเฟิ่งหวงพลางใช้เวทย์โอสถที่เต็มไปด้วยไอวิญญาณแห่งมู่หลันแดงเข้ารักษาบาดแผลของสองสัตว์เวทย์คู่ประลอง

“ยินดีด้วย!!!!” เหล่าสัตว์เวทย์รวมทั้งหงส์เพลิงคู่ประลองต่างกล่าวยินดีกับชัยชนะของมังกรหนุ่ม

เวลาผ่านไปนานนับแสนปี นอกจากพวกของหญิงสาวที่ใช้ชีวิตอยู่ในป่าเหมันต์แล้ว เทพเซียน มนุษย์ ปีศาจ และหมู่มารก็ได้ถือกำเนิดขึ้นในดินแดนโบราณเช่นกัน ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใดเมื่อมากคนย่อมต้องมากความ ป่าเหมันต์ที่เต็มไปด้วยไอวิญญาณและปราณชีวิตก็พลอยเป็นสถานที่ซึ่งทุกผู้คนต่างต้องการไปเยือน หากแต่ไม่อาจมีใครอาจเอื้อมเหยีบย่างเข้าไปได้ด้วยนายหญิงของที่แห่งนั้นไม่ต้องการให้เกิดการแก่งแย่งชุลมุนขึ้น นางจึงเร้นกายและกำบังป่าเหมันต์ให้พ้นจากสายตาของผู้คนนับแต่นั้น เมื่อไม่มีใครรู้ว่าหญิงสาวผู้นั้นมีนามว่าอย่างไร ชื่อของนางถูกเรียกขานตามชื่อของพืชวิเศษคือมู่หลัน กำเนิดเป็นเทพบรรพกาลมู่หลันแห่งป่าเหมันต์ ในขณะที่สัตว์เวทย์ทั้งเก้าได้รับการกล่าวขานในชื่อ สัตว์เวทย์โบราณแห่งแดนสวรรค์

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา