Psychic พลังกายสิทธิ์ ลิขิตมรณะ

-

เขียนโดย MoMoGa

วันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เวลา 23.06 น.

  26 บท
  4 วิจารณ์
  20.89K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 11.12 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

26) ตอนที่ 15 The end สิ้นสุดหายนะ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

            ตู้ม

            เนียร์เวอเด้วิ่งไปตามทางเดินของโรงพยาบาล เธอวิ่งหนีออกมาจากเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้าเพราะความหวาดกลัวของตัวเอง เธอเองรู้ดีว่าทำไมหุ่นยนต์จำนวนขนาดนั้นถึงมาปรากฏตัวอยู่ที่โรงพยาบาลซึ่งเป็นที่ที่มีผู้คนพลุกพล่านมากเป็นอันดับต้นๆของเมืองนี้ได้

            “หนีไม่พ้นหรอก!”

            เสียงทุ้มต่ำของใครบางคนดังออกมาจากลำโพงของหุ่นยนต์ที่กำลังไล่ตามเนียร์เวอเด้ แต่ตัวเธอก็ไม่ได้สจใจใันแล้ววิ่งต่อไปอย่างไม่คิดชีวิต ทันใดนั้นเอง หุ่นยนต์ตัวนั้นก็ถูกบดขยี้จากแรงกระแทกมหาศาลจนกระเด็นออกไปนอกอาคาร เผยให้เห็นนากิสะและคุออนที่กำลังวิ่งตามเนียร์เวอเด้มา

            “หุ่นยนต์พวกนี้มันไล่ตามเนียร์เวอเด้จังสินะ”

            “เท่าที่เห็นก็ประมาณนั่นแหละค่ะ แต่ทำไมพวกมันต้องไล่ตามเนียร์จังด้วยล่ะคะ”

            ระหว่างที่กำลังไล่ตามเนียร์เวอเด้อยู่นั้น คุออนและนากิสะก็รู้ว่าหุ่นยนต์พวกนี้กำลังไล่ตามตัวเนียร์เวอเด้อยู่ และก็อาจจะเป็นคำตอบของข้อสงสัยที่ว่า 'ทำไมหุ่นยนต์พวกนี้ถึงมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ด้วย' แต่ที่ทั้งคู่ไม่เข้าใจก็คือ ทำไมเนียร์เวอเด้ถึงงถูกไล่ล่า และดูเหมือนว่าตัวเธอเองก็รู้อยู่แล้วด้วยว่ากำลังตกเป็นเป้าอยู่

            “ที่วิ่งหนีมาก่อน…อาจเป็นเพราะว่ากลัว…ก็ได้...”

            คุออนพูดขึ้นหลังจากที่สรุปถึงข้อสงสัยต่างๆแล้ว ปกติแล้วคุออนไม่ได้เข้าชมรมหรือทำกิจกรรมที่ต้องใช้แรงอย่างการออกกำลังกายเลย การวิ่งตามเด็กผู้หญิงคงจะเป็นเรื่องที่หนักหนาสำหรับเธออยู่พอสมควร ต่างกับนากิสะที่ไม่มีท่าว่ากำลังเหนื่อยอยู่เลยแม้แต่นิดเดียว

            “นั้นก็มีความเป็นไปได้เหมือนกันค่ะ แต่ก็ยังไม่ทราบข้อเท็จจริงที่แน่ชัดอยู่ดี”

            ทั้งคู่วิ่งไปด้วย คิดไตร่ตรองถึงเรื่องข้อสงสัยที่ตนนึกได้ไปด้วย แต่ในระหว่างนั้น จู่ๆก็มีหุ่นยนต์พุ่งทะลุเพดานของตึกมาอยู่ตรงหน้าของเนียร์เวอเด้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เนียร์เวอเด้ที่วิ่งมาจนถึงเมื่อกี้หยุดนิ่งไปเฉยๆ เพราะทางเดินที่เธอยืนอยู่เป็นทางตรง ทางที่หนีได้ก็มีแต่ทางที่เธอวิ่งมาเท่านั้น

            “เนียร์จัง! ทางนี้”

            นากิสะตะโกนบอกเนียร์เวอเด้ที่หยุดนิ่งอยู่ เสียงของเธอทำให้เนียร์เวอเด้รู้ตัวและหันกลับมา เธอไม่รอช้าที่จะวิ่งต่อจากเมื่อกี้นี้ แต่ก่อนหน้านั้น-

            “!?”

            ในตอนที่เนียร์เวอเด้กำลังจะออกวิ่งมาทางพวกนากิสะที่อยู่ด้านหลัง จู่ๆก็มีหุ่นยนต์อีกตัวพุ่งทะลุเพดานลงมายืนขวางระหว่างตัวเธอและพวกคุออนไว้ นากิสะที่เห็นดังนั้นจึงพุ่งเข้าไปจู่โจมด้วยพลังจิตแบบไม่คิดชีวิต เหมือนกับที่เธอเคยทำกับหุ่นยนต์ที่มาขวางทางเธอก่อนหน้านี้ แต่สิ่งที่ตามมาก็คือ

            “อึก-”

            นากิสะที่พุ่งเข้าไปถูกแขนที่กลายสภาพเป็นใบมีดของหุ่นยนต์ตัวนั้นโจมตีสวนกลับมาอย่างกะทันหัน ใบมีดนั้นเสียบเข้าค้างที่ท้องนากิสะ ตัวเธอถูกหยุดการด้วยความเจ็บปวดที่แล่นมาจากท้อง นากิสะพยายามค้ำร่างของตัวเองไว้ แต่หุ่นยนต์ตัวนั้นก็สะบัดร่างของนากิสะกองลงกับพื้นอย่างไม่ไยดี

            “นา-กิสะ”

            เนียร์เวอเด้ล้มลงกับพื้นตามร่างของนากิสะ ภาพที่เธอกำลังเห็นอยู่ก็คือร่างของเด็กที่มีอายุน้อยกว่าเธอกำลังนอนจมกองเลือดเพราะตั้งใจที่จะช่วยตัวเอง

            “เพราะเรา...นากิสะจังก็เลย”

            เนียร์เวอเด้ไม่รู้สึกถึงเรี่ยวแรงที่เคยมีอยู่ หุ่นยนต์ทั้งสองตัวที่เห็นเดินเข้าไปมาเธอที่กำลังหมดสภาพ คุออนที่ทนเห็นแบบนั้นไม่ได้จึงตั้งใจจะวิ่งเข้าไปดึงตัวของเนีบร์เวอเด้ออกมา ทั้งๆที่เธอเองก็รู้ตัวดีว่ามันเป็นการกระทำที่ไร้ค่าแค่ไหน แต่ความคิดที่ว่า “ยังไงก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย” ทำให้ความมีเหตุและผลของเธอถูกลบทิ้งไป

            “คุออน! หมอบลง”

            เป็นเสียงที่คุ้นหูสำหรับเธอมาก และไม่รู้ว่าทำไม เธอถึงทำตามเสียงนั้นโดยไม่ทันได้คิดขัดขืนอะไร เมื่อหมอบลงไปจึงได้สติกลับคืนมา คุออนหันหน้ากลับไปทางด้านหลังของตัวเอง

    “”

    แสงสว่างวาบที่จ้ายิ่งกว่าแสงใดๆที่เธอเคยเห็นมาพร้อมกับเสียงเสียดสีอากาศที่ฟังคล้ายเสียงนกร้อง ต่อจากนั้นคือเส้นตรงเส้นหนึ่งที่พุ่งใส่หุ่นยนต์ทั้งสองตัวด้วยความเร็วที่เทียบเท่ากับแสง ชั่วพริบตานั้น หุ่นยนต์ทั้งสองตัวที่ถูกเส้นตรงเส้นนั้นวิ่งผ่านกลางอกค่อยๆล้มลง ที่หน้าอกของพวกมันมีรอยไหม้ที่เด่นชัดมากปรากฏอยู่

    “โอ๊ย! ร้อนๆๆ ร้อน!”

    คุออนที่มองดูหุ่นยนต์หันกลับมามองด้านหลังเพระเสียงร้องที่เป็นเสียงเดียวกับเสียงพูดเมื่อกี้นี้ แต่เป็นเพราะอะไรก็ไม่อาจทราบได้ที่ทำให้เธอรู้สึกตัวสักทีว่าคนที่เป็นคนพูดนั้นก็คือ ชินโด มาซามุเนะเพื่อนสมัยเด็กและคนที่เธอรักที่สุด ซึ่งตอนนี้กำลังเป่านิ้วชี้ขวาของตัวเองอยู่

    “มะ…มะ มาซามุเนะ!”

   เธอตะโกนออกไปทั้งน้ำตา เสียงนั้นทำให้มาซามุเนะที่กำลังเป่านิ้วชี้ของตัวเองอยู่หันหน้ามาทางคุออน

   “ไง คุออน”

   ###

   “ว่าไงนะครับ”

   มาซามุเนะที่กำลังนั่งอยู่บนเตียงร้องลั่นว่าอย่างนั้นใส่เด็กสาวที่(น่าจะ)มีอายุมากกว่า สาเหตุที่เขาร้องออกมาก็เพราะเด็กสาวคนนั้นพูดสิ่งที่ไม่น่าเชื่อถือที่สุดออกมา

   “เรื่องแบบนั้นน่ะ…ไม่น่าจะเป็นไป-”

   “แต่มันก็เป็นไปแล้ว”

   เกรซเทียร์พูดขัดขึ้นมาก่อนที่มาซามุเนะจะพูดจบ เขายอมรับแล้วว่าเกรซเทียร์เป็นคนที่เชื่อถือได้ และคิดว่าน่าจะลองเชื่อสิ่งที่เธอพูดดู แต่เมื่อได้ยินสิ่งที่เธอบอกเล่าแล้ว ถึงแม้ความคิดจะเชื่อยังไง แต่ภายในใจมาซามุเนะก็มิอาจยอมรับมันได้ ไม่ใช่เพราะอะไรแต่เป็นเพราะความรู้สึกของตัวเขาเองที่ไม่สามารถที่จะยอมรับมันได้

   “สรุปแล้ว…มันเป็นความจริง...จริงเหรอครับ”

   มาซามุเนะถามออกไปทั้งที่ตนนั้นไม่อยากจะได้คำตอบ เหมือนไม่ต้องการจะโดนซ้ำเติม

   “ฉันยืนยันไม่ได้ว่าจริงหรือเปล่า เพียงแต่มันมีความน่าเชื่อถือสูงมากแค่นั้นเอง”

   เกรซเทียร์ในตอนนี้ดูต่างจากเวลาปกติลิบลับ อย่างกับว่าความน่ารักของเธอที่ทำให้ตัวดูเหมือนเด็กหายไปอย่างสิ้นเชิง

   “ถ้าอาวุธของไดเวอรี่กับเพอกาทอรี่คือ [บุตรแห่งพระเจ้า] และ [ศาสตร์ตราแห่งเทพ} วิคตอเรียที่ส่งทั้งสองอย่างลงมายังโลกนี้ก็ส่งอาวุธของตนลงมาด้วย และอาวุธนั้นของผู้สร้างก็คือพลังจิต”

   “พลังจิต…ของพวกผม”

   สิ่งที่เกรซเทียร์เล่ามาจนถึงตอนนี้ มาซามุเนะพอจะยอมรับมันได้อยู่ เพราะแต่เดิมมันก็ไม่มีที่มาที่ไปเรื่องพลังจิตอยู่แล้ว แต่สิ่งที่เขายอมรับไม่ได้คือต่อจากนี้ต่างหาก

   “นายที่เป็นหนึ่งในอาวุธของไดเวอรี่ [บุตรแห่งพระเจ้า] ได้ชื่อว่า [ตัวตนไร้ขอบเขต] เป็นตัวตนที่อยู่เหนือความเป็นไปได้ทุกๆอย่าง โยมิคาว่า ซาโยมิ ทำนายว่านายจะมีพลังจิต ซึ่งในความเป็นไปได้แล้วใกล้เคียงเลขศูนย์ซะยิ่งกว่าหนึ่งซะอีก แต่นายก็มีพลังจิตขึ้นมาจริงๆ ตระกูลฟลอล่าก็เลยใช้ DNA แบบของนายสร้างโคลนของตัวนายขึ้นมา นั่นแหละคือตัวตนที่แท้จริงของตัวประกันที่นายช่วยไว้เมื่อคืนนี้”

   มาซามุเนะพูดไม่ออกกับคำอธิบายของเกรซเทียร์ เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าตัวเองมีความสัมพันธ์ยังไงกับตระกูลฟลอล่า แถมยังไม่อยากจะมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย และที่สำคัญไปกว่านั้น ตัวเขาคืออะไรกันแน่ 

   มาซามุเนะที่ไปหาข้อมูลในห้องสมุดอยู่นานสองนาน ได้รู้ว่าความเป็นไปได้ที่ [พลังจิต] กับ [บุตรแห่งพระเจ้า] จะหลอมรวมกันคือศูนย์ แต่ไม่มีเหตุผลกำกับไว้ และนั่นก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เขาสงสัยอยู่ และสิ่งที่เกรซเทียร์พูดออกมาก็ยิ่งเพิ่มความสงสัยให้กับตัวของเขาเองให้มากยิ่งขึ้น

   [ตัวตนไร้ขอบเขต] ที่เกรซเทียร์กับโซเฟียพูดถึง คือหนึ่งใน [บุตรแห่งพระเจ้า] ซึ่งมันก็คือตัวของมาซามุเนะเอง นั่นคือสิ่งเดียวที่เขารู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่สิ่งที่ไม่รู้ ก็คือสิ่งที่ถูกเรียกว่า [ตัวตนไร้ขอบเขต] นั้นคืออะไรกันแน่ นี่คือคำถามที่มาซามุเนะอยากรู้มากที่สุด ตระกูลฟลอล่าเองก็เช่นเดียวกัน และเพื่อการนั้น เมื่อ 14 ปีก่อน ตระกูลจึงเก็บ DNA ของมาซามุเนะเอาไว้ เพื่อจะนำมันมาทดลองต่างๆในอนาคต

   และเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นช่วงที่พลังจิตในตัวของมาซามุเนะตื่นขึ้น ตระกูลฟลอล่าที่ต้องการรู้เกี่ยวกับ [ตัวตนไร้ขอบเขต] จึงทำการโคลนนิ่งมาซามุเนะขึ้นมา ทว่าโคลนนิ่งครั้งนั้นมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น ทำให้โคลนนิ่งซึ่งมีจำนวนมาก เหลืออยู่เพียงไม่กี่คน และร่างที่เหลือนั้นก็ไม่มีตัวที่สมบูรณ์ครบ 100% เลยสักตัว เมื่อเวลาผ่านไป โคลนนิ่งก็ตายลงไปจนตอนนี้มีโคลนนิ่งเหลือเพียงคนเดียวเท่านั้น นั่นก็คือตัวประกันที่มาซามุเนะไปช่วยมานั่นเอง

   ตระกูลฟลอล่าที่เห็นดังนั้น จึงทำการโคลนตัวทดลองเพิ่ม แต่ก่อนที่จะได้ลงมือ [กลุ่มผู้ก่อการร้าย] ก็เข้ามาแทรกแซงและขโมยหลายๆอย่างของตระกูลไป สิ่งที่สำคัญมากที่สุดที่หายที่ถูกชิงไปคือตัวของหนูทดลองที่เหลืออยู่ DNA ของมาซามุเนะ และฐานข้อมูลของตระกูล

   “แย่ล่ะสิ”

   ระหว่างที่มาซามุเนะกำลังทบทวนสิ่งที่ตัวเองพึ่งจะรับรู้อยู่ เกรซเทียร์ก็ร้องออกมาด้วยความตกใจ เธอหันหน้าไปทางอื่นแล้วใช้มือขวาป้องที่หูของตัวเอง ถึงจะเพราะความตกใจแต่เสียงร้องนั้นก็ช่วยดึงสติของมาซามุเนะให้กลับเข้าที่

   “มีอะไรเหรอครับ”

   มาซามุเนะลุกขึ้นถามเกรซเทียร์ทั้งที่ยังเงียบอยู่ เมื่อเธอได้ยินดังนั้นจึงหันหน้าเต็มๆมาหาเขา แต่ก็เว้นช่วงไปก่อนจะพูดอะไร มาซามุเนะเริ่มสังเกตได้แล้วว่าที่หูของเธอมีอุปกรณ์สื่อสารขนาดเล็กอยู่

   “น้องพี่ หมดเวลาที่เราจะได้อยู่ได้กันแล้วล่ะ”

   ###

   “คนอื่นล่ะ”

   มาซามุเนะเอ่ยขึ้นระหว่างที่กำลังวิ่งอยู่บนถนนที่ไร้ซึ่งผู้คน ในอ้อมแขนของเขามีร่างของนากิสะที่ไร้ซึ่งบาดแผลแล้ว

   “อิบูกิอยู่ข้างหน้านี่แหละ แต่ฉันไม่รู้ว่าแคทเธอรีนอยู่ที่ไหน”

   คุออนที่วิ่งตามมาซามุเนะมาแบบติดๆตอบคำถามของเขา ในมือขวาของเธอกำลังบีบมือของเนียร์เวอเด้ไว้แน่น แน่นอนว่าเนียร์เวอเด้เองก็กำลังวิ่งตามคุออนเพราะถูกจูงมืออยู่

   “แคทเธอรีนไม่เป็นอะไรหรอก ว่าแต่คุออน เธอไม่บาดเจ็บตรงไหนจริงๆนะ”

   “จะให้บอกอีกกี่รอบคำตอบก็ยังเหมือนเดิม อ๊ะ มาซามุเนะคุง ตรงนั้น”

   คุออนเรียกให้มาซามุเนะหยุดแล้วชี้ไปยังมุมมุมหนึ่งของสวนสาธารณะของโรงพยาบาล มาซามุเนะหยุดเดินพร้อมๆกับที่วิ่งเข้าไปยังจุดจุดนั้น และสิ่งที่เขาเจอก็คือร่างของอิบูกิที่กำลังนอนอยู่ ทั่วร่างเต็มไปด้วยบาดแผลแต่ยังไม่ตาย คุออนเดินเข้าไปหามาซามุเนะที่เข้าไปก่อนโดยปล่อยเนียร์เวอเด้ทิ้งไว้ข้างหลัง

  “คุออน”

  “อะไรเหรอ ว๊าย!”

  จู่ๆมาซามุเนะก็ดีดหน้าผากคุออน เธอร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ ทันทีที่ทำอย่างนั้น ร่างของฮิคาริ วิญญาณโกธิคโลลิต้าก็ปรากฏขึ้นมากลางอากาศ

           “ฮิคาริจัง?”

           “ว่าไงจ๊ะ คุออ-” “รีบๆจัดการอิบูกิเร็วเข้าซี่” “รู้แล้วน้า”

           ในระหว่างที่คุออนกำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความสงสัย มาซามุเนะก็สั่งให้ฮิคาริทำอะไรบางอย่างกับร่างของอิบูกิที่นอนแน่นิ่ง เมื่อเห็นดังนั้น เนียร์เวอเด้ที่รวบรวมความกล้ามาตลอดตัดสินใจก้าวออกมาข้างหน้าแล้วทำสิ่งที่ตนอยากทำมากที่สุด

  “พี่คะ!”

  “…”

  เนียร์เวอเด้ตะโกนเรียกมาซามุเนะด้วยเสียงที่ดังที่สุดของเธอ แม้จะได้ยินอย่างนั้นแต่มาซามุเนะก็ไม่ได้หันหลังกลับไปมองเลยแม้แต่นิดเดียว

  “ดะ…เดี๋ยวก่อน...สิคะ”

  จู่ๆนากิสะก็ตื่นขึ้นมา เนียร์เวอเด้มองนากิสะด้วยท่าทางประหลาดใจ ส่วนากิสะที่พึ่งรู้สึกตัวเอามือกุมท้องตัวเองไว้เหมือนกับกำลังสัมผัสถึงบาดแผลที่ตัวเองได้รับมาก่อนหน้านี้ ซึ่งตอนนี้มันหายไปแล้ว

  “เนียร์จัง…คนที่จะเรียกท่านพี่ว่า 'พี่' ได้…มีแค่ฉันคนเดียว…นะคะ”

  “นากิสะจัง!” “คุณนากิสะ”

  “ฮึบ!”

   ร่างของนากิสะที่พึ่งจะฟื้นมาหมดสติไปอีกครั้ง ในตอนที่คุออนและเนียร์เวอเด้ตะโกนออกไป ร่างของคนที่ควรจะนอนอยู่กับพื้นก็เข้ามารับร่างอันบอบบางนั้นไว้ได้ทัน

   “เรียบร้อยดีนะ”

   มาซามุเนะถามอิบูกิที่พึ่งจะฟื้นขึ้นมา ตัวของอิบูกิในตอนนี้ไร้ซึ่งบาดแผลแล้ว านี้คงจะเป็นผลของการกระทำเมื่อตะกี้ของมาซามุเนะและฮิคาริ พอพูดจบ มาซามุเนะวิ่งออกไปจากโรงพยาบาลทันที โดยมีฮิคาริตามไปด้วย

   “ทำไมคุณอิบูกิถึง-”

   “เรื่องนั้นเดี๋ยวค่อยมาอธิบาย พวกเธอรีบไปหาที่ซ่อนก่อนเถอะ”

   อิบูกิส่งตัวนากิสะให้คุออนแล้ววิ่งตามมาซามุเนะไป ปล่อยให้เนียร์เวอเด้กับคุออนยืนหาคำตอบกันอยู่สองคน

   “ไปหาที่ซ่อนกันเถอะค่ะ”

   วิธีพูดที่ต่างไปทำให้คุออนแปลกใจอยู่เล็กน้อย แต่เนียร์เวอเด้ที่รับตัวนากิสะไปอุ้มแทนทำให้คุออนตกใจยิ่งกว่า ถ้ามองจากภายนอกแล้วจะรูปได้ทันทีว่าเนียร์เวอเด้ผอมกว่าคุออน แต่เธอก็อุ้มนากิสะได้จนดูไม่ออกเลยว่าเธอผอมจริงๆ

   พอข้อสงสัยนั้นพุดขึ้นมาในหัวของคุออน ของสงสัยอื่นก็ตามมาเป็นขบวน และไม่ว่าจะคิดยังไงก็หาคำตอบไม่เจอ คุออนจึงตัดสินใจเอ่ยออกไป

   “เนียร์เวอเด้จัง ก่อนอื่นเลย ฉันขอถามอะไรหน่อยได้มั้ย”

   “ได้สิคะ”

   เนียร์เวอเด้ไม่ได้หันมาตอบ คุออนเดินตามเธอไปติดๆแล้วเอ่ยข้อสงสัยออกมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจังยิ่งกว่าที่เคย

   “ทำไมเนียร์เวอเด้จังถึงเรียกมาซามุเนะว่าพี่ล่ะ”

   “…”

   ไม่มีเสียงตอบรับจากเนียร์เวอเด้ เธอยังคงเดินต่อไปเหมือนไม่ได้ยินอะไร คุออนที่ทนไม่ไหวจึงเดินไปแตะไหล่เนียร์เวอเด้ แต่เจ้าตัวก็หันกลับมาก่อนที่เธอจะได้ทำอย่างนั้น

   “คุณคุออนชอบพี่สินะคะ”

   คุออนหน้าแดงแจ๋ขึ้นมาทันที แต่ก็ไม่ได้ตอบรับหรือตอบปฏิเสธ เพราะเธอกำลังเขินอายแบบสุดขีดอยู่ แต่ระหว่างนั้น เม็ดฝนที่ร่วงลงมาจากท้องฟ้านอกหน้าต่างก็ดึงดูดความสนใจของทั้งคู่ไป

   “วันนี้ไม่น่าจะมีฝนตกนี่”

   คุออนเอ่ยขึ้นด้วยความแปลกใจ เธอดูพยากรณ์อากาศก่อนที่จะมาที่นี่แล้ว ‘จะไม่มีฝนตกไปอีกหลายสัปดาห์’ คือผลของการสืบค้น และก็เป็นไปได้ยากที่เมืองแห่งอนาคตนี้จะพยากรณ์อากาศผิดพลาดไปได้

   “ลองคิดดูสิคะ ทั้งที่ควรจะมีแดดแรงตอนบ่ายแท้ๆ แต่ตั้งแต่ที่เกิดเรื่องขึ้น ท้องฟ้าก็ไม่เคยเปิดเลย”

   คุออนที่คิดตามที่เนียร์เวอเด้พูดถึงกับชะงัก เพราะเธอไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เธอคิด

   “งั้นพวกผู้ก่อการร้ายก็เป็นคนทำงั้นเหรอ”

   “ตรงกันข้ามเลยค่ะ กองหนุนต่างหาก”

   ###

   “เอาไงต่อล่ะ”

   อิบูกิถามมาซามุเนะที่อยู่ข้างหน้า ตั้งแต่แยกกับพวกคุออน ทั้งคู่ก็ขี่เทมเปสต์มาตลอด และมาซามุเนะก็ไม่ได้พูดอะไรตลอดทางเช่นกัน แต่ถึงจะไม่รู้ว่าจุดหมายคือที่ไหน แต่เชาก็พอจะคาดเดาได้

   “ถึงแล้ว”

   มาซามุเนะชี้ลงไปข้างล่าง อิบูกิมองตามลงไป สิ่งที่เจอคือโรงงานเก่าแห่งหนึ่ง ซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้เลยว่าที่นี่คือฐานทัพอีกแห่งของศัตรู จากการวินิจฉัยแล้ว ศัตรูคงมีฐานทัพมากกว่าแห่งเดียว เพราะเมื่อคืนนี้ก็ทำลายไปแล้วที่หนึ่ง

   “ถ้าเราโจมตีใส่ที่นี่ มีความเป็นไปได้สูวที่หุ่นยนต์ทุกตัวจะหยุดทำงาน”

   “หรือไม่ หุ่นยนต์ทุกตัวก็เข้ามาเล่นงานเราเพื่อป้องกันที่นี่”

   อิบูกิพูดอย่างรู้ใจมาซามุเนะ เพราะเป็นเพื่อนกันมานาน ทั้งคู่มองลงยังด้านล่างอีกครั้ง 

   “ไม่ต้องมีแผนแล้วล่ะมั้ง”

   “ตามนั้นเลย”

   มาซามุเนะกระโดดลงจากตัวมังกรทั้งแบบนั้น อิบูกิเร่งออร่าของตัวเองเพื่อที่จะปลดปล่อยพลังออกมาได้เต็มที่ ระหว่างที่อิบูกิสลบไปนั้น จิตไร้สำนึกของเขาก็สามารถคิดและหาวิธีการในการต่อสู้กับหุ่นยนต์เหล่านั้นได้อย่างสมบูรณ์แล้ว

   “<ดราโกนิค สตรีม : โหลดดิ้ง (Dragonic Stream : LOADING)>”

   อิบูกิตะโกนออกไปอย่างแข็งขัน จากนั้นไม่นาน เทมเปสต์ก็ปลดปล่อยออร่าเหล่านั้นในรูปของลำแสงสีฟ้าขนาดใหญ่ อานุภาพของมันพอที่จะทำลายโรงงานที่เป็นเป้าหมายโจมตีได้ในทีเดียว แต่ก่อนที่ลำแสงนั้นจะปะทะกับโรงงาน ลำแสงนั้นก็กระจายตัวไปรอบพื้นที่โรงงานจนทำให้พื้นที่โดยรอบเกิดกลายเป็นทะเลเพลิง 

   เมื่อการโจมตีของอิบูกิหยุดลง สิ่งที่ปรากฏต่อหน้าทั้งคู่ก็คือบาเรีย บาเรียพลังงานที่ใช้ป้องกันการโจมตีต่างๆ มันครอบโรงงานอยู่คล้ายโดม แน่นอนว่าเทคโนโลยีในปัจจุบันไม่สามารถสร้างออกมาได้ แต่เพราะที่นี่คือเมืองแห่งอนาคต มาซามุเนะและอิบูกิจึงไม่ได้ตกใจมากนัก

   “มาซามุเนะ ดูรอบๆสิ”

   ระหว่างที่มาซามุเนะกำลังยืนอยู่กลางอากาศเพราะอะไรก็มิอาจทราบได้ รอบๆตัวพวกเขาก็มีพวกหุ่นยนต์คุ้นหน้ามาล้อมไว้ในจำนวนที่ไม่คิดจะนับ นี่คงไม่พ้นกลายเป็นการต่อสู้กลางเวหาตามเคย

   “เพราะการโจมตีเมื่อกี้ บาเรียที่คอยป้องกันฐานศัตรูเลยลดประสิทธิภาพลงไปมาก”

   “หลักฐานก็คือหุ่นยนต์ที่มารวมกันที่นี่สินะ ไม่สิ พูดให้ถูกก็คือ มาล้อมเราที่นี่”

   “ตามนั้นเลย”

   ทั้งคู่พูดคุยกันอย่างรู้ใจ และไม่ได้คิดว่าหุ่นยนต์พวกนี้อันตรายเลยแม้แต่น้อย

   “สถานการณ์ไม่ใช่ แต่ก็ทำให้นึกถึงเมื่อตอนนั้นอยู่นิดหน่อยนะเนี่ย”

   “คงเป็นเพราะได้สู้ในสถานที่ที่คล้ายๆกันล่ะมั้ง” 

   “คงใช่แหละ”

   ถึงจะดูเหมือนว่าคุยเล่นกัน แต่จริงๆแล้วทั้งสองคนกำลังรอดูความเคลื่อนไหวของหุ่นยนต์อยู่ เพราะไม่รู้ว่าศัตรูตั้งใจจะทำอะไร เรื่องนั้นทั้งฮิคาริและเทมเปสต์ก็เข้าใจดี แต่ทั้งสองคงไม่มีอารมณ์มาพูดคุยอย่างสบายใจได้เหมือนพวกมาซามุเนะหรอก

   “มาแล้ว”

   หุ่นยนต์บางส่วนพุ่งเข้ามาจู่โจมใส่พวกมาซามุเนะด้วยความเร็วสูง มาซามุเนะหลบได้สบายๆ ส่วนอิบูกิรับโจมตีสวนกลับด้วยกระบี่ที่เคลือบด้วยออร่าพลังจิตความรุนแรงสูงไว้

   อิบูกิวิเคราะห์หุ่นยนต์พวกนี้ไว้ว่า พวกมันมีเซนเซอร์รับรู้ออร่าพลังจิต และสามารถป้องกันการโจมตีด้วยพลังจิตได้ด้วย แต่ก็แค่นั้น เพราะพวกมันไม่สามารถป้องกันการโจมตีด้วยพลังจิตประเภทที่โจมตีแบบเฉพาะเจาะจงได้ และการใช้กระบี่ที่ไม่ได้เกิดจากพลังจิตทำให้หุ่นยนต์ไม่สามารถรับรู้ได้ในทันทีที่จู่โจมเข้ามาด้วย

   อิบูกิตวัดกระบี่อย่างงดงาม ความรุนแรงและระยะการโจมตีของกระบี่เพิ่มขึ้นจากพลังจิต จุดที่เขาเล็งไว้ก็คือกลางลำตัวซึ่งเป็นจุดตายของทุกสรรพสิ่ง หุ่นยนต์พวกนี่ก็ไม่มีข้อยกเว้น หุ่นยนต์ตัวแล้วตัวเล่าที่พุ่งเข้ามาโจมตีต้องกลายเป็นเศษเหล็กแล้วล่วงหล่นสู่พื้นโลก เรียกได้ว่าการรับมือของอิบูกินั้นได้ผลเป็นอย่างมาก

   มาซามุเนะที่เพลิดเพลินกับการร่ายรำและฟาดฟันของอิบูกิคิดว่า สักวันหนึ่งเขาอย่างจะประลองดาบกับเพื่อนสนิทคนนี้อย่างจริงจังสักครั้งหนึ่ง แต่อยู่ๆการร่ายรำของอิบูกิก็เปลี่ยนเป็นการโจมตีที่รุนแรงขึ้น เขาโจมตีใส่หุ่นยนต์ที่พุ่งเข้ามาหาพร้อมกันด้วยการฟันแบบ 360 องศา นั่นทำให้มาซามุเนะอึ่งนิดๆ แต่เพราะสายตาหน่ายๆที่อิบูกิส่งมา ทำให้เขาเองต้องเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว

   มาซามุเนะส่งสายตาว่าขอโทษแล้วดิ่งลงสู่พื้นโลก ปล่อยให้อิบูกิจัดการกับหุ่นยนต์ไป รูปแบบการโจมตีของอิบูกิแทบจะไม่เปลี่ยนไปเลย ไม่สิ ถ้าจะพูดให้ถูกคือเปลี่ยนแปงกระบวนท่า.เพื่อรับมือการโจมตีอันซับซ้อนที่เขียนด้วยโปรแกรมของพวกหุ่นยนต์ และที่เขาทำแบบนั้นได้ก็เพราะเขาสามารถอ่านการเคลื่อนไหวของศัตรูแล้วรับมือได้ในทันที แต่กรณีเมื่อตอนกลางวันที่ทำให้อิบูกิเกือบตายนั้น เป็นเพราะเขาต้องใส่ผู้คนที่อยู่บริเวณโดยรอบในการคำนวณหาวิธีการรับมือไปด้วย ทำให้การคำนวณช้าและทำให้เขาเป็นอย่างที่กล่าวมานั่นเอง

   “อ๊ะ!”

   จู่ๆก็มีแสงสีท้องส่องรอดลงมาจากท้องฟ้าเหนือหััวอิบูกิ มันย้อมทุกสิ่งที่สัมผัสให้กลายเป็นสีทอง ละอองเรืองแสงปริศนาลอยตัวจากทิศของพื้นดินไปรวมตัวกันเหนือก้อนเมฆ อย่างกับว่าแสงสีทองกำลังดึงดูดให้ละอองทั้งหลายเข้าไปหา ท่ามกลางแสงสีทองเจิดจ้าไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใดๆ อิบูกิและเหล่าหุ่นยนต์ได้แต่หยุดนิ่งและจ้องมองท้องฟ้าที่ถูกย้อมสีราวกับเวลาถูกสะกดไว้ แต่ในความเงียบงันนั้น มีเสียงของใครบางคนที่ดังขึ้นอย่างแผ่วเบาแต่ทั่วถึง มาซามุเนะขยับริมฝีปากของตัวเองเพื่อสั่งจัดการกับเรื่องทั้งหมด

   “<ก็อด เบลสซิ่ง (GOD BLESSING)>”

   ทันใดนั้น สายฟ้าสีทองแล่นจากกลุ่มเมฆที่รวมตัวกันเมื่อครู่ผ่านหน้าอิบูกิไปราวกับว่ามันไม่ได้สนใจไยดีเขาเลย สายฟ้าฟาดใส่บาเรียไป เมื่อดูเผินๆอาจเห็นเป็นเช่นนั้น แต่ความเป็นจริงคือสายฟ้าแล่นผ่านบาเรียไปเหมือนกับอิบูกิ มันฟาดเข้ากับโรงงานเก่าจนเกิดระเบิดขนาดใหญ่ ระเบิดที่เกิดขึ้นยังอยู่ในบาเรียแล้วทำลายมันจากด้านใน ราวกับว่าบาเรียไม่สามารถรองรับการมีอยู่ของระเบิดได้ สุดท้ายระเบิดที่เกิดขึ้นก็ได้ปลดปล่อยพลังสูงสุดของมัน เกิดเป็นเสาเพลิงที่สูงเสียดฟ้า แรงระเบิดแผ่ออกไปรอบๆพื้นที่จนทำให้บริเวณนั้นกลายเป็นพื้นดินโล่งโจ้ง ไม่สิ เกิดกลายเป็นเหมือนหลุมขนาดใหญ่บริเวณนั้นมากกว่า

   “สุดยอด”

   เทมเปสต์อุทานออกมาเบาๆ อิบูกินั่งลงบนมังกรคู่ใจของเขาด้วยอารมณ์มากมาย ทั้งปราบปลื้มที่ได้เห็นพลังที่สุดยอดขนาดนั้น และคิดว่าเพื่อนของตัวเองที่เป็นผู้สร้างปรากฏการณ์เมื่อกี้ขึ้นมานั้นสุดยอดจริงๆนั่นแหละ หุ่นยนต์ที่เคยจู่โจมใส่เขาร่วงลงไปตอนที่ฐานของพวกมันเกิดระเบิดจนทำให้ตอนนี้ไม่เหลือแม้แต่เศษซากของมันอีกแล้ว แต่ก่อนสิ่งอื่นใด อิบูกิตระหนักได้ว่าร่างของผู้ที่สร้างสายฟ้าสีทองกำลังลอยอยู่กลางอากาศและกำลังตกลงสู่พื้นโลกด้วยสภาพไร้สติ เนื่องจากใช้พลังงานมากกว่าที่ตนคิดเอาไว้

   อิบูกิและเทมเปสต์รีบพุ่งตัวเข้าไปรับและลงจอดสู่พื้นโลกอย่างนุ่มนวล พอเขาลองคิดดูดีๆแล้ว เมื่อคืนนี้มาซามุเนะแทบไม่ได้นอนเลย ความรู้สึกอ่อนเพลียคงโถมเข้าใส่จนหมดสติล่ะมั้ง

   “ปล่อยเขาพักสักหน่อยก็แล้วกัน”

   “อืม”

   “คงจะทำแบบนั้นไม่ได้หรอกครับ”

   อิบูกิและเทมเปสต์หันหน้าไปทางทิศที่คิดว่าน่าจะเป็นต้นเสียงของคำพูดเมื่อกี้ สิ่งที่พวกเขาเจอก็คือเด็กหนุ่มที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขา เด็กหนุ่มท่าทางเรียบร้อยสวมสูทผูกเนคไทอย่างดี แต่สิ่งที่ดูไม่เข้ากับการแต่งตัวแบบนั้นที่สุดก็คือเรเปียร์ที่อยู่ที่เอวของคนคนนั้น ไม่ว่าจะเป็นใครหรือคนของฝ่ายไหน แต่ไม่มีเจตนาดีแน่นอน นั่นคือสิ่งที่ทั้งอิบูกิและเทมเปสต์รับรู้ได้จากใบหน้ายิ้มแย้มอย่างเสแสร้งของผู้ที่อยู่ตรงหน้าของพวกเขา

   “!”

   อิบูกิไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้ทำอะไรไปมากกว่านี้ เขาพุ่งเข้าไปโจมตีด้วยกระบี่ที่อยู่ในมือ แน่นอนว่าความเร็วนั้นพอๆกับเสียง เขาจู่โจมใส่ชายคนนั้นด้วยการฟาดดาบไปด้านหน้า และแน่นอนว่ากระบี่ของเขาเคลือบพลังจิตที่เพื่อการโจมตีไว้เป็นจำนวนมากต่างจากตอนหุ่นยนต์ จุดที่เล็งไว้ก็คือตั้งแต่ไล่ซ้ายไปจนถึงเอวขวา ถ้าเป็นไปตามที่เขาคิดไว้ ร่างของเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาจะแยกออกเป็นสองส่วนและตายทันที แต่อยู่ๆก็…

   “อะไรน่ะ”

   การจู่โจมความเร็วสูงของอิบูกิถูกดีดกระเด็นซะดื้อๆ แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจก็คือสภาพของเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านั้นไม่ได้ต่างจากก่อนหน้านี้เลยแม้แต่นิดเดียว เขายังยืนยิ้มอย่างแจ่มใสเหมือนเดิม ที่สำคัญคือเรเปียร์ที่เป็นอาวุธก็ยังถูกเก็บไว้ในฝักอย่างดีอีกด้วย อิบูกิไม่เห็นทั้งจังหวะที่เด็กหนุ่มตรงหน้าชักเรเปียร์หรือไม่รู้แม้แต่สิ่งที่ดีดการโจมตีของเขาออกคือเรเปียร์จริงหรือไม่ด้วย อิบูกิเริ่มตั้งสมมติฐานขึ้นมาว่าเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าอาจจะมีพลังจิตอยู่ และที่การโจมตีของเขาถูกดีดทิ้งก็อาจจะเป็นเพราะพลังจิตด้วย

   “จะไม่แนะนำตัวกันสักหน่อยเหรอครับ”

   “เรื่องนั้นไม่จำเป็นหรอก!”

   อิบูกิตอบกลับไปอย่างดุดัน สิ่งที่เขาตระหนักได้ก็คือต้องลองโจมตีต่อไปอีกประมาณหนึ่งหระบวนท่าเท่านั้น ถึงเขาจะรู้ได้ว่าอะไรเป็นอะไรกันแน่

   เสียงพูดของอิบูกิยังไม่ทันสิ้น ร่างของเขาก็เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง คราวนี้อิบูกิใช้ท่าแทงด้วยความเร็วสูงซึ่งกระบวนท่าจู่โจมที่เร็วที่สุดของเขา แต่สิ่งที่แลกมาก็คือความรุนแรงที่หายไป แต่เรื่องนั้นมันไม่สำคัญ เพราะการโจมตีนี้ไม่ได้มีไว้เพื่อจัดการเหมือนครั้งแรก แต่เป็นการเช็คความเคลื่อนไหวของชายที่อยู่ตรงหน้า และเพื่อการนั้น เป้าหมายของการแทงครั้งนี้จึงอยู่ที่หน้าท้องของอิกฝ่ายซึ่งเป็นจุดที่ไร้การป้องกันที่สุด และยังเป็นจุดที่ทำให้การโจมตีนี้ทำได้เร็วที่สุดอีกด้วย

   “คราวนี่จะมาไม้ไหนล่ะ”

   เด็กหนุ่มยังคงไม่ขยับตัว ไม่แม้แต่จะจับที่เรเปียร์ที่ตัวเองพกมาด้วยเลยสักนิด แต่ไม่กี่เซนติเมตรที่ปลายกระบี่ของอิบูดิจะพุ่งเข้าใส่หน้าท้องของเด็กหนุ่มนั้นเอง ร่างของอิบูกิก็กระเด็นขึ้นไปกลางอากาศ ร่างของเขาเหมือนถูกอะไรบางอย่างยกขึ้น แต่สิ่งที่เขาสัมผัสได้ด้วยร่างกายกลับเป็น ‘ปลายดาบ’ ที่ทิ่มแทงเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทั่วตัวของเขาเต็มไปด้วยบาดแผลที่เกิดจากการแทงจำนวนนับไม่ถ้วน ถึงจะไม่โดนจุดสำคัญเลยสักจุดเดียว แต่อิบูกิก็เริ่มที่จะรับรู้ได้แล้วว่าการจู่โจมปกติก็ไม่สามารถทำอะไรชายคนนี้ได้แน่นอน

   “<ดราโก เบลซ (Draco Blaze)>”

   อิบูกิสั่งเทมเปสต์ผ่านความคิด เทมเปสต์โจมตีด้วยลูกไฟขนาดใหญ่ใส่เด็กหนุ่มหลายลูกตามที่อิบูกิสั่งโดยที่ไม่มีไทม์แลคเลยแม้แต่นิดเดียว เด็กหนุ่มคนนั้นเหลียวมองการโจมตีที่มาจากด้านข้างอย่างไม่ใส่ใจ ในขณะที่ลูกไฟเข้าใกล้ตัวของเขาขึ้นเรื่อยๆ ลูกไฟก็สลายไปเหมือนมีอะไรบางอย่างพุ่งเข้าเพื่อขัดขวางการเดินทางของมัน ลูกไฟค่อยๆหายไปอย่างช้าๆ ลูกไฟลูกอื่นที่พุ่งเข้าไปโจมตีไม่โดนตัวเด็กหนุ่มอย่างกับว่าเทมเปสต์เล็งพลาดไป แต่ทั้งมังกรและผู้ควบคุมของมันรู้แก่ใจดีว่าการโจมตีของพวกเขาต้องเข้าเป้าอย่างแน่นอน และเด็กหนุ่มคนนั้นก็ยังไม่ได้ขยับเขยื้อนจากจุดเดิมเลยแม้แต่มิลเดียวตั้งแต่มาถึงที่นี่

   “ผมชื่อซาเฟริน ฮิเมลครับ ความต้องการคือการนำคุณคนที่นอนอยู่ตรงนั้นไปครับ ถ้าไม่ขัดขืนผมจะไม่ทำอะไรกับคนก็ได้นะครับ”

   เด็กหนุ่มเริ่มแนะนำตัวว่าตัวเองชื่อซาเฟริน อิบูกิที่รู้ดีว่าต่อให้ทำอะไรต่อไปในเวลานี้มันก็ไม่มีประโยชน์ จึงลดความตึงเครียดของตัวเองลงแล้วมองดูเด็กหนุ่มที่น่าจะอายุพอๆกับเขาอีกครั้งหนึ่ง ถึงคนทีี่อยู่ตรงหน้าของเขาจะไม่ปล่อยจิตสังหารหรือออร่าพลังจิตออกมาก็ตาม แต่อิบูกิก็รับรู้ได้ว่าคนคนนี้แข็งแกร่งแบบสุดๆ แข็งแกร่งพอๆกับ [เคียวสุเกะ] 1 ใน 4 จตุเทพที่เขาเคยสู้ด้วย หรืออาจจะแกร่งกว่าเลยก็ว่าได้

   “เซย์ริว อิบูกิคือชื่อของฉัน แล้วฉันก็คงทำตามคำขอของนายไม่ได้ด้วย”

   “แหม เข้าใจผิดแบบนี้ก็แย่สิครับ ผมไม่ได้ขอร้องแต่ยื่น ‘ขอเสนอ’ ให้คุณต่างหาก ถ้าคุณไม่ทำตาม ผมก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไรมากกว่าเดิมนักหรอกครับ”

   ซาเฟรินกล่าวออกมาโดยที่ยังคงรอยยิ้มร่าเริงเอาไว้ แต่ภายใต้รอยยิ้มนั้น อิบูกิไม่คิดเลยว่าสิ่งที่ซาเฟรินกล่าวออกมานั้นเกินจริง ถ้าคิดว่าคำพูดของเซฟารินเป็นแค่คำกล่าวเพราะมั่นใจในตัวเองมากเกินล่ะก็ มีแต่จะทำให้ตัวเขาตายเองซะเท่านั้น

   {หมอนี่}

   ถึงจะรู้แบบนั้น เทมเปสต์ก็ยังอดที่จะโมโหไม่ได้อยู่ดี

   {ใจเย็นๆก่อน พวกเราคงต้องเปลี่ยนโหมดเพื่อสู่กับหมอนี่ ไม่สิ ต้องเปลี่ยนโหมดเท่านั้นถึงจะสู่ได้}

   ไม่ใช่ ‘ไม่มีคำว่าปราณี’ แต่ต้องเป็น ‘มีแต่ต้องเอาจริงเท่านั้น’ อิบูกิคิดอย่างนั้นแล้วเพ่งสมาธิทั้งหมดให้กับการต่อสู้ที่อยู่ตรงหน้า สติของเทมเปสต์และอิบูกิหลอมรวมกันเป็นหนึ่ง นั่นก็เพื่อความสามารถในการเปลี่ยนโหมดของพวกเขา

   “<ดราก้อน เอ็กเท็นชั่น (Dragon Extension)>!”

   อิบูกิชูกระบี่ขึ้นเหนือหัว เทมเปสต์พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยความเร็วสูงจนดูเหมือนลำแสงสีฟ้าสายหนึ่ง ทันใดนั้นเอง สายฟ้าสีฟ้าเข้มก็ผ่าลงมาที่อิบูกิ ทั้งร่างถูกห่อหุ้มด้วยแสงสีฟ้า กระบี่ในมือขวาเปล่งแสงสีฟ้าเข้ม ซาเฟรินยังคงยืนมองด้วยรอยยิ้มไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อแสงที่ห่อหุ้มร่างของเขาแตกออกมาคล้ายกับกระจกแก้ว อิบูกิก็อยู่ในสภาพที่สวมใส่เสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้ม กระบี่ของเขามีความยาวและความหนักมากกว่าเก่ามาก ใบดาบสีน้ำเงินเข้มที่ทำให้นึกถึงท้องฟ้ายามค่ำคืนส่องแสงแวววับ ซาเฟรินมองดูร่างของเขาด้วยความประทับใจก่อนเอ่ยขึ้น

   “โอ้ว เท่ไปเลยนะครับ”

   อิบูกิไม่เหลือสติให้ตอบอะไรกลับไป เขาตั้งท่าเตรียมตัวสำหรับการต่อสู้ที่กำลังจะเกิดขึ้น แม้ว่าตัวเองจะรู้ว่าร่างกายของตัวเองกำลังแบกรับภาระที่อาจทำให้ตัวเองตายได้ แต่เรื่องแค่นั้นเขาไม่สนอีกแล้ว สติและสมาธิทั้งหมดของเขาอุทิศให้กับการต่อสู้ครั้งนี้ไปหมดแล้ว ไม่มีเหลือให้ต้องมากลัวเรื่องความตายหรือเรื่องของมาซามุเนะอีกแล้ว การต่อสู้กับศัตรูที่อยู่ตรงหน้าคือทั้งหมดที่เขารับรู้ได้ในตอนนี้

   “ฮึบ!”

   อิบูกิพุ่งเข้าโจมตีใส่ซาเฟรินด้วยท่าฟันจากด้านซ้ายไปขวา ความเร็วนั้นมากกว่าการโจมตีครั้งที่แล้วแบบเทียบไม่ติด แต่เมื่อเขากำลังจะฟันตามแนวยาวแบบที่คิดไว้ สิ่งที่เห็นก็คือภาพเรเปียร์โปร่งใสพุ่งเข้ามาหาโดยจุดที่น่าจะถูกแทงก็คือหัวใจ ความเร็วในการพุ่งของเรเปียร์นั้นเร็วกว่าการโจมตีของเขาแน่นอน แต่สิ่งที่เห็นก็เป็นแค่ภาพ ยังไม่ใช่ของจริง ดังนั้นอิบูกิจึงตัดสินใจย่อตัวลงเล็กน้อย โดยเล็งผลลัพธ์ของการโจมตีไปที่ช่วงเอวของศัตรู

   “!”

   อิบูกิสังเกตเห็นซาเฟรินจับไปที่เรเปียร์ด้วยความเร็วสูง แต่เขาก็ไม่ได้ชักมันออกมา และในตอนนั้นเอง ไหล่ซ้ายของอิบูกิถูกของปลายแหลมบางอย่างพุ่งเข้าใส่ ไม่ได้โดนเต็มๆ แค่เฉียว แต่ความรุนแรงก็ทำให้ร่างของอิบูกิแทบจะปลิวไป ถ้าเป็นตามปกติล่ะนะ

   “แค่นี้ทำอะไรคุณไม่ได้สินะครับ”

   อิบูกิโจมตีตามที่เขาคิดไว้ต่อโดยไม่ได้สนใจแผลที่ไหล่เลยแม้แต่นิดเดียว แต่สิ่งที่เขาพบกลับเป็นการตอบโต้ของจริงจากชายผู้ให้ความรู้สึกว่าแข็งแกร่งกว่าที่ผ่านๆมา

   “อะไรกัน”

   เกิดฝุ่นฟุ้งจำนวนมาก อิบูกิรีบกระโจนออกมาโดยที่ไม่รู้ว่าเขาโจมตีโดนหรือไม่ สิ่งที่ปลายกระบี่สัมผัสถูกเป็นอะไรที่ไม่คุ้นเคย เป็นสิ่งที่ทั้งแข็งและยืดหยุ่น แต่ก็แค่นั้น เพราะกระบี่ของเขาสัมผัสมันได้แค่แว็บเดียว เพราะกระบี่ของเขาเหมือนถูกดีดกระเด็นออกมา จนเสียหลักในการเคลื่อนไหว จากนั้นอิบูกิก็กระโจนออกมาทันที

   “อ๊ะ-”

   ไม่ทันที่อิบูกิจะได้แตะพื้น ‘บางสิ่ง’ พุ่งออกมาจากกลุ่มฝุ่นควันที่ฟุ้งอยู่ทั่วบริเวณ เพราะถูกห่อหุ้มไว้ด้วยกลุ่มฝุ่นทั่วจึงมองไม่ออกว่ามันคืออะไร ความเร็วที่พุ่งเข้ามาหาเขานั้นเรียกว่าเกิดนบรรยายก็คงจะไม่เกิดจริงสักเท่าไหร่ อิบูกิรู้สึกไได้ถึงอันตรายจากความสามารถของเทมเปสต์ จึงใช้กระบี่ของตนมากันไว้ที่ตัว ในจังหวะนั้นเอง อะไรบางอย่างที่ก็พุ่งเข้าใส่กระบี่ของเขา ถือว่าป้องกันสำเร็จ แต่ไม่ทันไร อิบูกิก็ถูกอะไรบางอย่าง ‘ผลักกระเด็น’ จนลงไปกองอยู่กับพื้นด้วยความเร็วสูง

   แต่โชคก็ยังเข้าข้างเขาอยู่บ้าง เพราะในจังหวะที่ถูกแทงใส่นั้น อิบูกิก็เห็นแล้วว่าสิ่งที่โจมตีใส่เขาคือเรเปียร์นั่นเอง

   {เมื่อกี้นี้มัน}

   {อือ เรเปียร์ของจริง หมอนั่นชักดาบออกมาแล้วสินะ}

   มีลมพัดเข้ามาอย่างแผ่วเบา ทำให้ฝุ่นที่ห่อหุ้ม ‘บางสิ่ง’ ปลิวไปตามสายลม และก็เป็นไปตามที่อิบูกิคิดไว้ สิ่งที่ปรากฏออกมาก็คือซาเฟรินที่มีเรเปียร์ที่งดงามดุจเพรชอยู่ในมือขวา แต่นั่นก็เป็นภาพเพียงแว็บเดียว เพราะซาเฟรินพุ่งเข้ามาหาอิบูกิด้วยความเร็วที่เหนือมนุษย์อย่างที่เคย สิ่งที่ดวงตาของอิบูกิสามารถจับภาพได้มีเพียงปลายเรเปียร์ที่พุ่งเข้ามาหาเขาในระยะเผาขนเท่านั้น ปลายทางที่เรเปียร์มุ่งไปมีหัวของอิบูกิอยู่

   “มะ…ไม่ทันแน่ ไม่สิ ไม่แบบนี้”

   ในเวลานั้นเอง ดวงตาของอิบูกิเบิกกว้าง ภาพที่เขาเห็นช้าลงจนคิดว่าเวลาถูกหยุดไว้ บางทีนี่อาจจะเป็นสิ่งที่หลายๆคนเคยพูดเอาไว้ ที่เวลาคนเรากำลังจะตาย เวลาจะหยุดนิ่งลง แต่ไม่ใช่กับตอนนี้ สมองของอิบูกิถูก ‘เร่งความเร็ว’ จนทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ต่างหาก ในจังหวะที่ปลายเรเปียร์กำลังจะแตะจมูกของเขานั้นเอง มันก็หันปลายขึ้น เรียกให้ถูกคือถูกเบี่ยงทิศให้ชี้ขึ้นไปกลางอากาศต่างหาก

   อิบูกิใช้กระบี่ในมือขวางัดเรเปียร์ที่พุ่งเข้ามาของซาเฟรินให้ชี้ขึ้น ทำให้ทิศทางที่โจมตีนั้นเปลี่ยนไป จากนั้นอิบูกิจึงใช้เท้าซ้ายยันกับพื้นแล้วพุ่งตัวเข้าไปหาซาเฟรินที่อยู่ตรงหน้า โดยที่ยังคงรักษาตำแหน่งของกระบี่ตัวเองไว้ และนั่นก็ทำให้ซาเฟรินไม่สามารถใช้เรเปียร์ของตัวเองได้

   การเสียดสีระหว่างใบดาบของกระบี่และเรเปียร์ทำให้เกิดเสียงและสะเก็ดไป และด้วยความเร็วของอิบูกิที่พุ่งเข้าไปหาซาเฟรินด้วย ทำให้เสียงยิ่งดังแสบหูขึ้นไปอีก เรเปียร์มีการ์ดป้องกันมืออยู่จึงไม่สามารถลากจนไปถึงไหล่อีกฝ่ายได้ แต่แค่นี้ก็เพียงพอสำหรับการโจมตีของเขาแล้ว

   อิบูกิค่อยๆเปลี่ยนการงัดเพื่อหักเหวิถีไปเป็นการโจมตีในแนวขวางจากซ้ายไปขวา ซึ่งถือเป็นการตัดสินว่าใครจะอยู่ใครจะไป เพราะถ้าความเร็วของเขาไม่พอ เรเปียร์ที่ถูกมีแรงต้านในกรเบี่ยงวิถีอยู่แล้วก็จะฟันตัวเขาให้ร่างขาดครึ่งได้ แต่ถ้าเร็วกว่า กระบี่ของเขาก็จะตัดร่างของศัตรูให้ขาดครึ่งท่อนได้ นั่นคือตามปกติ

   แต่อิบูกิในตอนนี้สามารถเลี่ยงความเสี่ยงได้ เขาเบนตัวเองออกมาทางขวาให้มากที่สุดเพื่อหลบการโจมตีที่จะทำให้ร่างของตัวเองขาดครึ่งท่อน จากนั้นจึงพลิกร่างของตัวเองให้หมุนไปทางขวาเพื่อหลบการโจมตีทั้งหมด เท่านั้นยังไม่พอ เขาใช้เท้าขวายันพื้น จากนั้นจึงใช้ความสามารถในการเร่งความเร็วเหมือนการพุ่งของเทมเปสต์เพื่อโจมตีอีกฝ่ายด้วยความเร็วสูงสุด วิถีดาบของเขาก็จะตัดแขนซ้ายและหัวของศัตรูได้พร้อมๆกันด้วย แต่ว่า…

   จู่ๆ ซาเฟรินที่น่าจะกำลังอยู่ในท่าพุ่งเข้าใส่ก็กระโจนขึ้นไปกลางอากาศ มีลมแรงๆพัดตามหลังอิบูกิที่กำลังตกใจกับการกระทำเหนือธรรมชาติที่เกิดขึ้นตรงหน้าของเขา

   “ยังไม่จบหรอก”

   อิบูกิเร่งความเร็วแล้วพุ่งขึ้นไปโจมตีใส่ซาเฟรินที่ยังคงรอยอยู่กลางอากาศ เจ้าตัวใช้เรเปียร์ในมือรับไว้ได้อย่างง่ายดาย แต่แน่นอนว่ามันยังไม่จบลงเพียงแค่นี้หรอก ทั้งคู่พะออกจากกันแล้วพุ่งเข้าโจมตีใส่กันและอีกเป็นจำนวนนับครั้งไม่ถ้วนกลางอากาศ จนสุดท้ายทั้งคู่ก็ร่วงลงมายังพื้นดินที่เป็นจุดเริ่มต้น 

   อิบูกิอยู่ในสภาพที่มีรอยแผลเล็กๆทั่วร่าง แต่ที่น่าจะหนักที่สุดก็คงจะเป็นเลือดที่ไหลออกมาตามดวงตา จมูก หูและปาก จนทัศนวิสัยของเขาถูกย้อมไปด้วยสีแดง ซึ่งนั่นเป็นผลของการ ‘เร่งความเร็ว’ ที่อิบูกิใช้ แต่ทางด้านซาเฟรินนั้นไม่มีบาดแผลสักที่อยู่เลย ชุดสูทยังดูเรียบร้อยดีแม้จะยับไปบ้างก็ตาม รับรองได้เลยว่าถ้ายังตอ่สู้แย่างยืดเยื้อกันต่อไปอีก ร่างกายของอิบูกิไม่มีทางทนได้อย่างแน่นอน

   “อะ…ไรน่ะ”

   อิบูกิแหงนหน้ามองท้องฟ้าที่ตอนนี้มีเมฆสีดำคลุมอยู่ทั่ว น้ำฝนค่อยๆร่วงหล่นลงมาจากแพเมฆสีเข้ม มันช่วยชำระล้างเลือดที่บดบังทัศนวิสัยของอิบูกิไปจนหมด แต่ฝนก็ตกหนักขึ้นเรื่อยๆจนทำให้เกิดหมอกขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นหมอกที่หนาจนสามารถหลงได้เลย กลายเป็นว่าทัศนวิสัยของอิบูกิถูกบดบังอีกครั้งหนึ่ง แต่ซาเฟรินเองก็ต้องเป็นด้วย

   “มาจบเรื่องนี้กันเถอะครับ”

   มีบางสิ่งพุ่งผ่านหมอกมาหาอิบูกิอย่างไม่ลังเล อิบูกิพยายามลุกขึ้นแต่ก็แทบจะไม่มีแรงในการรับมือการโจมตีนั้นแล้ว ถ้าเป็นแบบนี้ยังไงการโจมตีนั้นก็ต้องเข้าเป้าอย่างแน่นอน

   “!?”

   แต่ก่อนที่อิบูกิจะถูกการโจมตีนั้นเล่นงาน จู่ๆก็เกิดผลึกเพชรลอยคว้างอยู่ต่อหน้่าของเขา ขนาดของมันเล็กพอๆกับกำปั้นของเด็กทารกเลยก็ว่าได้ แต่ว่ามันก็สามารถหยุดปลายเรเปียร์ที่พุ่งเข้ามาหาอิบูกิได้อย่างสมบูรณ์แบบ ยังไม่มดเพียงแค่นั้น ซาเฟรินที่น่าจะเป็นคนถือเรเปียร์ยังถอยหลังออกจากจุดเดิมด้วย ไม่ได้โจมตีเข้ามาต่อ นั่นเพราะมีผลึกเพชรเกิดขึ้นมากลางอากาศรอบๆตัวเขาในจำนวนที่ขาดไม่ถึง และมันก็ยังเกิดขึ้นมาเรื่อยๆอีกด้วย

   “ตื่นแล้วเหรอครับ งั้นคงช่วยไม่ได้ล่ะนะครับ สงสัยว่าคงต้องยอมถอยไปก่อน แต่คราวหน้าผมของเด็ดหัวของคุณกลับไปด้วยก็แล้วกันนะครับ คุณ ‘ตัวตนไร้ขอบเขต’”

   พูดจบ ซาเฟรินก็หายเข้าไปในม่านหมอกหนา อิบูกิยังคงพยายามเรียบเรียงความคิดของตัวเอง แต่ก่อนที่จะตระหนักอะไรได้ สิ่งที่เขารู้ได้เพียงอย่างเดียวในตอนนี้ก็คือ

   “จบแล้วสินะ”

   อิบูกิพึมพำออกมาอย่างแผ่วเบา แต่เสียงนั่นก็เข้าหูคนคนหนึ่งจนได้

   “คงจบจริงๆนั่ันแหละ”

   มีเสียงตอบรับดังขึ้น อิบูกิหันมองไปตามต้นเสียงนั้นในขณะที่หมอกค่อยๆจางลง คนที่กำลังนอนอยู่ก็คือมาซามุเนะ มาซามุเนะเงยหน้าขึ้นมามองอิบูกิแล้วกลับไปนอนต่อ อิบูกิจึงตระหนักว่าผลึกเพชรเป็นสิ่งที่มาซามุเนะสร้างขึ้นมา

   “ยังไม่พาฉันไปจากที่นี่อีกเหรอไง”

   “นายนอนไปแล้วนี่ คราวนี้ฉันของนอนบ้างก็แล้วกัน”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา