Psychic พลังกายสิทธิ์ ลิขิตมรณะ
-
เขียนโดย MoMoGa
วันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เวลา 23.06 น.
26 บท
4 วิจารณ์
20.53K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 11.12 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) ตอนที่ 1-1 ชายผู้กลับมาพร้อมสีดำ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ เมื่อ 8 ปีที่แล้ว มีการค้นพบพลังงานรูปแบบใหม่ที่ไม่เคยถูกพบที่ไหนมาก่อน มันคือ [พลังงานเชิงจิตภาพ] แต่ข่าวที่ออกตามโทรทัศน์นั้นกลับเรียกมันด้วยชื่อที่สั้นและเรียบง่ายอย่าง [พลังจิต]
นักวิจัยและนักสถิติทุกคนที่ศึกษาต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าพลังงานเชิงจิตภาพหรือที่เรียกว่าพลังจิตนั้นจะค้นพบในเด็กที่มีอายุไม่เกิน 14 ปีเท่านั้น ซึ่งนั่นเรียกได้ว่าเป็นข้อมูลเพียงหนึ่งเดียวที่ถูกยืนยันว่าถูกต้องจริง นอกนั้นแล้วส่วนใหญ่จะเป็นแค่ข้อสันนิษฐานเท่านั้น ทั้งเรื่องอาหารที่มีคนบอกว่าเด็กที่มีพลังจิตจะต้องกินอาหารที่ต่างจากมนุษย์ทั่วไป เรื่องอาการเมื่อเด็กเหล่านั้นคลุ้มคลั่งหรือแม้แต่เรื่องที่ว่าเด็กเหล่านั้นจะหลายร่างเป็นปีศาจ ถึงมันจะเป็นแค่ข้อสันนิษฐานที่ไม่มีอะไรมายืนยัน แต่ก็สามารถทำให้พ่อแม่ผู้ปกครองหรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับเด็กที่มีพลังงานเชิงจิตภาพหลายคนบอกว่ากังวลออกมาได้ไม่อย่างไม่ยากเย็น
ทำให้ในปีถัดมา รัฐบาลจึงมีมาตรการเพื่อผู้มีพลังงานิงจิตภาพโดยเฉพาะ ซึ่งมันก็คือการควบคุมตัวเด็กที่มีพลังงานเชิงจิตภาพทั้งหมดให้มาอยู่ในการควบคุมและดูแลของหน่วยงานพิเศษที่ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อมาตรการนี้โดยเฉพาะ ซึ่งที่ทำให้ประชาชนไม่พอใจที่สุดก็คงจะเป็นตัวอักษรสีแดงที่เขียนกำกับไว้บนหัวข่าวว่า {บังคับ} ใช่แล้ว มันคือการบังคับให้ส่งลูกของตัวเองไปในที่ห่างไกลนั่นเอง แต่ประชาชนก็ไม่สามารถขัดขืนอะไรได้ ส่งผลให้ในปีนั้นมีจำนวนเด็กที่หายไปจากโรงเรียนที่เคยเรียนและบ้านที่เคยอยู่มากกว่า 30,000 คน
เมื่อมาตรการนั้นถูกสั่งใช้ไปได้ 2 เดือน ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับพลังจิตทุกช่องทางก็หายไปอย่างไรเหตุผล แม้แต่ข่าวเกี่ยวกับพลังจิตที่ข่าวหลายช่องเคยตีนำเสนอก็หายไปอย่างดื้อๆซะอย่างนั้น
ตอนนี้ บนทางม้าลายของเมืองเมืองหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น มีเด็กหนุ่มชั้นมัธยมปลายปีที่ 1 กำลังเดินข้ามทางม้าลายดังกล่าวพลางคิดเรื่องที่เล่ามาข้างต้นอยู่ ซึ่งชื่อของเด็กคนนั้นก็คือ ชินโด มาซามุเนะ เด็กหนุ่มอายุ 15 ปี เมื่อ 5 ปีที่แล้วเขาต้องย้ายออกไปจากเมืองนี้เพื่ออาศัยอยู่กับญาติด้วยสาเหตุบางประการ เมื่อมาซามุเนะขึ้นมัธยมปลาย เขาจึงได้ย้ายกลับมาที่เมืองเกิดของตนเองเพื่อทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการมากที่สุด
“ถ้านับจากวันที่เรากลับมาเมืองนี้ก็เข้าอาทิตย์ที่สองแล้วสินะ เราลองไปสืบหาข้อมูลจากคนในท้องถิ่นส่วนใหญ่หมดแล้ว แต่ก็ไม่มีใครรู้อะไรเกี่ยวกับพลังจิตเลย แต่สิ่งที่น่าสงสัยก็คงจะเป็นเรื่องคนที่หายตัวไปสินะ เจ้าอิ-”
“ถ้าไม่รีบข้ามทางม้าลายตอนนี้จะเกิดอันตรายได้นะ มาซามุเนะคุง”
ความคิดทบทวนของมาซามุเนะถูกขัดจังหวะด้วยคำพูดที่ฟังดูสดใสแต่ก็แฝงไปด้วยความเอาใจใส่ของเด็กสาวคนหนึ่ง เด็กสาวคนนั้นแต่งตัวด้วยเครื่องแบบนักเรียนโรงเรียนเดียวกันกับมาซามุเนะ ผมสั้นสีน้ำตาลอ่อน เธอเดินเข้ามาจากด้านหลังของมาซามุเนะพร้อมกับคว้าแขนขวาของเขาเดินข้ามทางม้าลายอย่างรวดเร็ว ผมที่ถึงแม้จะสั้นแต่ก็ยังคงปลิวไปตามแรงลมได้ของเธอ พัดพานำกลิ่นแชมพูเขามาในโพรงจมูกของมาซามุเนะอย่างช่วยไม่ได้
“ถ้าไม่รีบจะเข้าเรียนสายได้นะ”
“ยุ่งน่า เหวอ--- ฉันเดินเองเป็นหรอก”
เด็กสาวคนนั้นคนนั้นดึงแขนขวาของมาซามุเนะแล้วเดินต่อไปโดยไม่ฟังคำทักท้วงของเขาเลยแม้แต่น้อย
“แล้วทำไมเธอไม่เดินไปโรงเรียนกับอากิโอะที่เป็นแฟนตัวเองกันล่ะ”
“...”
ไม่มีเสียงตอบรับจากเด็กสาวคนนั้น เธอยังคงเดินหน้าต่อไปโดยมีแขนขวาของมาซามุเนะอยู่ที่มือขวาของตัวเอง
เด็กสาวคนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน เธอมีชื่อว่าคาวาซากิ คุออน อายุ 16 ปีอยู่ชั้นปีเดียวกับมาซามุเนะ เป็นเพื่อนสมัยเด็กที่สนิทกันมากของมาซามุเนะ มีจุดเด่นคือจะแสดงสีหน้าและคำพูดตามสิ่งที่คิดทั้งหมด ส่วนนั้นจึงทำให้เธอเป็นคนโกหกคนอื่นเป็น แต่มาซามุเนะก็คิดว่านั่นคือส่วนที่น่ารักที่สุดของเธอเลยก็ว่าได้
ส่วนคนที่มาซามุเนะกล่าวถึงนั้น มีชื่อเต็มๆว่าโอคาซากิ อากิโอะ เป็นเพื่อสมัยเด็กอีกคนของมาซามุเนะและคุออน ก่อนที่มาซามุเนะจะย้ายไปจากเมือนี้นั้น อากิโอะเป็นเด็กที่ร่าเริงแจมใสก็จริง แต่ด้วยสภาพร่างกายที่ไม่แข็งแรงของเขาทำให้ไม่ค่อยจะมีเพื่อนมากสักเท่าไหร่ ซึ่งด้วยเหตุผลข้อส่งผลกระทบทำให้ผลการเรียนของเขาแย่ลงไปด้วย แต่อากิโอะในปัจจุบันนั้นแตกต่างจากอากิดอะที่มาซามุเนะรู้จักโดยสิ้นเชิง ตอนนี้เขาเป็นถึงคนที่ทำคะแนนได้ดีมากคนหนึ่งของชั้นเรียน และยังเป็นคนที่มีชื่อเสียงด้านกีฬาอีกคนหนึ่งของชมรมที่เขาอยู่อีกด้วย ความจริงมาซามุเนะก็ควรจะดีใจกับอากิดอะที่เป็นแบบนั้น แต่ในใจของมาซามุเนะก็รู้ดีว่าอากิดอะที่เขารู้จัก คนที่รักเพื่อนและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่นั้นได้หายไปแล้ว
“เอาเถอะน่า เดี๋ยวมาซามุเนะคุงก็ไปไม่ทันคาบโฮมรูมหรอก ไปเร็ว”
พูดไม่ทันขาดคำ เขาก็ถูกคุออนจูงมือแล้วลากไปถึงโรงเรียน
โรงเรียนมัธยมปลายมาซาราดะนั้นเป็นโรงเรียนที่สอบเข้ายากพอสมควร เพราะมีระบบการสอนแบบทันสมัย ที่สำคัญยังมีโควตาที่สามารถใช้เพื่อเข้ามหาลัยดังๆได้หลายที่อีกด้วยให้กับนักเรียนดีเด่น นั้นจึงดึงดูดให้นักเรียนที่เรียนดีหลายคนอยากมาต่อที่นี่เพื่อได้สิทธินั้น แต่สำหรับมาซามุเนะนั้น ตัวเขามีเหตุผลอื่นที่เลือกมาต่อมัธยมปลายที่นี่ นั่นก็คือ โรงเรียนแห่งนี้นั้นมีพื้นที่ที่กว้างขวาง และที่นี่ก็มีห้องเรียนระดับชั้นละ 3 ห้องเท่านั้น แต่ละห้องนั้นมีนักเรียนอยู่เพียงห้องละ 30 คน ทำให้มันเป็นโรงเรียนที่ไม่แออัดแถมยังสะดวกสบายในการค้นข้อมูลอีกด้วย นั่นจึงทำให้เขาตัดสินใจเข้าเรียนต่อที่โรงเรียนนี้
พอมาถึงโรงเรียน มาซามุเนะก็แยกกับคุออนไปเข้าห้องเรียนของตัวเอง แต่พอเขาเข้ามาถึงห้องเรียนได้ไม่ทันไร เสียงอ็อดที่บ่งบอกว่าถึงคาบโฮมรูมก็ดังขึ้น เขาจึงรีบไปยังที่นั่งของตัวเองโดยเร็วที่สุด พอนั่งที่เก้าอี้ของที่นั่งเรียนตามปกติได้ไม่ทันไร อาจารย์มายาซาว่า อาจารย์ประจำชั้นผมสีดำเข้มสุดสวยก็เข้ามาในห้อง พร้อมกับแจ้งข่าวสารของโรงเรียนให้นักเรียนทุกคนทราบ จนถึงตอนนี้ มาซามุเนะไม่เคยตั้งใจนั่งฟังอาจารย์พูดคุยจนจบคาบโดยที่ไม่หันไปคิดฟุ้งซ่านได้เลยสักครั้ง แต่อยู่ๆในเวลาที่คาบโฮมรูมใกล้จะจบลงนั้น อาจารย์สาวสวยก็เปลี่ยนร่างกลายร่างเป็นปีศาจร้ายพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังทีไรก็ขนลุกทุกที
“มาซามุเนะ ได้ฟังที่ครูพูดจนจบรึเปล่า ถ้ารู้ตัวว่าฟังไม่จบละก็ หลังจากพังเที่ยงแล้วก็มาหาครูที่ห้องพักส่วนตัวของครูด้วยนะ เข้าใจรึเปล่า ตอบด้วยสิ ครูจะได้รู้ว่าครูไม่ได้กำลังคุยคนเดียว”
“คะ.....ครับ เข้าใจแล้วครับ”
“ถ้าอาจารย์อยู่ในร่างนี้ มันก็เหมือนกับการบังคับขู่เข็ญดีๆเลยนี่ครับ โถ่”
เขาบังคับปากตัวเองไม่ให้พูดสิ่งที่กำลังคิดอยู่ออกไปด้วย ขืนเขาพูดออกไปละก็ ชะตาชีวิตคงได้ถึงคราวดับสูญแน่นอน ถ้าอาจารย์พูดด้วยโหมดปกติละก็ เขาก็กะว่าจะไม่ไปหาแน่ แต่ถ้าโดนอาจารย์ที่อยู่ในโหมดนี้พูดใส่ละก็ คงไม่มีใครกล้าที่จะปฏิเสธอย่างแน่นอน ถ้าดูจากสีหน้าที่หวาดกลัวที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนของพวกเพื่อนๆร่วมชั้นของเขาแล้วละก็ ดูออกได้เป็นคำพูดไม่กี่คำอย่าง “นายไม่รอดแล้วละ” หรือ “โชคดีนะเพื่อน” ซึ่งตัวเขาก็รู้ชะตากรรมของตัวเองดีเลยว่า ไม่มีทางรอดจากเงื้อมือของอาจารย์สุดโหดคนนี้ได้
หลังจากคาบโฮมรูมก็ยังมีเวลาอีก 3 คาบก่อนที่เขาจะพักกลางวัน คำพูดของอาจารย์นั้นทำเอาเขาไม่เป็นอันทำอะไรเลยกับอีก 3 คาบที่เหลือ แม้แต่จะฟังที่อาจารย์ประจำวิชาสอนแล้วจดตามก็ยังทำไม่ได้ ในที่สุดก็พักกลางวันจนได้ ถึงจะบอกว่าพักกลางวันแต่เขาก็ต้องไปหาอาจารย์ประจำชั้น นั่นนับเป็นครั้งแรกที่เขาถูกอาจารย์เรียกตัวไปหา เขาไม่รู้เลยว่าควรทำอะไรดี
“ขออนุญาตครับ”
หลังจากเขาส่งเสียงออกมา ก็มีเสียงอาจารย์ประจำชั้นที่คุ้นหูดังออกมาว่า “เชิญ”แล้วก็ตามด้วยการเปิดประตูของห้องพักส่วนตัวของครู เดินเข้าไปในห้องและปิดประตู พร้อมมองไปรอบๆ แล้วคิดในใจว่า “สมกับเป็นห้องส่วนตัว หรูหราสุดๆ แถมยังเย็นสบายอีกด้วย” หลังจากนั้นอาจารย์ก็ชี้นิ้วไปยังโซฟาที่อยู่ตรงข้ามกับโซฟาที่อาจารย์กำลังนั่งไขว้ห่างอยู่ ระหว่างโซฟาทั้งสองตัวมีโต๊ะที่วางถ้วยชาฝรั่งอยู่สองถ้วย มาซามุเนะเดินไปนั่งที่โซฟาแต่โดยดี หลังจากนั้น ก็มีคำพูดที่คาดไม่ถึงหลุดออกมาจากปากอาจารย์ที่กำลังทำหน้าตาเคร่งเครียดอยู่ต่อหน้ามาซามุเนะ
“ไม่ชอบชาฝรั่งหรอ งั้นเดียวไปเตรียมคุกกี้มาให้นะ รอสักครู่แล้วกัน
“มะ.....ไม่เป็นไรครับ แค่นี้ก็พอแล้วครับ ว่าแต่อาจารย์เรียกผมมาทำไมหรอครับ หรือว่าเรื่องที่ผมไม่ค่อยได้ฟังอาจารย์พูดในคาบโฮมรูม”
เขากล่าวข้อสงสัยออกไป แต่สิ่งที่ได้กลับมาดันเป็น...
“นี่เธอไม่ฟังฉันพูดในคาบโฮมรูมงั้นเรอะ!!!”
“ปะ...เปล่านะครับ ผะ.....ผมแค่ยกตัวอย่างเท่านั้นเอง ใช้แล้วครับ ใช่แล้ว ยกตัวอย่างไงครับ”
เขาตอบออกไปโดยที่ไม่ทันได้คิดะไร
“งั้นหรอ ก็แล้วไป”
“แล้วสรุป เรียกผมมาทำไมหรอครับ”
มาซามุเนะถามย้ำข้อสงสัยของตัวเอง
“เธอยังไม่มีชมรมสินะ มาเข้าชมรมของฉัน เป็นชมรมที่ดีมากเลยนะ อันที่จริงไม่ใช่ใครๆก็สามารถเข้าได้หรอกนะ เพราะเป็นชมรมลับที่ไม่ถูกจัดไว้ให้เลือกได้ตอนจะมาเลือกเข้าร่วมแต่ละชมรมยังไงล่ะ เอาไงล่ะ สนใจจะเข้าร่วมชมรมของฉันรึเปล่า”
“ชมรมบ้าอะไรจะลับขนาดนั้นกันเล่า ไม่อยากให้คนเข้ารึไงละ แล้วจะมาเชิญเราเข้าไปอีก เป็นชมรมที่น่าสงสัยซะจริง แต่ว่า แบบนี้คงต้องปฏิเสธสินะ”
หลังจากที่เขาคิดได้อย่างนั้น ก็ตอบไปว่า
“ขอบคุณสำหรับคำชวนนะครับ แต่พอดีว่าหลังเลิกเรียนผมมีธุระที่ต้องไปจัดการน่ะครับ ยังไงก็คิดว่าเข้าชมรมไม่ได้จริงๆ ยังไงก็ขอตัวล่ะครับ”
ที่มาซามุเนะพูดนั้นเป็นเรื่องจริง หลังเลิกเรียนเขามีที่ที่ต้องไป และมีสิ่งที่ต้องทำ และนั้นยังเป็นเหตุผลที่เขากลับมายังเมืองแห่งนี้อีกด้วย หลังจากที่มซามุเนะพูดแบบนั้นออกไป เขาก็ทำท่าลุกขึ้นจะออกไปจากห้อง แต่ก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินมายซาว่า พูดออกมาว่า
“ธุระนั่นของเธอมันเกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรมบ้าน ชินโด ใช่ไหมล่ะ มาซามุเนะคุง ไม่สิ เรียกให้ถูกก็ ชินโด มาซามุเนะ ใชไหมล่ะ”
มาซามุเนะชะงักไปชั่วครู่ เหตุผลก็คือ เมื่อ 5 ปีก่อนตอนที่เขาย้ายไปอยู่กับญาติที่เมืองอื่นนั้น เขาก็เปลี่ยนไปใช้นามสกุลของญาติเขา และก็เข้าเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ด้วยชื่อและนามสกุลนั้นด้วย ซึ่งชื่อนั่นก็คือ ฮันโซ มาซามุเนะ แต่หลังจากที่มายาซาว่าพูดนามสกุลที่แท้จริงของเขาออกมา เขาก็พอจะรู้ได้ว่า เธอรู้ชื่อนั่นมาจากใคร
“คุออน....คาวาซากิ คุออน อาจารย์รู้ชื่อนั่นมาจาก คาวาซากิ คุออน หรอครับ?”
เมื่อมายาซาว่าได้ยินอย่างนั้น เธอก็ยิ้มมุมปากออกมา พร้อมกับส่งเสียงหัวเราะอันน่าหวาดกลัวออกมา
“หึๆๆ ..... 55555 อุ๊ย โทษทีๆ เวลาฉันหัวเราะมันจะเหมือนคนบ้าอยู่นิดหน่อยนะ แต่ก็ จะใช่คาวาซากิรึเปล่าเนี่ย เธอก็ไปคิดเอาเองละกันนะ แต่เธอไม่สนใจจะเข้าชมรมของฉันจริงๆหรอ”
มายาซาว่ากล่าวชักชวนซ้ำ มาซามุเนะยืนนิ่งพร้อมตอบไปว่า
“น่าสงสัยจริงๆนะครับ ทั้งตัวอาจารย์และก็ชมรมนั่นด้วย แล้วชมรมนั่นมันเป็นชมรมแบบไหนกันครับ แล้วทำไมต้องพยายามชวนผมเข้าชมรมแบบนั้นด้วยล่ะครับ”
มาซามุเนะกล่าวข้อสงสัยทั้งหมดออกไป เขาจ้องไปยังหน้าของมายาซาว่าโดยแสดงท่าทางต้องการคำตอบอย่างจริงจัง มายาซาว่าจ้องหน้าของมาซามุเนะกลับพร้อมกับพูดออกไปว่า
“ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับชมรมมันชักจะอธิบายยากหน่อยนะ ดูด้วยตาตัวเองมันจะเข้าใจได้ง่ายกว่า แต่ถ้าเรื่องชื่อชมรมล่ะก็ เอ่อ? .... ชื่ออะไรดีล่ะ? อ๋อ เอาเป็นชื่อนี้ก็แล้วกัน [ชมรมตรวจสอบและวิจัยพลังงานเชิงจิตภาพ]ล่ะมั้งนะ”
นักวิจัยและนักสถิติทุกคนที่ศึกษาต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าพลังงานเชิงจิตภาพหรือที่เรียกว่าพลังจิตนั้นจะค้นพบในเด็กที่มีอายุไม่เกิน 14 ปีเท่านั้น ซึ่งนั่นเรียกได้ว่าเป็นข้อมูลเพียงหนึ่งเดียวที่ถูกยืนยันว่าถูกต้องจริง นอกนั้นแล้วส่วนใหญ่จะเป็นแค่ข้อสันนิษฐานเท่านั้น ทั้งเรื่องอาหารที่มีคนบอกว่าเด็กที่มีพลังจิตจะต้องกินอาหารที่ต่างจากมนุษย์ทั่วไป เรื่องอาการเมื่อเด็กเหล่านั้นคลุ้มคลั่งหรือแม้แต่เรื่องที่ว่าเด็กเหล่านั้นจะหลายร่างเป็นปีศาจ ถึงมันจะเป็นแค่ข้อสันนิษฐานที่ไม่มีอะไรมายืนยัน แต่ก็สามารถทำให้พ่อแม่ผู้ปกครองหรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับเด็กที่มีพลังงานเชิงจิตภาพหลายคนบอกว่ากังวลออกมาได้ไม่อย่างไม่ยากเย็น
ทำให้ในปีถัดมา รัฐบาลจึงมีมาตรการเพื่อผู้มีพลังงานิงจิตภาพโดยเฉพาะ ซึ่งมันก็คือการควบคุมตัวเด็กที่มีพลังงานเชิงจิตภาพทั้งหมดให้มาอยู่ในการควบคุมและดูแลของหน่วยงานพิเศษที่ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อมาตรการนี้โดยเฉพาะ ซึ่งที่ทำให้ประชาชนไม่พอใจที่สุดก็คงจะเป็นตัวอักษรสีแดงที่เขียนกำกับไว้บนหัวข่าวว่า {บังคับ} ใช่แล้ว มันคือการบังคับให้ส่งลูกของตัวเองไปในที่ห่างไกลนั่นเอง แต่ประชาชนก็ไม่สามารถขัดขืนอะไรได้ ส่งผลให้ในปีนั้นมีจำนวนเด็กที่หายไปจากโรงเรียนที่เคยเรียนและบ้านที่เคยอยู่มากกว่า 30,000 คน
เมื่อมาตรการนั้นถูกสั่งใช้ไปได้ 2 เดือน ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับพลังจิตทุกช่องทางก็หายไปอย่างไรเหตุผล แม้แต่ข่าวเกี่ยวกับพลังจิตที่ข่าวหลายช่องเคยตีนำเสนอก็หายไปอย่างดื้อๆซะอย่างนั้น
ตอนนี้ บนทางม้าลายของเมืองเมืองหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น มีเด็กหนุ่มชั้นมัธยมปลายปีที่ 1 กำลังเดินข้ามทางม้าลายดังกล่าวพลางคิดเรื่องที่เล่ามาข้างต้นอยู่ ซึ่งชื่อของเด็กคนนั้นก็คือ ชินโด มาซามุเนะ เด็กหนุ่มอายุ 15 ปี เมื่อ 5 ปีที่แล้วเขาต้องย้ายออกไปจากเมืองนี้เพื่ออาศัยอยู่กับญาติด้วยสาเหตุบางประการ เมื่อมาซามุเนะขึ้นมัธยมปลาย เขาจึงได้ย้ายกลับมาที่เมืองเกิดของตนเองเพื่อทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการมากที่สุด
“ถ้านับจากวันที่เรากลับมาเมืองนี้ก็เข้าอาทิตย์ที่สองแล้วสินะ เราลองไปสืบหาข้อมูลจากคนในท้องถิ่นส่วนใหญ่หมดแล้ว แต่ก็ไม่มีใครรู้อะไรเกี่ยวกับพลังจิตเลย แต่สิ่งที่น่าสงสัยก็คงจะเป็นเรื่องคนที่หายตัวไปสินะ เจ้าอิ-”
“ถ้าไม่รีบข้ามทางม้าลายตอนนี้จะเกิดอันตรายได้นะ มาซามุเนะคุง”
ความคิดทบทวนของมาซามุเนะถูกขัดจังหวะด้วยคำพูดที่ฟังดูสดใสแต่ก็แฝงไปด้วยความเอาใจใส่ของเด็กสาวคนหนึ่ง เด็กสาวคนนั้นแต่งตัวด้วยเครื่องแบบนักเรียนโรงเรียนเดียวกันกับมาซามุเนะ ผมสั้นสีน้ำตาลอ่อน เธอเดินเข้ามาจากด้านหลังของมาซามุเนะพร้อมกับคว้าแขนขวาของเขาเดินข้ามทางม้าลายอย่างรวดเร็ว ผมที่ถึงแม้จะสั้นแต่ก็ยังคงปลิวไปตามแรงลมได้ของเธอ พัดพานำกลิ่นแชมพูเขามาในโพรงจมูกของมาซามุเนะอย่างช่วยไม่ได้
“ถ้าไม่รีบจะเข้าเรียนสายได้นะ”
“ยุ่งน่า เหวอ--- ฉันเดินเองเป็นหรอก”
เด็กสาวคนนั้นคนนั้นดึงแขนขวาของมาซามุเนะแล้วเดินต่อไปโดยไม่ฟังคำทักท้วงของเขาเลยแม้แต่น้อย
“แล้วทำไมเธอไม่เดินไปโรงเรียนกับอากิโอะที่เป็นแฟนตัวเองกันล่ะ”
“...”
ไม่มีเสียงตอบรับจากเด็กสาวคนนั้น เธอยังคงเดินหน้าต่อไปโดยมีแขนขวาของมาซามุเนะอยู่ที่มือขวาของตัวเอง
เด็กสาวคนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน เธอมีชื่อว่าคาวาซากิ คุออน อายุ 16 ปีอยู่ชั้นปีเดียวกับมาซามุเนะ เป็นเพื่อนสมัยเด็กที่สนิทกันมากของมาซามุเนะ มีจุดเด่นคือจะแสดงสีหน้าและคำพูดตามสิ่งที่คิดทั้งหมด ส่วนนั้นจึงทำให้เธอเป็นคนโกหกคนอื่นเป็น แต่มาซามุเนะก็คิดว่านั่นคือส่วนที่น่ารักที่สุดของเธอเลยก็ว่าได้
ส่วนคนที่มาซามุเนะกล่าวถึงนั้น มีชื่อเต็มๆว่าโอคาซากิ อากิโอะ เป็นเพื่อสมัยเด็กอีกคนของมาซามุเนะและคุออน ก่อนที่มาซามุเนะจะย้ายไปจากเมือนี้นั้น อากิโอะเป็นเด็กที่ร่าเริงแจมใสก็จริง แต่ด้วยสภาพร่างกายที่ไม่แข็งแรงของเขาทำให้ไม่ค่อยจะมีเพื่อนมากสักเท่าไหร่ ซึ่งด้วยเหตุผลข้อส่งผลกระทบทำให้ผลการเรียนของเขาแย่ลงไปด้วย แต่อากิโอะในปัจจุบันนั้นแตกต่างจากอากิดอะที่มาซามุเนะรู้จักโดยสิ้นเชิง ตอนนี้เขาเป็นถึงคนที่ทำคะแนนได้ดีมากคนหนึ่งของชั้นเรียน และยังเป็นคนที่มีชื่อเสียงด้านกีฬาอีกคนหนึ่งของชมรมที่เขาอยู่อีกด้วย ความจริงมาซามุเนะก็ควรจะดีใจกับอากิดอะที่เป็นแบบนั้น แต่ในใจของมาซามุเนะก็รู้ดีว่าอากิดอะที่เขารู้จัก คนที่รักเพื่อนและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่นั้นได้หายไปแล้ว
“เอาเถอะน่า เดี๋ยวมาซามุเนะคุงก็ไปไม่ทันคาบโฮมรูมหรอก ไปเร็ว”
พูดไม่ทันขาดคำ เขาก็ถูกคุออนจูงมือแล้วลากไปถึงโรงเรียน
โรงเรียนมัธยมปลายมาซาราดะนั้นเป็นโรงเรียนที่สอบเข้ายากพอสมควร เพราะมีระบบการสอนแบบทันสมัย ที่สำคัญยังมีโควตาที่สามารถใช้เพื่อเข้ามหาลัยดังๆได้หลายที่อีกด้วยให้กับนักเรียนดีเด่น นั้นจึงดึงดูดให้นักเรียนที่เรียนดีหลายคนอยากมาต่อที่นี่เพื่อได้สิทธินั้น แต่สำหรับมาซามุเนะนั้น ตัวเขามีเหตุผลอื่นที่เลือกมาต่อมัธยมปลายที่นี่ นั่นก็คือ โรงเรียนแห่งนี้นั้นมีพื้นที่ที่กว้างขวาง และที่นี่ก็มีห้องเรียนระดับชั้นละ 3 ห้องเท่านั้น แต่ละห้องนั้นมีนักเรียนอยู่เพียงห้องละ 30 คน ทำให้มันเป็นโรงเรียนที่ไม่แออัดแถมยังสะดวกสบายในการค้นข้อมูลอีกด้วย นั่นจึงทำให้เขาตัดสินใจเข้าเรียนต่อที่โรงเรียนนี้
พอมาถึงโรงเรียน มาซามุเนะก็แยกกับคุออนไปเข้าห้องเรียนของตัวเอง แต่พอเขาเข้ามาถึงห้องเรียนได้ไม่ทันไร เสียงอ็อดที่บ่งบอกว่าถึงคาบโฮมรูมก็ดังขึ้น เขาจึงรีบไปยังที่นั่งของตัวเองโดยเร็วที่สุด พอนั่งที่เก้าอี้ของที่นั่งเรียนตามปกติได้ไม่ทันไร อาจารย์มายาซาว่า อาจารย์ประจำชั้นผมสีดำเข้มสุดสวยก็เข้ามาในห้อง พร้อมกับแจ้งข่าวสารของโรงเรียนให้นักเรียนทุกคนทราบ จนถึงตอนนี้ มาซามุเนะไม่เคยตั้งใจนั่งฟังอาจารย์พูดคุยจนจบคาบโดยที่ไม่หันไปคิดฟุ้งซ่านได้เลยสักครั้ง แต่อยู่ๆในเวลาที่คาบโฮมรูมใกล้จะจบลงนั้น อาจารย์สาวสวยก็เปลี่ยนร่างกลายร่างเป็นปีศาจร้ายพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังทีไรก็ขนลุกทุกที
“มาซามุเนะ ได้ฟังที่ครูพูดจนจบรึเปล่า ถ้ารู้ตัวว่าฟังไม่จบละก็ หลังจากพังเที่ยงแล้วก็มาหาครูที่ห้องพักส่วนตัวของครูด้วยนะ เข้าใจรึเปล่า ตอบด้วยสิ ครูจะได้รู้ว่าครูไม่ได้กำลังคุยคนเดียว”
“คะ.....ครับ เข้าใจแล้วครับ”
“ถ้าอาจารย์อยู่ในร่างนี้ มันก็เหมือนกับการบังคับขู่เข็ญดีๆเลยนี่ครับ โถ่”
เขาบังคับปากตัวเองไม่ให้พูดสิ่งที่กำลังคิดอยู่ออกไปด้วย ขืนเขาพูดออกไปละก็ ชะตาชีวิตคงได้ถึงคราวดับสูญแน่นอน ถ้าอาจารย์พูดด้วยโหมดปกติละก็ เขาก็กะว่าจะไม่ไปหาแน่ แต่ถ้าโดนอาจารย์ที่อยู่ในโหมดนี้พูดใส่ละก็ คงไม่มีใครกล้าที่จะปฏิเสธอย่างแน่นอน ถ้าดูจากสีหน้าที่หวาดกลัวที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนของพวกเพื่อนๆร่วมชั้นของเขาแล้วละก็ ดูออกได้เป็นคำพูดไม่กี่คำอย่าง “นายไม่รอดแล้วละ” หรือ “โชคดีนะเพื่อน” ซึ่งตัวเขาก็รู้ชะตากรรมของตัวเองดีเลยว่า ไม่มีทางรอดจากเงื้อมือของอาจารย์สุดโหดคนนี้ได้
หลังจากคาบโฮมรูมก็ยังมีเวลาอีก 3 คาบก่อนที่เขาจะพักกลางวัน คำพูดของอาจารย์นั้นทำเอาเขาไม่เป็นอันทำอะไรเลยกับอีก 3 คาบที่เหลือ แม้แต่จะฟังที่อาจารย์ประจำวิชาสอนแล้วจดตามก็ยังทำไม่ได้ ในที่สุดก็พักกลางวันจนได้ ถึงจะบอกว่าพักกลางวันแต่เขาก็ต้องไปหาอาจารย์ประจำชั้น นั่นนับเป็นครั้งแรกที่เขาถูกอาจารย์เรียกตัวไปหา เขาไม่รู้เลยว่าควรทำอะไรดี
“ขออนุญาตครับ”
หลังจากเขาส่งเสียงออกมา ก็มีเสียงอาจารย์ประจำชั้นที่คุ้นหูดังออกมาว่า “เชิญ”แล้วก็ตามด้วยการเปิดประตูของห้องพักส่วนตัวของครู เดินเข้าไปในห้องและปิดประตู พร้อมมองไปรอบๆ แล้วคิดในใจว่า “สมกับเป็นห้องส่วนตัว หรูหราสุดๆ แถมยังเย็นสบายอีกด้วย” หลังจากนั้นอาจารย์ก็ชี้นิ้วไปยังโซฟาที่อยู่ตรงข้ามกับโซฟาที่อาจารย์กำลังนั่งไขว้ห่างอยู่ ระหว่างโซฟาทั้งสองตัวมีโต๊ะที่วางถ้วยชาฝรั่งอยู่สองถ้วย มาซามุเนะเดินไปนั่งที่โซฟาแต่โดยดี หลังจากนั้น ก็มีคำพูดที่คาดไม่ถึงหลุดออกมาจากปากอาจารย์ที่กำลังทำหน้าตาเคร่งเครียดอยู่ต่อหน้ามาซามุเนะ
“ไม่ชอบชาฝรั่งหรอ งั้นเดียวไปเตรียมคุกกี้มาให้นะ รอสักครู่แล้วกัน
“มะ.....ไม่เป็นไรครับ แค่นี้ก็พอแล้วครับ ว่าแต่อาจารย์เรียกผมมาทำไมหรอครับ หรือว่าเรื่องที่ผมไม่ค่อยได้ฟังอาจารย์พูดในคาบโฮมรูม”
เขากล่าวข้อสงสัยออกไป แต่สิ่งที่ได้กลับมาดันเป็น...
“นี่เธอไม่ฟังฉันพูดในคาบโฮมรูมงั้นเรอะ!!!”
“ปะ...เปล่านะครับ ผะ.....ผมแค่ยกตัวอย่างเท่านั้นเอง ใช้แล้วครับ ใช่แล้ว ยกตัวอย่างไงครับ”
เขาตอบออกไปโดยที่ไม่ทันได้คิดะไร
“งั้นหรอ ก็แล้วไป”
“แล้วสรุป เรียกผมมาทำไมหรอครับ”
มาซามุเนะถามย้ำข้อสงสัยของตัวเอง
“เธอยังไม่มีชมรมสินะ มาเข้าชมรมของฉัน เป็นชมรมที่ดีมากเลยนะ อันที่จริงไม่ใช่ใครๆก็สามารถเข้าได้หรอกนะ เพราะเป็นชมรมลับที่ไม่ถูกจัดไว้ให้เลือกได้ตอนจะมาเลือกเข้าร่วมแต่ละชมรมยังไงล่ะ เอาไงล่ะ สนใจจะเข้าร่วมชมรมของฉันรึเปล่า”
“ชมรมบ้าอะไรจะลับขนาดนั้นกันเล่า ไม่อยากให้คนเข้ารึไงละ แล้วจะมาเชิญเราเข้าไปอีก เป็นชมรมที่น่าสงสัยซะจริง แต่ว่า แบบนี้คงต้องปฏิเสธสินะ”
หลังจากที่เขาคิดได้อย่างนั้น ก็ตอบไปว่า
“ขอบคุณสำหรับคำชวนนะครับ แต่พอดีว่าหลังเลิกเรียนผมมีธุระที่ต้องไปจัดการน่ะครับ ยังไงก็คิดว่าเข้าชมรมไม่ได้จริงๆ ยังไงก็ขอตัวล่ะครับ”
ที่มาซามุเนะพูดนั้นเป็นเรื่องจริง หลังเลิกเรียนเขามีที่ที่ต้องไป และมีสิ่งที่ต้องทำ และนั้นยังเป็นเหตุผลที่เขากลับมายังเมืองแห่งนี้อีกด้วย หลังจากที่มซามุเนะพูดแบบนั้นออกไป เขาก็ทำท่าลุกขึ้นจะออกไปจากห้อง แต่ก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินมายซาว่า พูดออกมาว่า
“ธุระนั่นของเธอมันเกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรมบ้าน ชินโด ใช่ไหมล่ะ มาซามุเนะคุง ไม่สิ เรียกให้ถูกก็ ชินโด มาซามุเนะ ใชไหมล่ะ”
มาซามุเนะชะงักไปชั่วครู่ เหตุผลก็คือ เมื่อ 5 ปีก่อนตอนที่เขาย้ายไปอยู่กับญาติที่เมืองอื่นนั้น เขาก็เปลี่ยนไปใช้นามสกุลของญาติเขา และก็เข้าเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ด้วยชื่อและนามสกุลนั้นด้วย ซึ่งชื่อนั่นก็คือ ฮันโซ มาซามุเนะ แต่หลังจากที่มายาซาว่าพูดนามสกุลที่แท้จริงของเขาออกมา เขาก็พอจะรู้ได้ว่า เธอรู้ชื่อนั่นมาจากใคร
“คุออน....คาวาซากิ คุออน อาจารย์รู้ชื่อนั่นมาจาก คาวาซากิ คุออน หรอครับ?”
เมื่อมายาซาว่าได้ยินอย่างนั้น เธอก็ยิ้มมุมปากออกมา พร้อมกับส่งเสียงหัวเราะอันน่าหวาดกลัวออกมา
“หึๆๆ ..... 55555 อุ๊ย โทษทีๆ เวลาฉันหัวเราะมันจะเหมือนคนบ้าอยู่นิดหน่อยนะ แต่ก็ จะใช่คาวาซากิรึเปล่าเนี่ย เธอก็ไปคิดเอาเองละกันนะ แต่เธอไม่สนใจจะเข้าชมรมของฉันจริงๆหรอ”
มายาซาว่ากล่าวชักชวนซ้ำ มาซามุเนะยืนนิ่งพร้อมตอบไปว่า
“น่าสงสัยจริงๆนะครับ ทั้งตัวอาจารย์และก็ชมรมนั่นด้วย แล้วชมรมนั่นมันเป็นชมรมแบบไหนกันครับ แล้วทำไมต้องพยายามชวนผมเข้าชมรมแบบนั้นด้วยล่ะครับ”
มาซามุเนะกล่าวข้อสงสัยทั้งหมดออกไป เขาจ้องไปยังหน้าของมายาซาว่าโดยแสดงท่าทางต้องการคำตอบอย่างจริงจัง มายาซาว่าจ้องหน้าของมาซามุเนะกลับพร้อมกับพูดออกไปว่า
“ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับชมรมมันชักจะอธิบายยากหน่อยนะ ดูด้วยตาตัวเองมันจะเข้าใจได้ง่ายกว่า แต่ถ้าเรื่องชื่อชมรมล่ะก็ เอ่อ? .... ชื่ออะไรดีล่ะ? อ๋อ เอาเป็นชื่อนี้ก็แล้วกัน [ชมรมตรวจสอบและวิจัยพลังงานเชิงจิตภาพ]ล่ะมั้งนะ”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ