Psychic พลังกายสิทธิ์ ลิขิตมรณะ
-
เขียนโดย MoMoGa
วันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เวลา 23.06 น.
26 บท
4 วิจารณ์
20.54K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 11.12 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) ตอนที่ 1-2 ชายผู้กลับมาพร้อมสีดำ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ “มะ.... หมายความว่าอะไรหรือครับ อา...จารย์”
ที่มาซามุเนะกล่าวออกไปอย่างนั้นก็เพราะเขาคิดว่าการวิจัยหรือแม้กระทั้งสืบค้นข้อมูลที่มีความเกี่ยวข้องกับพลังจิตนั้นไม่สามารถทำได้ ไม่สิ กล่าวให้ถูกต้องก็คือทำไม่ได้ นั่นก็เพราะมีที่ไหนที่มีข้อมูลเกี่ยวกับพลังจิตอยู่เลย ไม่มีการเขียนเป็นหนังสือ ไม่มีอยู่ในข่าวสาร ไม่มีอยู่แม้กระทั้งในการพูดถึงประชาชนคนปกติเลย เหมือนพวกเขาไม่รู้ว่ามันมีตัวตนอยู่เลยด้วยซ้ำ แต่ที่เขาจะคิดแบบนั้นก็ไม่แปลก เนื่องจากหลังที่เขาย้ายกลับมาอยู่เมืองนี้ เขาได้ไปสืบค้นตามที่ต่างๆและก็ได้สอบถามคนในท้องถิ่นแล้วด้วย สิ่งที่เขาได้กลับมาก็คือ เมื่อใดที่เขาพูดถึงการมีตัวตนของพลังจิตแล้ว ชาวบ้านเหล่านั้นจะเบี่ยงประเด็นไปในทางอื่นเสมอ มันจึงกลายเป็นข้อสงสัยเพียงไม่กี่อย่างที่เขามีต่อเมืองนี้ไป
“เอาเถอะ นี่ก็จะหมดเวลาพักกลางวันแล้วด้วย งั้น หลังเลิกเรียนก็มาที่ห้องนี้อีกทีละกัน แล้วเดียวจะอธิบายทุกๆเรื่องให้เข้าใจละกัน เอาเป็นว่าถ้านายมาล่ะก็ เป็นอันตกลงเขาชมรมก็แล้วกันนะ โอเค ออกไปได้ ไป!!! ผู้หญิงก็ต้องการเวลาส่วนตัวมั่งนะ”
มายาซาว่าพูดพร้อมกับลุกขึ้นแล้วใช้มือสองข้างดันหลังมาซามุเนะออกไปจากประตู สถานการณ์นั้นทำให้มาซามุเนะเกิดความรู้สึกขึ้นมาภายในใจหลายอย่าง
“อะไรกันเนี่ย ตัวเองเป็นคนเรียกคนอื่นออกมาแท้ๆ แล้วก็พูดเรื่องที่เข้าใจยาก แถมพูดยังไม่ทันเคลียร์ก็ไล่เราออกมาจากห้องซะอีก เป็นคนยังไงกันนะ”
มาซามุเนะคิดอยู่ในใจพร้อมกับเดินกับไปยังห้องเรียน ระหว่างทางที่กำลังเดินนั้นต้องผ่านห้องเรียนของคาวาซากิ เขาคิดอยู่นานว่าจะแอบดู เดินเข้าไปทักหรือว่าจะเดินผ่านไปแบบไม่ทำอะไรเลย แต่เขาก็ต้องทิ้งความคิดทั้งหมดไปเมื่อจู่ๆ คาวาซากิก็เข้ามาทักจากทางด้านหลัง
“อ้าว นั้นมาซามุเนะคุงไม่ใช่หรอนั่น นี้มัน 12.48 น.แล้วนะ ทำไมยังไม่กลับไปห้องเรียนของตัวเองละ ถ้าไม่รีบเดี๋ยวก็เข้าเรียนสายหรอก”
มาซามุเนะสะดุ้งอยู่ช่วงหนึ่ง แต่ก็หันหลังตอบไปว่า
“อะไรกัน นี่เธอเป็นแม่ฉันรึไง ฉันจะทำอะไรมันก็สิทธิของฉันสิ”
“แต่การมาแอบมองห้องคนอื่นแบบนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องที่อะไรหรอกนะ”
มาซามุเนะสะดุ้งเป็นครั้งที่ 2 ของรอบวัน พร้อมกับหันไปหาต้นตอของเสียง ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นคนที่เขาไม่อยากเจอหน้ามากที่สุด เด็กหนุ่มผมสีดำสนิท รูปร่างดูแข็งแรง ซึ่งดูต่างกับมาซามุเนะที่มีผมสีเขียวเข้มออกแก่และมีรูปร่างแทบจะผอมแห้งแถมเขายังพูดด้วยน้ำเสียงที่ช่วนให้โมโหสุดๆ มาซามุเนะทำสีหน้าสบายๆต่างกับอารมณ์ในตอนนี้แล้วพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่ออกจะเบื่อหน่าย
“งั้นหรอ เฮ้อ โทษทีละกัน เอ้า ไปสิคุออน แฟนเธอมารับแล้วนะ”
ใช่แล้ว เด็หนุ่มที่มาซามุเนะกำลังพูดคุยอยู่นั่นก็คือ โอคาซากิ อากิโอะ แฟนของ คาวาซากิ คุออน นั่นเอง เมื่ออากิโอะได้ยินอย่างนั้นแล้วก็พูดกลับมาด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่ฟังดูต่างจากเมื่อกี้เป็นอย่างมาก
“เอาน่าๆ อย่าพูดอย่างนั้นเลย ฮันโซ ฉันก็แค่พูดหยอกเล่นเท่านั้นเองนะ เล่นๆไง เล่นๆ”
มาซามุเนะหันหน้ากลับไปหาโอคาซากิ แล้วพูดออกไปว่า
“งั้นเองหรอกหรอ เอาเถอะ แล้วก็ช่วยหลีกออกไปหน่อยได้ไหมล่ะ ก็ตามที่คุออนบอกนั่นแหละ ถ้าฉันยังไม่รีบเดินล่ะก็ คงเข้าเรียนสายอย่างช่วยไม่ได้ล่ะน่ะ”
หลังจากที่เขาพูดออกไปอย่างนั้น โอคาซากิก็หลีกทางให้แต่โดยดี เขาจึงเดินไปที่ห้องเรียนของตัวเองที่อยู่ถัดไปอีก 2 ห้อง อย่างไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่นัก
เมื่อเดินเข้าห้องเรียนไป ก็มีพวกผู้ชายเดินมารุมถามว่า “นายทำอะไรกับอาจารย์มายาซาว่าตั้งนานขนาดนั้นน่ะ” เขาก็ตอบไปอย่างเอือมระอาว่า “ไม่ต้องรู้หรอก” เมื่อเขานั่งลงที่ที่นั่งเรียนของตัวเอง ก็ได้ยินเสียงพวกผู้หญิงจับวงคุยซุบซิบกัน แล้วก็มองทางเขา เมื่อเขาทำหน้าตารำคาญมองกลับไป พวกผู้หญิงก็ทำเป็นว่า อาจารย์จะเข้ามาแล้วนะ นั่งที่กันเถอะทุกคน
“เฮ้อ ในเมื่อจะคิดอะไรไปก็ไม่ได้ความขึ้นมา งั้นในคาบบ่ายอีก 3 คาบที่เหลือห็ตั้งใจเรียนแล้วจดบันทึกไว้เยอะๆดีกว่า”
แต่ถึงตัวเขาจะคิดไว้อย่างนั้นก็เถอะ แต่เขาก็ไม่สามารถจะหยุดคิดเรื่องของ มายาซาว่าและวิเคราะห์เกี่ยวกับเรื่องของ -ชมรมตรวจสอบและวิจัยพลังงานเชิงจิตภาพ- ที่มายาซาว่าบอกได้เลย และก็คิดว่ามันจะเกี่ยวข้องอะไรกับการที่พ่อแม่ของเขานั้นถูกฆาตกรรมรึเปล่า เขายกข้อสงสัยของตัวแต่ละข้อขึ้นมา แล้วยกข้อสันนิษฐานทุกๆข้อที่เขาพอจะนึกขึ้นมาได้ แล้วก็ยกข้อถกเถียงที่เป็นข้อเท็จจริงทุกๆข้อที่ตัวเขานั้นรู้อยู่ เขาคิดแม้กระทั้งว่า “อาจารย์มายาซาว่านั้นก็อาจจะมีพลังจิตอยู่ด้วยก็ได้” แต่ข้อสันนิษฐานนั่นก็ต้องตกไปเพราะกฎที่ว่า –พลังจิตนั้นจะถูกค้นพบกับผู้ที่มีอายุไม่เกิน 14 ปี เท่านั้น- แต่ในตอนที่เขากำลังคิดข้อสันนิษฐานอื่นๆที่เกี่ยวข้องและเป็นไปได้มากที่สุดนั้น ก็มีเสียงออดที่บ่งบอกถึงเวลาเรียนที่หมดลง เสียงนั่นทำให้เขาหลุดออกมาจากภวังค์แห่งความคิด และกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง เมื่อเขารู้ว่าเลิกเรียนแล้ว มาซามุเนะก็รีบเก็บของใส่ลงไปในกระเป๋าแล้วลุกขึ้นเพื่อเดินออกจากห้องเรียน แต่ในตอนที่ก้าวออกจากห้องเรียนได้เพียง 3 ก้าว เขาก็ได้ยินเสียงทักทานมาจากด้านข้าง
“เอ่อ... มาซามุเนะคุง ฉันขอเดินกลับด้วยได้ไหม”
พอมาซามุเนะหันหน้าไปทิศของต้นเสียงแล้ว เขาก็พบคุออนที่ดูแล้วน่าจะกลังรอที่จะกลับบ้านกับเขาตามที่เธอพูดออกมา ตัวเขาที่ได้ยินอย่างนั้น ก็พูดสิ่งที่คิดออกมาทั้งหมด
“โทษทีนะ พอดีฉันต้องเข้าชมรมน่ะ ทำไมเธอถึงไม่กลับบ้านกับแฟนเธอล่ะ”
มาซามุเนะทำน้ำเสียงประชดประชันอย่างถึงที่สุด แต่คุออนก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่แตกต่างจากที่พูดเมื่อตะกี้นี้อย่างสินเชิง มันเป็นน้ำเสียงที่แข็งกระด้างจนเขาคิดว่าคนที่พูดอยู่ในตอนนี้กับเมื่อตะกี้คือคนละคนกันเลยทีเดียว
“อะไรนะ นายน่ะ คิดว่าเป็นแฟนกันแล้วต้องทำทุกอย่างด้วยกันเลยหรอ แล้วคนอย่างนายน่ะ มีชมรมให้เข้าเหมือนกับคนอื่นเขาด้วยรึไง แล้วก็อย่ามาทำเป็นประชดนักเลยน่า เราก็เป็นเพื่อนกันนะ ถ้านายมีอะไรที่กังวลใจอยู่ก็พูดออกมาเถอะ”
เมื่อมาซามุเนะได้ยินน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปอีกครั้งนั้น มันเป็นน้ำเสียงของเด็กผู้หญิงที่สั่นเหมือนกำลังจะร้องไห้ เขาจึงก้มหน้าลงแล้วพูดออกมา
“โทษทีนะ ฉันมีชมรมที่จำเป็นต้องเข้าจริงๆ มันเกี่ยวข้องกับเหตุผลที่ฉันกลับมายังเมืองแห่งนี้ เหตุผลเดียวกันกับเหตุผลที่ทำให้ฉันต้องจากเมืองแห่งนี้ไปแล้วครั้งหนึ่ง โทษที แล้วก็ ถ้าเธอมาเป็นเพื่อนกับฉันเพราะคิดจะทดแทนเรื่องสัญญาในตอนที่เราจากกันไว้ไม่ได้ล่ะก็ ไม่ต้องก็ได้นะ”
หลังจากที่เขาพูดแบบนั้นออกไป เขาก็เริ่มออกเดินเพื่อไปยังห้องของอาจารย์ มายาซาว่า และปล่อยให้เด็กผู้หญิงยื่นร้องไห้โดยไม่แม้แต่จะหันกลับไปมอง
“แบบนี้แหละดีที่สุดแล้ว เธอจะได้ไม่ต้องรู้สึกผิดต่อสัญญาที่เธอให้กลับฉันไว้”
ก๊อกๆ
“ขออนุญาตครับ”
“เข้ามาเลย”
มาซามุเนะกล่าวคำขออนุญาต หลังจากได้ยินเสียงของมายาซาว่า เขาก็เปิดประตูเข้ามาในห้องพักส่วนตัวของมายาซาว่าที่อยู่ชั้น 3 ริมซ้ายสุดของอาคารเรียนที่ 2ของโรงเรียนมัธยมปลายมาซาราดะ หลังจากมาซามุเนะปิดประตูเสร็จ ยังไม่ทันที่เขาจะได้กล่าวทักทายอาจารย์ประจำชั้นของตัวเองที่นั่งอยู่ที่โซฟาตัวเดิมกับตอนพักกลางวัน เขาก็ได้รับคำถามมาตรงๆที่แท่งใจดำเต็มๆ
“ทำไมถึงพูดแบบนั้นกับคาวาซากิล่ะ นี่นายเคยคิดถึงจิตใจของผู้หญิงรึเปล่าเนี่ย”
ตัวของมาซามุเนะที่ถูกคำถามนั่นเล่นงาน ทำตัวยืนตัวแข็งทื่อไปชั่วครู่ ก่อนจะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“ผะ .... ผมน่ะ ....ตัวผมน่ะ...คิดว่า....นั่นเป็นทางที่ดีที่สุดแล้วล่ะครับ ทั้งสำหรับตัวผมเอง และก็....ตัวของคาวาซากิ ด้วยครับ”
เขาหันหน้าไปหาและฝืนยิ้มให้กับอาจารย์ประจำชั้นของตัวเอง
“งั้นหรอ? ถ้าเธอคิดแบบนั้นมันก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ ช่างมันเถอะ แล้ว เป็นไงบ้าง ชุดทำกิจกรรมชมรมของชั้นน่ะ หึ”
เขารู้ตัวว่าดีว่าอาจารย์ประจำชั้นนั้นพยายามเปลี่ยนบรรยกาศเพื่อตัวของเขาเอง เขาจึงพูดออกไปแบบตามน้ำด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลายลงอย่างช่วยไม่ได้
“อะไรกันครับ กะอีแค่เอาชุดกาวมาสวมทับชุดทำงานเอง ไม่เห็นจะเป็นไงเลยนี่ครับ เป็นชุดทำกิจกรรมชมรมอีก หรือว่าชมรมของอาจารย์จะเป็นแนวทำการทดลองงั้นหรอครับ”
“อะ...อะไรกันเนี่ย นี่เรา...เก่งถึงขนาดโยงเรื่องไม่เป็นเรื่องให้มาเข้าประเด็นหลักได้ด้วยแฮะ นี่เราคงจะเป็น .... อัจฉริยะล่ะมั้งเนี่ย”
ระหว่างที่เขาคิดแบบนี้อยู่ ก็ทำหน้าภาคภูมิใจราวกับทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่สำเร็จ อาจารย์ประจำชั้นที่เห็นเขาทำหน้าแบบนั้นก็เข้าใจความคิดของเขาดี แต่มายาซาว่าก็ไม่คิดจะไปขวางความภาคภูมิใจของมาซามุเนะ
“บอกไปแล้วไม่ใช่หรอ ถ้าเป็นเรื่องชมรมน่ะ ดูด้วยตาของตัวเองมันมันจะเข้าใจได้ง่ายกว่า ว่าไง จะไปไหม ห้องชมรมน่ะ”
หลังจากที่มายาซาว่าพูดเสร็จ ก็ลุกขึ้นไปหยิบกระเป๋าถือที่อยู่บนโต๊ะทำที่อยู่ในสุดของตัวห้อง เมื่อมาซามุเนะเห็นแบบนั้น ก็ลุกขึ้นตาม พร้อมพูดด้วยเสียงที่หนักแน่นตอบคำถามของมายาซาว่าไปว่า “ครับ” หลังจากนั้นทั้งสองคนก็ออกมาจากห้องนั้น มาซามุเนะปล่อยให้มายาซาว่าเดินนำไป ระหว่างเดินตามไปเขาก็คอยสอดส่องรอบๆไปด้วย เพื่อหาตัวสปายของอาจารย์นั้นเอง
“ในเวลาแบบนี้อาจจะมีสปายของอาจารย์โผล่ออกมาก็ได้ หรือไม่สปายก็อาจจะเป็นสมาชิกชมรม--------”
ในตอนที่เขาคิดแบบนั้น ก็มีข้อสงสัยผุดออกมาข้อหนึ่ง
“เอ่อ....อาจารย์ครับ.....คือว่า.....สมาชิกชมรมของอาจารย์เนี่ย เป็นใครหรือครับ เพราะบอกว่าเป็นชมรมที่ตั้งขึ้นมาอย่างลับๆ เลยคิดว่าอาจจะมีแค่สมาชิกที่อาจารย์เชิญมาด้วยตัวเองเท่านั้นน่ะ มันทำให้คิดว่าจะมีแค่คนสนิทของอาจารย์ ก็เลยคิดว่าอาจจะเป็นพวกรุ่นพี่ที่อาจารย์ไว้ใจเท่านั้นที่เป็นสมาชิก ใช่รึเปล่าครับ”
มาซามุเนะพูดข้อสงสัยของตนเองออกมา แล้วก็เงียบเพราะรอคำตอบของอาจารย์ แต่ว่าอาจารย์ประจำชั้นของตัวเองก็เงียบไปชั่วครู่เหมือนกัน
“เก่งน่ะเนี่ยที่คิดไปถึงขนาดนั้น หรือจะบอกว่าขี้กังวลดีล่ะ แต่ข้อสันนิษฐานนั้นก็ถูกแค่ครึ่งเดียวนะ”
“คะ .... ครึ่ง ... เดียว มันยังไงหรอครับไอ้ครึ่งเดียวเนี่ย”
มาซามุเนะยังไม่เข้าใจสิ่งที่มายาซาว่าพูด
“ครึ่งเดียวก็หมายถึง มันผิดไปครึ่งนึงไงล่ะ”
“มันตรงไหนล่ะครับ ช่วยอธิบายให้เข้าใจด้วยเถอะครับ”
ถึงมายาซาว่าจะพูดออกมาแบบนั้น แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจ
“งั้นจะอธิบายเกี่ยวกับชมรมที่นายพอจะเข้าใจก็ได้ ตั้งใจฟังด้วยนะ”
“ครับ”
มาซามุเนะตอบด้วยน้ำเสียงที่หนังแน่น หลังบจากนั้นมายาซาว่าก็เริ่มอธิบาย
“ก็จริงอยู่ที่ชมรมตรวจสอบและวิจัยพลังงานเชิงจิตภาพของฉันน่ะเป็นชมรมที่ตั้งขึ้นมาอย่างลับๆ แต่สมาชิกชมรมก็ไม่ใช่คนที่ฉันเชื่อใจหรอก แต่เป็นคนที่มีคุณสมบัติที่ฉันเป็นคนเลือกมาต่างหาก แถมสมาชิกส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่พวกปี 3 หรอกนะ แต่เป็นพวกปี 1 รุ่นเดียวกับนายต่างหาก ส่วนเรื่องคุณสมบัตินั่น มันก็แค่คนที่ถูกชวนแล้วไม่ปฏิเสธแน่นอนก็พอ แต่ไม่รู้ทำไมพวกปี 1 ถึงได้สนใจเกี่ยวกับพลังจิตกันถึงขนาดนั้น แต่สมาชิกชมรมของฉันก็มีแค่ 5 คนเท่านั้นแหละ หมายถึงถ้ารวมนายเข้าไปแล้วนะ”
“อย่างงี้นี่เอง เพราะเป็นกลุ่มลับเลยมีสมาชิกให้น้อยเข้าไว้จะดีที่สุดสินะครับ”
เขาพูดด้วยอาการที่เริ่มรู้สึกว่าเข้าใจอะไรหลายๆอย่างมากขึ้นแล้ว แต่มันก็ยังไม่เกี่ยวกับเนื้อหาหลักของชมรม
“ก็ตามนั้นแหละ ยังไงก็รีบไปห้องชมรมก่อนเถอะ”
หลังจากที่มาซามุเนะเดินตามมายาซาว่ามาได้สักพัก ขาก็พึ่งรู้ตัวว่ากำลังเดินไปในทางที่มีอาคารเรียนเก่าที่ไม่ใช้งานแล้วตั้งอยู่ ตามที่มาซามุเนะได้ยินมา อาคารหลังนี้ถูกปิดลงไปเมื่อ 6 ปีที่แล้ว ทำให้ในปัจจุบันไม่มีพวกนักเรียนเข้ามาใช้งานแล้ว แถมยังเป็นมุมอับของโรงเรียน ทำให้ไม่มีนักเรียนอยากจะมาเข้าใกล้เลยด้วยซ้ำ
“ก็คงต้องเป็นแบบนี้สินะ พวกองค์กรลับในหนังกับเกมก็ต้องมีฐานที่มันตั้งอยู่ในที่ที่ไม่ค่อยมีคนสินะ”
มาซามุเนะคิดโดยเอาห้องชมรมของมายาซาว่าไปเปรียบเทียบกับพวกฐานตัวร้ายในเกมกับภาพยนตร์ต่างๆที่เขาพอจะรู้จัก
หลังจากนั้นก็เป็นไปตามที่คิด อาจารย์มายาซาว่าเดินเข้าไปในอาคารเรียนเก่า แล้วเดินไปยังริมสุดของระเบียงเดิน ตรงสุดทางมีห้องที่มีป้ายเขียนไว้ว่า “ชมรมตรวจสอบและวิจัยพลังงานเชิงจิตภาพ”
“อะไรกัน นี่มันเปิดเผยแบบสุดๆเลยไม่ใช่หรอเนี่ย”
“เอาล่ะ ถึงแล้ว เอาไง เข้าไปเลยไหม”
หลังจากเดินเงียบอยู่นาน มายาซาว่าก็หันหลังกลับมาพูดกับมาซามุเนะที่ทำหน้าตาเอือมระอากับป้ายห้องที่ติดอยู่
“อะไรกันครับอาจารย์ ป้ายห้องแบบนั้นมันเปิดเผยแบบสุดๆเลยไม่ใช่หรอนั้น”
“เอาน่าๆ ไม่ต้องไปสนกับเรื่องยิบย่อยแบบนั้นหรอกน่า 555”
“งั้นก็เอาความคิดนั่นไปใช้รวมกับเรื่องคะแนนของผมด้วยสิครับ”
เขาคิดแบบนั้นอยู่ในใจก่อนที่จะเตรียมตัวเตรียมใจกับตัวเองที่อาจจะเข้าไปพัวพันกับเรื่องที่อาจจะต้องป็นศัตรูของรัฐบาลเลยทีเดียว
“ครับ”
เขาตอบด้วยน้ำเสียงนักแน่น มายาซาว่ามองดูด้วยรอยยิ้มมุมปากก่อนจะเปิดประตูของห้องที่หล่อนเรียกว่า “ห้องชมรม”
“อะ.... อะไรกันเนี่ย”
สิ่งที่ทำให้มาซามุเนะต้องอุทานออกมาแบบนั้นก็คือ สภาพของห้องชมรมที่เขาคิดกับสภาพในความเป็นจริงที่เขาได้เห็นนั้นแตกต่างโดยสิ้นเชิง
“ทั้งที่ชื่อว่าชมรมตรวจสอบและวิจัย แต่สภาพห้องนี่มันอะไรกัน”
สิ่งที่มาซามุเนะเห็นนั้นก็คือ ห้องที่มีโต๊ะยาววางอยู่ตรงกลางห้อง มีเก้าอี้สำหรับให้คนนั่งอยู่ 3 ตัว แต่ไม่มีใครอยู่ในห้องเลย ที่วางชิดอยู่กับผนังห้องนั้นก็คือ ตู้บานเลื่อนกระจกที่ใส่หนังสือ...ไม่สิ ใส่แผ่น CD อนิเมะอยู่ต่างหาก ถึงจะมีหนังสือแทรกอยู่บาง แถมยังมีตู้ที่มีไว้สำหรับตั้งโชว์ฟิกเกอร์โดยเฉพาะอีก
“อะ.... อาจารย์ครับ นี่มันหมายความว่าอะไรกันครับ”
“ก็ถ้าตกแต่งแบบนี้น่ะ มันจะทำให้คนนอกเข้าใจได้ง่ายไง รวมป้ายชื่อชมรมgเข้าไปด้วย ก็คงจะคิดว่าที่นี่เป็นชมรมของพวกโอตาคุ จะได้ไม่ถูกสงสัยด้วย”
“ที่อาจารย์พูดมันก็ถูก แต่ จะว่ายังไงดีล่ะครับ มันไม่เห็นจะเข้ากันเลยนี่ เอาการเตรียมใจของผมคืนมาเลยนะครับ”
“เอาน่าๆ แบบนี้มันปลอดภัยกว่านี่ ทนๆไปเถอะ”
เขาถอนหายใจให้กับคำตอบของอาจารย์ประจำชั้นของตัวเอง แล้วถามสิ่งที่คาใจเมื่อเห็นห้องนี้
“แล้ว.... สมาชิกชมรมล่ะครับ”
มายาซาว่ามองหน้ามาซามุเนะแล้วยิ้มอย่างมีเหล่ แล้วเธอก็ใช้มือทั้ง 2 ข้างมาวางไว้บนไหล่ของมาซามุเนะ เสร็จแล้วก็เอาหน้าเข้ามาใกล้หน้าของมาซามุเนะ ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ มาซามุเนะยืนตัวแข็งทื่อ เธอค่อยยื่นใบหน้าไปใกล้หูของมาซามุเนะ
“ก็ ถ้ามีคนอื่นอยู่ เราคงจะอยู่สองต่อสองกันไม่ได้ใช่ไหมล่ะ”
เธอกระซิบด้วยน้ำเสีบงชวนให้ขนลุก
“เหวอออ.... อะไรกันครับเนี่ย”
มาซามุเนะร้องเสียงหลงออกมา
“ล้อเล่นน่า ฉันคิดว่าเจ้าพวกนั้นคงกำลังมานะ เข้าไปรอข้างในห้องก่อนเป็นไง เดี๋ยวชงกาแฟให้”
มาซามุเนะยอมเข้าไปนั่งอยู่ในห้องแต่โดยดี ระหว่างที่รอกาแฟจากมายาซาว่าอยู่ เขาก็เหลือบไปเห็นแฟ้มที่วางอยู่ด้านในสุดของฟิกเกอร์ที่อยู่ในตู้โชว์เข้า บนแฟ้มนั่น มีตัวอักษรที่ถูกเขียนอย่างลวกๆด้วยปากกาเมจิกว่า “ผลลัพธ์การสืบค้นเกี่ยวกับพลังจิต”
“เอ่อ อาจารย์ครับ ขอดูแฟ้มที่อยู่ตรงนั้นหน่อยได้ไหมครับ”
เขาถามพร้อมกับชี้นิ้วไปในทางที่แฟ้มวางอยู่ มายาซาว่าเหลือบมองระหว่างที่กำลังชงกาแฟอยู่
“เอาซี่ เธอก็เป็นสมาชิกชมรมแล้วนี่ แต่อย่าทำฟิกเกอร์ของฉันมีรอยขีดขวนแม้แต่นิดเดียวละ ถ้าทำล่ะก็ ฉันฆ่านายแน่!!”
“คะ...ครับ”
ด้วยน้ำเสียงและคำสุดท้ายที่หลุดออกมาจากมายาซาว่า ทำเอามาซามุเนะสั่นไปทั้งตัว
“อะ...เอาจริงแน่ ผู้หญิงคนนี้คิดจะฆ่าเราจริงๆแน่ นะ...น่ากลัว”
ถึงเขาจะรู้ว่ามันอันตรายเกินไป แต่มันเป็นเหตุผลที่ทำให้ตัวของเขามาอยู่ในห้องนี้ ในตอนนี้ ดังนั้นเขาจึงค่อยลุกไปหยิบมันอย่างระมัดระวังไม่ให้โดนฟิกเกอร์ที่ตั้งโชว์อยู่ แต่มือของเขาก็ไปโดนฟิกเกอร์เข้าจนทำให้มันล้มลง เขาพยายามทุกวิถีทางที่จะทำให้มันตั้งให้เหมือนเดิมระหว่างที่มันกำลังหล่นสู่พื้น แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติและแล้วมันก็หล่นลงพื้น
ขณะนั้นมายาซาว่าที่กำลังจะยกกาแฟมาวางบนโต๊ะเหลือบมองไปตามเสียงของฟิกเกอร์ที่ตกลงสู่พื้น
“มาซามุเนะ!!!!”
สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว มือขวาที่กำลังจะยกกาแฟ เปลี่ยนไปขวามีดที่อยู่ด้านข้างแทน เธอกำมันไว้แน่น กระโดดพรวดข้ามโต๊ะยาวที่อยู่กลางห้อง มุ่งหน้ามาทางมาซามุเนะที่กำลังทำหน้าถอดสีด้วยความกลัวอย่างสุดขีดอยู่
“ขะ...ขอโทษคร้าบบบ”
มาซามุเนะรู้ตัวว่าเขาคงลุกขึ้นมาไม่ทันอย่างแน่นอน
“คะ...ความเร็วระดับนี้ เหนือกว่าที่เราเคยเจอมาทั้งชีวิตเลยละมั้งเนี่ย นี่อาจารย์เป็นผู้ใช้พลังจิตจริงๆสินะเนี่ย ยะ...ยังไงก็ต้องใช้ไอ้นั้นก่อนสินะ ช่วยไม่ได้”
ในจังหวะนั้น ที่มือขวาของมาซามุเนะที่กำลังกำอยู่ก็มีแสงสีดำ เป็นเฉดสีที่ยากจะหยั่งถึง กลายเป็นกลุ่มก้อนอะไรบางอย่าง
“<แบล็ค การ์ …>”
“ขออนุญาตครับ”
หลังจากเสียงนั้นดังขึ้น ประตูห้องก็ถูกเปิดออก นั่นทำให้มาซามุเนะและมายาซาว่าเลิกจดจ่อต่อกันและกันแล้วหันหน้าไปยังต้นเสียง สิ่งที่เขาเห็นนั้นก็คือ เพื่อน-ร่วมห้องของเขา เด็กผู้ชายผมสีงาช้างที่เป็นต้นเสียงนั่นเอง และก็ผู้หญิงอีกคนที่ยืนอยู่ด้านหลังของเด็กผู้ชาย คาดว่าน่าจะอยู่ปี 2 ผมสีแดงยาวของเธอดึงดูดมายาซาว่าที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศไม่ทันตั้งท่าลงพื้น ไม่ ไม่ได้ลงพื้น กำลังพุ่งไปหามาซามุเนะที่หลังชของเขาติดกับตู้ฟิกเกอร์ที่เธอห่วงแหนนั่นเอง
โคร่มมมม....
ฉึก
“ว้าย”
มีเสียงหลายๆอย่างแล่นเข้ามายังหูของมาซามุเนะ ก่อนที่ภาพที่เขามองเห็นจะกลายเป็นสีดำ และเขาก็สลบไป
ที่มาซามุเนะกล่าวออกไปอย่างนั้นก็เพราะเขาคิดว่าการวิจัยหรือแม้กระทั้งสืบค้นข้อมูลที่มีความเกี่ยวข้องกับพลังจิตนั้นไม่สามารถทำได้ ไม่สิ กล่าวให้ถูกต้องก็คือทำไม่ได้ นั่นก็เพราะมีที่ไหนที่มีข้อมูลเกี่ยวกับพลังจิตอยู่เลย ไม่มีการเขียนเป็นหนังสือ ไม่มีอยู่ในข่าวสาร ไม่มีอยู่แม้กระทั้งในการพูดถึงประชาชนคนปกติเลย เหมือนพวกเขาไม่รู้ว่ามันมีตัวตนอยู่เลยด้วยซ้ำ แต่ที่เขาจะคิดแบบนั้นก็ไม่แปลก เนื่องจากหลังที่เขาย้ายกลับมาอยู่เมืองนี้ เขาได้ไปสืบค้นตามที่ต่างๆและก็ได้สอบถามคนในท้องถิ่นแล้วด้วย สิ่งที่เขาได้กลับมาก็คือ เมื่อใดที่เขาพูดถึงการมีตัวตนของพลังจิตแล้ว ชาวบ้านเหล่านั้นจะเบี่ยงประเด็นไปในทางอื่นเสมอ มันจึงกลายเป็นข้อสงสัยเพียงไม่กี่อย่างที่เขามีต่อเมืองนี้ไป
“เอาเถอะ นี่ก็จะหมดเวลาพักกลางวันแล้วด้วย งั้น หลังเลิกเรียนก็มาที่ห้องนี้อีกทีละกัน แล้วเดียวจะอธิบายทุกๆเรื่องให้เข้าใจละกัน เอาเป็นว่าถ้านายมาล่ะก็ เป็นอันตกลงเขาชมรมก็แล้วกันนะ โอเค ออกไปได้ ไป!!! ผู้หญิงก็ต้องการเวลาส่วนตัวมั่งนะ”
มายาซาว่าพูดพร้อมกับลุกขึ้นแล้วใช้มือสองข้างดันหลังมาซามุเนะออกไปจากประตู สถานการณ์นั้นทำให้มาซามุเนะเกิดความรู้สึกขึ้นมาภายในใจหลายอย่าง
“อะไรกันเนี่ย ตัวเองเป็นคนเรียกคนอื่นออกมาแท้ๆ แล้วก็พูดเรื่องที่เข้าใจยาก แถมพูดยังไม่ทันเคลียร์ก็ไล่เราออกมาจากห้องซะอีก เป็นคนยังไงกันนะ”
มาซามุเนะคิดอยู่ในใจพร้อมกับเดินกับไปยังห้องเรียน ระหว่างทางที่กำลังเดินนั้นต้องผ่านห้องเรียนของคาวาซากิ เขาคิดอยู่นานว่าจะแอบดู เดินเข้าไปทักหรือว่าจะเดินผ่านไปแบบไม่ทำอะไรเลย แต่เขาก็ต้องทิ้งความคิดทั้งหมดไปเมื่อจู่ๆ คาวาซากิก็เข้ามาทักจากทางด้านหลัง
“อ้าว นั้นมาซามุเนะคุงไม่ใช่หรอนั่น นี้มัน 12.48 น.แล้วนะ ทำไมยังไม่กลับไปห้องเรียนของตัวเองละ ถ้าไม่รีบเดี๋ยวก็เข้าเรียนสายหรอก”
มาซามุเนะสะดุ้งอยู่ช่วงหนึ่ง แต่ก็หันหลังตอบไปว่า
“อะไรกัน นี่เธอเป็นแม่ฉันรึไง ฉันจะทำอะไรมันก็สิทธิของฉันสิ”
“แต่การมาแอบมองห้องคนอื่นแบบนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องที่อะไรหรอกนะ”
มาซามุเนะสะดุ้งเป็นครั้งที่ 2 ของรอบวัน พร้อมกับหันไปหาต้นตอของเสียง ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นคนที่เขาไม่อยากเจอหน้ามากที่สุด เด็กหนุ่มผมสีดำสนิท รูปร่างดูแข็งแรง ซึ่งดูต่างกับมาซามุเนะที่มีผมสีเขียวเข้มออกแก่และมีรูปร่างแทบจะผอมแห้งแถมเขายังพูดด้วยน้ำเสียงที่ช่วนให้โมโหสุดๆ มาซามุเนะทำสีหน้าสบายๆต่างกับอารมณ์ในตอนนี้แล้วพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่ออกจะเบื่อหน่าย
“งั้นหรอ เฮ้อ โทษทีละกัน เอ้า ไปสิคุออน แฟนเธอมารับแล้วนะ”
ใช่แล้ว เด็หนุ่มที่มาซามุเนะกำลังพูดคุยอยู่นั่นก็คือ โอคาซากิ อากิโอะ แฟนของ คาวาซากิ คุออน นั่นเอง เมื่ออากิโอะได้ยินอย่างนั้นแล้วก็พูดกลับมาด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่ฟังดูต่างจากเมื่อกี้เป็นอย่างมาก
“เอาน่าๆ อย่าพูดอย่างนั้นเลย ฮันโซ ฉันก็แค่พูดหยอกเล่นเท่านั้นเองนะ เล่นๆไง เล่นๆ”
มาซามุเนะหันหน้ากลับไปหาโอคาซากิ แล้วพูดออกไปว่า
“งั้นเองหรอกหรอ เอาเถอะ แล้วก็ช่วยหลีกออกไปหน่อยได้ไหมล่ะ ก็ตามที่คุออนบอกนั่นแหละ ถ้าฉันยังไม่รีบเดินล่ะก็ คงเข้าเรียนสายอย่างช่วยไม่ได้ล่ะน่ะ”
หลังจากที่เขาพูดออกไปอย่างนั้น โอคาซากิก็หลีกทางให้แต่โดยดี เขาจึงเดินไปที่ห้องเรียนของตัวเองที่อยู่ถัดไปอีก 2 ห้อง อย่างไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่นัก
เมื่อเดินเข้าห้องเรียนไป ก็มีพวกผู้ชายเดินมารุมถามว่า “นายทำอะไรกับอาจารย์มายาซาว่าตั้งนานขนาดนั้นน่ะ” เขาก็ตอบไปอย่างเอือมระอาว่า “ไม่ต้องรู้หรอก” เมื่อเขานั่งลงที่ที่นั่งเรียนของตัวเอง ก็ได้ยินเสียงพวกผู้หญิงจับวงคุยซุบซิบกัน แล้วก็มองทางเขา เมื่อเขาทำหน้าตารำคาญมองกลับไป พวกผู้หญิงก็ทำเป็นว่า อาจารย์จะเข้ามาแล้วนะ นั่งที่กันเถอะทุกคน
“เฮ้อ ในเมื่อจะคิดอะไรไปก็ไม่ได้ความขึ้นมา งั้นในคาบบ่ายอีก 3 คาบที่เหลือห็ตั้งใจเรียนแล้วจดบันทึกไว้เยอะๆดีกว่า”
แต่ถึงตัวเขาจะคิดไว้อย่างนั้นก็เถอะ แต่เขาก็ไม่สามารถจะหยุดคิดเรื่องของ มายาซาว่าและวิเคราะห์เกี่ยวกับเรื่องของ -ชมรมตรวจสอบและวิจัยพลังงานเชิงจิตภาพ- ที่มายาซาว่าบอกได้เลย และก็คิดว่ามันจะเกี่ยวข้องอะไรกับการที่พ่อแม่ของเขานั้นถูกฆาตกรรมรึเปล่า เขายกข้อสงสัยของตัวแต่ละข้อขึ้นมา แล้วยกข้อสันนิษฐานทุกๆข้อที่เขาพอจะนึกขึ้นมาได้ แล้วก็ยกข้อถกเถียงที่เป็นข้อเท็จจริงทุกๆข้อที่ตัวเขานั้นรู้อยู่ เขาคิดแม้กระทั้งว่า “อาจารย์มายาซาว่านั้นก็อาจจะมีพลังจิตอยู่ด้วยก็ได้” แต่ข้อสันนิษฐานนั่นก็ต้องตกไปเพราะกฎที่ว่า –พลังจิตนั้นจะถูกค้นพบกับผู้ที่มีอายุไม่เกิน 14 ปี เท่านั้น- แต่ในตอนที่เขากำลังคิดข้อสันนิษฐานอื่นๆที่เกี่ยวข้องและเป็นไปได้มากที่สุดนั้น ก็มีเสียงออดที่บ่งบอกถึงเวลาเรียนที่หมดลง เสียงนั่นทำให้เขาหลุดออกมาจากภวังค์แห่งความคิด และกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง เมื่อเขารู้ว่าเลิกเรียนแล้ว มาซามุเนะก็รีบเก็บของใส่ลงไปในกระเป๋าแล้วลุกขึ้นเพื่อเดินออกจากห้องเรียน แต่ในตอนที่ก้าวออกจากห้องเรียนได้เพียง 3 ก้าว เขาก็ได้ยินเสียงทักทานมาจากด้านข้าง
“เอ่อ... มาซามุเนะคุง ฉันขอเดินกลับด้วยได้ไหม”
พอมาซามุเนะหันหน้าไปทิศของต้นเสียงแล้ว เขาก็พบคุออนที่ดูแล้วน่าจะกลังรอที่จะกลับบ้านกับเขาตามที่เธอพูดออกมา ตัวเขาที่ได้ยินอย่างนั้น ก็พูดสิ่งที่คิดออกมาทั้งหมด
“โทษทีนะ พอดีฉันต้องเข้าชมรมน่ะ ทำไมเธอถึงไม่กลับบ้านกับแฟนเธอล่ะ”
มาซามุเนะทำน้ำเสียงประชดประชันอย่างถึงที่สุด แต่คุออนก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่แตกต่างจากที่พูดเมื่อตะกี้นี้อย่างสินเชิง มันเป็นน้ำเสียงที่แข็งกระด้างจนเขาคิดว่าคนที่พูดอยู่ในตอนนี้กับเมื่อตะกี้คือคนละคนกันเลยทีเดียว
“อะไรนะ นายน่ะ คิดว่าเป็นแฟนกันแล้วต้องทำทุกอย่างด้วยกันเลยหรอ แล้วคนอย่างนายน่ะ มีชมรมให้เข้าเหมือนกับคนอื่นเขาด้วยรึไง แล้วก็อย่ามาทำเป็นประชดนักเลยน่า เราก็เป็นเพื่อนกันนะ ถ้านายมีอะไรที่กังวลใจอยู่ก็พูดออกมาเถอะ”
เมื่อมาซามุเนะได้ยินน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปอีกครั้งนั้น มันเป็นน้ำเสียงของเด็กผู้หญิงที่สั่นเหมือนกำลังจะร้องไห้ เขาจึงก้มหน้าลงแล้วพูดออกมา
“โทษทีนะ ฉันมีชมรมที่จำเป็นต้องเข้าจริงๆ มันเกี่ยวข้องกับเหตุผลที่ฉันกลับมายังเมืองแห่งนี้ เหตุผลเดียวกันกับเหตุผลที่ทำให้ฉันต้องจากเมืองแห่งนี้ไปแล้วครั้งหนึ่ง โทษที แล้วก็ ถ้าเธอมาเป็นเพื่อนกับฉันเพราะคิดจะทดแทนเรื่องสัญญาในตอนที่เราจากกันไว้ไม่ได้ล่ะก็ ไม่ต้องก็ได้นะ”
หลังจากที่เขาพูดแบบนั้นออกไป เขาก็เริ่มออกเดินเพื่อไปยังห้องของอาจารย์ มายาซาว่า และปล่อยให้เด็กผู้หญิงยื่นร้องไห้โดยไม่แม้แต่จะหันกลับไปมอง
“แบบนี้แหละดีที่สุดแล้ว เธอจะได้ไม่ต้องรู้สึกผิดต่อสัญญาที่เธอให้กลับฉันไว้”
ก๊อกๆ
“ขออนุญาตครับ”
“เข้ามาเลย”
มาซามุเนะกล่าวคำขออนุญาต หลังจากได้ยินเสียงของมายาซาว่า เขาก็เปิดประตูเข้ามาในห้องพักส่วนตัวของมายาซาว่าที่อยู่ชั้น 3 ริมซ้ายสุดของอาคารเรียนที่ 2ของโรงเรียนมัธยมปลายมาซาราดะ หลังจากมาซามุเนะปิดประตูเสร็จ ยังไม่ทันที่เขาจะได้กล่าวทักทายอาจารย์ประจำชั้นของตัวเองที่นั่งอยู่ที่โซฟาตัวเดิมกับตอนพักกลางวัน เขาก็ได้รับคำถามมาตรงๆที่แท่งใจดำเต็มๆ
“ทำไมถึงพูดแบบนั้นกับคาวาซากิล่ะ นี่นายเคยคิดถึงจิตใจของผู้หญิงรึเปล่าเนี่ย”
ตัวของมาซามุเนะที่ถูกคำถามนั่นเล่นงาน ทำตัวยืนตัวแข็งทื่อไปชั่วครู่ ก่อนจะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“ผะ .... ผมน่ะ ....ตัวผมน่ะ...คิดว่า....นั่นเป็นทางที่ดีที่สุดแล้วล่ะครับ ทั้งสำหรับตัวผมเอง และก็....ตัวของคาวาซากิ ด้วยครับ”
เขาหันหน้าไปหาและฝืนยิ้มให้กับอาจารย์ประจำชั้นของตัวเอง
“งั้นหรอ? ถ้าเธอคิดแบบนั้นมันก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ ช่างมันเถอะ แล้ว เป็นไงบ้าง ชุดทำกิจกรรมชมรมของชั้นน่ะ หึ”
เขารู้ตัวว่าดีว่าอาจารย์ประจำชั้นนั้นพยายามเปลี่ยนบรรยกาศเพื่อตัวของเขาเอง เขาจึงพูดออกไปแบบตามน้ำด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลายลงอย่างช่วยไม่ได้
“อะไรกันครับ กะอีแค่เอาชุดกาวมาสวมทับชุดทำงานเอง ไม่เห็นจะเป็นไงเลยนี่ครับ เป็นชุดทำกิจกรรมชมรมอีก หรือว่าชมรมของอาจารย์จะเป็นแนวทำการทดลองงั้นหรอครับ”
“อะ...อะไรกันเนี่ย นี่เรา...เก่งถึงขนาดโยงเรื่องไม่เป็นเรื่องให้มาเข้าประเด็นหลักได้ด้วยแฮะ นี่เราคงจะเป็น .... อัจฉริยะล่ะมั้งเนี่ย”
ระหว่างที่เขาคิดแบบนี้อยู่ ก็ทำหน้าภาคภูมิใจราวกับทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่สำเร็จ อาจารย์ประจำชั้นที่เห็นเขาทำหน้าแบบนั้นก็เข้าใจความคิดของเขาดี แต่มายาซาว่าก็ไม่คิดจะไปขวางความภาคภูมิใจของมาซามุเนะ
“บอกไปแล้วไม่ใช่หรอ ถ้าเป็นเรื่องชมรมน่ะ ดูด้วยตาของตัวเองมันมันจะเข้าใจได้ง่ายกว่า ว่าไง จะไปไหม ห้องชมรมน่ะ”
หลังจากที่มายาซาว่าพูดเสร็จ ก็ลุกขึ้นไปหยิบกระเป๋าถือที่อยู่บนโต๊ะทำที่อยู่ในสุดของตัวห้อง เมื่อมาซามุเนะเห็นแบบนั้น ก็ลุกขึ้นตาม พร้อมพูดด้วยเสียงที่หนักแน่นตอบคำถามของมายาซาว่าไปว่า “ครับ” หลังจากนั้นทั้งสองคนก็ออกมาจากห้องนั้น มาซามุเนะปล่อยให้มายาซาว่าเดินนำไป ระหว่างเดินตามไปเขาก็คอยสอดส่องรอบๆไปด้วย เพื่อหาตัวสปายของอาจารย์นั้นเอง
“ในเวลาแบบนี้อาจจะมีสปายของอาจารย์โผล่ออกมาก็ได้ หรือไม่สปายก็อาจจะเป็นสมาชิกชมรม--------”
ในตอนที่เขาคิดแบบนั้น ก็มีข้อสงสัยผุดออกมาข้อหนึ่ง
“เอ่อ....อาจารย์ครับ.....คือว่า.....สมาชิกชมรมของอาจารย์เนี่ย เป็นใครหรือครับ เพราะบอกว่าเป็นชมรมที่ตั้งขึ้นมาอย่างลับๆ เลยคิดว่าอาจจะมีแค่สมาชิกที่อาจารย์เชิญมาด้วยตัวเองเท่านั้นน่ะ มันทำให้คิดว่าจะมีแค่คนสนิทของอาจารย์ ก็เลยคิดว่าอาจจะเป็นพวกรุ่นพี่ที่อาจารย์ไว้ใจเท่านั้นที่เป็นสมาชิก ใช่รึเปล่าครับ”
มาซามุเนะพูดข้อสงสัยของตนเองออกมา แล้วก็เงียบเพราะรอคำตอบของอาจารย์ แต่ว่าอาจารย์ประจำชั้นของตัวเองก็เงียบไปชั่วครู่เหมือนกัน
“เก่งน่ะเนี่ยที่คิดไปถึงขนาดนั้น หรือจะบอกว่าขี้กังวลดีล่ะ แต่ข้อสันนิษฐานนั้นก็ถูกแค่ครึ่งเดียวนะ”
“คะ .... ครึ่ง ... เดียว มันยังไงหรอครับไอ้ครึ่งเดียวเนี่ย”
มาซามุเนะยังไม่เข้าใจสิ่งที่มายาซาว่าพูด
“ครึ่งเดียวก็หมายถึง มันผิดไปครึ่งนึงไงล่ะ”
“มันตรงไหนล่ะครับ ช่วยอธิบายให้เข้าใจด้วยเถอะครับ”
ถึงมายาซาว่าจะพูดออกมาแบบนั้น แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจ
“งั้นจะอธิบายเกี่ยวกับชมรมที่นายพอจะเข้าใจก็ได้ ตั้งใจฟังด้วยนะ”
“ครับ”
มาซามุเนะตอบด้วยน้ำเสียงที่หนังแน่น หลังบจากนั้นมายาซาว่าก็เริ่มอธิบาย
“ก็จริงอยู่ที่ชมรมตรวจสอบและวิจัยพลังงานเชิงจิตภาพของฉันน่ะเป็นชมรมที่ตั้งขึ้นมาอย่างลับๆ แต่สมาชิกชมรมก็ไม่ใช่คนที่ฉันเชื่อใจหรอก แต่เป็นคนที่มีคุณสมบัติที่ฉันเป็นคนเลือกมาต่างหาก แถมสมาชิกส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่พวกปี 3 หรอกนะ แต่เป็นพวกปี 1 รุ่นเดียวกับนายต่างหาก ส่วนเรื่องคุณสมบัตินั่น มันก็แค่คนที่ถูกชวนแล้วไม่ปฏิเสธแน่นอนก็พอ แต่ไม่รู้ทำไมพวกปี 1 ถึงได้สนใจเกี่ยวกับพลังจิตกันถึงขนาดนั้น แต่สมาชิกชมรมของฉันก็มีแค่ 5 คนเท่านั้นแหละ หมายถึงถ้ารวมนายเข้าไปแล้วนะ”
“อย่างงี้นี่เอง เพราะเป็นกลุ่มลับเลยมีสมาชิกให้น้อยเข้าไว้จะดีที่สุดสินะครับ”
เขาพูดด้วยอาการที่เริ่มรู้สึกว่าเข้าใจอะไรหลายๆอย่างมากขึ้นแล้ว แต่มันก็ยังไม่เกี่ยวกับเนื้อหาหลักของชมรม
“ก็ตามนั้นแหละ ยังไงก็รีบไปห้องชมรมก่อนเถอะ”
หลังจากที่มาซามุเนะเดินตามมายาซาว่ามาได้สักพัก ขาก็พึ่งรู้ตัวว่ากำลังเดินไปในทางที่มีอาคารเรียนเก่าที่ไม่ใช้งานแล้วตั้งอยู่ ตามที่มาซามุเนะได้ยินมา อาคารหลังนี้ถูกปิดลงไปเมื่อ 6 ปีที่แล้ว ทำให้ในปัจจุบันไม่มีพวกนักเรียนเข้ามาใช้งานแล้ว แถมยังเป็นมุมอับของโรงเรียน ทำให้ไม่มีนักเรียนอยากจะมาเข้าใกล้เลยด้วยซ้ำ
“ก็คงต้องเป็นแบบนี้สินะ พวกองค์กรลับในหนังกับเกมก็ต้องมีฐานที่มันตั้งอยู่ในที่ที่ไม่ค่อยมีคนสินะ”
มาซามุเนะคิดโดยเอาห้องชมรมของมายาซาว่าไปเปรียบเทียบกับพวกฐานตัวร้ายในเกมกับภาพยนตร์ต่างๆที่เขาพอจะรู้จัก
หลังจากนั้นก็เป็นไปตามที่คิด อาจารย์มายาซาว่าเดินเข้าไปในอาคารเรียนเก่า แล้วเดินไปยังริมสุดของระเบียงเดิน ตรงสุดทางมีห้องที่มีป้ายเขียนไว้ว่า “ชมรมตรวจสอบและวิจัยพลังงานเชิงจิตภาพ”
“อะไรกัน นี่มันเปิดเผยแบบสุดๆเลยไม่ใช่หรอเนี่ย”
“เอาล่ะ ถึงแล้ว เอาไง เข้าไปเลยไหม”
หลังจากเดินเงียบอยู่นาน มายาซาว่าก็หันหลังกลับมาพูดกับมาซามุเนะที่ทำหน้าตาเอือมระอากับป้ายห้องที่ติดอยู่
“อะไรกันครับอาจารย์ ป้ายห้องแบบนั้นมันเปิดเผยแบบสุดๆเลยไม่ใช่หรอนั้น”
“เอาน่าๆ ไม่ต้องไปสนกับเรื่องยิบย่อยแบบนั้นหรอกน่า 555”
“งั้นก็เอาความคิดนั่นไปใช้รวมกับเรื่องคะแนนของผมด้วยสิครับ”
เขาคิดแบบนั้นอยู่ในใจก่อนที่จะเตรียมตัวเตรียมใจกับตัวเองที่อาจจะเข้าไปพัวพันกับเรื่องที่อาจจะต้องป็นศัตรูของรัฐบาลเลยทีเดียว
“ครับ”
เขาตอบด้วยน้ำเสียงนักแน่น มายาซาว่ามองดูด้วยรอยยิ้มมุมปากก่อนจะเปิดประตูของห้องที่หล่อนเรียกว่า “ห้องชมรม”
“อะ.... อะไรกันเนี่ย”
สิ่งที่ทำให้มาซามุเนะต้องอุทานออกมาแบบนั้นก็คือ สภาพของห้องชมรมที่เขาคิดกับสภาพในความเป็นจริงที่เขาได้เห็นนั้นแตกต่างโดยสิ้นเชิง
“ทั้งที่ชื่อว่าชมรมตรวจสอบและวิจัย แต่สภาพห้องนี่มันอะไรกัน”
สิ่งที่มาซามุเนะเห็นนั้นก็คือ ห้องที่มีโต๊ะยาววางอยู่ตรงกลางห้อง มีเก้าอี้สำหรับให้คนนั่งอยู่ 3 ตัว แต่ไม่มีใครอยู่ในห้องเลย ที่วางชิดอยู่กับผนังห้องนั้นก็คือ ตู้บานเลื่อนกระจกที่ใส่หนังสือ...ไม่สิ ใส่แผ่น CD อนิเมะอยู่ต่างหาก ถึงจะมีหนังสือแทรกอยู่บาง แถมยังมีตู้ที่มีไว้สำหรับตั้งโชว์ฟิกเกอร์โดยเฉพาะอีก
“อะ.... อาจารย์ครับ นี่มันหมายความว่าอะไรกันครับ”
“ก็ถ้าตกแต่งแบบนี้น่ะ มันจะทำให้คนนอกเข้าใจได้ง่ายไง รวมป้ายชื่อชมรมgเข้าไปด้วย ก็คงจะคิดว่าที่นี่เป็นชมรมของพวกโอตาคุ จะได้ไม่ถูกสงสัยด้วย”
“ที่อาจารย์พูดมันก็ถูก แต่ จะว่ายังไงดีล่ะครับ มันไม่เห็นจะเข้ากันเลยนี่ เอาการเตรียมใจของผมคืนมาเลยนะครับ”
“เอาน่าๆ แบบนี้มันปลอดภัยกว่านี่ ทนๆไปเถอะ”
เขาถอนหายใจให้กับคำตอบของอาจารย์ประจำชั้นของตัวเอง แล้วถามสิ่งที่คาใจเมื่อเห็นห้องนี้
“แล้ว.... สมาชิกชมรมล่ะครับ”
มายาซาว่ามองหน้ามาซามุเนะแล้วยิ้มอย่างมีเหล่ แล้วเธอก็ใช้มือทั้ง 2 ข้างมาวางไว้บนไหล่ของมาซามุเนะ เสร็จแล้วก็เอาหน้าเข้ามาใกล้หน้าของมาซามุเนะ ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ มาซามุเนะยืนตัวแข็งทื่อ เธอค่อยยื่นใบหน้าไปใกล้หูของมาซามุเนะ
“ก็ ถ้ามีคนอื่นอยู่ เราคงจะอยู่สองต่อสองกันไม่ได้ใช่ไหมล่ะ”
เธอกระซิบด้วยน้ำเสีบงชวนให้ขนลุก
“เหวอออ.... อะไรกันครับเนี่ย”
มาซามุเนะร้องเสียงหลงออกมา
“ล้อเล่นน่า ฉันคิดว่าเจ้าพวกนั้นคงกำลังมานะ เข้าไปรอข้างในห้องก่อนเป็นไง เดี๋ยวชงกาแฟให้”
มาซามุเนะยอมเข้าไปนั่งอยู่ในห้องแต่โดยดี ระหว่างที่รอกาแฟจากมายาซาว่าอยู่ เขาก็เหลือบไปเห็นแฟ้มที่วางอยู่ด้านในสุดของฟิกเกอร์ที่อยู่ในตู้โชว์เข้า บนแฟ้มนั่น มีตัวอักษรที่ถูกเขียนอย่างลวกๆด้วยปากกาเมจิกว่า “ผลลัพธ์การสืบค้นเกี่ยวกับพลังจิต”
“เอ่อ อาจารย์ครับ ขอดูแฟ้มที่อยู่ตรงนั้นหน่อยได้ไหมครับ”
เขาถามพร้อมกับชี้นิ้วไปในทางที่แฟ้มวางอยู่ มายาซาว่าเหลือบมองระหว่างที่กำลังชงกาแฟอยู่
“เอาซี่ เธอก็เป็นสมาชิกชมรมแล้วนี่ แต่อย่าทำฟิกเกอร์ของฉันมีรอยขีดขวนแม้แต่นิดเดียวละ ถ้าทำล่ะก็ ฉันฆ่านายแน่!!”
“คะ...ครับ”
ด้วยน้ำเสียงและคำสุดท้ายที่หลุดออกมาจากมายาซาว่า ทำเอามาซามุเนะสั่นไปทั้งตัว
“อะ...เอาจริงแน่ ผู้หญิงคนนี้คิดจะฆ่าเราจริงๆแน่ นะ...น่ากลัว”
ถึงเขาจะรู้ว่ามันอันตรายเกินไป แต่มันเป็นเหตุผลที่ทำให้ตัวของเขามาอยู่ในห้องนี้ ในตอนนี้ ดังนั้นเขาจึงค่อยลุกไปหยิบมันอย่างระมัดระวังไม่ให้โดนฟิกเกอร์ที่ตั้งโชว์อยู่ แต่มือของเขาก็ไปโดนฟิกเกอร์เข้าจนทำให้มันล้มลง เขาพยายามทุกวิถีทางที่จะทำให้มันตั้งให้เหมือนเดิมระหว่างที่มันกำลังหล่นสู่พื้น แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติและแล้วมันก็หล่นลงพื้น
ขณะนั้นมายาซาว่าที่กำลังจะยกกาแฟมาวางบนโต๊ะเหลือบมองไปตามเสียงของฟิกเกอร์ที่ตกลงสู่พื้น
“มาซามุเนะ!!!!”
สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว มือขวาที่กำลังจะยกกาแฟ เปลี่ยนไปขวามีดที่อยู่ด้านข้างแทน เธอกำมันไว้แน่น กระโดดพรวดข้ามโต๊ะยาวที่อยู่กลางห้อง มุ่งหน้ามาทางมาซามุเนะที่กำลังทำหน้าถอดสีด้วยความกลัวอย่างสุดขีดอยู่
“ขะ...ขอโทษคร้าบบบ”
มาซามุเนะรู้ตัวว่าเขาคงลุกขึ้นมาไม่ทันอย่างแน่นอน
“คะ...ความเร็วระดับนี้ เหนือกว่าที่เราเคยเจอมาทั้งชีวิตเลยละมั้งเนี่ย นี่อาจารย์เป็นผู้ใช้พลังจิตจริงๆสินะเนี่ย ยะ...ยังไงก็ต้องใช้ไอ้นั้นก่อนสินะ ช่วยไม่ได้”
ในจังหวะนั้น ที่มือขวาของมาซามุเนะที่กำลังกำอยู่ก็มีแสงสีดำ เป็นเฉดสีที่ยากจะหยั่งถึง กลายเป็นกลุ่มก้อนอะไรบางอย่าง
“<แบล็ค การ์ …>”
“ขออนุญาตครับ”
หลังจากเสียงนั้นดังขึ้น ประตูห้องก็ถูกเปิดออก นั่นทำให้มาซามุเนะและมายาซาว่าเลิกจดจ่อต่อกันและกันแล้วหันหน้าไปยังต้นเสียง สิ่งที่เขาเห็นนั้นก็คือ เพื่อน-ร่วมห้องของเขา เด็กผู้ชายผมสีงาช้างที่เป็นต้นเสียงนั่นเอง และก็ผู้หญิงอีกคนที่ยืนอยู่ด้านหลังของเด็กผู้ชาย คาดว่าน่าจะอยู่ปี 2 ผมสีแดงยาวของเธอดึงดูดมายาซาว่าที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศไม่ทันตั้งท่าลงพื้น ไม่ ไม่ได้ลงพื้น กำลังพุ่งไปหามาซามุเนะที่หลังชของเขาติดกับตู้ฟิกเกอร์ที่เธอห่วงแหนนั่นเอง
โคร่มมมม....
ฉึก
“ว้าย”
มีเสียงหลายๆอย่างแล่นเข้ามายังหูของมาซามุเนะ ก่อนที่ภาพที่เขามองเห็นจะกลายเป็นสีดำ และเขาก็สลบไป
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ