Psychic พลังกายสิทธิ์ ลิขิตมรณะ
-
เขียนโดย MoMoGa
วันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เวลา 23.06 น.
26 บท
4 วิจารณ์
20.56K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 11.12 น. โดย เจ้าของนิยาย
21) ตอนที่ 12 ความรู้สึกของแต่ละคน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ วันอาทิตย์ที่ 3 สิงหาคม เวลา 06.50 นาฬิกา
รู้ตัวอีกที ชินโด มาซามุเนะก็ตื่นขึ้นมาท่ามกลางความมืดของห้องพักผู้ป่วยที่โรงพยาบาลแล้ว เท่าที่เขาจำได้ เขาเห็น โทโมยูกิ ซาเอโกะ กำลังใช้ออร่าพลังจิตที่ถูกเปลี่ยนรูปร่างไปเป็นหางที่ดูคล้ายกับแมงป่อง โจมตีเข้าใส่คาวาซากิ คุออน หญิงสาวที่เขารักและหวงแหนมากที่สุด และหลังจากนั้น ความทรงจำของเขาก็ขาดหายไปโดยสิ้นเชิง
มาซามุเนะมองดูรอบๆห้อง และไม่กี่นาทีหลังจากที่เขาตื่นขึ้นมา ก็มีหมอคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเขา และแจ้งอาการให้เขาทราบ หมอบอกกว่ามาซามุเนะได้รับบาดเจ็บร้ายแรงมาก็จริง แต่ก็ได้การพยาบาลเบื้องต้นที่ดีช่วยไว้ ทำให้เขารอดตายจนมาถึงมือของศัลยแพทย์อัจฉริยะของโรงพยาบาล ทำให้ตอนนี้เขาไม่มีอาการบาดเจ็บใดๆหลงเหลืออยู่แล้วแม้แต่น้อย
"ท่านพี่คะ สวัสดีค่ะ”
หลังจากนั้นไม่นาน ฮันโซ นากิสะ น้องสาวที่มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นยิ่งกว่าน้อง เปิดประตูห้องพักผู้ป่วยของมาซามุเนะเข้ามาหา
“มาทำไมเหรอ”
มาซามุเนะพูดออกไปด้วยความสงสัย
“โธ่ ท่านพี่ค่ะ คุณหมอเขาแจ้งมาว่าท่านพี่หายดีแล้ว ฉันก็เลยมารับไงค่ะ! ดูสิหนูพาแขกมาด้วยน้า”
นากิสะพูดขึ้นมา พร้อมกับเดินออกห่างจากประตูห้อง และในเวลาเดียวกัน ก็มีชายสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวลายดำ กางเกงยีนส์สีน้ำเงินเข้ม เดินเข้ามาในห้อง
“โย่ว ยังไม่ตายสินะ ไอ้เด็กไม่เอาไหน”
ชายคนเดียวที่เป็นผู้สอนทุกอย่างให้มาซามุเนะ ทั้งเรื่องการต่อสู้ การสังเกต และแนวทางความคิด ซึ่งก็หมายความว่า ความเก่งกาจในเรื่องการต่อสู้และเรื่องความคิดนั้น มาซามุเยะแทบจะถอดแบบมาจากคนๆนี้กันเลยทีเดียว และเขาก็คือ
“อะอะอาจารย์มิไรอิ”
ใช่แล้ว คนคนนี้ก็คือ มิคาเซะ มิไรอิ ชายอายุ 36 ปี ผู้เป็นอาจารย์ให้กับมาซามุเนะในช่วงที่เขาอยู่ที่ตระกูลฮันโซนั่นเอง
“ฉันแค่ผ่านทางมาเท่านั้นแหละเดี๋ยวก็...”
“ความจริงคือ อาจารย์รู้ว่าท่านพี่บาดเจ็บสาหัส ก็เลยมาเยี่ยมยังไงล่ะค่ะ”
มิไรอิที่กำลังยืนพิงประตูอยู่ถึงกับทรุด เมื่อนากิสะพูดความจริงของเขาออกมาจนหมดเปลือก
“ช่างเรื่องนั้นก่อนเถอะ มาซามุเนะ นายออกจากโรงพยาบาลได้แล้วใช่ไหม จามฉันมาหน่อยสิ”
มิไรอิพูดพร้อมกับเดินออกไปจากห้อง มาซามุเนะไม่จำเป็นต้องคิดอะไรต่อแล้ว เขาลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินตามอาจารย์ของตนออกไปทันที
วันเดียวกัน เวลา 09.30 นาฬิกา
หลังจากนั้น มิไรอิเดินมายังโรงฝึกของบ้านมาซามุเนะ และบอกให้มาซามุเนะไปเตรียมตัว เพราะว่าเขามีเรื่องจะทำกับมาซามุเนะ
“มีอะไรเหรอครับอาจารย์”
มาซามุเนะเดินเข้ามาหามิไรอิที่กำลังนั่งรออยู่ในโรงฝึก มิไรอิหันหน้ามาหามาซามุเนะพร้อมกับชี้ไปทางดาบไม้ไผ่ที่วางรวมกันอยู่ ซึ่งในมือของเขาก็มีอยู่แล้วเล่มหนึ่ง
มาซามุเนะรู้ได้ในทันทีว่าอะไรคือสิ่งที่มิไรอิต้องการ เขาเดินไปหยิบแต่โดยดี จากนั้นทั้งคู่ก็ตั้งดาบเข้าหากัน
“ย้าก————-”
“นี่คืออาจารย์ของคุณหนูสินะคะ”
“อืม อาจารย์ชื่อว่ามิไรอิน่ะ ที่จริงอาจารย์เขาก็มีนามสกุลนั่นแหละ แต่อาจารย์เขาอยากให้เรียกแบบนี้น่ะ แล้วอีกอย่าง คราวหน้าอย่ามาตีสนิทแบบนี้สิค่ะ”
แคทเธอรีนเดินมาคุยกับนากิสะที่กำลังมองดูมาซามุเนะกับมิไรอิฝึกซ้อมกันอยู่
“งั้นก็หมายความว่า คุณหนูมาซามุเนะได้รับถ่ายทอดความสามารถส่วนใหญ่มาจากอาจารย์คนนั้นสินะคะ”
“โอ๊ย!”
ระหว่างที่แคทเธอรีนกำลังถามนากิสะอยู่ ก็มีเสียงร้องจองมาซามุเนะดังออกมาจากโรงฝึก แต่แคทเธอรีนก็อดใจไม่หันหน้าไปมองเพื่อเป็นการให้เกียรตินากิสะที่อยู่ตรงหน้า
“ก็ประมาณนั้นแหละค่ะ อาจารย์เขามองเห็นความแข็งแกร่งที่อยู่ในตัวท่านพี่ ก็เลยจับฝึกแบบเอาเป็นเอาตายเลยล่ะค่ะ”
“อ้าก——-”
“นี่! คุณอาจารย์คะ คุณหนูพึ่งออกจากโรงพยาบาลนะคะ ข่วยเบามือหน่อยสิคะ คุณหนูค่ะ จัดการเลยค่ะ”
“แคทเธอรีนใจเย็นๆหน่อยสิ เขาฝึกกันอยู่นะ”
แคทเธอรีนอดใจที่ตัวเองจะตะโกนออกไปไม่ได้ แต่นากิสะก็ช่วยห้ามไว้ก่อนที่จะเกิดอะไรขึ้น
“อาจารย์เล่นผมซะน้วมเลยนะครับ”
มาซามุเนะพูดติดตลกจากมิไรอิที่เป็นอาจารย์ หลังจากที่ทั้งคู่ฝึกกันเสร็จแล้ว ก็มานั่งดื่มชาที่แคทเธอรีนเตรียมไว้ให้ก่อนแล้ว มิไรอิพยักสายหน้าครั้งหนึ่งต่อคำพูดของ มาซามุเนะ ก่อนที่จะเริ่มพูดคุยกับเขา
“มาซามุเนะ นายมีอะไรที่่ค้างคาใจอยู่สินะ”
มิไรอิเริ่มพูดกับมาซามุเนะเกี่ยวกับตัวเขาที่ดูผิดปกติไปจากที่เคย ส่วนมาซามุเนะที่ได้ยินดังนั้น ก็วางชาที่อยู่ในมือลงแล้วก้มหน้าคิดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะหันมาสบตากับผู้เป็นอาจารย์ของตัวเอง
“เมื่อวานนี้ผมเกือบตายก็จริง แต่ก็รู้สึกว่าตัวเองอีกคนหนึ่งหายไปพร้อมๆกับตอนที่โดนโจมตีเหมือนกัน แต่ถ้าผมไม่มีตัวผมอีกคนหนึ่ง ก็จะเอาชนะเจ้าหมอนั่นไม่ได้ด้วย แต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกสบายใจกว่าปกติหลายเท่าตัวเลยล่ะครับ ทั้งๆที่ตอนนี้เพื่อนคนสำคัญก็กำลังเผชิญหน้าอยู่กับอันตรายแท้ๆ แต่ที่ผมกลับมารู้สึกสบายใจแบบนี้ ผมคิดว่าตัวผมในตอนนี้ทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะครับ เป็นได้ก็แค่ขยะเท่านั้น”
ตอนไหนที่มาซามุเนะมีเรื่องหนักใจ เขาก็ชอบมาพูดกับมิไรอิ เขารู้สึกว่ามิไรอิเป็นคนที่หาทางออกให้กับเขาได้ดีที่สุดแล้ว และในทุกๆครั้ง มาซามุเนะก็จะได้รับคำชี้แนะที่เหมาะสมมาเสมอ แต่ในครั้งนี้มันต่างออกไป เพราะตอนนี้เขารู้สึกเกลียดตัวเองที่รู้สึกสบายใจในเวลาที่คนอื่นๆกำลังลำบากอยู่
ระหว่างที่มาซามุเนะกำลังรอฟังคำพูดตอบหลับจากปากของมิไรอิผู้เป็นอาจารย์ น้ำตาที่เขากลั้นเอาไว้ก็ค่อยๆไหลเป็นสายออกมาจากตาตัวเอง เขาใช้มือทั้งสองข้างเช็ดน้ำตาโดยเร็ว แต่มิไรอิก็จับที่มือของเขาเสียก่อน
“เวลาที่รู้สึกไม่สบายใจหรือรู้สึกดีใจน่ะ การร้องไห้ให้กับมันไม่ถือว่ามันผิดหรอกนะ ตอนไหนที่อยากจะร้องก็ร้องออกมาเถอะ”
มิไรอิยืนหันหลังให้กับมาซามุเนะที่กำลังร้องไห้ออกมา ถึงจะห้ามตอนนี้ ก็ไม่มีใครคิดว่ามาซามุเนะจะหยุดร้องแล้ว
“ฉันเคยบอกให้นายทำตามใจของนายใช่ไหมมาซามุเนะ แต่ว่าขอแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น ฉันขอให้นายไปเอาตัวเองอีกคนกลับมาซะ ไม่ใช่เพื่อคนอื่น แต่เพื่อตัวนายเอง เพื่อพิสูจน์ว่าถึงไม่มีเจ้าหมอนั่น นายก็ยังคงเป็นชินโด มาซามุเนะ ชายผู้ที่สามารถทำได้ทุกอย่างได้”
ด้วยคำพูดนั้นของมิไรอิ ทำให้มาซามุเนะรู้สึกได้ถึงความจริงที่ว่า ตัวเองในตอนนี้ไม่ใช่ชินโด มาซามุเนะคนเดิม แต่เป็นได้แค่ชินโด มาซามุเนะที่อาลัยอาวรณ์กับพลังที่ตัวเองเคยมี ถึงจะไปพบหน้าคุออนตอนนี้ เขาก็คงคิดว่าไม่สามารถที่จะสัญญาณว่าจะปกป้องได้ และก็ไม่สามารถที่จะทำตามคำสัญญาณเมื่อ 5 ปีที่แล้วได้เช่นกัน
“ถ้างั้น ฉันกลับไปที่ตระกูลก่อนก็แล้วกัน นายเองรักษาตัวด้วยล่ะ นากิสะจัง ฉันจะกลับแล้วนะ”
มิไรอิไม่ได้หันหน้ามาคุยกับมาซามุเนะโดยตรง แต่แค่พูดขึ้นมาและก็กำลังเดินกลับเข้าไปในบ้าน
“อาจารย์จะกลับไปที่ตระกูลแล้วใช่ไหมครับ?”
มาซามุเนะพูดขึ้นมาพร้อมกับยืนขึ้นมาด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง
“ขอผมติดไปด้วยได้ไหมครับ? พอดีมีเรื่องที่ต้องจัดการอยู่นิดหน่อยน่ะครับ”
“ก็ตามใจสิ”
มิไรอิพูดพร้อมกับเดินต่อไป โดยที่มีมาซามุเนะเดินตามไปติดๆ
คาวาซากิ คุออน เด็กสาวอายุ 16 ปี เมื่อ 7 ปีก่อน เธอที่พยายามจะช่วยคาวาซากิ ริน พี่สาวเพียงคนเดียวของตัวเองจากการจับกุมของรัฐบาล เกือบจะถูกฆ่าตาย แต่ก็ได้รินช่วยเอาไว้ แต่ก็แลกมาด้วยชีวิตของรินเอง ซึ่งถ้าความทรงจำของเธอไม่หายไป นั่นก็คงจะกลายเป็นจุดที่เปลี่ยนชีวิตของเธอไปตลอดการเลยก็เป็นได้
แต่เมื่อไม่นานมานี้ เธอพึ่งจะได้รู้เรื่องเมื่อครู่นี้ ทำให้มีความรู้สึกต่างๆมากมายเข้ามาภายในใจของเธอ จนทำให้เธอตัดสินใจได้ว่า ต่อจากนี้ไป ถ้ามีโอกาสในการช่วยเหลือคนอื่นล่ะก็ เธอจะไม่ปฏิเสธโอกาสนั้นเป็นอันขาด แม้มันจะต้องแลกมาด้วยชีวิตของเธอก็ตาม
วันเสาร์ที่ 2 สิงหาคม เวลา 18.30 นาฬิกา
ระหว่างที่เธอกำลังทำการบ้านของโรงเรียนอยู่นั้น โทรศัพท์ที่อยู่ข้างๆตัวเธอก็ดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เธอตกใจสักเท่าไหร่ กลับกัน เธอตื่นเต้นกับมันซะมากกว่า เพราะส่วนใหญ่แล้ว จะมีแต่ชินโด มาซามุเนะ เพื่อนสมัยเด็กที่เธอรักมากที่สุดเท่านั้นที่จะส่งข้อความหรือโทรมาหา
แต่ว่าในครั้งนี้มันไม่ใช่ เพราะคนที่ส่งข้อความมาหาเธอนั้นก็คือเพื่อนร่วมชั้นเรียนของเธอ โทโมยูกิ ซาเอโกะนั่นเอง ซึ่งนั่นทำให้เธอแปลกใจเป็นอย่างมาก เพราะว่าเธอแทบจะไม่เคยคุยกับโทโมยูกิเลย แต่ถ้าจะให้พูดถึงเหตุผลล่ะก็ คงจะเป็นความรู้สึกอันตรายที่เธอรู้สึกได้จากตัวเขามากกว่า ที่ทำให้เธอไม่เคยคุยกับโทโมยูกิ
คุออนตัดสินใจสลัดความรู้สึกนั้นทิ้งไป แล้วกดดูข้อความที่โทโมยูกิส่งมา แต่ข้อความนั้นก็เหมือนเป็นการทรยศของการสลัดความรู้สึกในใจของเธอทิ้งไป เพราะว่าเนื้อหาข้อความนั้นก็คือ
{เธอรู้เรื่องของโอคาซากิ อากิโอะกับอลิซาเบธ อาเธน่าหรือยัง นั่นฉันเป็นคนทำเองล่ะ แล้วก็ ถ้าไม่อยากให้ทั้งคู่เป็นอะไรไปมากกว่านี้ล่ะก็ มาที่สวนของโรงเรียนคนเดียวตอน 1 ทุ่มตรงซะ แล้วก็ ห้ามบอกเรื่องนี้กับใครเด็ดขาด}
ถึงตอนนี้คุออนจะยังไม่รู้ว่ามันมีความหมายว่าอะไรกันแน่ แต่สิ่งที่เธอทำเป็นอย่างต่อมา ก็คือการโทรหา มาซามุเนะเพื่อถาม[เรื่องของโอคาซากิ อากิโอะและอลิซาเบธ อาเธน่า]ที่โทโมยูกิกล่าวถึงในข้อความแต่สิ่งที่ได้ก็คือเสียงรอสายและเสียงปฏิเสธที่ดังขึ้นซ้ำไปมา เธอตัดสินใจโทรไปหานากิสะเพื่อถามหามาซามุเนะแทน แต่เธอก็ได้รับรู้บางอย่างที่คาดไม่ถึงเข้าโดยบังเอิญ
“สวัสดีคะ คุออนจังมีอะไรเหรอ”
คุออนโทรหานากิสะที่คาดว่าตอนนี้น่าจะอยู่กับมาซามุเนะ
“เอ่อ นากิสะจัง ขอสายมาซามุเนะหน่อยได้ไหม พอดีฉันมีเรื่องที่ต้องคุยกับเขาน่ะ”
“ขอโทษด้วยนะ พอดีท่านพี่ไม่ได้กลับบ้านตั้งแต่เมื่อคืนแล้วน่ะ อลิซก็ด้วย ไปไหนกันหมดน้า~~~~”
“วะ...ว่าไงนะ อลิซาเบธก็ไม่อยู่เหรอ”
“ใช่ เมื่อวานนี้อลิซบอกว่าจะกลับดึกหน่อย แต่ก็ไม่เห็นจะกลับมาเลย สงสัยจังเลยเนอะว่าทำอะไรอยู่”
คุออนตัดสายนากิสะทิ้งโดยทันที เพราะตอนนี้เธอพอจะรู้แล้วว่า อลิซาเบธอาจจะกำลังเจอกับอะไนบางอย่างอยู่ ทำให้ไม่สามารถกลับไปบ้านได้ ซึ่งกุญแจก็คือโทโมยูกิมี่ส่งข้อที่ดูท่าทางน่าสงสัยมานั่นเอง
“ฉันจะต้อง ช่วยไว้ให้ได้เลย”
คุออนคิดพร้อมกับเดินออกจากบ้านไปโดยบอกกับพ่อแม่ว่าต้องไปทำงานกลุ่ม จะกลับดึกหน่อย
วันเสาร์ที่ 2 สิงหาคม เวลา 19.15 นาฬิกา
คุออนที่กำลังอุ้มร่างไร้สติของมาซามุเนะอยู่ที่หน้าสวนของโรงเรียนมาซาราดะ ก็ได้เจอกับนากิสะเข้าพอดี ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ใช่การได้เจอกันโดยบังเอิญ แต่นากิสะนั้นมาเพราะเห็นข้อความในโทรศัพท์ของคุออนโดยใช้การแฮ็คนั่นเอง
นากิสะรับตัวมาซามุเนะไปแล้วบอกว่าจะจัดการเรื่องนี้ให้เอง เดี๋ยวเธอจะติดต่อไปหาทีหลัง แล้วนากิสะก็จากไปทันที ทิ้งให้คุออนต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวอีกครั้ง
......ทำไมเราถึงช่วยใครไว้ไม่ได้เลย แล้วมีอะไรที่เราพอจะช่วยได้บ้างไหมนะ คือคำถามที่ดังก้องอยู่ในหัวของคุออนระหว่างที่กำลังเดินกลับบ้าน
วันอาทิตย์ที่ 3 สิงหาคม เวลา 18.55 นาฬิกา
เมื่อเช้ามืดของวันนี้ มีข้อความจากโทโมยูกิส่งมาหาเธอ โดยมีใจความข่มขู่ให้ไปหาตอนเวลา 1 ทุ่มตรงที่บ้านของตัวเอง ซึ่งถ้าไม่ไปหา อาจจะมีอันตรายถึงอากิโอะและอลิซาเบธก็เป็นได้ ด้วยเหตุนี้ ทำให้ในตอนนี้ เธอกำลังเดินไปที่บ้านของโทโมยูกิอยู่นั่นเอง
คุออนในตอนนี้กำลังเดินเข้าไปในบ้านที่ป้ายข้างหน้าบ้านนั้นมีชื่อเขียนไว้ว่า [โทโมยูกิ] อยู่
ที่ประตูไม่ได้ล็อคไว้ เธอเปิดมันออกมาอย่างเงียบๆ สิ่งที่รอต้อนรับเธออยู่ก็คือความกว้างขวางของบ้านที่ดูใหญ่กว่าด้านนอกเสียอีก นอกจากนี้ ที่ชั้นสองของบ้านนั้นมีเงาของใครบางคนยืนอยู่ด้วย
“วันนี้มาตรงเวลาดีนิ คงจะรู้แล้วสินะว่าฉันต้องการอะไรน่ะ”
“......”
คุออนไม่ได้พูดตอบกลับอะไรไป แต่โทโมยูกิก็ไม่ได้คิดอะไรมาก
“ขึ้นมาสิ”
คุออนไม่มีทางเลือกนอกจากต้องทำตามที่โทโมยูกิสั่ง เธอค่อยๆก้าวเดินขึ้นมาบนบันได้อย่างช้าๆ โดยที่ในใจของเธอก็ยังคงหวังว่าการกระทำของเธอนั้นจะสามารถช่วยเหลือคนอื่นๆได้ แต่ในตอนที่เธอเพิ่งขึ้นบันไดไปได้แค่ครึ่งเดียว ก็มีเสียงเปิดประตูดังๆเกิดขึ้น และเมื่อเธอหันไปมอง ก็ได้เจอกับสิ่งที่ตัวเธอเองนั้นไม่เคยหวังมาก่อน
“โทโมยูกิ ซาเอโกะ ฉันมาเพื่อขอรับเพื่อนๆของฉันคืน”
ผู้ที่ปรากฏตัวออกมาก็คือชินโด มาซามุเนะนั่นเอง ด้วยการปรากฏตัวของ มาซามุเนะนั้น ทำให้โทโมยูกิตกใจมาก แต่เขาก็รีบดึงสติกลับมาก่อนที่จะถูกมาซามุเนะคุมเกมไปได้
“อะไรกันครับเนี่ย ทำไมไอ้ขยะอย่างแกถึงยังยืนอยู่ได้กันเล่า ขยะอย่างแกน่าจะนอนสลบไปแล้วสิ อ๋อ อย่างนี้นี่เอง เพราะกำลังจะเสียแฟนของตัวเองไป ก็เลยรีบลุกขึ้นมาสินะ แต่แกน่ะคิดผิดแล้ว เพราะว่าแฟนของแกเป็นของฉันไปแล้วยังไงล่ะ เอ้า เธอเองก็พูดอะไรบ้างสิ"
โทโมยูกิพูดประโยคสุุดท้ายพร้อมกับมองไปที่คุออนที่กำลังก้มหน้าอยู่ คำพูดนั้นทำให้เธอไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องพูดไปตามที่โทโมยูกิสั่งมา
คุออนหันหน้าไปหามาซามุเนะ หายใจเข้าแล้วพูดออกไปด้วยการเตรียมใจที่เธอมีอยู่ทั้งหมด
“ใช่แล้วล่ะ มาซามุเนะ นายมันไร้ค่าไปแล้วล่ะ กลับไปซะเถอะ พวกเราไม่มีธุระอะไรกันแล้ว”
คุออนพูดด้วยสีหน้าที่เย็นชาอย่างถึงที่สุด แต่ถึงเธอจะพูดแบบนั้นไป สีหน้าที่เต็มไปด้วยความตั้งใจของมาซามุเนะก็ไม่ได้จางหายไปเลยแม้แต่น้อย
“คุออน เธอเคยบอกสินะ ว่าฉันไม่เข้าใจความรู้สึกที่ไม่อยากสูญเสียคนที่รักไปถึงแม้มันจะเป็นแค่คำโกหกน่ะ ตอนนี้ฉันเริ่มเข้าใจแล้วล่ะ แต่ว่านะ ฉันไม่ได้มาที่นี่เพราะเธอคนเดียวหรอกนะ ยังมีคนอื่นๆที่รอการปลดปล่อยจากฉันอยู่”
มาซามุเนะพูดพร้อมกับเดินไปเผชิญหน้ากับโทโมยูกิที่ยืนอยู่บนชั้นสอง ปล่อยให้คุออนยืนร้องไห้ปนความรู้สึกสงสัยที่ยังคาใจกับคำพูดของเขาอยู่
“โทโมยูกิ ซาเอโกะ ความสามารถพลังจิตของนายก็คือ Color Changer สินะ สามารถเปลี่ยนสภาพพลังของตัวเองได้ตามจิตใจที่ตัวเองขโมยมาสินะ สาเหตุที่อากิโอะและอลิซาเบธยังไม่ได้สติขึ้นมาก็เพราะว่านายขโมยจิตใจของทั้งสองคนไปสินะ เอาจริงๆฉันมีเรื่องอยากจะถามเยอะเลยล่ะ ดังนั้นก็อย่าตายเด็ดขาดล่ะ"
มาซามุเนะพูดด้วยท่าทีที่ไม่รู้สึกหวาดกลัวกับความสามารถของโทโมยูกิที่ตัวเองพูดออกมาเลยสักนิดเดียว
“ถ้ารู้ถึงขนาดนั้นล่ะก็ นายก็คงจะเข้าใจดีสินะ ว่าตอนนี้นายน่ะ ไม่มีพลังจิตหลงเหลืออยู่แล้ว”
โทโมยูกิพูดพร้อมกับแสดงออร่าพลังจิตสีดำทมิฬ ซึ่งนัน่ก็คือพลังจิตที่มาซามุ-เนะสุดแสนจะคุ้นเคย [Dark] นั่นเอง โทโมยูกิเร่งออร่าให้มันห้อมล้อมตัวของเขาไว้ ทำให้ในตอนนี้ ข้างตัวของโทโมยูกิเต็มไปด้วย [หมอกออร่า] ที่เกิดจากการรวมตัวกันของออร่าพลังจิตที่เขาสร้างขึ้นมานั่นเอง
“<ดาร์ค แอร์โรว์ (Dark Arrow)>”
ออร่ารอบตัวโทโมยูกิ รวมตัวกันแล้วกลายสภาพเป็นลูกศรลอยอยู่รอบตัวเขา เมื่อโทโมยูกิสะบัดมือไปทางมาซามุเนะ ลูกศรเหล่านั้นก็พุ่งเข้าหามาซามุเนะโดยทันที ถ้าเป็นความเร็วนี้ คนธรรมดาที่ไม่มีพลังจิตคงจะหลบมันไม่พ้นอย่างแน่นอน
แต่การคาดคะเนนั้นก็ไร้ผลกับมาซามุเนะ เพราะว่าเขาที่อยู่ได้ไปอยู่ที่ตระกูลฮัน-โซนั้น ได้เรียนรู้กระบวนท่าต่างๆมามากมายนับไม่ถ้วน จนทำให้มาซามุเนะในตอนนี้ ถึงแม้จะไม่ใช้พลังจิต ก็ไม่สามารถเรียกว่ามนุษย์ธรรมดาได้แล้ว
“<มัลติ แอทแทค (Multi Attack)>”
มีลูกศรเพิ่มขึ้นจากเดิมเป็นเท่าตัว มันพุ่งเข้าใส่มาซามุเนะอย่างไม่หยุดยั้ง แต่มา-ซามุเนะก็หลบได้เสมอ เขาพยายามเข้าไปประชิดตัวโทโมยูกิในขณะที่เขาก็หลบการโจมตีไปด้วย แต่ว่า...
...แย่ล่ะสิ การเคลื่อนไหวของเราอยู่ในการคำนวณของเจ้านั่นหมดแล้ว การโจมตีจองมันมีอะไรแฝงอยู่แน่ๆ
ระหว่างที่มาซามุเนะกำลังคำนวณเกี่ยวกับการโจมตีของโทโมยูกิอยู่ เขาก็พึ่งจะรู้ตัวว่าการโจมตีทั้งหมดนั้นมีไว้เพื่อต้อนเขาให้จนมุมนั่นเอง
ตอนนี้มาซามุเนะกำลังอยู่ในท่าหลังชิดกำแพงอยู่ มีอยู่ทางเดียวเท่านั้นที่จะหนีจากการโจมตีต่อไปของโทโมยูกิได้ แต่เขาก็รู้ตัวว่ามันเป็นกับดัก
เพราะว่าที่นี่คือบ้านของโทโมยูกิ หรือเป็นเพราะมาซามุเนะอ่อนแอเกินไป อันไหนคือเหตุผลที่ทำให้เขาต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์นี้กันแน่ นี่คือคำถามที่มาซามุเนะตั้งไว้ในใจในตอนที่ยืนชิดกำแพงอยู่
“ตายซะเถอะ ไอ้ขยะ”
มีลูกศรกลุ่มหนึ่งยิ่งเข้ามาหาเขา และอีกกลุ่มหนึ่งที่ยิงไปดักไว้ที่ทางหนีที่โทโม-ยูกิเหลือไว้ให้ ซึ่งนั่นหมายความว่า ไม่ว่ามาซามุเนะเลือกทางไหน ผลลัพธ์ที่ออกมาก็ไม่ต่างกัน
“มาซามุเนะคุง-------”
“คะ…คุออน ใช่แล้ว เราจะมาแพ้ตรงนี้ไม่ได้เด็ดขาด ไม่ใช่เพื่อตัวเราเพียงคนเดียว แต่เพื่อทุกๆคนที่เราได้พบเจอมา ทุกคนฝากความหวังไว้ที่ตัวเรา”
มาซามุเนะเริ่มรวบรวมสมาธิโดยที่ในไม่ถึง 2 วินาที คุออนที่ยืนดูอยู่ห่างๆก็หวังว่าจะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นกับมาซามุเนะที่ไร้พลัง
{เฮ้ย นายกับฉันก็คือชินโด มาซามุเนะไม่ใช่รึไง ชินโด มาซามุเนะน่ะ คือชายที่จะก้าวข้ามทุกความจริงแล้วสร้างปาฏิหาริย์ขึ้นมา นั่นไม่ใช่ชินโด มาซามุเนะที่นายต้องการจะเป็นรึไงเล่า}
มาซามุเนะรู้สึกได้ถึงเสียงของใครบางคนที่ดังก้องมาจากในตัวของเขา เขาคิดว่านั่นอาจจะเป็นตัวเขาอีกคนหนึ่งที่เขาคิดว่าปิดกั้นมันมาตลอด แต่ความจริงแล้ว ทั้งเขาและเขาอีกคนหนึ่งนั้นอาจจะเชื่อมต่อกันอยู่ตลอดเวลาผ่านทางพลังจิตก็เป็นได้
คำพูดที่ดังเข้ามาภายในหัวของเขานั่นเป็นความจริงทั้งหมด และตอนนี้เขาก็ยอมรับความรู้สึกนั้นแล้วด้วย ถึงแม้มันจะเป็นความคิดของตัวเขาอีกคนที่เขาพยายามหลีกเลี่ยงมาตลอดก็ตาม แต่นั่นก็อาจจะเป็นจุดร่วมทางความคิดเพียงหนึ่งเดียวที่ตัวเขาทั้งสองมีก็เป็นได้ และตลอดมานั้น ตัวเขาที่หยิบยืมพลังมาจากตัวเขาอีกคนหนึ่งนั้นก็เป็นฝ่ายที่ตามหลังมาตลอด ดังนั้น การที่มาซามุเนะต้องใช้เพียงพลังของตัวเองในครั้งนี้ อาจจะเป็นก้าวสำคัญในการเป็นฝ่ายนำหน้าตัวเขาอีกคนหนึ่งก็ได้
{นั่นสินะ ฉันจะเอาชนะเจ้านั่นแล้วก้าวข้ามตัวนาย นี่คือสิ่งที่ฉันจะทำ}
{แค่นายยอมรับว่ามีฉันมีตัวตนอยู่ นายก็พัฒนาขึ้นแล้ว ซะเมื่อไหร่ล่ะ ฮ่าๆๆ}
“หึ ก็ประมาณนั้นล่ะมั้งนะ”
คำพูดสุดท้ายของมาซามุเนะนั้นพูดด้วยเสียงจริงๆของเขาเอง ซึ่งเมื่อรู้ตัวอีกที กลุ่มลูกศรที่พุ่งเข้าใส่ตัวเขาเมื่อ 2 วินาทีที่แล้ว ตอนนี้มันหยุดอยู่ที่ฝามือของมาซามุเนะโดยที่เขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองนั้นยืนมือออกไปตอนไหน
“ทำแบบนั้นคิดว่าจะหยุดการโจมตีของฉันได้งั้นเหรอ ไร้ประโยชน์น่า”
“มันก็ไม่แน่หรอก”
มาซามุเนะพูดพลางกำลูกศรในมือของตน ถ้าลองมองดีๆแล้ว ในมือของมาซามุ-เนะตอนนี้มีออร่าสีขาวปนรุ้งที่ไม่แม้แต่ตัวมาซามุเนะเองก็ไม่เคยเห็นที่มาก่อน แต่เขาก็แน่ใจแล้วว่ามันคือพลังใหม่ที่จะนำพาตัวเขาไปสู่เส้นทางแห่งการก้าวข้ามตัวเองในตอนนี้อย่างแน่นอน
“ย้ากกกก!”
มาซามุเนะตะโกนออกมาพร้อมกับหักลูกศรนั้นด้วยมือที่เต็มไปด้วยออร่าสีขาวปนรุ้ง นั่นทำให้โทโมยูกิตกใจเล็กน้อยถึงปานกลาง แต่สิ่งที่ทำให้โทโมยูกิตกใจที่สุดก็คือออร่าของมาซามุเนะ
“ทะ…ทำไมกัน ตั้งแต่แกยังขยับร่างกายได้ แล้วตอนนี้แกก็ยังมีพลังจิตอีก ทำไมไอ้ขยะอย่างแกถึง…”
โทโมยูกิพูดออกมาด้วยสีหน้าที่ดูตกใจจนถึงที่สุด แต่ถึงจะตกใจแค่ไหน โทโม-ยูกิก็ยังคงคงสภาพออร่าพลังจิตของตัวเองได้อย่างครบถ้วนอยู่ดี
“ก่อนหน้านี้ ฉันพึ่งจะเจอเรื่องแปลกๆมาน่ะสิ แต่มันก็ทำให้ในร่างของฉันมีวิญญาณสถิตอยู่ถึง 3 ดวง ดังนั้นแล้ว ที่เมื่อวานนี้แกดึงวิญญาณออกไปจากร่างฉัน 2 ดวง ก็ถือเป็นความผิดพลาดล่ะนะ”
มาซามุเนะอธิบายเรื่องที่โทโมยูกิสงสัยออกมาโดยที่ลืมไปเลยว่ามีคุออนอยู่ด้วย
“หน็อย แก อ้า---------”
“ชิ กลายเป็นเรื่องยุ่งยากจนได้สิน้า”
จู่ๆร่างกายของโทโมยูกิก็ถูกออร่าสีดำทมิฬดูดกลืนเข้าไป ออร่ารอบๆตัวโทโมยูกิหลอมรวมเข้าตัวผู้ใช้ จนในที่สุด ร่างกายของโทโมยูกิก็กลายสภาพเป็นก้อนออร่าสีดำขนาดใหญ่กว่า 4 เมตร
ถ้าจะให้อธิบายล่ะก็ เหตุการณ์นี้ก็เหมือนกับตอนที่มาซามุเนะถูกครอบงำจิตใจโดยพลังจิตของอีกด้านหนึ่งของตัวเอง ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อจิตใจของผู้ใช้นั้นอ่อนแอจนถูกพลังจิตที่เกิดขึ้นจากด้านมืดของตัวเองดูดกลืนไป หรือไม่ก็เมื่อจิตใจของผู้ใช้พลังจิตนั้นปั่นป่วนในเวลาที่กำลังใช้พลังจิตอยู่ จนไม่สามารถควบคุมพลังจิตของตนเอาไว้ได้ ซึ่งถ้าเป็นในกรณีนี้ ก็คงเรียกได้คิดได้แค่ว่าผู้ใช้นั้นจิตใจปั่นป่วนจนไม่สามารถควบคุมพลังจิตที่เกิดขึ้นจากด้านมืดเอาไว้ได้
“หึหึ ขยะอย่างแกคงทำอะไรพลังระดับนี้ได้สินะ ไปตายซะ”
มีหน้าของโทโมยูกิโผล่ออกมาบนพื้นผิวของก้อนออร่าซึ่งอยู่สูงขึ้นไปมากกว่า 3 เมตรครึ่ง เมื่อโทโมยูกิพูดจบ ก็มีหนวดสีดำยาวๆที่เกิดจากออร่าพุ่งเข้าใส่มาซามุเนะทันที
มาซามุเนะรวมออร่าของตัวเองไว้ที่มือและเท้าทั้งสองข้าง จากนั้นก็กระโดดไปเกาะที่กำแพงบ้านของโทโมยูกิ แต่ก็แน่นอนว่าการโจมตีของโทโมยูกินั้นไม่หยุดแค่นั้นอย่างแน่นอน เขาใช้หนวดเส้นอื่นหวดเข้าใส่กำแพงที่มาซามุเนะเกาะอยู่ มาซามุเนะก็กระโดดขึ้นไปกลางอากาศเพื่อหลบการโจมตี แต่ก็เสียท่าให้หนวดอีกเส้นหนึ่งที่พุ่งเข้าใส่ตัวเขาที่ลอยอยู่กลางอากาศอย่างเต็มแรง
“มาซามุเนะคุง!"
“ฮ่าๆๆ เป็นยังไงบ้างล่ะ ต่อไปก็ตาเธอ ยัยตัวแสบ!”
ทันทีที่โทโมยูกิจัดการมาซามุเนะเสร็จ เขาก็หันมาโจมตีใส่คุออนที่กำลังตกใจอยู่ด้วยหนวดเส้นแรกที่โจมตีเข้าใส่มาซามุเนะ
“กรี๊ด------------------------”
ตู้ม--------
หนวดสีดำทมิฬหวดเข้าใส่บันไดที่คุออนยืนอยู่อย่างไม่ลังเล ด้วยการโจมตีนั้นทำให้ร่างของคุออนถูกออร่าสีดำทมิฬนั้นกลืนกินเข้าไปภายในพริบตา ถ้าเป็นในกรณีที่โจมตีโดนล่ะนะ
“เอ๋?”
คุออนที่หลับตาปรื๋อในตอนที่เห็นหนวดสีดำกำลังจะหวดเข้าใส่ตัวเธอ ทำให้เธอพึ่งจะมารู้ตัวว่าตอนนี้ตัวของเธอนั้นกำลังถูกมาซามุเนะอุ้มอยู่ในอ้อมแขน ซึ่งตอนนี้ทั้งคู่กำลังยืนอยู่ที่ชั้นหนึ่งของบ้านนั่นเอง
“ทะ…ทำไมกันล่ะ”
มาซามุเนะในตอนนี้มีเลือดไหลออกมาจากหน้าผากสู่ใบหน้า ซึ่งนั่นเป็นเพียงแผลเดียวที่เขามีอยู่ในตอนนี้ มาซามุเนะวางคุออนที่อยู่ในอ้อมกอดลงอย่างนุ่มนวล แล้วก็หันหน้าไปพูดกับคุออนที่ยังอยู่ในอาการมึนงง
“ออกไปจากบ้านก่อนนะ เดี๋ยวฉันขอไปจัดการธุระสักเดี๋ยวแล้วจะตามไป”
“ขะ…เข้าใจแล้วค่ะ"
คุออนตอบมาซามุเนะด้วยอาการมึนงงที่ยังไม่หายไปไหนแล้ววิ่งออกจากบ้านไป จากนั้นมาซามุเนะก็หันหน้าไปทางโทโมยูกิที่ยังคงอยู่ในสภาพก้อนออร่าบนชั้นสองของบ้าน
“คราวนี้ก็…ตาแกบ้างละ”
มาซามุเนะจ้องมองโทโมยูกิด้วยสายตาที่สามารถสังหารกระต่ายได้แค่การจ้องมอง มาซามุเนะพูดเสร็จก็หยิบการ์ดใบหนึ่งจากกระเป๋ากางเกงออกมา และในวินาทีต่อมา มันก็กลายเป็นดาบคาตานะที่มาซามุเนะใช้อยู่เป็นประจำ ดาบเล่มนั้นก็คือ [STARDUST] ดาบที่เขาได้รับมาจากพ่อของนากิสะนั่นเอง
“ยะ…อย่ามาทำเป็นได้ใจหน่อยเลย ไอ้ขยะอย่างแกมันก็ทำได้แค่นั้นแหละ!”
โทโมยูกิพูดแล้วเสร็จแล้วก็ใช้หนวดโจมตีใส่มาซามุเนะที่กำลังยืนอยู่ที่ชั้นหนึ่งอย่างใจเย็น แต่หนวดเส้นนั้นก็ถูกตัดออกเป็นหลายๆส่วนด้วยการควงดาบเพียงไม่กี่วิของ มาซามุเนะ พร้อมกับหายตัวไปจากจุดที่เคยยืนอยู่
“อยู่ทางนี้”
มาซามุเนะตะโกนจากด้านหน้าของโทโมยูกิที่กำลังมองหาเขาอยู่ พร้อมกับฟันดาบที่ถูกเคลือบด้วยออร่าสีขาวปนรุ้งไปที่กลางลำตัวของก้อนออร่าสีดำทมิฬจนขาดออกเป็นสองส่วน
“ทะ…ทำไมกัน ออร่าของฉันน่าจะดูดกลืนดาบเล่มนั้นให้หายไปได้ในชั่วพริบตาสิ อ้า----”
มาซามุเนะได้สนใจคำพูดนั้นของโทโมยูกิเลยสักนิด เขาพุ่งตัวไปหาท่อนบนของก้อนออร่าซึ่งมีตัวของโทโมยูกิที่อยู่ แล้วจัดการฟันด้วยดาบที่อยูู่ในมือใส่อย่างไม่หยุดยั้ง ส่วนคำตอบของคำถามของโทโมยูกินั้น ก็คงจะอยู่ที่ความสามารถพลังจิตของมาซามุเนะที่เขาใช้ออร่าเคลือบดาบไว้อย่างแน่นอน
“กะ…แก เป็นแค่ขยะแท้ๆ ทำไมถึง อ้า!”
ขณะที่โทโมยูกิที่ตอนนี้กลับกลายเป็นมนุษย์ปกติกำลังพูดอยู่นั้น เขาก็กระอักเลือดออกมาจากปากพร้อมกับความเจ็บปวดจากรอยแผลถูกฟันนับร้อยตามร่างกาย และที่ข้างๆร่างของเขา ก็มีเทปคาสเซ็ทพร้อมเครื่องเล่นเทปและสิ่งที่ดุคล้ายกับเข็มขนาดเท่านิ้วก้อยซึ่งติดอยู่ที่ตัวเครื่องเล่น แตกกระจายอยู่ด้วย
“ฉันมีเรื่องที่อยากจะถามนายอยู่เยอะแยะเลย เอาล่ะ มาเริ่มกันเลยดีไหม”
หลังจากนั้น มาซามุเนะก็จัดการถามสิ่งที่ตัวเองอยากรู้ทั้งหมดกับโทโมยูกิ โดยที่โทโมยูกิก็ไม่ได้ขัดขืนอะไรเขาเลยแม้แต่น้อย ทำให้การซักถามนั้นใช้เวลาทั้งสิ้นเพียง 30 นาทีเท่านั้น
“เป็นยังไงบ้าง มาซามุเนะคุง”
มาซามุเนะเดินออกมาจากบ้านความของโทโมยูกิด้วยท่าทางที่ดูอ่อนล้าเป็นอย่างมาก นั่นคงจะเป็นสีหน้าที่บ่งบอกถึงความอันตรายของข้อมูลที่เขาพึ่งรู้มา แต่มาซามุเนะก็พยายามจะปรับสีหน้าเพื่อทำให้คุออนสบายใจที่สุด
“สะ…สบายมาก แค่นี้เอง ฉันเคยเจออะไรที่โหดกว่านี้มาแล้วนะ”
มาซามุเนะยิ้มให้คุออนอย่างเป็นธรรมชาติ แต่ภายใต้ร้อยยิ้มนั้น เต็มไปด้วยความสิ้นหวังที่ตัวเขาเองไม่อาจจะจินตนาการได้ แน่นอนว่าการปิดบังสีหน้าแค่นั้น ไม่อาจตบตาคุออนที่รู้จักมาซามุเนะดีที่สุดได้
“ไม่เป็นไรหรอกนะ ถ้ามาซามุเนะคุงจะร้องไห้ออกมาน่ะ”
คุออนเดินเข้าไปกอดมาซามุเนะที่กำลังทำหน้าตายิ้มแย้ม แต่เมื่อมาซามุเนะได้รับรู้ถึงความหมายของคำพูดนั้นของคุออน น้ำตาของเขาก็ไหลพรากออกมาอย่างห้ามไม่ได้
“มาซามุเนะคุงน่ะ เวลากำลังทุกข์ใจอะไรอยู่ ก็ไม่เคยที่จะบอกกับฉันเลยนะ แต่ว่าฉันก็รู้นั่นแหละ ว่ามาซามุเนะกำลังหนักใจอยู่ ดังนั้นแล้ว ทั้งครั้งนี้แล้วก็ครั้งหน้า มาซามุเนะคุงต้องบอกกับฉันนะ เพราะ…"
คุออนไม่ทันที่จะพูดจบ เพราะริมฝีปากของเธอนั้นถูกริมฝีปากของมาซามุเนะประกบก่อนที่คำพูดสุดท้ายของเธอจะออกมาเสียอีก
“ขอบคุณนะ คุออน...”
รู้ตัวอีกที ชินโด มาซามุเนะก็ตื่นขึ้นมาท่ามกลางความมืดของห้องพักผู้ป่วยที่โรงพยาบาลแล้ว เท่าที่เขาจำได้ เขาเห็น โทโมยูกิ ซาเอโกะ กำลังใช้ออร่าพลังจิตที่ถูกเปลี่ยนรูปร่างไปเป็นหางที่ดูคล้ายกับแมงป่อง โจมตีเข้าใส่คาวาซากิ คุออน หญิงสาวที่เขารักและหวงแหนมากที่สุด และหลังจากนั้น ความทรงจำของเขาก็ขาดหายไปโดยสิ้นเชิง
มาซามุเนะมองดูรอบๆห้อง และไม่กี่นาทีหลังจากที่เขาตื่นขึ้นมา ก็มีหมอคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเขา และแจ้งอาการให้เขาทราบ หมอบอกกว่ามาซามุเนะได้รับบาดเจ็บร้ายแรงมาก็จริง แต่ก็ได้การพยาบาลเบื้องต้นที่ดีช่วยไว้ ทำให้เขารอดตายจนมาถึงมือของศัลยแพทย์อัจฉริยะของโรงพยาบาล ทำให้ตอนนี้เขาไม่มีอาการบาดเจ็บใดๆหลงเหลืออยู่แล้วแม้แต่น้อย
"ท่านพี่คะ สวัสดีค่ะ”
หลังจากนั้นไม่นาน ฮันโซ นากิสะ น้องสาวที่มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นยิ่งกว่าน้อง เปิดประตูห้องพักผู้ป่วยของมาซามุเนะเข้ามาหา
“มาทำไมเหรอ”
มาซามุเนะพูดออกไปด้วยความสงสัย
“โธ่ ท่านพี่ค่ะ คุณหมอเขาแจ้งมาว่าท่านพี่หายดีแล้ว ฉันก็เลยมารับไงค่ะ! ดูสิหนูพาแขกมาด้วยน้า”
นากิสะพูดขึ้นมา พร้อมกับเดินออกห่างจากประตูห้อง และในเวลาเดียวกัน ก็มีชายสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวลายดำ กางเกงยีนส์สีน้ำเงินเข้ม เดินเข้ามาในห้อง
“โย่ว ยังไม่ตายสินะ ไอ้เด็กไม่เอาไหน”
ชายคนเดียวที่เป็นผู้สอนทุกอย่างให้มาซามุเนะ ทั้งเรื่องการต่อสู้ การสังเกต และแนวทางความคิด ซึ่งก็หมายความว่า ความเก่งกาจในเรื่องการต่อสู้และเรื่องความคิดนั้น มาซามุเยะแทบจะถอดแบบมาจากคนๆนี้กันเลยทีเดียว และเขาก็คือ
“อะอะอาจารย์มิไรอิ”
ใช่แล้ว คนคนนี้ก็คือ มิคาเซะ มิไรอิ ชายอายุ 36 ปี ผู้เป็นอาจารย์ให้กับมาซามุเนะในช่วงที่เขาอยู่ที่ตระกูลฮันโซนั่นเอง
“ฉันแค่ผ่านทางมาเท่านั้นแหละเดี๋ยวก็...”
“ความจริงคือ อาจารย์รู้ว่าท่านพี่บาดเจ็บสาหัส ก็เลยมาเยี่ยมยังไงล่ะค่ะ”
มิไรอิที่กำลังยืนพิงประตูอยู่ถึงกับทรุด เมื่อนากิสะพูดความจริงของเขาออกมาจนหมดเปลือก
“ช่างเรื่องนั้นก่อนเถอะ มาซามุเนะ นายออกจากโรงพยาบาลได้แล้วใช่ไหม จามฉันมาหน่อยสิ”
มิไรอิพูดพร้อมกับเดินออกไปจากห้อง มาซามุเนะไม่จำเป็นต้องคิดอะไรต่อแล้ว เขาลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินตามอาจารย์ของตนออกไปทันที
วันเดียวกัน เวลา 09.30 นาฬิกา
หลังจากนั้น มิไรอิเดินมายังโรงฝึกของบ้านมาซามุเนะ และบอกให้มาซามุเนะไปเตรียมตัว เพราะว่าเขามีเรื่องจะทำกับมาซามุเนะ
“มีอะไรเหรอครับอาจารย์”
มาซามุเนะเดินเข้ามาหามิไรอิที่กำลังนั่งรออยู่ในโรงฝึก มิไรอิหันหน้ามาหามาซามุเนะพร้อมกับชี้ไปทางดาบไม้ไผ่ที่วางรวมกันอยู่ ซึ่งในมือของเขาก็มีอยู่แล้วเล่มหนึ่ง
มาซามุเนะรู้ได้ในทันทีว่าอะไรคือสิ่งที่มิไรอิต้องการ เขาเดินไปหยิบแต่โดยดี จากนั้นทั้งคู่ก็ตั้งดาบเข้าหากัน
“ย้าก————-”
“นี่คืออาจารย์ของคุณหนูสินะคะ”
“อืม อาจารย์ชื่อว่ามิไรอิน่ะ ที่จริงอาจารย์เขาก็มีนามสกุลนั่นแหละ แต่อาจารย์เขาอยากให้เรียกแบบนี้น่ะ แล้วอีกอย่าง คราวหน้าอย่ามาตีสนิทแบบนี้สิค่ะ”
แคทเธอรีนเดินมาคุยกับนากิสะที่กำลังมองดูมาซามุเนะกับมิไรอิฝึกซ้อมกันอยู่
“งั้นก็หมายความว่า คุณหนูมาซามุเนะได้รับถ่ายทอดความสามารถส่วนใหญ่มาจากอาจารย์คนนั้นสินะคะ”
“โอ๊ย!”
ระหว่างที่แคทเธอรีนกำลังถามนากิสะอยู่ ก็มีเสียงร้องจองมาซามุเนะดังออกมาจากโรงฝึก แต่แคทเธอรีนก็อดใจไม่หันหน้าไปมองเพื่อเป็นการให้เกียรตินากิสะที่อยู่ตรงหน้า
“ก็ประมาณนั้นแหละค่ะ อาจารย์เขามองเห็นความแข็งแกร่งที่อยู่ในตัวท่านพี่ ก็เลยจับฝึกแบบเอาเป็นเอาตายเลยล่ะค่ะ”
“อ้าก——-”
“นี่! คุณอาจารย์คะ คุณหนูพึ่งออกจากโรงพยาบาลนะคะ ข่วยเบามือหน่อยสิคะ คุณหนูค่ะ จัดการเลยค่ะ”
“แคทเธอรีนใจเย็นๆหน่อยสิ เขาฝึกกันอยู่นะ”
แคทเธอรีนอดใจที่ตัวเองจะตะโกนออกไปไม่ได้ แต่นากิสะก็ช่วยห้ามไว้ก่อนที่จะเกิดอะไรขึ้น
“อาจารย์เล่นผมซะน้วมเลยนะครับ”
มาซามุเนะพูดติดตลกจากมิไรอิที่เป็นอาจารย์ หลังจากที่ทั้งคู่ฝึกกันเสร็จแล้ว ก็มานั่งดื่มชาที่แคทเธอรีนเตรียมไว้ให้ก่อนแล้ว มิไรอิพยักสายหน้าครั้งหนึ่งต่อคำพูดของ มาซามุเนะ ก่อนที่จะเริ่มพูดคุยกับเขา
“มาซามุเนะ นายมีอะไรที่่ค้างคาใจอยู่สินะ”
มิไรอิเริ่มพูดกับมาซามุเนะเกี่ยวกับตัวเขาที่ดูผิดปกติไปจากที่เคย ส่วนมาซามุเนะที่ได้ยินดังนั้น ก็วางชาที่อยู่ในมือลงแล้วก้มหน้าคิดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะหันมาสบตากับผู้เป็นอาจารย์ของตัวเอง
“เมื่อวานนี้ผมเกือบตายก็จริง แต่ก็รู้สึกว่าตัวเองอีกคนหนึ่งหายไปพร้อมๆกับตอนที่โดนโจมตีเหมือนกัน แต่ถ้าผมไม่มีตัวผมอีกคนหนึ่ง ก็จะเอาชนะเจ้าหมอนั่นไม่ได้ด้วย แต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกสบายใจกว่าปกติหลายเท่าตัวเลยล่ะครับ ทั้งๆที่ตอนนี้เพื่อนคนสำคัญก็กำลังเผชิญหน้าอยู่กับอันตรายแท้ๆ แต่ที่ผมกลับมารู้สึกสบายใจแบบนี้ ผมคิดว่าตัวผมในตอนนี้ทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะครับ เป็นได้ก็แค่ขยะเท่านั้น”
ตอนไหนที่มาซามุเนะมีเรื่องหนักใจ เขาก็ชอบมาพูดกับมิไรอิ เขารู้สึกว่ามิไรอิเป็นคนที่หาทางออกให้กับเขาได้ดีที่สุดแล้ว และในทุกๆครั้ง มาซามุเนะก็จะได้รับคำชี้แนะที่เหมาะสมมาเสมอ แต่ในครั้งนี้มันต่างออกไป เพราะตอนนี้เขารู้สึกเกลียดตัวเองที่รู้สึกสบายใจในเวลาที่คนอื่นๆกำลังลำบากอยู่
ระหว่างที่มาซามุเนะกำลังรอฟังคำพูดตอบหลับจากปากของมิไรอิผู้เป็นอาจารย์ น้ำตาที่เขากลั้นเอาไว้ก็ค่อยๆไหลเป็นสายออกมาจากตาตัวเอง เขาใช้มือทั้งสองข้างเช็ดน้ำตาโดยเร็ว แต่มิไรอิก็จับที่มือของเขาเสียก่อน
“เวลาที่รู้สึกไม่สบายใจหรือรู้สึกดีใจน่ะ การร้องไห้ให้กับมันไม่ถือว่ามันผิดหรอกนะ ตอนไหนที่อยากจะร้องก็ร้องออกมาเถอะ”
มิไรอิยืนหันหลังให้กับมาซามุเนะที่กำลังร้องไห้ออกมา ถึงจะห้ามตอนนี้ ก็ไม่มีใครคิดว่ามาซามุเนะจะหยุดร้องแล้ว
“ฉันเคยบอกให้นายทำตามใจของนายใช่ไหมมาซามุเนะ แต่ว่าขอแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น ฉันขอให้นายไปเอาตัวเองอีกคนกลับมาซะ ไม่ใช่เพื่อคนอื่น แต่เพื่อตัวนายเอง เพื่อพิสูจน์ว่าถึงไม่มีเจ้าหมอนั่น นายก็ยังคงเป็นชินโด มาซามุเนะ ชายผู้ที่สามารถทำได้ทุกอย่างได้”
ด้วยคำพูดนั้นของมิไรอิ ทำให้มาซามุเนะรู้สึกได้ถึงความจริงที่ว่า ตัวเองในตอนนี้ไม่ใช่ชินโด มาซามุเนะคนเดิม แต่เป็นได้แค่ชินโด มาซามุเนะที่อาลัยอาวรณ์กับพลังที่ตัวเองเคยมี ถึงจะไปพบหน้าคุออนตอนนี้ เขาก็คงคิดว่าไม่สามารถที่จะสัญญาณว่าจะปกป้องได้ และก็ไม่สามารถที่จะทำตามคำสัญญาณเมื่อ 5 ปีที่แล้วได้เช่นกัน
“ถ้างั้น ฉันกลับไปที่ตระกูลก่อนก็แล้วกัน นายเองรักษาตัวด้วยล่ะ นากิสะจัง ฉันจะกลับแล้วนะ”
มิไรอิไม่ได้หันหน้ามาคุยกับมาซามุเนะโดยตรง แต่แค่พูดขึ้นมาและก็กำลังเดินกลับเข้าไปในบ้าน
“อาจารย์จะกลับไปที่ตระกูลแล้วใช่ไหมครับ?”
มาซามุเนะพูดขึ้นมาพร้อมกับยืนขึ้นมาด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง
“ขอผมติดไปด้วยได้ไหมครับ? พอดีมีเรื่องที่ต้องจัดการอยู่นิดหน่อยน่ะครับ”
“ก็ตามใจสิ”
มิไรอิพูดพร้อมกับเดินต่อไป โดยที่มีมาซามุเนะเดินตามไปติดๆ
คาวาซากิ คุออน เด็กสาวอายุ 16 ปี เมื่อ 7 ปีก่อน เธอที่พยายามจะช่วยคาวาซากิ ริน พี่สาวเพียงคนเดียวของตัวเองจากการจับกุมของรัฐบาล เกือบจะถูกฆ่าตาย แต่ก็ได้รินช่วยเอาไว้ แต่ก็แลกมาด้วยชีวิตของรินเอง ซึ่งถ้าความทรงจำของเธอไม่หายไป นั่นก็คงจะกลายเป็นจุดที่เปลี่ยนชีวิตของเธอไปตลอดการเลยก็เป็นได้
แต่เมื่อไม่นานมานี้ เธอพึ่งจะได้รู้เรื่องเมื่อครู่นี้ ทำให้มีความรู้สึกต่างๆมากมายเข้ามาภายในใจของเธอ จนทำให้เธอตัดสินใจได้ว่า ต่อจากนี้ไป ถ้ามีโอกาสในการช่วยเหลือคนอื่นล่ะก็ เธอจะไม่ปฏิเสธโอกาสนั้นเป็นอันขาด แม้มันจะต้องแลกมาด้วยชีวิตของเธอก็ตาม
วันเสาร์ที่ 2 สิงหาคม เวลา 18.30 นาฬิกา
ระหว่างที่เธอกำลังทำการบ้านของโรงเรียนอยู่นั้น โทรศัพท์ที่อยู่ข้างๆตัวเธอก็ดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เธอตกใจสักเท่าไหร่ กลับกัน เธอตื่นเต้นกับมันซะมากกว่า เพราะส่วนใหญ่แล้ว จะมีแต่ชินโด มาซามุเนะ เพื่อนสมัยเด็กที่เธอรักมากที่สุดเท่านั้นที่จะส่งข้อความหรือโทรมาหา
แต่ว่าในครั้งนี้มันไม่ใช่ เพราะคนที่ส่งข้อความมาหาเธอนั้นก็คือเพื่อนร่วมชั้นเรียนของเธอ โทโมยูกิ ซาเอโกะนั่นเอง ซึ่งนั่นทำให้เธอแปลกใจเป็นอย่างมาก เพราะว่าเธอแทบจะไม่เคยคุยกับโทโมยูกิเลย แต่ถ้าจะให้พูดถึงเหตุผลล่ะก็ คงจะเป็นความรู้สึกอันตรายที่เธอรู้สึกได้จากตัวเขามากกว่า ที่ทำให้เธอไม่เคยคุยกับโทโมยูกิ
คุออนตัดสินใจสลัดความรู้สึกนั้นทิ้งไป แล้วกดดูข้อความที่โทโมยูกิส่งมา แต่ข้อความนั้นก็เหมือนเป็นการทรยศของการสลัดความรู้สึกในใจของเธอทิ้งไป เพราะว่าเนื้อหาข้อความนั้นก็คือ
{เธอรู้เรื่องของโอคาซากิ อากิโอะกับอลิซาเบธ อาเธน่าหรือยัง นั่นฉันเป็นคนทำเองล่ะ แล้วก็ ถ้าไม่อยากให้ทั้งคู่เป็นอะไรไปมากกว่านี้ล่ะก็ มาที่สวนของโรงเรียนคนเดียวตอน 1 ทุ่มตรงซะ แล้วก็ ห้ามบอกเรื่องนี้กับใครเด็ดขาด}
ถึงตอนนี้คุออนจะยังไม่รู้ว่ามันมีความหมายว่าอะไรกันแน่ แต่สิ่งที่เธอทำเป็นอย่างต่อมา ก็คือการโทรหา มาซามุเนะเพื่อถาม[เรื่องของโอคาซากิ อากิโอะและอลิซาเบธ อาเธน่า]ที่โทโมยูกิกล่าวถึงในข้อความแต่สิ่งที่ได้ก็คือเสียงรอสายและเสียงปฏิเสธที่ดังขึ้นซ้ำไปมา เธอตัดสินใจโทรไปหานากิสะเพื่อถามหามาซามุเนะแทน แต่เธอก็ได้รับรู้บางอย่างที่คาดไม่ถึงเข้าโดยบังเอิญ
“สวัสดีคะ คุออนจังมีอะไรเหรอ”
คุออนโทรหานากิสะที่คาดว่าตอนนี้น่าจะอยู่กับมาซามุเนะ
“เอ่อ นากิสะจัง ขอสายมาซามุเนะหน่อยได้ไหม พอดีฉันมีเรื่องที่ต้องคุยกับเขาน่ะ”
“ขอโทษด้วยนะ พอดีท่านพี่ไม่ได้กลับบ้านตั้งแต่เมื่อคืนแล้วน่ะ อลิซก็ด้วย ไปไหนกันหมดน้า~~~~”
“วะ...ว่าไงนะ อลิซาเบธก็ไม่อยู่เหรอ”
“ใช่ เมื่อวานนี้อลิซบอกว่าจะกลับดึกหน่อย แต่ก็ไม่เห็นจะกลับมาเลย สงสัยจังเลยเนอะว่าทำอะไรอยู่”
คุออนตัดสายนากิสะทิ้งโดยทันที เพราะตอนนี้เธอพอจะรู้แล้วว่า อลิซาเบธอาจจะกำลังเจอกับอะไนบางอย่างอยู่ ทำให้ไม่สามารถกลับไปบ้านได้ ซึ่งกุญแจก็คือโทโมยูกิมี่ส่งข้อที่ดูท่าทางน่าสงสัยมานั่นเอง
“ฉันจะต้อง ช่วยไว้ให้ได้เลย”
คุออนคิดพร้อมกับเดินออกจากบ้านไปโดยบอกกับพ่อแม่ว่าต้องไปทำงานกลุ่ม จะกลับดึกหน่อย
วันเสาร์ที่ 2 สิงหาคม เวลา 19.15 นาฬิกา
คุออนที่กำลังอุ้มร่างไร้สติของมาซามุเนะอยู่ที่หน้าสวนของโรงเรียนมาซาราดะ ก็ได้เจอกับนากิสะเข้าพอดี ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ใช่การได้เจอกันโดยบังเอิญ แต่นากิสะนั้นมาเพราะเห็นข้อความในโทรศัพท์ของคุออนโดยใช้การแฮ็คนั่นเอง
นากิสะรับตัวมาซามุเนะไปแล้วบอกว่าจะจัดการเรื่องนี้ให้เอง เดี๋ยวเธอจะติดต่อไปหาทีหลัง แล้วนากิสะก็จากไปทันที ทิ้งให้คุออนต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวอีกครั้ง
......ทำไมเราถึงช่วยใครไว้ไม่ได้เลย แล้วมีอะไรที่เราพอจะช่วยได้บ้างไหมนะ คือคำถามที่ดังก้องอยู่ในหัวของคุออนระหว่างที่กำลังเดินกลับบ้าน
วันอาทิตย์ที่ 3 สิงหาคม เวลา 18.55 นาฬิกา
เมื่อเช้ามืดของวันนี้ มีข้อความจากโทโมยูกิส่งมาหาเธอ โดยมีใจความข่มขู่ให้ไปหาตอนเวลา 1 ทุ่มตรงที่บ้านของตัวเอง ซึ่งถ้าไม่ไปหา อาจจะมีอันตรายถึงอากิโอะและอลิซาเบธก็เป็นได้ ด้วยเหตุนี้ ทำให้ในตอนนี้ เธอกำลังเดินไปที่บ้านของโทโมยูกิอยู่นั่นเอง
คุออนในตอนนี้กำลังเดินเข้าไปในบ้านที่ป้ายข้างหน้าบ้านนั้นมีชื่อเขียนไว้ว่า [โทโมยูกิ] อยู่
ที่ประตูไม่ได้ล็อคไว้ เธอเปิดมันออกมาอย่างเงียบๆ สิ่งที่รอต้อนรับเธออยู่ก็คือความกว้างขวางของบ้านที่ดูใหญ่กว่าด้านนอกเสียอีก นอกจากนี้ ที่ชั้นสองของบ้านนั้นมีเงาของใครบางคนยืนอยู่ด้วย
“วันนี้มาตรงเวลาดีนิ คงจะรู้แล้วสินะว่าฉันต้องการอะไรน่ะ”
“......”
คุออนไม่ได้พูดตอบกลับอะไรไป แต่โทโมยูกิก็ไม่ได้คิดอะไรมาก
“ขึ้นมาสิ”
คุออนไม่มีทางเลือกนอกจากต้องทำตามที่โทโมยูกิสั่ง เธอค่อยๆก้าวเดินขึ้นมาบนบันได้อย่างช้าๆ โดยที่ในใจของเธอก็ยังคงหวังว่าการกระทำของเธอนั้นจะสามารถช่วยเหลือคนอื่นๆได้ แต่ในตอนที่เธอเพิ่งขึ้นบันไดไปได้แค่ครึ่งเดียว ก็มีเสียงเปิดประตูดังๆเกิดขึ้น และเมื่อเธอหันไปมอง ก็ได้เจอกับสิ่งที่ตัวเธอเองนั้นไม่เคยหวังมาก่อน
“โทโมยูกิ ซาเอโกะ ฉันมาเพื่อขอรับเพื่อนๆของฉันคืน”
ผู้ที่ปรากฏตัวออกมาก็คือชินโด มาซามุเนะนั่นเอง ด้วยการปรากฏตัวของ มาซามุเนะนั้น ทำให้โทโมยูกิตกใจมาก แต่เขาก็รีบดึงสติกลับมาก่อนที่จะถูกมาซามุเนะคุมเกมไปได้
“อะไรกันครับเนี่ย ทำไมไอ้ขยะอย่างแกถึงยังยืนอยู่ได้กันเล่า ขยะอย่างแกน่าจะนอนสลบไปแล้วสิ อ๋อ อย่างนี้นี่เอง เพราะกำลังจะเสียแฟนของตัวเองไป ก็เลยรีบลุกขึ้นมาสินะ แต่แกน่ะคิดผิดแล้ว เพราะว่าแฟนของแกเป็นของฉันไปแล้วยังไงล่ะ เอ้า เธอเองก็พูดอะไรบ้างสิ"
โทโมยูกิพูดประโยคสุุดท้ายพร้อมกับมองไปที่คุออนที่กำลังก้มหน้าอยู่ คำพูดนั้นทำให้เธอไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องพูดไปตามที่โทโมยูกิสั่งมา
คุออนหันหน้าไปหามาซามุเนะ หายใจเข้าแล้วพูดออกไปด้วยการเตรียมใจที่เธอมีอยู่ทั้งหมด
“ใช่แล้วล่ะ มาซามุเนะ นายมันไร้ค่าไปแล้วล่ะ กลับไปซะเถอะ พวกเราไม่มีธุระอะไรกันแล้ว”
คุออนพูดด้วยสีหน้าที่เย็นชาอย่างถึงที่สุด แต่ถึงเธอจะพูดแบบนั้นไป สีหน้าที่เต็มไปด้วยความตั้งใจของมาซามุเนะก็ไม่ได้จางหายไปเลยแม้แต่น้อย
“คุออน เธอเคยบอกสินะ ว่าฉันไม่เข้าใจความรู้สึกที่ไม่อยากสูญเสียคนที่รักไปถึงแม้มันจะเป็นแค่คำโกหกน่ะ ตอนนี้ฉันเริ่มเข้าใจแล้วล่ะ แต่ว่านะ ฉันไม่ได้มาที่นี่เพราะเธอคนเดียวหรอกนะ ยังมีคนอื่นๆที่รอการปลดปล่อยจากฉันอยู่”
มาซามุเนะพูดพร้อมกับเดินไปเผชิญหน้ากับโทโมยูกิที่ยืนอยู่บนชั้นสอง ปล่อยให้คุออนยืนร้องไห้ปนความรู้สึกสงสัยที่ยังคาใจกับคำพูดของเขาอยู่
“โทโมยูกิ ซาเอโกะ ความสามารถพลังจิตของนายก็คือ Color Changer สินะ สามารถเปลี่ยนสภาพพลังของตัวเองได้ตามจิตใจที่ตัวเองขโมยมาสินะ สาเหตุที่อากิโอะและอลิซาเบธยังไม่ได้สติขึ้นมาก็เพราะว่านายขโมยจิตใจของทั้งสองคนไปสินะ เอาจริงๆฉันมีเรื่องอยากจะถามเยอะเลยล่ะ ดังนั้นก็อย่าตายเด็ดขาดล่ะ"
มาซามุเนะพูดด้วยท่าทีที่ไม่รู้สึกหวาดกลัวกับความสามารถของโทโมยูกิที่ตัวเองพูดออกมาเลยสักนิดเดียว
“ถ้ารู้ถึงขนาดนั้นล่ะก็ นายก็คงจะเข้าใจดีสินะ ว่าตอนนี้นายน่ะ ไม่มีพลังจิตหลงเหลืออยู่แล้ว”
โทโมยูกิพูดพร้อมกับแสดงออร่าพลังจิตสีดำทมิฬ ซึ่งนัน่ก็คือพลังจิตที่มาซามุ-เนะสุดแสนจะคุ้นเคย [Dark] นั่นเอง โทโมยูกิเร่งออร่าให้มันห้อมล้อมตัวของเขาไว้ ทำให้ในตอนนี้ ข้างตัวของโทโมยูกิเต็มไปด้วย [หมอกออร่า] ที่เกิดจากการรวมตัวกันของออร่าพลังจิตที่เขาสร้างขึ้นมานั่นเอง
“<ดาร์ค แอร์โรว์ (Dark Arrow)>”
ออร่ารอบตัวโทโมยูกิ รวมตัวกันแล้วกลายสภาพเป็นลูกศรลอยอยู่รอบตัวเขา เมื่อโทโมยูกิสะบัดมือไปทางมาซามุเนะ ลูกศรเหล่านั้นก็พุ่งเข้าหามาซามุเนะโดยทันที ถ้าเป็นความเร็วนี้ คนธรรมดาที่ไม่มีพลังจิตคงจะหลบมันไม่พ้นอย่างแน่นอน
แต่การคาดคะเนนั้นก็ไร้ผลกับมาซามุเนะ เพราะว่าเขาที่อยู่ได้ไปอยู่ที่ตระกูลฮัน-โซนั้น ได้เรียนรู้กระบวนท่าต่างๆมามากมายนับไม่ถ้วน จนทำให้มาซามุเนะในตอนนี้ ถึงแม้จะไม่ใช้พลังจิต ก็ไม่สามารถเรียกว่ามนุษย์ธรรมดาได้แล้ว
“<มัลติ แอทแทค (Multi Attack)>”
มีลูกศรเพิ่มขึ้นจากเดิมเป็นเท่าตัว มันพุ่งเข้าใส่มาซามุเนะอย่างไม่หยุดยั้ง แต่มา-ซามุเนะก็หลบได้เสมอ เขาพยายามเข้าไปประชิดตัวโทโมยูกิในขณะที่เขาก็หลบการโจมตีไปด้วย แต่ว่า...
...แย่ล่ะสิ การเคลื่อนไหวของเราอยู่ในการคำนวณของเจ้านั่นหมดแล้ว การโจมตีจองมันมีอะไรแฝงอยู่แน่ๆ
ระหว่างที่มาซามุเนะกำลังคำนวณเกี่ยวกับการโจมตีของโทโมยูกิอยู่ เขาก็พึ่งจะรู้ตัวว่าการโจมตีทั้งหมดนั้นมีไว้เพื่อต้อนเขาให้จนมุมนั่นเอง
ตอนนี้มาซามุเนะกำลังอยู่ในท่าหลังชิดกำแพงอยู่ มีอยู่ทางเดียวเท่านั้นที่จะหนีจากการโจมตีต่อไปของโทโมยูกิได้ แต่เขาก็รู้ตัวว่ามันเป็นกับดัก
เพราะว่าที่นี่คือบ้านของโทโมยูกิ หรือเป็นเพราะมาซามุเนะอ่อนแอเกินไป อันไหนคือเหตุผลที่ทำให้เขาต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์นี้กันแน่ นี่คือคำถามที่มาซามุเนะตั้งไว้ในใจในตอนที่ยืนชิดกำแพงอยู่
“ตายซะเถอะ ไอ้ขยะ”
มีลูกศรกลุ่มหนึ่งยิ่งเข้ามาหาเขา และอีกกลุ่มหนึ่งที่ยิงไปดักไว้ที่ทางหนีที่โทโม-ยูกิเหลือไว้ให้ ซึ่งนั่นหมายความว่า ไม่ว่ามาซามุเนะเลือกทางไหน ผลลัพธ์ที่ออกมาก็ไม่ต่างกัน
“มาซามุเนะคุง-------”
“คะ…คุออน ใช่แล้ว เราจะมาแพ้ตรงนี้ไม่ได้เด็ดขาด ไม่ใช่เพื่อตัวเราเพียงคนเดียว แต่เพื่อทุกๆคนที่เราได้พบเจอมา ทุกคนฝากความหวังไว้ที่ตัวเรา”
มาซามุเนะเริ่มรวบรวมสมาธิโดยที่ในไม่ถึง 2 วินาที คุออนที่ยืนดูอยู่ห่างๆก็หวังว่าจะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นกับมาซามุเนะที่ไร้พลัง
{เฮ้ย นายกับฉันก็คือชินโด มาซามุเนะไม่ใช่รึไง ชินโด มาซามุเนะน่ะ คือชายที่จะก้าวข้ามทุกความจริงแล้วสร้างปาฏิหาริย์ขึ้นมา นั่นไม่ใช่ชินโด มาซามุเนะที่นายต้องการจะเป็นรึไงเล่า}
มาซามุเนะรู้สึกได้ถึงเสียงของใครบางคนที่ดังก้องมาจากในตัวของเขา เขาคิดว่านั่นอาจจะเป็นตัวเขาอีกคนหนึ่งที่เขาคิดว่าปิดกั้นมันมาตลอด แต่ความจริงแล้ว ทั้งเขาและเขาอีกคนหนึ่งนั้นอาจจะเชื่อมต่อกันอยู่ตลอดเวลาผ่านทางพลังจิตก็เป็นได้
คำพูดที่ดังเข้ามาภายในหัวของเขานั่นเป็นความจริงทั้งหมด และตอนนี้เขาก็ยอมรับความรู้สึกนั้นแล้วด้วย ถึงแม้มันจะเป็นความคิดของตัวเขาอีกคนที่เขาพยายามหลีกเลี่ยงมาตลอดก็ตาม แต่นั่นก็อาจจะเป็นจุดร่วมทางความคิดเพียงหนึ่งเดียวที่ตัวเขาทั้งสองมีก็เป็นได้ และตลอดมานั้น ตัวเขาที่หยิบยืมพลังมาจากตัวเขาอีกคนหนึ่งนั้นก็เป็นฝ่ายที่ตามหลังมาตลอด ดังนั้น การที่มาซามุเนะต้องใช้เพียงพลังของตัวเองในครั้งนี้ อาจจะเป็นก้าวสำคัญในการเป็นฝ่ายนำหน้าตัวเขาอีกคนหนึ่งก็ได้
{นั่นสินะ ฉันจะเอาชนะเจ้านั่นแล้วก้าวข้ามตัวนาย นี่คือสิ่งที่ฉันจะทำ}
{แค่นายยอมรับว่ามีฉันมีตัวตนอยู่ นายก็พัฒนาขึ้นแล้ว ซะเมื่อไหร่ล่ะ ฮ่าๆๆ}
“หึ ก็ประมาณนั้นล่ะมั้งนะ”
คำพูดสุดท้ายของมาซามุเนะนั้นพูดด้วยเสียงจริงๆของเขาเอง ซึ่งเมื่อรู้ตัวอีกที กลุ่มลูกศรที่พุ่งเข้าใส่ตัวเขาเมื่อ 2 วินาทีที่แล้ว ตอนนี้มันหยุดอยู่ที่ฝามือของมาซามุเนะโดยที่เขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองนั้นยืนมือออกไปตอนไหน
“ทำแบบนั้นคิดว่าจะหยุดการโจมตีของฉันได้งั้นเหรอ ไร้ประโยชน์น่า”
“มันก็ไม่แน่หรอก”
มาซามุเนะพูดพลางกำลูกศรในมือของตน ถ้าลองมองดีๆแล้ว ในมือของมาซามุ-เนะตอนนี้มีออร่าสีขาวปนรุ้งที่ไม่แม้แต่ตัวมาซามุเนะเองก็ไม่เคยเห็นที่มาก่อน แต่เขาก็แน่ใจแล้วว่ามันคือพลังใหม่ที่จะนำพาตัวเขาไปสู่เส้นทางแห่งการก้าวข้ามตัวเองในตอนนี้อย่างแน่นอน
“ย้ากกกก!”
มาซามุเนะตะโกนออกมาพร้อมกับหักลูกศรนั้นด้วยมือที่เต็มไปด้วยออร่าสีขาวปนรุ้ง นั่นทำให้โทโมยูกิตกใจเล็กน้อยถึงปานกลาง แต่สิ่งที่ทำให้โทโมยูกิตกใจที่สุดก็คือออร่าของมาซามุเนะ
“ทะ…ทำไมกัน ตั้งแต่แกยังขยับร่างกายได้ แล้วตอนนี้แกก็ยังมีพลังจิตอีก ทำไมไอ้ขยะอย่างแกถึง…”
โทโมยูกิพูดออกมาด้วยสีหน้าที่ดูตกใจจนถึงที่สุด แต่ถึงจะตกใจแค่ไหน โทโม-ยูกิก็ยังคงคงสภาพออร่าพลังจิตของตัวเองได้อย่างครบถ้วนอยู่ดี
“ก่อนหน้านี้ ฉันพึ่งจะเจอเรื่องแปลกๆมาน่ะสิ แต่มันก็ทำให้ในร่างของฉันมีวิญญาณสถิตอยู่ถึง 3 ดวง ดังนั้นแล้ว ที่เมื่อวานนี้แกดึงวิญญาณออกไปจากร่างฉัน 2 ดวง ก็ถือเป็นความผิดพลาดล่ะนะ”
มาซามุเนะอธิบายเรื่องที่โทโมยูกิสงสัยออกมาโดยที่ลืมไปเลยว่ามีคุออนอยู่ด้วย
“หน็อย แก อ้า---------”
“ชิ กลายเป็นเรื่องยุ่งยากจนได้สิน้า”
จู่ๆร่างกายของโทโมยูกิก็ถูกออร่าสีดำทมิฬดูดกลืนเข้าไป ออร่ารอบๆตัวโทโมยูกิหลอมรวมเข้าตัวผู้ใช้ จนในที่สุด ร่างกายของโทโมยูกิก็กลายสภาพเป็นก้อนออร่าสีดำขนาดใหญ่กว่า 4 เมตร
ถ้าจะให้อธิบายล่ะก็ เหตุการณ์นี้ก็เหมือนกับตอนที่มาซามุเนะถูกครอบงำจิตใจโดยพลังจิตของอีกด้านหนึ่งของตัวเอง ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อจิตใจของผู้ใช้นั้นอ่อนแอจนถูกพลังจิตที่เกิดขึ้นจากด้านมืดของตัวเองดูดกลืนไป หรือไม่ก็เมื่อจิตใจของผู้ใช้พลังจิตนั้นปั่นป่วนในเวลาที่กำลังใช้พลังจิตอยู่ จนไม่สามารถควบคุมพลังจิตของตนเอาไว้ได้ ซึ่งถ้าเป็นในกรณีนี้ ก็คงเรียกได้คิดได้แค่ว่าผู้ใช้นั้นจิตใจปั่นป่วนจนไม่สามารถควบคุมพลังจิตที่เกิดขึ้นจากด้านมืดเอาไว้ได้
“หึหึ ขยะอย่างแกคงทำอะไรพลังระดับนี้ได้สินะ ไปตายซะ”
มีหน้าของโทโมยูกิโผล่ออกมาบนพื้นผิวของก้อนออร่าซึ่งอยู่สูงขึ้นไปมากกว่า 3 เมตรครึ่ง เมื่อโทโมยูกิพูดจบ ก็มีหนวดสีดำยาวๆที่เกิดจากออร่าพุ่งเข้าใส่มาซามุเนะทันที
มาซามุเนะรวมออร่าของตัวเองไว้ที่มือและเท้าทั้งสองข้าง จากนั้นก็กระโดดไปเกาะที่กำแพงบ้านของโทโมยูกิ แต่ก็แน่นอนว่าการโจมตีของโทโมยูกินั้นไม่หยุดแค่นั้นอย่างแน่นอน เขาใช้หนวดเส้นอื่นหวดเข้าใส่กำแพงที่มาซามุเนะเกาะอยู่ มาซามุเนะก็กระโดดขึ้นไปกลางอากาศเพื่อหลบการโจมตี แต่ก็เสียท่าให้หนวดอีกเส้นหนึ่งที่พุ่งเข้าใส่ตัวเขาที่ลอยอยู่กลางอากาศอย่างเต็มแรง
“มาซามุเนะคุง!"
“ฮ่าๆๆ เป็นยังไงบ้างล่ะ ต่อไปก็ตาเธอ ยัยตัวแสบ!”
ทันทีที่โทโมยูกิจัดการมาซามุเนะเสร็จ เขาก็หันมาโจมตีใส่คุออนที่กำลังตกใจอยู่ด้วยหนวดเส้นแรกที่โจมตีเข้าใส่มาซามุเนะ
“กรี๊ด------------------------”
ตู้ม--------
หนวดสีดำทมิฬหวดเข้าใส่บันไดที่คุออนยืนอยู่อย่างไม่ลังเล ด้วยการโจมตีนั้นทำให้ร่างของคุออนถูกออร่าสีดำทมิฬนั้นกลืนกินเข้าไปภายในพริบตา ถ้าเป็นในกรณีที่โจมตีโดนล่ะนะ
“เอ๋?”
คุออนที่หลับตาปรื๋อในตอนที่เห็นหนวดสีดำกำลังจะหวดเข้าใส่ตัวเธอ ทำให้เธอพึ่งจะมารู้ตัวว่าตอนนี้ตัวของเธอนั้นกำลังถูกมาซามุเนะอุ้มอยู่ในอ้อมแขน ซึ่งตอนนี้ทั้งคู่กำลังยืนอยู่ที่ชั้นหนึ่งของบ้านนั่นเอง
“ทะ…ทำไมกันล่ะ”
มาซามุเนะในตอนนี้มีเลือดไหลออกมาจากหน้าผากสู่ใบหน้า ซึ่งนั่นเป็นเพียงแผลเดียวที่เขามีอยู่ในตอนนี้ มาซามุเนะวางคุออนที่อยู่ในอ้อมกอดลงอย่างนุ่มนวล แล้วก็หันหน้าไปพูดกับคุออนที่ยังอยู่ในอาการมึนงง
“ออกไปจากบ้านก่อนนะ เดี๋ยวฉันขอไปจัดการธุระสักเดี๋ยวแล้วจะตามไป”
“ขะ…เข้าใจแล้วค่ะ"
คุออนตอบมาซามุเนะด้วยอาการมึนงงที่ยังไม่หายไปไหนแล้ววิ่งออกจากบ้านไป จากนั้นมาซามุเนะก็หันหน้าไปทางโทโมยูกิที่ยังคงอยู่ในสภาพก้อนออร่าบนชั้นสองของบ้าน
“คราวนี้ก็…ตาแกบ้างละ”
มาซามุเนะจ้องมองโทโมยูกิด้วยสายตาที่สามารถสังหารกระต่ายได้แค่การจ้องมอง มาซามุเนะพูดเสร็จก็หยิบการ์ดใบหนึ่งจากกระเป๋ากางเกงออกมา และในวินาทีต่อมา มันก็กลายเป็นดาบคาตานะที่มาซามุเนะใช้อยู่เป็นประจำ ดาบเล่มนั้นก็คือ [STARDUST] ดาบที่เขาได้รับมาจากพ่อของนากิสะนั่นเอง
“ยะ…อย่ามาทำเป็นได้ใจหน่อยเลย ไอ้ขยะอย่างแกมันก็ทำได้แค่นั้นแหละ!”
โทโมยูกิพูดแล้วเสร็จแล้วก็ใช้หนวดโจมตีใส่มาซามุเนะที่กำลังยืนอยู่ที่ชั้นหนึ่งอย่างใจเย็น แต่หนวดเส้นนั้นก็ถูกตัดออกเป็นหลายๆส่วนด้วยการควงดาบเพียงไม่กี่วิของ มาซามุเนะ พร้อมกับหายตัวไปจากจุดที่เคยยืนอยู่
“อยู่ทางนี้”
มาซามุเนะตะโกนจากด้านหน้าของโทโมยูกิที่กำลังมองหาเขาอยู่ พร้อมกับฟันดาบที่ถูกเคลือบด้วยออร่าสีขาวปนรุ้งไปที่กลางลำตัวของก้อนออร่าสีดำทมิฬจนขาดออกเป็นสองส่วน
“ทะ…ทำไมกัน ออร่าของฉันน่าจะดูดกลืนดาบเล่มนั้นให้หายไปได้ในชั่วพริบตาสิ อ้า----”
มาซามุเนะได้สนใจคำพูดนั้นของโทโมยูกิเลยสักนิด เขาพุ่งตัวไปหาท่อนบนของก้อนออร่าซึ่งมีตัวของโทโมยูกิที่อยู่ แล้วจัดการฟันด้วยดาบที่อยูู่ในมือใส่อย่างไม่หยุดยั้ง ส่วนคำตอบของคำถามของโทโมยูกินั้น ก็คงจะอยู่ที่ความสามารถพลังจิตของมาซามุเนะที่เขาใช้ออร่าเคลือบดาบไว้อย่างแน่นอน
“กะ…แก เป็นแค่ขยะแท้ๆ ทำไมถึง อ้า!”
ขณะที่โทโมยูกิที่ตอนนี้กลับกลายเป็นมนุษย์ปกติกำลังพูดอยู่นั้น เขาก็กระอักเลือดออกมาจากปากพร้อมกับความเจ็บปวดจากรอยแผลถูกฟันนับร้อยตามร่างกาย และที่ข้างๆร่างของเขา ก็มีเทปคาสเซ็ทพร้อมเครื่องเล่นเทปและสิ่งที่ดุคล้ายกับเข็มขนาดเท่านิ้วก้อยซึ่งติดอยู่ที่ตัวเครื่องเล่น แตกกระจายอยู่ด้วย
“ฉันมีเรื่องที่อยากจะถามนายอยู่เยอะแยะเลย เอาล่ะ มาเริ่มกันเลยดีไหม”
หลังจากนั้น มาซามุเนะก็จัดการถามสิ่งที่ตัวเองอยากรู้ทั้งหมดกับโทโมยูกิ โดยที่โทโมยูกิก็ไม่ได้ขัดขืนอะไรเขาเลยแม้แต่น้อย ทำให้การซักถามนั้นใช้เวลาทั้งสิ้นเพียง 30 นาทีเท่านั้น
“เป็นยังไงบ้าง มาซามุเนะคุง”
มาซามุเนะเดินออกมาจากบ้านความของโทโมยูกิด้วยท่าทางที่ดูอ่อนล้าเป็นอย่างมาก นั่นคงจะเป็นสีหน้าที่บ่งบอกถึงความอันตรายของข้อมูลที่เขาพึ่งรู้มา แต่มาซามุเนะก็พยายามจะปรับสีหน้าเพื่อทำให้คุออนสบายใจที่สุด
“สะ…สบายมาก แค่นี้เอง ฉันเคยเจออะไรที่โหดกว่านี้มาแล้วนะ”
มาซามุเนะยิ้มให้คุออนอย่างเป็นธรรมชาติ แต่ภายใต้ร้อยยิ้มนั้น เต็มไปด้วยความสิ้นหวังที่ตัวเขาเองไม่อาจจะจินตนาการได้ แน่นอนว่าการปิดบังสีหน้าแค่นั้น ไม่อาจตบตาคุออนที่รู้จักมาซามุเนะดีที่สุดได้
“ไม่เป็นไรหรอกนะ ถ้ามาซามุเนะคุงจะร้องไห้ออกมาน่ะ”
คุออนเดินเข้าไปกอดมาซามุเนะที่กำลังทำหน้าตายิ้มแย้ม แต่เมื่อมาซามุเนะได้รับรู้ถึงความหมายของคำพูดนั้นของคุออน น้ำตาของเขาก็ไหลพรากออกมาอย่างห้ามไม่ได้
“มาซามุเนะคุงน่ะ เวลากำลังทุกข์ใจอะไรอยู่ ก็ไม่เคยที่จะบอกกับฉันเลยนะ แต่ว่าฉันก็รู้นั่นแหละ ว่ามาซามุเนะกำลังหนักใจอยู่ ดังนั้นแล้ว ทั้งครั้งนี้แล้วก็ครั้งหน้า มาซามุเนะคุงต้องบอกกับฉันนะ เพราะ…"
คุออนไม่ทันที่จะพูดจบ เพราะริมฝีปากของเธอนั้นถูกริมฝีปากของมาซามุเนะประกบก่อนที่คำพูดสุดท้ายของเธอจะออกมาเสียอีก
“ขอบคุณนะ คุออน...”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ