Psychic พลังกายสิทธิ์ ลิขิตมรณะ
-
เขียนโดย MoMoGa
วันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เวลา 23.06 น.
26 บท
4 วิจารณ์
20.53K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 11.12 น. โดย เจ้าของนิยาย
18) ตอนที่ 10-3 ความจริงและผีเด็ก
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ “ทะ...ที่นี่ คือ?”
มาซามุเนะลืมตาขึ้นมาอย่างงัวเงีย สิ่งที่เขาเห็นก็คือเพดานสีขาวที่ไร้ลวดลาย แล้วพอลองหันหน้าไปมองดูรอบๆตัว ก็เข้าใจได้อย่างเดียวว่า ที่ที่เขาอยู่ตอนนี้เป็นห้องรูปทรงสี่เหลี่ยม สิ่งที่โดดเด่นที่สุดของห้องก็ดูเหมือนจะเป็นความเรียบง่ายที่ทั้งห้องเป็นสีขาวจนหมด มาซามุเนะมองดูรอบตัวอยู่นาน แต่ก็ไม่มีใครอยู่นอกจากตัวเข้าเอง ข้อสงสัยต่อห้องนี้ของมาซามุเนะพุดขึ้นมาเรื่อยๆ ทั้งไม่มีทางเข้าออก ห้องที่สว่างโดยที่ไม่มีทั้งหลอดไฟหรือตะเกียง แต่ความคิดนั้นของเขาก็ถูกกลบด้วยเสียงที่น่าขนลุกซึ่งดังมาจากข้างหลังของตัวเขา
“อ้าวๆ ฟื้นแล้วเหรอยะ พ่อ-คน-เก่ง~~~~~”
เมื่อมาซามุเนะหันหน้าไปตามคำพูดที่ฟังดูเป็นเอกลักษณ์ ก็เจอกับคู่ต่อสู้ที่เขาพึ่งจะสังหารไป หนึ่งในสี่จตุรเทพ ฮิคาริผู้สิงสถิตนั่นเอง เขาจ้องมองเธอด้วยความสงสัยอยู่นาน ก่อนที่จะเดินสำรวจห้องต่อโดยที่ไม่คิดจะสนใจเธอเลยแม้แต่น้อย
“ดะ...เดี๋ยวก่อนสิ อย่ามาเมินกันนะยะ”
“...”
ไม่มีเสียงตอบกลับ มาซามุเนะเดินไปที่กำแพงห้องเพื่อเช็คอะไรบางอย่าง แล้วเขาก็พึ่งรู้ตัวด้วยว่าเสื้อเชิ้ตและกางเกงขายาวซึ่งก็คือชุดนักเรียนตัวเองไม่มีอุปกรณ์ใดๆหลงเหลืออยู่เลยแม้แต่อย่างเดียว เขายังคงค้นหาทางออกของห้องนี้ต่อไปอย่างไม่ลดละ ก่อนที่จะนึกขึ้นมาได้ว่าที่นี่มันมีอะไรที่แปลกกว่านั้นอยู่
“ที่นี่ไม่มีทางออกหรอกนะยะ ถ้าอยากรู้เรื่องก็ลองมาขอร้องฉันดูสิ”
“ที่นี่คือที่ไหน”
มาซามุเนะพูดพร้อมกับหันหน้าไปหาฮิคาริ เธอยิ้มตอบกลับคำพูดของมาซามุเนะ ก่อนที่จะบอกสิ่งที่น่าตกใจออกมา
“ที่นี่คือภายในของนายยังไงล่ะยะ เรียกง่ายๆก็คือ วิญญาณของนายนั่นแหละ”
“วิญญาณ... พูดออกมาให้มันชัดสิ”
มาซามุเนะพูดออกมาพร้อมกับเดินเข้าไปหาฮิคาริ
“มีมารยาทหน่อยสิยะ อย่ามาทำตัวเป็นเจ้าคนน่าสงสัยตรงนั้นนะ”
ฮิคาริพูดพร้อมกับชี้ไปที่มุมหนึ่งของห้อง เมื่อเขาลองมองตามไป ก็พบกับความมืด ความมืดเดียวของห้องที่เต็มไปด้วยสีขาว พอลองเพ่งสายตามองดูดีๆ ก็จะเห็นคนๆหนึ่งกำลังยืนพิงกำแพงห้องอยู่ เมื่อมาซามุเนะมองไปให้ลึกเข้าไปอีก ก็พบว่าคนที่กำลังยืนพิงกำแพงอยู่ มีทั้งหน้าตา รูปร่าง เสื้อผ้าเหมือนกับตัวเขาเองทุกประการ พอมาซามุเนะพยายามจะเดินเข้าไปหา ก็ถูกฮิคาริจับชายเสื้อของเขาไว้
“ทำอะไรน่ะ ปล่อยฉันนะ....”
พอมาซามุเนะจะหันกลับไปต่อว่าฮิคาริ ก็ต้องตกใจกับสีหน้าซีดอย่างเห็นได้ชัดเจนของเธอ
“ยัยเด็กผี เป็นอะไรไปน่ะ”
พอมาซามุเนะจับไปที่มือของฮิคาริ ก็พบว่าตัวเธอนั้นกำลังสั่นอยู่
“ขอให้ทำความเข้าใจด้วย ว่าในอีกไม่ถึง 1 ชั่วโมง ความสามารถพลังจิตของฉันก็จะทำงาน มันจะทำให้นายตายทันที”
“เธอพูดอะไรนะ”
เสียงอันแผ่วเบาของฮิคาริ ดังขึ้นมาโดยกลบเกลื่อนอาการสั่นเทิ้มเอาไว้
“ฉันบอกว่า! นายจะตายหลังจากนี้ 1 ชั่วโมงจากความสามารถพลังจิตของฉันยังไงล่ะยะ!”
“อะ...อะไรนะ ฉันจะตายงั้นเหรอ”
“ใข่แล้ว ความสามรถพลังจิตอย่างสุดท้ายของฉัน <เดธ รีแอคชั่น (Death Reaction)> ยังไงเล่า อย่าให้ฉันต้องพูดซ้ำสองได้ไหมล่ะยะ ตาบ้า”
“แล้วเธอจะขึ้นเสียงทำไมล่ะเนี่ย”
มาซามุเนะพูดจบ ก็ลงไปนั่งอย่างหมดสภาพกับพื้น พร้อมใบหน้าที่สิ้นหวังกับความเป็นจริง
“นี่ฉัน จะตายอย่างงี้เนี่ยนะ เฮ้อ~~~~~”
“ก็ใช่น่ะสิยะ ฉันเป็นถึงระดับ-”
“บ้ารึไง ใครมันจะไปเชื่อกันเล่า อย่ามาบัฟฉันแล้วก็บอกมาได้แล้วว่าทางออกมันอยู่ตรงไหน”
“ตาบ้าโง่เอ๊ย <เดธ รีแอคชั่น (Death Reaction)> ของฉันคือความสามารถที่จะส่งวิญญาณเข้าไปภายในวิญญาณของคนที่ฉันต้องการ แล้วคนคนนั้นก็จะตายภายใน 3 ชั่วโมงยังไงล่ะยะ ไปตายซะไป ไอ้โง่เอ๊ย”
ฮิคาริใช้หมอนที่อยู่ในมือตั้งแต่เมื่อไหร่ ฟาดเข้าที่หน้าของมาวามุเนะอย่างจัง แน่นอนว่าคราวนี้เขานั่งลงกับพื้นแล้วใบหน้าก็ถูกย้อมไปด้วยความสิ้นหวังจริงๆ
“แล้วเธอจะเป็นยังไงต่อล่ะ”
“ห๊ะ!”
มาซามุเนะพูดขึ้นมาในระหว่างที่เขากำลังก้มหน้ายอมรับความตายอยู่
“ฉันถามว่าเธอจะเอายังไงต่อล่ะ หลังจากทีฉันตายไปแล้วน่ะ”
“อ้าวๆ นี่นายยอมรับความตายแล้วงั้นเหรอ ช่าง-น่า-สม-เพช-ซะจริงนะ แต่ก็เถอะ จะบอกไว้หน่อยก็ได้ หลังจากนายตาย ฉันก็จะกลับเขาร่างเดิมของตัวเอง พร้อมกับลากสังขารกับไปรักษาตัวที่ฐานลับ แล้วค่อยกลับมาทำลายตึกนั่นวันหลังก็ได้ มันเป็นงานง่ายๆอยู่แล้วล่ะนะ”
“งั้นเหรอ เหลือเวลาเท่าไหร่ก่อนฉันนจะตายละ”
ฮิคาริไม่ตอบอะไร แต่เธอโยนนาฬิกาทรายอันหนึ่งมาให้ พอเขาลองพิจารณาดีๆก็รู้ว่ามันเป็นนาฬิกาทรายแบบ 3 ชั่วโมง ซึ่งพอเขาลองดูดีๆก็ตระหนักได้ว่าเหลือเวลาไม่ถึง 50 นาที ทรายก็จะเต็ม
“ขอหมอนหน่อยสิ”
“หา?!”
“ฉันอยากตายแบบสงบๆไง นอนก่อนตายสักกะหน่อยจะเป็นไรไป”
ฮิคาริโยนหมอนที่อยู่ในมือของตัวเองไปให้มาซามุเนะ เขากล่าวคำขอบคุณพร้อมกับวางหัวลงบนหมอนนุ่มๆ ความรู้สึกถึงความนุ่มนี้เหมือนกับความจริงเสียจนเขายังตกใจเลยทีเดียว
“หมอนนี่นุ่มดีเหมือนกันนะเนี่ย”
“ไม่ต้องมาตีสนิทเลยนะยะ”
“ไม่รู้สินะ พอรู้ว่าตัวเองจะตายแบบช่วยไม่ได้ ความแค้นในใจก็หายไปจนหมดเลยล่ะนะ ถึงจะอยากรู้ว่าอนาคตข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง แต่ในเมื่อต้องตาย ก็ไม่อยากจะนึกถึงมันน่ะสิ แล้วเธอล่ะ คิดว่าก่อนหน้านี้ก็น่าจะเคยผ่านประสบการณ์การตายมาแล้วหลายครั้งเลยนี่”
“ชิ จะเป็นเพื่อนคุยให้ก็แล้วกันยะ”
ฮิคาริสูดลมหายใจเข้าปอดแรงๆครั้งหนึ่ง ก่อนจะพูดอะไรตอบมาซามุเนะ
“ก่อนหน้านี้ ฉันเป็นแค่นักฆ่าที่ถูกรัฐบาลจับตัวไปปกติคนหนึ่ง แต่มีอยู่งานหนึ่ง ถึงงานนั้นจะไม่ได้ทำให้ฉันตาย แต่ก็ทำให้รู้ถึงคุณค่าของชีวิตมากขึ้น ต่อจากนั้นฉันก็ตัดสินใจว่าจะใช้ชีวิตให้เต็มที่ก่อนที่จะตาย แต่ก็ถูกใส่เข้าไปในกลุ่ม [SEVEN STAR] ก่อนที่จะได้ทำอะไรเลยเนี่ยสิ แถมงานแรกที่ได้รับก็ยากถึงขนาดทำให้ตัวฉันตายคาที่เลยเนี่ยสิ แต่อยู่ๆก็ตื่นขึ้นมา ตอนหลังก็พึ่งจะรู้เนี่ยสิว่าเป็นความสามารถของฉัน”
“จริงๆแล้ว ความสามารถนี่ อาจจะเกิดจากคำภาวนาที่อยากจะใช้ชีวิตอีกครั้งของเธอก็ได้นะ ถึงมันจะแลกกับชีวิตของคนอื่นก็เถอะ ถ้าให้พูดล่ะก็ นั่นคงจะเป็นความเห็นแก่ตัวของเธอล่ะมั้ง ประมาณว่า ถึงคนอื่นจะเป็นยังไงก็ไม่สน ขอเพียงแค่ตัวฉันยังมีชีวิตอยู่ก็พอใจแล้ว ว่าไปนั่น”
“แล้วนายเกียจมันไหมล่ะ ความเห็นแก่ตัวแบบนั้นน่ะ”
ฮิคาริตอบมาซามุเนะด้วยน้ำเสียงที่ทั้งแผ่วเบาและเงียบสงบจนทำให้มาซามุเนะรู้สึกแปลกๆ แต่เขาก็ตอบเธอไปโดยไม่คิดอะไร
“ถึงฉันจะไม่ได้ชอบ แต่ก็ไม่ได้เกียจหรอก ก็มันช่วยไม่ได้นี่นา คนเราก็มีความเห็นแก่ตัวอยู่ในใจทั้งนั้น แต่เธอนี่ บริสุทธิ์ดีนะ เป็นเหมือนความปรารถนาที่ตัวเองไม่ได้หวัง”
“…”
ไม่มีเสียงตอบรับปากเธอ พอเขาหันไปดู ก็พบว่าเธอกำลังนอนอยู่โดยหนุนหมอนที่มีลักษณะเดียวกันกับของเขา แล้วเอาหัวมาชนหัวของเขาอีกที
“ไม่ไหวเลยนะ งั้นเราเองก็คงได้เวลานอนแล้วล่ะมั้งเนี่ย คิดว่าถึงจะทำอะไรไปก็ไม่ส่งผลต่อร่างตนด้วย แต่ก็นะ ราตรีสวัสดิ์ ยินดีที่ได้คุยกันนะ ยัยเด็กผีโลลิต้า”
มาซามุเนะหยิบกิ๊บติดผมลายดอกไม้มาอันหนึ่ง แล้วติดไว้ที่ผมที่ดูยุ่งนิดหน่อยของฮิคาริ ทำให้มันเข้าที่อย่างดูเป็นระเบียบ จากนั้นเขาก็นอนลงอีกครั้ง หลับตาลงแล้วจึงค่อยหลับไปในที่สุด
“นรกงั้นเหรอ หรือฉันได้ขึ้นสวรรค์”
มาซามุเนะรู้สึกตัวอีกครั้ง แต่เขาก็ยังไม่ได้ลืมตาทันที เพราะยังไม่อยากรู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนกันแน่ แต่จู่ๆ หนังตาที่เคยหนักอึ้งของเขาก็ถูกถ่างขึ้นมาโดยใครสักคน พร้อมกับเสียงรเยกที่ฟังแล้วทำให้รู้สึกน่ารำคาญอย่างบอกไม่ถูก แต่ที่มันน่ารำคาญก็คงจะเป็นเหมือนกับอาการของคนที่อยากนอนต่อละมั้ง
“ตื่นแล้วก็ลุกจากเตียงซะสิยะ ไม่งั้นฉันก็ไปไหนไม่ได้กันพอดีสิ”
“หนังตาเขาถ่างขึ้นก็เฉพาะศพเท่านั้นนั่นแหละ ใครเขามาถ่างหนังตาชาวบ้านกั้นมั่งเล่า! เอ๊ะ...ศพเหรอ?”
มาซามุเนะพึ่งจะรู้สึกตัวว่าตอนนี้ตัวเองก็อาจจะเป็นศพก็ได้ ดังนั้นการที่ตัวเองถูกถ่างหนังตาขึ้นก็อาจจะเป็นอะไรที่ถูกแล้วก็ได้ แต่เมื่อหนังตาถูกถ่างออกมาแล้ว ดวงตาก็ต้องโผล่ออกมาจากความมืด และสิ่งที่ลลูกตาของเขารับรู้ได้เป็นอย่างแรกเลย ก็คือเพดาสีครีมซึ่งดูคุ้นตา ซึ่งดูๆไปมันก็คล้ายกับเพดานห้องของมาซามุเนะ ไม่สิ มันคือเพดานห้องของมาซามุเนะเลย มาวามุเนะลุกขึ้นมาจากเตียงนอนที่ตนนอนอยู่ และพบว่าที่ๆตัวเองอยู่นั้นมีลักษณะเหมือนห้องของตัวเองทุกประการ
“สวรรค์ละมั้ง ได้อยู่ในห้องนอนสบายๆของตัวเองด้วยเนี่ย ต้องเป็นสวรรค์อยู่แล้ว”
มาซามุเนะพูดออกมาในขณะที่กำลังมองดูห้องนอนของตัวเอง แต่เขาก็ไม่ได้ลุกออกไปจาดเตียงแต่อย่างใด มาซามุเนะคิดว่า ถ้าอยู่บนสวรรค์ก็คงจะทำอะไรก็ได้ ดังนั้นสิ่งที่เขาจะทำในตอนนี่ก็คือการนอนต่อตามสไตล์คนพึ่งตื่นนั่นเอง
“สวรรค์บ้าบออะไรกันยะ คนเขาอุตส่าห์ไว้ชีวิตให้แท้ๆ ยังจะมาอยากอยู่บนสวรรค์อีก ถ้าอยากอยู่นักเดียวฆ่าให้สมใจอยากเลยดีไหมล่ะยะ”
มีหมอนใบหนึ่งปาเข้ากลางใบหน้าของมาซามุเนะพร้อมๆกับเสียงพูดที่เป็นเอกลักษณ์ มันทำให้ตังเขาลุกขึ้นจากเตียงนอนอีกครั้ง และสิ่งที่ต่างออกไปก็คือ มีเด็กผู้หญิงที่อยู่ในชุดโกธิคโลลิต้าสีดำที่ดูคุ้นตา ฮิคาริผู้เป็นหนึ่งในสี่จตุรเทพนั่นเอง
“ไว้... ชีวิตเหรอ?”
มาซามุเนะที่อยู่ในสภาพพึ่งตื่นนอน พอรวมเข้ากับสิ่งที่ไม่เข้าใจที่ปรากฏขึ้นมาตรงหน้าแล้ว ทำให้เขาไม่สามารถประติดประต่อเรื่องราวทั้งหมดได้ในทันทีที่ได้เจอ
“มันก็หมายความว่า นายยังมีชีวิตอยู่ไงยะ สำนึกบุญคุณกันด้วยนะยะ พ่อ-คน-เก่ง”
“แล้วทำไมเธอถึงไม่ฆ่าฉันทิ้งซะละ เดี๋ยวเธอก็ถูกรัฐบาลกำจัดทิ้งหรอกนะ บ้าไปแล้วรึไงกันน่ะ”
“อย่างแรกเลยนะ ตอนนี้ฉันตายไปแล้วย่ะ แล้วอีกอย่าง ถ้าฉันอยู่กับนาย ก็อาจจะสบายกว่าอยู่กับรัฐบาลก็ได้ เคยได้ยินไหมล่ะ ว่าคนที่ตายไปแล้วน่ะ สบายกว่าคนที่ยังมีชีวิตอยู่อีกเป็นโหลเลยนะ”
“บ้าบอจริงๆเล้ย เอ๊ะ เดี๋ยวสิอยู่กับฉันนี่มันหมายความว่าอะไรล่ะนั่น”
“ก็หมายความว่า ถ้านายไม่ตายวิญญาณของฉันก็จะต้องติดอยู่กับนายยังไงล่ะยะ ช่วยไม่ได้นะ ก็มันเป็นเงื่อนไขที่จะทำให้ฉันตายนี่นา อ้าวๆ หรือว่านนายกำลังดีใจอยู่กันล่ะนั่น ช่าง-น่า-หัวเราะซะจริง ฮะฮ่ะฮ่าๆๆๆ”
“ไม่มีใครดีใจที่ต้องอยู่กับผู้หญิงโรคจิตหรอกนะ”
มาซามุเนะพูดออกมาด้วยสีหน้าเอือมระอากับความจริงในตอนนี้ของตนเอง พร้อมกับเดินไปที่ประตูห้อง
“เดี๋ยวสิ นั่นนายจะไปไหนน่ะ”
“ก็อาบน้ำน่ะสิ บอกไว้ก่อนเลยนะ เธอห้ามตามฉันมาเด็ดขาดเลย”
มาซามุเนะพูดพร้อมกับเดินออกไปจากห้อง ปล่อยให้ฮิคาริยิ้มอย่างน่าสงสัยคนเดียวในห้อง
ปัจฉิมลิขิต
ความจริงที่ตอนนี้มันนาน+ยาว ก็คือ เป็นช่วงเปิดเทอมแล้ว ทำให้เวลาในการเขียนต่อสัปดาห์ก็จะพลอยน้อยลงไปด้วย และบวกกับเวลาเขียนไปแล้วครั้งหนึ่ง มันก็จะเพลินด้วยเพราะตัวผมไม่ค่อยได้ทำอย่างอื่นมาก ยังไงต่อจากนี้ การลงแต่ละตอนมันก็จะนานกว่าเดิมนิดหน่อยนะครับ(เอาจริงๆคิดว่าไม่นิดหรอก) สุดท้ายก็ขอขอบคุณที่คลิกเข้ามาอ่านด้วยนะครับ แล้วก็ถึงจะเขินอยู่หน่อยๆ แต่ต่อจากนี้ก็ฝากด้วยนะครับ
มาซามุเนะลืมตาขึ้นมาอย่างงัวเงีย สิ่งที่เขาเห็นก็คือเพดานสีขาวที่ไร้ลวดลาย แล้วพอลองหันหน้าไปมองดูรอบๆตัว ก็เข้าใจได้อย่างเดียวว่า ที่ที่เขาอยู่ตอนนี้เป็นห้องรูปทรงสี่เหลี่ยม สิ่งที่โดดเด่นที่สุดของห้องก็ดูเหมือนจะเป็นความเรียบง่ายที่ทั้งห้องเป็นสีขาวจนหมด มาซามุเนะมองดูรอบตัวอยู่นาน แต่ก็ไม่มีใครอยู่นอกจากตัวเข้าเอง ข้อสงสัยต่อห้องนี้ของมาซามุเนะพุดขึ้นมาเรื่อยๆ ทั้งไม่มีทางเข้าออก ห้องที่สว่างโดยที่ไม่มีทั้งหลอดไฟหรือตะเกียง แต่ความคิดนั้นของเขาก็ถูกกลบด้วยเสียงที่น่าขนลุกซึ่งดังมาจากข้างหลังของตัวเขา
“อ้าวๆ ฟื้นแล้วเหรอยะ พ่อ-คน-เก่ง~~~~~”
เมื่อมาซามุเนะหันหน้าไปตามคำพูดที่ฟังดูเป็นเอกลักษณ์ ก็เจอกับคู่ต่อสู้ที่เขาพึ่งจะสังหารไป หนึ่งในสี่จตุรเทพ ฮิคาริผู้สิงสถิตนั่นเอง เขาจ้องมองเธอด้วยความสงสัยอยู่นาน ก่อนที่จะเดินสำรวจห้องต่อโดยที่ไม่คิดจะสนใจเธอเลยแม้แต่น้อย
“ดะ...เดี๋ยวก่อนสิ อย่ามาเมินกันนะยะ”
“...”
ไม่มีเสียงตอบกลับ มาซามุเนะเดินไปที่กำแพงห้องเพื่อเช็คอะไรบางอย่าง แล้วเขาก็พึ่งรู้ตัวด้วยว่าเสื้อเชิ้ตและกางเกงขายาวซึ่งก็คือชุดนักเรียนตัวเองไม่มีอุปกรณ์ใดๆหลงเหลืออยู่เลยแม้แต่อย่างเดียว เขายังคงค้นหาทางออกของห้องนี้ต่อไปอย่างไม่ลดละ ก่อนที่จะนึกขึ้นมาได้ว่าที่นี่มันมีอะไรที่แปลกกว่านั้นอยู่
“ที่นี่ไม่มีทางออกหรอกนะยะ ถ้าอยากรู้เรื่องก็ลองมาขอร้องฉันดูสิ”
“ที่นี่คือที่ไหน”
มาซามุเนะพูดพร้อมกับหันหน้าไปหาฮิคาริ เธอยิ้มตอบกลับคำพูดของมาซามุเนะ ก่อนที่จะบอกสิ่งที่น่าตกใจออกมา
“ที่นี่คือภายในของนายยังไงล่ะยะ เรียกง่ายๆก็คือ วิญญาณของนายนั่นแหละ”
“วิญญาณ... พูดออกมาให้มันชัดสิ”
มาซามุเนะพูดออกมาพร้อมกับเดินเข้าไปหาฮิคาริ
“มีมารยาทหน่อยสิยะ อย่ามาทำตัวเป็นเจ้าคนน่าสงสัยตรงนั้นนะ”
ฮิคาริพูดพร้อมกับชี้ไปที่มุมหนึ่งของห้อง เมื่อเขาลองมองตามไป ก็พบกับความมืด ความมืดเดียวของห้องที่เต็มไปด้วยสีขาว พอลองเพ่งสายตามองดูดีๆ ก็จะเห็นคนๆหนึ่งกำลังยืนพิงกำแพงห้องอยู่ เมื่อมาซามุเนะมองไปให้ลึกเข้าไปอีก ก็พบว่าคนที่กำลังยืนพิงกำแพงอยู่ มีทั้งหน้าตา รูปร่าง เสื้อผ้าเหมือนกับตัวเขาเองทุกประการ พอมาซามุเนะพยายามจะเดินเข้าไปหา ก็ถูกฮิคาริจับชายเสื้อของเขาไว้
“ทำอะไรน่ะ ปล่อยฉันนะ....”
พอมาซามุเนะจะหันกลับไปต่อว่าฮิคาริ ก็ต้องตกใจกับสีหน้าซีดอย่างเห็นได้ชัดเจนของเธอ
“ยัยเด็กผี เป็นอะไรไปน่ะ”
พอมาซามุเนะจับไปที่มือของฮิคาริ ก็พบว่าตัวเธอนั้นกำลังสั่นอยู่
“ขอให้ทำความเข้าใจด้วย ว่าในอีกไม่ถึง 1 ชั่วโมง ความสามารถพลังจิตของฉันก็จะทำงาน มันจะทำให้นายตายทันที”
“เธอพูดอะไรนะ”
เสียงอันแผ่วเบาของฮิคาริ ดังขึ้นมาโดยกลบเกลื่อนอาการสั่นเทิ้มเอาไว้
“ฉันบอกว่า! นายจะตายหลังจากนี้ 1 ชั่วโมงจากความสามารถพลังจิตของฉันยังไงล่ะยะ!”
“อะ...อะไรนะ ฉันจะตายงั้นเหรอ”
“ใข่แล้ว ความสามรถพลังจิตอย่างสุดท้ายของฉัน <เดธ รีแอคชั่น (Death Reaction)> ยังไงเล่า อย่าให้ฉันต้องพูดซ้ำสองได้ไหมล่ะยะ ตาบ้า”
“แล้วเธอจะขึ้นเสียงทำไมล่ะเนี่ย”
มาซามุเนะพูดจบ ก็ลงไปนั่งอย่างหมดสภาพกับพื้น พร้อมใบหน้าที่สิ้นหวังกับความเป็นจริง
“นี่ฉัน จะตายอย่างงี้เนี่ยนะ เฮ้อ~~~~~”
“ก็ใช่น่ะสิยะ ฉันเป็นถึงระดับ-”
“บ้ารึไง ใครมันจะไปเชื่อกันเล่า อย่ามาบัฟฉันแล้วก็บอกมาได้แล้วว่าทางออกมันอยู่ตรงไหน”
“ตาบ้าโง่เอ๊ย <เดธ รีแอคชั่น (Death Reaction)> ของฉันคือความสามารถที่จะส่งวิญญาณเข้าไปภายในวิญญาณของคนที่ฉันต้องการ แล้วคนคนนั้นก็จะตายภายใน 3 ชั่วโมงยังไงล่ะยะ ไปตายซะไป ไอ้โง่เอ๊ย”
ฮิคาริใช้หมอนที่อยู่ในมือตั้งแต่เมื่อไหร่ ฟาดเข้าที่หน้าของมาวามุเนะอย่างจัง แน่นอนว่าคราวนี้เขานั่งลงกับพื้นแล้วใบหน้าก็ถูกย้อมไปด้วยความสิ้นหวังจริงๆ
“แล้วเธอจะเป็นยังไงต่อล่ะ”
“ห๊ะ!”
มาซามุเนะพูดขึ้นมาในระหว่างที่เขากำลังก้มหน้ายอมรับความตายอยู่
“ฉันถามว่าเธอจะเอายังไงต่อล่ะ หลังจากทีฉันตายไปแล้วน่ะ”
“อ้าวๆ นี่นายยอมรับความตายแล้วงั้นเหรอ ช่าง-น่า-สม-เพช-ซะจริงนะ แต่ก็เถอะ จะบอกไว้หน่อยก็ได้ หลังจากนายตาย ฉันก็จะกลับเขาร่างเดิมของตัวเอง พร้อมกับลากสังขารกับไปรักษาตัวที่ฐานลับ แล้วค่อยกลับมาทำลายตึกนั่นวันหลังก็ได้ มันเป็นงานง่ายๆอยู่แล้วล่ะนะ”
“งั้นเหรอ เหลือเวลาเท่าไหร่ก่อนฉันนจะตายละ”
ฮิคาริไม่ตอบอะไร แต่เธอโยนนาฬิกาทรายอันหนึ่งมาให้ พอเขาลองพิจารณาดีๆก็รู้ว่ามันเป็นนาฬิกาทรายแบบ 3 ชั่วโมง ซึ่งพอเขาลองดูดีๆก็ตระหนักได้ว่าเหลือเวลาไม่ถึง 50 นาที ทรายก็จะเต็ม
“ขอหมอนหน่อยสิ”
“หา?!”
“ฉันอยากตายแบบสงบๆไง นอนก่อนตายสักกะหน่อยจะเป็นไรไป”
ฮิคาริโยนหมอนที่อยู่ในมือของตัวเองไปให้มาซามุเนะ เขากล่าวคำขอบคุณพร้อมกับวางหัวลงบนหมอนนุ่มๆ ความรู้สึกถึงความนุ่มนี้เหมือนกับความจริงเสียจนเขายังตกใจเลยทีเดียว
“หมอนนี่นุ่มดีเหมือนกันนะเนี่ย”
“ไม่ต้องมาตีสนิทเลยนะยะ”
“ไม่รู้สินะ พอรู้ว่าตัวเองจะตายแบบช่วยไม่ได้ ความแค้นในใจก็หายไปจนหมดเลยล่ะนะ ถึงจะอยากรู้ว่าอนาคตข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง แต่ในเมื่อต้องตาย ก็ไม่อยากจะนึกถึงมันน่ะสิ แล้วเธอล่ะ คิดว่าก่อนหน้านี้ก็น่าจะเคยผ่านประสบการณ์การตายมาแล้วหลายครั้งเลยนี่”
“ชิ จะเป็นเพื่อนคุยให้ก็แล้วกันยะ”
ฮิคาริสูดลมหายใจเข้าปอดแรงๆครั้งหนึ่ง ก่อนจะพูดอะไรตอบมาซามุเนะ
“ก่อนหน้านี้ ฉันเป็นแค่นักฆ่าที่ถูกรัฐบาลจับตัวไปปกติคนหนึ่ง แต่มีอยู่งานหนึ่ง ถึงงานนั้นจะไม่ได้ทำให้ฉันตาย แต่ก็ทำให้รู้ถึงคุณค่าของชีวิตมากขึ้น ต่อจากนั้นฉันก็ตัดสินใจว่าจะใช้ชีวิตให้เต็มที่ก่อนที่จะตาย แต่ก็ถูกใส่เข้าไปในกลุ่ม [SEVEN STAR] ก่อนที่จะได้ทำอะไรเลยเนี่ยสิ แถมงานแรกที่ได้รับก็ยากถึงขนาดทำให้ตัวฉันตายคาที่เลยเนี่ยสิ แต่อยู่ๆก็ตื่นขึ้นมา ตอนหลังก็พึ่งจะรู้เนี่ยสิว่าเป็นความสามารถของฉัน”
“จริงๆแล้ว ความสามารถนี่ อาจจะเกิดจากคำภาวนาที่อยากจะใช้ชีวิตอีกครั้งของเธอก็ได้นะ ถึงมันจะแลกกับชีวิตของคนอื่นก็เถอะ ถ้าให้พูดล่ะก็ นั่นคงจะเป็นความเห็นแก่ตัวของเธอล่ะมั้ง ประมาณว่า ถึงคนอื่นจะเป็นยังไงก็ไม่สน ขอเพียงแค่ตัวฉันยังมีชีวิตอยู่ก็พอใจแล้ว ว่าไปนั่น”
“แล้วนายเกียจมันไหมล่ะ ความเห็นแก่ตัวแบบนั้นน่ะ”
ฮิคาริตอบมาซามุเนะด้วยน้ำเสียงที่ทั้งแผ่วเบาและเงียบสงบจนทำให้มาซามุเนะรู้สึกแปลกๆ แต่เขาก็ตอบเธอไปโดยไม่คิดอะไร
“ถึงฉันจะไม่ได้ชอบ แต่ก็ไม่ได้เกียจหรอก ก็มันช่วยไม่ได้นี่นา คนเราก็มีความเห็นแก่ตัวอยู่ในใจทั้งนั้น แต่เธอนี่ บริสุทธิ์ดีนะ เป็นเหมือนความปรารถนาที่ตัวเองไม่ได้หวัง”
“…”
ไม่มีเสียงตอบรับปากเธอ พอเขาหันไปดู ก็พบว่าเธอกำลังนอนอยู่โดยหนุนหมอนที่มีลักษณะเดียวกันกับของเขา แล้วเอาหัวมาชนหัวของเขาอีกที
“ไม่ไหวเลยนะ งั้นเราเองก็คงได้เวลานอนแล้วล่ะมั้งเนี่ย คิดว่าถึงจะทำอะไรไปก็ไม่ส่งผลต่อร่างตนด้วย แต่ก็นะ ราตรีสวัสดิ์ ยินดีที่ได้คุยกันนะ ยัยเด็กผีโลลิต้า”
มาซามุเนะหยิบกิ๊บติดผมลายดอกไม้มาอันหนึ่ง แล้วติดไว้ที่ผมที่ดูยุ่งนิดหน่อยของฮิคาริ ทำให้มันเข้าที่อย่างดูเป็นระเบียบ จากนั้นเขาก็นอนลงอีกครั้ง หลับตาลงแล้วจึงค่อยหลับไปในที่สุด
“นรกงั้นเหรอ หรือฉันได้ขึ้นสวรรค์”
มาซามุเนะรู้สึกตัวอีกครั้ง แต่เขาก็ยังไม่ได้ลืมตาทันที เพราะยังไม่อยากรู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนกันแน่ แต่จู่ๆ หนังตาที่เคยหนักอึ้งของเขาก็ถูกถ่างขึ้นมาโดยใครสักคน พร้อมกับเสียงรเยกที่ฟังแล้วทำให้รู้สึกน่ารำคาญอย่างบอกไม่ถูก แต่ที่มันน่ารำคาญก็คงจะเป็นเหมือนกับอาการของคนที่อยากนอนต่อละมั้ง
“ตื่นแล้วก็ลุกจากเตียงซะสิยะ ไม่งั้นฉันก็ไปไหนไม่ได้กันพอดีสิ”
“หนังตาเขาถ่างขึ้นก็เฉพาะศพเท่านั้นนั่นแหละ ใครเขามาถ่างหนังตาชาวบ้านกั้นมั่งเล่า! เอ๊ะ...ศพเหรอ?”
มาซามุเนะพึ่งจะรู้สึกตัวว่าตอนนี้ตัวเองก็อาจจะเป็นศพก็ได้ ดังนั้นการที่ตัวเองถูกถ่างหนังตาขึ้นก็อาจจะเป็นอะไรที่ถูกแล้วก็ได้ แต่เมื่อหนังตาถูกถ่างออกมาแล้ว ดวงตาก็ต้องโผล่ออกมาจากความมืด และสิ่งที่ลลูกตาของเขารับรู้ได้เป็นอย่างแรกเลย ก็คือเพดาสีครีมซึ่งดูคุ้นตา ซึ่งดูๆไปมันก็คล้ายกับเพดานห้องของมาซามุเนะ ไม่สิ มันคือเพดานห้องของมาซามุเนะเลย มาวามุเนะลุกขึ้นมาจากเตียงนอนที่ตนนอนอยู่ และพบว่าที่ๆตัวเองอยู่นั้นมีลักษณะเหมือนห้องของตัวเองทุกประการ
“สวรรค์ละมั้ง ได้อยู่ในห้องนอนสบายๆของตัวเองด้วยเนี่ย ต้องเป็นสวรรค์อยู่แล้ว”
มาซามุเนะพูดออกมาในขณะที่กำลังมองดูห้องนอนของตัวเอง แต่เขาก็ไม่ได้ลุกออกไปจาดเตียงแต่อย่างใด มาซามุเนะคิดว่า ถ้าอยู่บนสวรรค์ก็คงจะทำอะไรก็ได้ ดังนั้นสิ่งที่เขาจะทำในตอนนี่ก็คือการนอนต่อตามสไตล์คนพึ่งตื่นนั่นเอง
“สวรรค์บ้าบออะไรกันยะ คนเขาอุตส่าห์ไว้ชีวิตให้แท้ๆ ยังจะมาอยากอยู่บนสวรรค์อีก ถ้าอยากอยู่นักเดียวฆ่าให้สมใจอยากเลยดีไหมล่ะยะ”
มีหมอนใบหนึ่งปาเข้ากลางใบหน้าของมาซามุเนะพร้อมๆกับเสียงพูดที่เป็นเอกลักษณ์ มันทำให้ตังเขาลุกขึ้นจากเตียงนอนอีกครั้ง และสิ่งที่ต่างออกไปก็คือ มีเด็กผู้หญิงที่อยู่ในชุดโกธิคโลลิต้าสีดำที่ดูคุ้นตา ฮิคาริผู้เป็นหนึ่งในสี่จตุรเทพนั่นเอง
“ไว้... ชีวิตเหรอ?”
มาซามุเนะที่อยู่ในสภาพพึ่งตื่นนอน พอรวมเข้ากับสิ่งที่ไม่เข้าใจที่ปรากฏขึ้นมาตรงหน้าแล้ว ทำให้เขาไม่สามารถประติดประต่อเรื่องราวทั้งหมดได้ในทันทีที่ได้เจอ
“มันก็หมายความว่า นายยังมีชีวิตอยู่ไงยะ สำนึกบุญคุณกันด้วยนะยะ พ่อ-คน-เก่ง”
“แล้วทำไมเธอถึงไม่ฆ่าฉันทิ้งซะละ เดี๋ยวเธอก็ถูกรัฐบาลกำจัดทิ้งหรอกนะ บ้าไปแล้วรึไงกันน่ะ”
“อย่างแรกเลยนะ ตอนนี้ฉันตายไปแล้วย่ะ แล้วอีกอย่าง ถ้าฉันอยู่กับนาย ก็อาจจะสบายกว่าอยู่กับรัฐบาลก็ได้ เคยได้ยินไหมล่ะ ว่าคนที่ตายไปแล้วน่ะ สบายกว่าคนที่ยังมีชีวิตอยู่อีกเป็นโหลเลยนะ”
“บ้าบอจริงๆเล้ย เอ๊ะ เดี๋ยวสิอยู่กับฉันนี่มันหมายความว่าอะไรล่ะนั่น”
“ก็หมายความว่า ถ้านายไม่ตายวิญญาณของฉันก็จะต้องติดอยู่กับนายยังไงล่ะยะ ช่วยไม่ได้นะ ก็มันเป็นเงื่อนไขที่จะทำให้ฉันตายนี่นา อ้าวๆ หรือว่านนายกำลังดีใจอยู่กันล่ะนั่น ช่าง-น่า-หัวเราะซะจริง ฮะฮ่ะฮ่าๆๆๆ”
“ไม่มีใครดีใจที่ต้องอยู่กับผู้หญิงโรคจิตหรอกนะ”
มาซามุเนะพูดออกมาด้วยสีหน้าเอือมระอากับความจริงในตอนนี้ของตนเอง พร้อมกับเดินไปที่ประตูห้อง
“เดี๋ยวสิ นั่นนายจะไปไหนน่ะ”
“ก็อาบน้ำน่ะสิ บอกไว้ก่อนเลยนะ เธอห้ามตามฉันมาเด็ดขาดเลย”
มาซามุเนะพูดพร้อมกับเดินออกไปจากห้อง ปล่อยให้ฮิคาริยิ้มอย่างน่าสงสัยคนเดียวในห้อง
ปัจฉิมลิขิต
ความจริงที่ตอนนี้มันนาน+ยาว ก็คือ เป็นช่วงเปิดเทอมแล้ว ทำให้เวลาในการเขียนต่อสัปดาห์ก็จะพลอยน้อยลงไปด้วย และบวกกับเวลาเขียนไปแล้วครั้งหนึ่ง มันก็จะเพลินด้วยเพราะตัวผมไม่ค่อยได้ทำอย่างอื่นมาก ยังไงต่อจากนี้ การลงแต่ละตอนมันก็จะนานกว่าเดิมนิดหน่อยนะครับ(เอาจริงๆคิดว่าไม่นิดหรอก) สุดท้ายก็ขอขอบคุณที่คลิกเข้ามาอ่านด้วยนะครับ แล้วก็ถึงจะเขินอยู่หน่อยๆ แต่ต่อจากนี้ก็ฝากด้วยนะครับ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ