สถาบันลอยฟ้าแอตลาส

-

เขียนโดย Eraone

วันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เวลา 20.21 น.

  2 บท
  0 วิจารณ์
  3,245 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 20.36 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) ปีหนึ่งทานสเต็กหนึ่งจาน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

“หึๆ คุณน่าจะได้เห็นหน้าตัวเองนะ ตลกจังเลย เอาล่ะ อย่างแรกที่ผมจะบอกก็คือ ทางเราน่ะทราบข้อมูลของคุณมาตลอด เพราะประวัติของคุณน่าสนใจมาก โชคไม่ดีที่คุณเกิดและโตที่เทราล เลยไม่มีใครจะอาสาไปรับคุณ…แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดี แคปซูลแอตลาสเครื่องสุดท้ายยังใช้งานได้อยู่ คุณจึงมาที่นี่ได้สักที ยอมรับเลยว่าการบินเหนือน่านฟ้าเทราลไม่ได้อันตรายอย่างที่คิดไว้ ว่ามั้ย?” ประโยคหลังแมทธิวค่อนข้างจะติดตลกนิดนึง เวอร์จิลจึงได้แต่อธิบายว่าเขาหลับมาตลอดทาง

“ว้าว! ลืมไปซะสนิทเลยแฮะ แต่อย่างไรสิ่งที่ผมไม่ลืมเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับแคปซูลแอตลาส คือใครก็ตามที่ได้นั่งเครื่องนี้ รับประกัน 100% ว่าพลังของคุณจะตื่นแน่นอน ยินดีด้วยๆ” แมทธิวตบมือเบาๆ

“เอ่อ…คุณกำลังหมายถึงนี่เหรอครับ?” เวอร์จิลกำหมัดยื่นแขนขวาขึ้นมาบนโต๊ะ ลักษณะเหมือนแขนของเวก้าทุกประการ ผิวหนังดูคล้ายหินแข็งๆ แต่เรียบกินบริเวณถึงศอก หลังมือทั้งแผงลักษณะคล้ายพลังงานสีน้ำเงินอมม่วงฝังอยู่ แตกเป็นเส้นๆ ทั่วแขนด้านนอก เขาไม่อาจหยุดจับจ้องมันได้เลย

“ถูกต้อง! นั่นแหละคือพลังของคุณ เวอร์จิล พลังที่ทำให้ร่างกายของคุณเปลี่ยนแปลงอย่างนี้ เราเรียกมันว่าพลังสายเมตามอร์ฟอซิส (พลังร่างแปลง) จะเปลี่ยนโดยถาวรหรือไม่ก็แล้วแต่บุคคล แต่จากลักษณะแล้ว ของคุณเปลี่ยนโดยถาวรอย่างไม่ต้องสงสัย” แมทธิวชนหมัดกับเวอร์จิลทีนึงก่อนจะอธิบายเกี่ยวกับร่างกายที่เปลี่ยนไป

“ผมเกรงว่ามันจะเป็นการไม่ดี ถ้าแขนปีศาจของนักเรียนปี 1 จะไปทำให้ใครกลัวเข้า ที่แย่กว่านั้นคือคุณอาจโดนรุ่นพี่รังแกเอาได้ ฉะนั้นเราจะมาแปลงโฉมคุณให้ดูปกติเหมือนคนซะก่อน รอสักครู่นะครับ” ว่าจบแมทธิวก็วางฝ่ามือข้างหนึ่งลงบนโต๊ะ จอโฮโลแกรมปรากฏขึ้น

“เมลโล่ เอาเครื่องแบบนักเรียนปี 1 กับผ้าพันแผลขึ้นมาหาพ่อหน่อย มีเรื่องให้ช่วยน่ะ” แมทธิวสั่งคนที่ดูเหมือนเป็นลูกสาวของเขา สักพักหนึ่งจอก็แวบหายไป

“มาแล้วค่ะ!…” เมลโล่เปิดประตูเข้ามา ก็พบกับเวอร์จิลที่กำลังยืนหันหลังให้ เธอค่อนข้างใจไม่ดีเพราะเขาไม่ได้สวมเสื้อ แต่พอเวอร์จิลหันมาสบตา เมลโล่ก็แทบจะคุมอารมณ์ไม่อยู่ เพราะว่ากลัวแขนปีศาจของเขาที่เธอพึ่งเห็นด้วย และก็เสียอาการให้กับรูปร่างที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามอันคล่องแคล่วของเขาด้วย สองอารมณ์ตีกันจนเธอพูดอะไรไม่ออก ได้แต่เดินทำหน้าแปลกๆ ถือของเข้ามาช้าๆ ส่วนทางด้านเวอร์จิลก็ยังรู้สึกงงๆ อยู่ดี ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากสำหรับเขา เขาคิดทบทวนเหตุการณ์หลายอย่างจนไม่ได้สนใจความสวยน่ารักของเมลโล่เลย

“ไม่ต้องกลัวลูกรัก เขาจะไม่ทำอะไรลูกแน่นอนพ่อสัญญา ขอแนะนำให้รู้จักนะ นี่เวอร์จิล น้องใหม่ล่าสุดของแอตลาส และนั่นคือเมลโล่ ลูกสาวของผมเองครับ” แมทธิวปลอบประโลมลูกสาวพร้อมกับแนะนำทั้งคู่ให้รู้จักกัน เมลโล่ผ่อนอาการลงเล็กน้อย แต่ก็แค่เล็กน้อยเท่านั้น อารมณ์ทั้งสองยังไม่หยุดตีกัน

“…ค่ะพ่อ แล้ว…จะให้เอาของพวกนี้ไปทำอะไรกับเขาคะ?” เมลโล่พยายามคุมสติพูดให้เป็นประโยค ตอนนี้เธอเริ่มจะเอนเอียงไปทางเขินอายแล้ว เพราะตัวเธออยู่ห่างจากเวอร์จิลไม่ถึงเมตร รวมถึงมัดกล้ามเหล่านั้นที่ทำเอาเธอต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่

“อย่างที่เห็น แขนของเขาอาจจะส่งผลเสียต่อตัวเขาเองอ่ะนะ ถ้าปกปิดแขนนั่นไว้ก็จะดูเป็นคนปกติมากขึ้น รบกวนหน่อยนะเมลโล่ เพื่อตัวของเขาเอง” คนเป็นพ่อตบไหล่ลูกสาว เธอก็ทำแม้จะยังหวั่นไหวอยู่ สัมผัสบนแขนปีศาจแตกต่างจากแขนคนปกติ เธอพยายามหลีกเลี่ยงการสบตากับเวอร์จิล เพราะนั่นอาจจุดประกายอารมณ์ของเธอขึ้นมาได้อีก

“เยี่ยมเลย ทีนี้ก็เครื่องแบบ” แมทธิวพูดขึ้นพอเมลโล่พันแขนเสร็จแล้ว เวอร์จิลสวมเสื้อเครื่องแบบแขนยาวสีดำลงไป พอสวมเสื้อแล้วก็เหมือนวัยรุ่นอายุ 18 ธรรมดาๆ เมลโล่ดูจะไม่ใจสั่นหรือกลัวเขาแล้ว

“เอ่อ…แล้วนี่ล่ะครับ?” เวอร์จิลถกแขนเสื้อข้างซ้ายขึ้น เขามีรอยสักที่เรี่มจากหลังมือวนรอบๆ แขนทั้งท่อนแล้วไปบรรจบตรงต้นคอ

“อันนั้นไม่น่ามีปัญหา เอาไว้อย่างนั้นล่ะ เท่ดีแถมยังไม่ผิดกฎสถาบัน คุณลองถามความเห็นเมลโล่ดูก็ได้ถ้ายังไม่เชื่อ” แมทธิวพูดกวนประสาทลูกเล่นๆ เมลโล่ถึงกับหน้าแดง

“ฮือ พ่อนะพ่อ! หนูไม่ลงความเห็นอะไรทั้งนั้นแหละค่ะ แค่นี้ก็ใจแทบวายแล้ว ยังจะให้เดินเข้ามาใกล้เขาอีกเหรอคะ!” เธอตวาดและตีหน้างอนใส่จนแมทธิวหัวเราะลั่น เธองอนได้น่ารักดี ดูสมกับวัย

“ฮ่าๆๆ แต่ว่าถ้ายังไม่สบายใจเรื่องเนื้อหนังมังสา ก็เอานี่ไป หวังว่าจะช่วยได้นะ” แมทธิวเปิดลิ้นชักแล้วหยิบถุงมือสีดำคู่หนึ่งโยนให้เวอร์จิล เขาก็รับมันมาสวมไว้ทันที

“โอเค ลูกไปได้แล้ว เดี๋ยวลูกผู้ชายจะคุยกัน เรื่องผู้ชายๆ นั่นแหละ” เมลโล่สบตากับเวอร์จิลและยิ้มให้ก่อนจะเดินออกไป บุคลิกเธอดูแตกต่างไปตอนเขาสวมเครื่องแบบแล้ว

“เรื่องที่สอง เราจะพาคุณเข้าสู่การเป็นนักศึกษาผู้ใช้พลังอย่างเป็นทางการ ด้วยการกรอกเอกสารนิดๆ หน่อยๆ” แมทธิวใช้นิ้ววาดสี่เหลี่ยมบนโต๊ะ แผ่นใสๆ ก็เด้งออกมาให้แมทธิวรับไว้ได้ทัน เขาพูดชื่อของเวอร์จิลออกไป แต่ท่าทางเอกสารจะยังไม่มีปฏิกิริยา

“โอ้ คุณอาจจะไม่รู้ว่านามสกุลคืออะไร เอ…ผมรู้อยู่แต่เหมือนจะนึกไม่ออกแฮะ...งั้นเอาเอเรบัส …เวอร์จิล เอเรบัส...” ผอ. เงยหน้าครุ่นคิดก่อนจะได้ชื่อเต็มของเวอร์จิลสักที เอกสารมีเสียงออกมาว่ากรอกข้อมูลสำเร็จ แล้วก็ถูกโต๊ะดูดกลืนไป

“เข้าเรื่องสุดท้ายอย่างรวดเร็วนะคุณเวอร์จิล นี่สำคัญมากเพราะนอกจากคุณ ผมก็ไม่ได้บอกปี 1 คนไหนเลย ฟังผมให้ดี จุดอ่อนที่สุดของผู้ใช้พลังร่างแปลง คือการควบคุมพลัง พลังสายนี้อาศัยเวลาอย่างมากในการทำความเข้าใจรูปแบบของมัน ทางที่ปลอดภัยที่สุด คือออมแรงไว้ ใช้พลังให้น้อย และพลังจิตจะเป็นตัวขับเคลื่อนพลังปีศาจของคุณเอง ตอนนี้ผมคิดว่าคุณคงพร้อมแล้ว เมลโล่จะพาคุณไปที่พัก” แมทธิวยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนเวอร์จิลต้องทำตามบ้าง เขาพูดเสียงเบา ทำเหมือนว่านี่จะต้องเป็นความลับสุดยอด ว่าจบแมทธิวก็เชิญเขาออก

“รอเดี๋ยว! อีกอย่างนึง ผมเกรงว่าการใช้อาวุธของคุณจะเสี่ยงต่อการเสียการควบคุมพลัง ฉะนั้นเลือกดาบไปหนึ่งเล่ม ส่วนอีกเล่มผมจะเก็บไว้ เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมผมจะเป็นคนนำมาให้เอง กับมือผมเอง ไม่ว่าอยู่ที่ไหน และจงจำช่วงเวลาที่ผมคุยกับคุณให้ได้ นี่แหละเอกลักษณ์” แมทธิวร้องห้าม และพามาเลือกดาบ 1 ใน 2 เล่มของเวอร์จิล ชายหนุ่มเลือกดาบที่มีสีดำทั้งเล่มไปก่อน ส่วนดาบส่องประกายสีเงินให้แมทธิวเก็บไว้

 

*******

“ห้องนี้แหละจ้ะเวอร์จิล” เมลโล่ไขกุญแจเปิดห้องให้ มันเป็นห้องนอนทั่วๆ ไป แต่ในมุมมองของเวอร์จิลมันคือสิ่งมหัศจรรย์ที่สุดในชีวิต

“โห…นี่มันสุดยอดครับคุณเมลโล่ สุดยอดจนรู้สึกไม่คู่ควรกับมันเลย…” เวอร์จิลคอตก ดวงตาสีแดงเข้มดูเข้มขึ้นอีก เขาเอาแต่กล่าวว่าเขาไม่สมควรได้รับสิ่งดีๆ พวกนี้เลย

“อย่ากังวลเลย เธอแค่ต้องการพักผ่อน และเธอสมควรได้รับมันจ้ะ เดาว่าเธอยังไม่เคยมีห้องนอนดีๆ แบบนี้ตอนอยู่ที่เทราลแน่ สีหน้าเธอมันบอกน่ะ” เมลโล่ยืนพูดอยู่ตรงประตูขณะที่เวอร์จิลลงไปนั่งบนเตียง เทราลไม่ใช่ความทรงจำที่ดีสำหรับเขาเลย

“แล้วก็นี่จ้ะ เครื่องมือจำเป็นสำหรับนักศึกษา มันคือแอตลาสการ์ด ใบเดียวทำได้เกือบทุกอย่าง จะใช้งานก็เคาะการ์ด ลองถามดูก็ได้ว่าแอตลาสจะเปิดเทอมในอีกกี่วัน” เมลโล่ควักอุปกรณ์รูปทรงคล้ายบัตรเครดิตยื่นให้เวอร์จิล พอเคาะการ์ด การ์ดก็ให้บอกชื่อ

“เวอร์จิล เอเรบัส” การ์ดจึงตอบไปว่ามีอะไรจะถามหรือไม่ เขาก็ถามว่าแอตลาสจะเปิดเทอมในอีกกี่วัน

“ตามกำหนด แอตลาสจะเปิดเทอมในวันที่ 16 พฤษภาคมของทุกปี ถ้าไม่มีเหตุด่วนเหตุร้ายอะไร ขณะนี้เหลือเวลาอีกประมาณ 5 วันจึงจะเปิดเทอม มีคำถามอีกหรือไม่คะ?” เสียงในการ์ดเป็นเสียงผู้หญิง เธอตอบได้ชัดเจนตรงประเด็นดี

“ไม่มีแล้ว ขอบคุณ” การ์ดเลิกเปล่งแสง เขาจึงเก็บมันเข้ากระเป๋ากางเกง

“ฉันคิดว่าเธออาจต้องการเวลาส่วนตัว งั้นฉันขอตัวไปทำมื้อเย็นก่อนนะจ๊ะ เสร็จแล้วฉันจะเรียก ทำตัวตามสบายได้เลยจ้ะเวอร์จิล ที่นี่จะเป็นบ้านหลังใหม่ของเธอ” เมลโล่ยิ้มให้พร้อมโบกมือลา ประตูห้องของเวอร์จิลปิดอย่างแผ่วเบา ทุกอย่างเงียบไปพักนึง

เวอร์จิลทิ้งตัวลงกับเตียงนุ่มๆ พลางคิดไปว่าวันหนึ่งวันของเขาจะดีขนาดนี้เชียวหรือ ความปลอดภัย–นี่คือสิ่งที่เขากระเสือกกระสนหามันมาตลอด ตอนนี้เขาไม่ต้องระแวงพวกนักล่าค่าหัวอีกต่อไป ไม่ต้องระแวงกองทัพทหารที่ผ่านหน้าบ้าน ไม่ต้องนอนพื้นไม้เย็นเฉียบแต่แข็ง และที่ดีที่สุด คือการได้ดูดวงตะวันที่กลืนหายไปกับเส้นโค้งของขอบฟ้า วันนี้คงไม่มีใครมีความสุขไปกว่าเขาอีก

เขาถอดถุงมือ ดูมือทั้งสองของตัวเอง และยังรู้สึกประหลาดใจกับพลังใหม่ที่ตื่นขึ้น เขาไม่ได้กลัว แค่คิดว่ามันกระทันหันไปหน่อย แขนขวาที่ใช้ผ้าพันแผลพันทับก็ดูไม่มีอะไร แม้ปลายนิ้วทั้งห้าจะแหลมคมก็ตาม มีแสงส่องทะลุผ้าพันแผลออกมาเล็กน้อยแล้วก็ดับไป เหมือนกับมันต้องการจะบอกว่า สักวันเขาจะได้เปิดเผยแขนคู่นี้

ขณะกำลังนอนอยู่ เวอร์จิลได้ยินเสียงสัญญาณจากการ์ดสามครั้ง หยิบออกมาดูก็พบว่าเมลโล่ติดต่อมา คงจะให้ไปทานอาหาร เขาคิด แล้วก็เปิดประตูออกไปจากห้อง เดินออกมาจากบ้านหลังใหญ่ที่เขาอาศัยอยู่เพื่อไปยังบ้านที่ขนาดเท่ากันทุกกระเบียดนิ้ว ซึ่งเวอร์จิลคิดว่านี่อาจเป็นบ้านของเมลโล่เพราะอยู่ติดกันไม่ห่างไปมากกว่า 5 เมตร จึงไปมาหาสู่กันได้สบาย

“ไงจ๊ะเวอร์จิล วันนี้ฉันทำสเต็กให้จ้า ปกติฉันไม่ค่อยทานเนื้อสัตว์…ก็เลยเปิดสูตรทำตาม ครั้งแรกน่ะ หวังว่าจะชอบนะ” เมลโล่นั่งรออยู่ที่โต๊ะ และยิ้มแย้มเหมือนเคย มื้อเย็นของเวอร์จิลเป็นเนื้อชิ้นใหญ่หั่นพอดีคำและย่างจนสุกหอม พร้อมซอสเนื้อสีน้ำตาลอ่อนราดทับ เขาหยิบเข้าปากชิ้นนึง

“เอ่อ…โอเคมั้ยจ๊ะ?”

“ไม่ครับ ไม่เป็นไร มันอร่อยที่สุดในชีวิตผม ผมขอบคุณมาก” เวอร์จิลหยุดกินไม่ได้หลังจากชิ้นแรก เขาถึงกับน้ำตาไหลออกมาข้างหนึ่งขณะที่ดวงตาจับจ้องอยู่กับสเต็กเลิศรส เมลโล่สังเกตเห็นน้ำตาของเขาจนต้องปาดของเธอทิ้งบ้าง เธอไม่อยากจะคิดเลยว่าชีวิตที่ผ่านมาของเขาจะประสบพบเจออะไร ถึงได้เสียน้ำตาให้กับอาหารจานหนึ่งเช่นนี้ อาจฟังดูเป็นเรื่องตลกสำหรับเมลโล่ แต่พอได้มาเห็นกับตาตัวเอง เธอจึงรู้ว่าไม่ควรล้อเล่นกับความสุขเล็กๆ น้อยๆ ของใครอีก

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา