ยอดสตรีฉางอิ๋ง
-
เขียนโดย Xiaobei
วันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เวลา 17.20 น.
35 ตอน
0 วิจารณ์
28.22K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 17.21 น. โดย เจ้าของนิยาย
5) แม่นมเฮ่อ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเว่ยฉางอิ๋งนั่งอยู่บนที่นอนด้วยท่าทีภาคภูมิใจ นางจับช้อนเงินเลือกกินองุ่นแช่เย็นช้าๆ นางเองก็เหมือนกับฮูหยินซ่งมุมทั้งสี่ของห้องมีอ่างน้ำแข็งวางไว้ สาวใช้ระดับเล็กทั้งสี่โบกพัด สาวใช้ระดับใหญ่สี่คนอยู่ล้อมอยู่ข้างกายนาง คนหนึ่งบีบไหล่ คนหนึ่งทุบขา ส่วนอีกสองคนถือผ้าเอาไว้ในมือแล้วค่อยๆ เช็ดผมยาวที่เปียกชื้นของเว่ยฉางอิ๋งทีละน้อยๆ จนแห้ง ส่วนแม่นมเฮ่อเมื่อจัดการสั่งให้สาวใช้รับใช้นางจนออกมาจากห้องน้ำแล้ว ก็มีกำลังเปี่ยมล้น นางกำผ้าไว้แน่นพร้อมกับร้องไห้อยู่ด้านข้างนาง
"ฮูหยินคือแม่แท้ๆ ของคุณหนูใหญ่ นางรักใคร่คุณหนูที่สุด หากคุณหนูใหญ่พูดจาอ่อนลง ฮูหยินจะต้องทนไม่ไหวแน่..." แม่นมเฮ่อเห็นเว่ยฉางอิ๋งอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ใบหน้ายังคงแดงก่ำอยู่ก็ปวดใจจนน้ำตาไหลพรากลงมา "นั่นคือแม่แท้ๆ ผู้ให้กำเนิดของคุณหนูใหญ่ คุณหนูใหญ่ยอมก้มหน้าให้ท่านแม่ หรือว่ายังจะขายหน้าอีกหรือ? หนึ่งชั่วยามกว่า! หากว่าไม่ใช่เพราะคุณชายห้าไหวพริบดี ไปเชิญคุณหนูซ่งมา...ฮูหยินคงไม่มีทางลง คุณหนูใหญ่ไม่รู้ยังต้องคุกเข่าไปจนถึงเมื่อไหร่? ฮือๆ...ดูใบหน้านี่ ดูสิ ดูสิ!"
แม่นมเฮ่อยิ่งพูดยิ่งเสียใจ เห็นเว่ยฉางอิ๋งสนใจแต่กินองุ่นแช่เย็นของนางอย่างไม่มีทีท่าจะสนใจที่ตนกล่าว จึงยิ่งรู้สึกแย่ นางใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดหน้าไว้แล้วร้องไห้ออกมาเสียงดัง!
เว่ยฉางอิ๋งปรายตามองนาง นางกลืนองุ่นลงไป แล้วกล่าวอย่างพอเป็นพิธีว่า "ไม่ต้องร้องแล้ว ข้าก็ยังอยู่ดีไม่ใช่หรือ? แค่หนึ่งชั่วยามเท่านั้นเอง คิดดูตอนนั้นที่ข้าทำท่านั่งม้ากับลุงเจียง ย่อครั้งหนึ่งนานตั้งหลายชั่วยาม หากเปลี่ยนไปเล็กน้อย ลุงเจียงเป็นได้ต้องฟาดแซ่ลงมา..."
"เจ้าเฒ่าเหี้ยมโหดนั่น!" แม่นมเฮ่อพลันดึงผ้าลงมา นางไม่สนใจน้ำตาที่ไหลอยู่นองหน้า กัดฟันแล้วด่าว่า "เป็นเพราะเขา! ทำให้คุณหนูใหญ่เสียคน! ตอนยังเล็กคุณหนูใหญ่งดงามน่ารัก ตัวเล็กขาวราวกับหิมะ และยังบอบบางที่สุด เป็นเพราะเจ้าเฒ่าน่าตายนั่นที่คิดไม่ดี! ทำให้คุณหนูใหญ่ที่บอบบางกลายเป็นอย่างทุกวันนี้!"
"ท่าทางอย่างทุกวันนี้มีอะไรไม่ดีกัน?" เว่ยฉางอิ๋งประคองชามกระเบื้องเคลือบปากทรงดอกชบา[1]ลายครามหลากสีไว้ พลางกล่าวอย่างน้อยใจ "ข้าฝึกฝนอย่างยากลำบากมาหลายปี ถึงจะมีฝีมืออย่างในทุกวันนี้ และหลายปีมานี้ร่างกายยังแข็งแรงไม่มีโรคภัยไข้เจ็บอีก ไม่ดีหรือ?"
ฝึกฝนการต่อสู้ลำบากมากนะ! ยากเย็นขนาดไหน! ผ่านลมฝนตรากตรำมาตลอดสิบสองปีแน่ะ!
หากไม่ใช่เพราะชื่อเสียงที่เสิ่นจั้งเฟิงคือบุคคลที่โดดเด่นที่สุดของลูกหลานตระกูลเสิ่น มีฝีมือต่อสู้เหนือกว่าคนอื่นคอยดังอยู่ข้างหูนางบ่อยครั้ง เพื่อความสุขในชีวิตของนาง เว่ยฉางอิ๋งคงฝึกต่อไปไม่ได้นานแล้ว นางไม่ใช่พวกชอบต่อสู้ตั้งแต่กำเนิดเสียหน่อย!
แต่ใครใช้ให้ท่านปู่หมั้นให้นางเร็วขนาดนั้นกัน และยังเลือกหมั้นกับนักรบอีก! ตั้งแต่เล็กเว่ยฉางอิ๋งเป็นพวกหัวแข็ง และไม่สนใจฟ้อง อีกอย่างเมื่อแต่งงานไปแล้วก็ถือเป็นคนของตระกูลสามี หากเอาแต่กลับมาฟ้องที่บ้านตัวเองจะไม่ขายหน้าแย่หรือ คนบ้านนางไม่ต้องใช้ชีวิตของตัวเองแล้วหรือ
ทั้งหมดนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์หลังจากนางไปอยู่บ้านสามีแล้ว หากพูดกับสามีไม่ได้ความ จนทำให้อนุภรรยาถือโอกาสได้ เป็นได้เพียงภรรยาเอกในนามเท่านั้น ไม่แน่ว่ายังอาจจะต้องคอยดูบุตรอนุภรรยารับตำแหน่งต่อไป ใช้ชีวิตอย่างทุกข์ทรมานเป็นสิบๆ ปี จากนั้นก็ตายไปด้วยความทุกข์ระทม ถูกแสงแดดสายลมกลบฝังอย่างเงียบๆ...
อนาคตอย่างนี้ แค่คิดดู คุณหนูใหญ่ตระกูลเว่ยก็รู้สึกหวาดกลัวมากแล้ว!
แต่ว่าทำไมความพยายามตลอดระยะเวลาสิบสองปีที่จะหลบเลี่ยงไม่ให้ตกต้องอยู่ในสถานการณ์อย่างนั้น ท่านแม่กับแม่นมรวมถึงน้องชายต่างก็ไม่เห็นด้วย?
เว่ยฉางอิ๋งยัดองุ่นเย็นช้อนหนึ่งเข้าปากอย่างโมโห งานเย็บปักถักร้อย ฝีมือครัว และยังเหล่าตำราหลักการสอน ตำราข้อกำหนดหญิง อะไรเหล่านั้นอีก เหล่าคุณธรรมความดี...หากทำได้อย่างที่กล่าวมาสามีภรรยาจะมีความสุขไปทั้งชีวิต ทั้งยังเป็นที่รักใคร่ชื่นชอบของพ่อแม่สามี ในบทกลอนจะมีคำบ่นตัดพ้อของภรรยามาจากที่ไหนกัน?
ในเมื่อเรียนเรื่องเหล่านี้ยังไม่แน่ว่าจะสามารถปกป้องตนเองให้มีชีวิตสงบมีความสุขไปทั้งชีวิตได้ สู้เดินทางใหม่ที่ต่างจากเดิมไปไม่ดีกว่าหรือ!
ขอแค่ตนเองมีฝีมือดี ไม่ว่าเสิ่นจั้งเฟิงจะมีนิสัยอย่างไร มีความชอบอะไรที่ตัวนางไม่ชอบใจ ก่อนแต่งงานในเรือนจะมีอนุภรรยาที่เขารับมาแล้วกี่คนก็ตาม...ปิดประตูและจัดการเขาเสีย ยังจะต้องกลัวว่าจะใช้ชีวิตไม่ได้อีกหรือ?
ใครก็รู้ว่าเขามีชื่อเสียงไม่เบาในเหล่าตระกูลมีชื่อทั้งหลาย อย่างไรก็คงไม่ยอมขายหน้ากล่าวเรื่องที่ตนถูกภรรยาตีจนแทบเป็นแทบตายออกไปแน่?
เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกว่า วิธีการของนางดีที่สุด!
ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหน ข้าก็จะไม่สั่นคลอน!
ถึงแม้ว่าท่านแม่ ฮูหยินซ่งกับแม่นมเฮ่อจะมีใจคิดเพื่อนางอย่างจริงใจ แต่ว่าหากทำตามอย่างที่พวกนางกล่าว ภายหลังไม่ใช่ว่าจะต้องคอยใช้ชีวิตอย่างตามใจสามีหรือ?
แต่ว่าในสายตาของเว่ยฉางอิ๋งซึ่งถูกรักทะนุถนอมราวกับไข่มุกบนฝ่ามือแล้ว มาตรฐานของคำว่าใช้ชีวิตที่ดีนั้น ควรจะเป็นการทำตามใจตนเองสิ! อาศัยการอยู่กับเหย้ากับเรือน อาศัยการปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างมีเมตตาปรานี ให้สามีที่ได้มานั่นสงสาร...เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกว่า ก่อนที่จะได้รับความรักใคร่เอ็นดูจากสามี เกรงว่า...ตัวเองคงได้อึดอัดจนกระอักเลือดออกมาหลายครั้งก่อนแล้ว!
พูดง่ายๆ ก็คือ ในชีวิตของคุณหนูใหญ่เว่ยแล้ว มีแต่คนรอบข้าง รวมไปถึงผู้อาวุโสที่คอยเอาอกเอาใจนาง หากให้นางคอยทำตามคนอื่น แม้ว่าคนนั้นจะเป็นคู่หมั้นที่ตกลงกันตั้งแต่ยังเล็กคนนั้น เว่ยฉางอิ๋งก็ยังรู้สึกว่าตัวเองต้องเลือกหาวิธีที่จะแลกเอาตำแหน่งมา!
เป็นคุณหนูนี่ ยากจริงๆ เลย...ทั้งๆ ที่ตัวนางพยายามทุ่มเทถึงขนาดนี้แล้ว...
เห็นเว่ยฉางอิ๋งมีสีหน้าน้อยใจ แม่นมเฮ่อก็ดึงผ้าออกและเกือบจะร้องเสียงสูงออกมา "คุณหนูใหญ่มีร่างกายแข็งแรงนับเป็นเรื่องดี แต่คุณหนูตระกูลสูงในตอนนี้ สิ่งสำคัญที่ต้องเรียนรู้ก็คือการเย็บปักถักร้อย การอ่านตำราหลักการสอนหญิง ตำราข้อกำหนดหญิง ท่าทางกิริยาจะต้องนุ่มนวลงดงามราวกิ่งหลิว...งานอดิเรกที่ชอบหากไม่ใช่ดนตรี หมาก อักษรและภาพวาดที่สง่างามอย่างนี้ ก็น่าจะเป็นพวกการปักผ้า เย็บผ้า หากไม่ไหวจริงๆ เย็บถุงถักหรือทำอาหารไม่กี่อย่างก็ยังดี!"
นางกล่าวอย่างปวดใจว่า "คุณหนูใหญ่พูดมาได้เลยว่า ของพวกนี้ มีอันไหนบ้างที่คุณหนูใหญ่พอจะทำได้?!"
"...พวกนี้มากเกินไปแล้ว!" คุณหนูใหญ่เว่ยสีหน้าเข้มขึ้นแล้วกล่าว "น้อยลงหน่อย!"
แม่นมเฮ่อเช็ดน้ำตาที่ดวงตาแล้วกล่าวอย่างยินดีว่า "ถ้าอย่างนั้นคุณหนูใหญ่จะเรียนถักถุงก่อนหรือเรียนทำอาหารก่อน?"
...เว่ยฉางอิ๋งมองไปยังหลังคาเรือนอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่า "มีอะไรที่ขยับตัวได้มากหน่อยไหม? ข้าไม่อยากอึดอัดอยู่ในห้องทั้งวัน"
"งั้น..." แม่นมเฮ่อนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า "ปลูกต้นไม้ดอกไม้ล่ะเป็นอย่างไร? นี่ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่งามสง่า อีกอย่าง หากว่าทำได้ดี วันหลังยังสามารถทำและเอาไปให้พ่อแม่สามีและเหล่าสะใภ้ได้บ่อยครั้ง และทำให้มีชื่อเสียงที่ดีงาม รวมถึงยังสามารถเชื่อมสัมพันธ์ฝั่งญาติสามีได้อีก..."
เว่ยฉางอิ๋งมีสีหน้าไร้อารมณ์แล้วกล่าวว่า "คนอย่างพวกเรายังขาดคนสวนหรือ? อีกอย่าง ต่อให้ข้าสามารถปลูกต้นไม้ดอกไม้ได้ดี หากว่าภายหลังไปพบกับคนที่ล้วนแต่ไม่ชอบต้นไม้ใบหญ้าเข้าล่ะ นั่นไม่ใช่ว่าข้าต้องเสียเวลาไปเปล่าๆ หรือ?"
แม่นมเฮ่อคิดแล้วก็ว่าใช่ "คุณหนูใหญ่คิดได้รอบคอบ งั้น...เรียนดนตรีเป็นอย่างไร?" นางเสียงต่ำลง "ฉินเซ่อร่วมบรรเลง[2]สามีภรรยามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน อนาคตหากว่าได้บรรเลงดนตรีร่วมกับท่านเขยสักเพลง ก็นับว่าเป็นเรื่องดี!"
"เสิ่นจั้งเฟิงสามีนักรบนั่นจะรู้เรื่องฉินเซ่อร่วมบรรเลงอะไรนั่นหรือ?" เว่ยฉางอิ๋งฮึ่มออกมาเสียงเย็นแล้วกล่าวว่า "อย่าให้พอถึงเวลากลายเป็นเล่นดนตรีให้วัวฟังไปเสีย เขายังมารังเกียจว่าน่ารำคาญ แล้วยกเท้าเตะเอาฉินพร้อมแท่นกระเด็นไป!" แม่นมเฮ่อกำลังจะปลอบใจนาง คิดไม่ถึงว่าเว่ยฉางอิ๋งพลันกำหมัดแน่นแล้วกล่าวราวพูดกับตนเองว่า "ข้าไม่ใช่พวกที่จะรังแกได้ง่ายๆ! เขากล้าทำอย่างนั้น ข้าจะต้องเอาทั้งฉินทั้งแท่นฟาดหน้าเขาจนจมูกช้ำหน้าบวมแน่! กล้า..."
"คุณหนูใหญ่!" แม่นมเฮ่อสีหน้าเขียวคล้ำ แล้วคำรามดุดัน "คุณหนูใหญ่ที่น่าสงสาร! เป็นเพราะเจ้าเฒ่าแซ่เจียงน่าตายนั่นที่ควรถูกฟันสักพันครั้งร้อยครั้ง! คุณหนูใหญ่ท่านคือคุณหนูสูงศักดิ์ศักดิ์ที่อ่อนแอบอบบาง กิริยาท่าทางราวกับกิ่งหลิวที่ลู่ตามลม น้ำเสียงก็ราวกับเสียงลมฝนปรอยลงมา ไม่ว่าจะพูดจาหรือแย้มยิ้มก็ระวังนุ่มนวลงามสง่า...ท่าน ทำไมท่านถึง! ท่านจะลงมือกับท่านเขยได้อย่างไรกัน! หืม?!"
"อย่างข้าเรียกว่าเตรียมตัวให้พร้อมล่วงหน้า!" เว่ยฉางอิ๋งถอนหายใจ "ท่านอาเฮ่อตีข้าตั้งแต่ยังเล็ก ท่านลุงก็ถูกมีดมาหลายครั้งแล้วสินะ? แต่ว่าตอนนี้เขาก็ยังดีอยู่ ท่านอาเฮ่อท่านอย่าไปสนใจเขาเลย... โอ๊ะ กินหมดแล้ว ข้ายังอยากกินอีก!"
แม่นมเฮ่อพลันลืมลุงเจียงไปทันที นางรีบเช็ดหน้าแล้วกล่าวถามเสียงนุ่มว่า "เอาองุ่นมากหน่อยเหมือนเดิมหรือ?"
"เอาองุ่นมากหน่อย!" เว่ยฉางอิ๋งพยักหน้า
แม่นมเฮ่อกล่าวเสียงปรานีว่า "น้ำแข็งใส่ให้น้อยลงหน่อยเถอะ ทุกวันนี้ในห้องก็วางน้ำแข็งไว้แล้ว ระวังจะเป็นหวัด"
เว่ยฉางอิ๋งยกมือลูบไปที่ผมยาว นางรู้สึกว่าใกล้แห้งแล้วก็กล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า "ได้สิ"
ครู่หนึ่ง แม่นมเฮ่อก็ไปยกเอาองุ่นมากน้ำแข็งน้อยแช่เย็นมาชุดหนึ่ง เว่ยฉางอิ๋งเลือกกินองุ่นไปเม็ดหนึ่ง แม่นมเฮ่อก็ตั้งสติแล้วม้วนแขนเสื้อด่าต่อไป "เจ้าโง่เง่าน่าตายแซ่เจียงนั่น! คุณหนูใหญ่จะไปเรียนกับเขาต่อไม่ได้เด็ดขาด! คนชั้นต่ำอย่างนี้ อีกแปดชาติก็ยังขอหญิงที่เข้าท่าไม่ได้! เขาจะเข้าใจอะไร? คุณหนูใหญ่คือคนที่จะเป็นนายหญิงของตระกูล ท่านจะให้เจ้าน่าตายนั่นมาพาเสียไม่ได้นะ..."
เว่ยฉางอิ๋งใช้มือข้างหนึ่งเท้าคาง แววตาก็จับจ้องไปที่ชามพลางยิ้มแล้วกล่าวว่า "ลุงเจียงก็เพียงสอนวิชาต่อสู้ข้าเท่านั้น พาเสียอะไรกัน?"
"สรุปแล้วก็คือเจ้าน่าตายนั่นคือคนสารเลว..." แม่นมเฮ่อคือข้ารับใช้ตระกูลเว่ย ซื่อสัตย์ภักดีต่อเว่ยฉางอิ๋งที่ตนเลี้ยงมาตั้งแต่เล็กมาก มองนางราวกับอัญมณีล้ำค่า ความผิดพลาดทั้งหมดของเว่ยฉางอิ๋ง นางล้วนแต่ต้องหาให้คนอื่นผิด และสรุปเป็นเหตุผลที่ว่า ‘คุณหนูใหญ่ที่แสนดี กลับถูกเจ้าพวกใจคิดไม่ดีเหล่านั้นพาเสีย’ อยู่เสมอ!
เพราะเว่ยฉางอิ๋งดื้อดึงอยากจะเรียนต่อสู้ หลายครั้งที่ถูกฮูหยินซ่งตำหนิ แม่นมเฮ่อจึงแค้นใจคนแซ่เจียงเสียจนแยกเขี้ยวยิงฟัน เว่ยฉางอิ๋งยังอยู่ดี นางก็จะเช้าด่าครั้งเย็นด่าครั้ง แบ่งเป็นช่วงเวลาตอนเช้าที่เตรียมจะไปฝึกฝนกับเย็นหลังจากกลับมาแล้ว
หากเว่ยฉางอิ๋งเกิดอะไรขึ้น อย่างเช่นที่ถูกลงโทษวันนี้ แม่นมเฮ่ออย่างน้อยๆ ก็ต้องด่าไปหลายชั่วยามถึงจะยอมหยุดลง
จุดนี้ ตั้งแต่เว่ยฉางอิ๋งจนไปถึงเหล่าข้ารับใช้ต่างก็คุ้นชินกันหมดแล้ว
เว่ยฉางอิ๋งกำลังฟังไปอย่างรู้สึกน่าขันและกินวุ้นผลไม้ไปด้วย ด้านนอกพลันมีเสียงเคาะดังขั้น นางรีบวางช้อนลงแล้วกล่าวสั่งไปว่า "ลวี่อีรีบไปดูเร็วเข้า!"
สาวใช้ลวี่อีวางค้อนสาวงามที่ใช้ทุบขานางอยู่ลง แล้วเดินไปเปิดประตูด้านนอก ได้ยินเสียงซ่งไจ้สุ่ยถามอย่างขัดเคืองมาตลอดทางว่า "ดีนี่นาฉางอิ๋ง! ข้านอนของข้าอยู่ดีๆ ฉางเฟิงกลับไปปลุกข้าให้ตื่นแล้วไปขอร้องให้เจ้า ข้าต้องไปเอาเจ้ากลับมาท่ามกลางอาทิตย์ยามบ่าย เจ้ากลับมาพักผ่อนอย่างกินดีอยู่ดีที่นี่ ไม่สนใจข้าเลย?"
เว่ยฉางอิ๋งรีบเรียกนางให้มานั่ง แล้วสั่งให้สาวใช้ลวี่ปิ้นที่นวดไหล่ให้นางอยู่หยุดมือก่อน แล้วไปเอาวุ้นผลไม้มาชุดหนึ่ง นางยิ้มแล้วกล่าว "พี่สาวที่แสนดี ท่านอยู่กับท่านแม่ตรงนั้นต้องกลัวอะไรกัน? ท่านแม่ชอบท่านที่สุดแล้ว ยังบอกให้ข้าเรียนรู้จากท่านบ่อยๆ เลย!"
ซ่งไจ้สุ่ยปั้นหน้า โทสะยังไม่คลาย แล้วกล่าวเสียงเย็นว่า "ทำไมข้าจะไม่กลัวท่านอา? หรือว่าเจ้าไม่รู้ ข้าไม่อยากจะกลับไปเมืองหลวงที่สุด หากนับเวลาที่ผ่านมาแล้ว ข้าใช้เหตุผลมากมากมาอ้างไม่ไปพบหน้าท่านย่ากับท่านอา! สุดท้ายก็เป็นพวกเจ้าสองพี่น้อง เจ้าไม่ยอมก้มหัว ฉางเฟิงสงสารเจ้า จึงไปเรียกข้าให้ไปขอร้องท่านอาให้เจ้า พอขอจบ ข้าคิดว่าพวกเจ้าสองพี่น้องน่าจะจำข้าได้บ้าง? หากไม่ได้ไปเอง ก็น่าจะให้คนหาเหตุผลไปและพาข้าออกมาด้วยสิ!"
นางโมโหแล้วตบลงไปบนโต๊ะไม้ประดู่สลักบนที่นอน นางกัดฟันถาม "เจ้าพวกไม่มีน้ำใจทั้งสองคนทำอะไร? ฉางเฟิงพอเห็นข้าไปหาท่านอาที่นั่นก็รู้สึกว่าหมดเรื่องของเขาแล้ว! ส่วนเจ้าล่ะ? เจ้าบอกว่าจะไปก็ไป นานขนาดนี้ยังไม่คิดถึงข้า! ทำให้ข้าต้องถูกท่านอาถามอยู่หลายครั้งว่าจะกลับเมืองหลวงเมื่อไหร่!"
ซ่งไจ้สุ่ยกล่าวอย่างมีโทสะว่า "เดิมข้ามาขออาศัยอยู่สี่เดือนก็เรียกว่าไม่รู้จักอายแล้ว เจ้ายังคิดว่าข้าข้ายังอับอายไม่พอใช่ไหม?!"
................................................
[1] ปากทรงดอกชบา : หนึ่งในรูปทรงปากชามกระเบื้องเคลือบ เรียกอีกอย่างว่าทรงขุยโข่ว มีทั้งห้ากลีบและหกกลีบ พบในสมัยราชวงศ์ถัง เป็นที่นิยมแพร่หลายในสมัยซ่ง หมิงและชิง และยังมีการพัฒนาจนงดงามยิ่งขึ้น
[2] ฉินเซ่อร่วมบรรเลง : เครื่องดนตรีสองชนิดของประเทศจีน มีความนัยแฝงว่าสามีภรรยามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
"ฮูหยินคือแม่แท้ๆ ของคุณหนูใหญ่ นางรักใคร่คุณหนูที่สุด หากคุณหนูใหญ่พูดจาอ่อนลง ฮูหยินจะต้องทนไม่ไหวแน่..." แม่นมเฮ่อเห็นเว่ยฉางอิ๋งอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ใบหน้ายังคงแดงก่ำอยู่ก็ปวดใจจนน้ำตาไหลพรากลงมา "นั่นคือแม่แท้ๆ ผู้ให้กำเนิดของคุณหนูใหญ่ คุณหนูใหญ่ยอมก้มหน้าให้ท่านแม่ หรือว่ายังจะขายหน้าอีกหรือ? หนึ่งชั่วยามกว่า! หากว่าไม่ใช่เพราะคุณชายห้าไหวพริบดี ไปเชิญคุณหนูซ่งมา...ฮูหยินคงไม่มีทางลง คุณหนูใหญ่ไม่รู้ยังต้องคุกเข่าไปจนถึงเมื่อไหร่? ฮือๆ...ดูใบหน้านี่ ดูสิ ดูสิ!"
แม่นมเฮ่อยิ่งพูดยิ่งเสียใจ เห็นเว่ยฉางอิ๋งสนใจแต่กินองุ่นแช่เย็นของนางอย่างไม่มีทีท่าจะสนใจที่ตนกล่าว จึงยิ่งรู้สึกแย่ นางใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดหน้าไว้แล้วร้องไห้ออกมาเสียงดัง!
เว่ยฉางอิ๋งปรายตามองนาง นางกลืนองุ่นลงไป แล้วกล่าวอย่างพอเป็นพิธีว่า "ไม่ต้องร้องแล้ว ข้าก็ยังอยู่ดีไม่ใช่หรือ? แค่หนึ่งชั่วยามเท่านั้นเอง คิดดูตอนนั้นที่ข้าทำท่านั่งม้ากับลุงเจียง ย่อครั้งหนึ่งนานตั้งหลายชั่วยาม หากเปลี่ยนไปเล็กน้อย ลุงเจียงเป็นได้ต้องฟาดแซ่ลงมา..."
"เจ้าเฒ่าเหี้ยมโหดนั่น!" แม่นมเฮ่อพลันดึงผ้าลงมา นางไม่สนใจน้ำตาที่ไหลอยู่นองหน้า กัดฟันแล้วด่าว่า "เป็นเพราะเขา! ทำให้คุณหนูใหญ่เสียคน! ตอนยังเล็กคุณหนูใหญ่งดงามน่ารัก ตัวเล็กขาวราวกับหิมะ และยังบอบบางที่สุด เป็นเพราะเจ้าเฒ่าน่าตายนั่นที่คิดไม่ดี! ทำให้คุณหนูใหญ่ที่บอบบางกลายเป็นอย่างทุกวันนี้!"
"ท่าทางอย่างทุกวันนี้มีอะไรไม่ดีกัน?" เว่ยฉางอิ๋งประคองชามกระเบื้องเคลือบปากทรงดอกชบา[1]ลายครามหลากสีไว้ พลางกล่าวอย่างน้อยใจ "ข้าฝึกฝนอย่างยากลำบากมาหลายปี ถึงจะมีฝีมืออย่างในทุกวันนี้ และหลายปีมานี้ร่างกายยังแข็งแรงไม่มีโรคภัยไข้เจ็บอีก ไม่ดีหรือ?"
ฝึกฝนการต่อสู้ลำบากมากนะ! ยากเย็นขนาดไหน! ผ่านลมฝนตรากตรำมาตลอดสิบสองปีแน่ะ!
หากไม่ใช่เพราะชื่อเสียงที่เสิ่นจั้งเฟิงคือบุคคลที่โดดเด่นที่สุดของลูกหลานตระกูลเสิ่น มีฝีมือต่อสู้เหนือกว่าคนอื่นคอยดังอยู่ข้างหูนางบ่อยครั้ง เพื่อความสุขในชีวิตของนาง เว่ยฉางอิ๋งคงฝึกต่อไปไม่ได้นานแล้ว นางไม่ใช่พวกชอบต่อสู้ตั้งแต่กำเนิดเสียหน่อย!
แต่ใครใช้ให้ท่านปู่หมั้นให้นางเร็วขนาดนั้นกัน และยังเลือกหมั้นกับนักรบอีก! ตั้งแต่เล็กเว่ยฉางอิ๋งเป็นพวกหัวแข็ง และไม่สนใจฟ้อง อีกอย่างเมื่อแต่งงานไปแล้วก็ถือเป็นคนของตระกูลสามี หากเอาแต่กลับมาฟ้องที่บ้านตัวเองจะไม่ขายหน้าแย่หรือ คนบ้านนางไม่ต้องใช้ชีวิตของตัวเองแล้วหรือ
ทั้งหมดนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์หลังจากนางไปอยู่บ้านสามีแล้ว หากพูดกับสามีไม่ได้ความ จนทำให้อนุภรรยาถือโอกาสได้ เป็นได้เพียงภรรยาเอกในนามเท่านั้น ไม่แน่ว่ายังอาจจะต้องคอยดูบุตรอนุภรรยารับตำแหน่งต่อไป ใช้ชีวิตอย่างทุกข์ทรมานเป็นสิบๆ ปี จากนั้นก็ตายไปด้วยความทุกข์ระทม ถูกแสงแดดสายลมกลบฝังอย่างเงียบๆ...
อนาคตอย่างนี้ แค่คิดดู คุณหนูใหญ่ตระกูลเว่ยก็รู้สึกหวาดกลัวมากแล้ว!
แต่ว่าทำไมความพยายามตลอดระยะเวลาสิบสองปีที่จะหลบเลี่ยงไม่ให้ตกต้องอยู่ในสถานการณ์อย่างนั้น ท่านแม่กับแม่นมรวมถึงน้องชายต่างก็ไม่เห็นด้วย?
เว่ยฉางอิ๋งยัดองุ่นเย็นช้อนหนึ่งเข้าปากอย่างโมโห งานเย็บปักถักร้อย ฝีมือครัว และยังเหล่าตำราหลักการสอน ตำราข้อกำหนดหญิง อะไรเหล่านั้นอีก เหล่าคุณธรรมความดี...หากทำได้อย่างที่กล่าวมาสามีภรรยาจะมีความสุขไปทั้งชีวิต ทั้งยังเป็นที่รักใคร่ชื่นชอบของพ่อแม่สามี ในบทกลอนจะมีคำบ่นตัดพ้อของภรรยามาจากที่ไหนกัน?
ในเมื่อเรียนเรื่องเหล่านี้ยังไม่แน่ว่าจะสามารถปกป้องตนเองให้มีชีวิตสงบมีความสุขไปทั้งชีวิตได้ สู้เดินทางใหม่ที่ต่างจากเดิมไปไม่ดีกว่าหรือ!
ขอแค่ตนเองมีฝีมือดี ไม่ว่าเสิ่นจั้งเฟิงจะมีนิสัยอย่างไร มีความชอบอะไรที่ตัวนางไม่ชอบใจ ก่อนแต่งงานในเรือนจะมีอนุภรรยาที่เขารับมาแล้วกี่คนก็ตาม...ปิดประตูและจัดการเขาเสีย ยังจะต้องกลัวว่าจะใช้ชีวิตไม่ได้อีกหรือ?
ใครก็รู้ว่าเขามีชื่อเสียงไม่เบาในเหล่าตระกูลมีชื่อทั้งหลาย อย่างไรก็คงไม่ยอมขายหน้ากล่าวเรื่องที่ตนถูกภรรยาตีจนแทบเป็นแทบตายออกไปแน่?
เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกว่า วิธีการของนางดีที่สุด!
ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหน ข้าก็จะไม่สั่นคลอน!
ถึงแม้ว่าท่านแม่ ฮูหยินซ่งกับแม่นมเฮ่อจะมีใจคิดเพื่อนางอย่างจริงใจ แต่ว่าหากทำตามอย่างที่พวกนางกล่าว ภายหลังไม่ใช่ว่าจะต้องคอยใช้ชีวิตอย่างตามใจสามีหรือ?
แต่ว่าในสายตาของเว่ยฉางอิ๋งซึ่งถูกรักทะนุถนอมราวกับไข่มุกบนฝ่ามือแล้ว มาตรฐานของคำว่าใช้ชีวิตที่ดีนั้น ควรจะเป็นการทำตามใจตนเองสิ! อาศัยการอยู่กับเหย้ากับเรือน อาศัยการปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างมีเมตตาปรานี ให้สามีที่ได้มานั่นสงสาร...เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกว่า ก่อนที่จะได้รับความรักใคร่เอ็นดูจากสามี เกรงว่า...ตัวเองคงได้อึดอัดจนกระอักเลือดออกมาหลายครั้งก่อนแล้ว!
พูดง่ายๆ ก็คือ ในชีวิตของคุณหนูใหญ่เว่ยแล้ว มีแต่คนรอบข้าง รวมไปถึงผู้อาวุโสที่คอยเอาอกเอาใจนาง หากให้นางคอยทำตามคนอื่น แม้ว่าคนนั้นจะเป็นคู่หมั้นที่ตกลงกันตั้งแต่ยังเล็กคนนั้น เว่ยฉางอิ๋งก็ยังรู้สึกว่าตัวเองต้องเลือกหาวิธีที่จะแลกเอาตำแหน่งมา!
เป็นคุณหนูนี่ ยากจริงๆ เลย...ทั้งๆ ที่ตัวนางพยายามทุ่มเทถึงขนาดนี้แล้ว...
เห็นเว่ยฉางอิ๋งมีสีหน้าน้อยใจ แม่นมเฮ่อก็ดึงผ้าออกและเกือบจะร้องเสียงสูงออกมา "คุณหนูใหญ่มีร่างกายแข็งแรงนับเป็นเรื่องดี แต่คุณหนูตระกูลสูงในตอนนี้ สิ่งสำคัญที่ต้องเรียนรู้ก็คือการเย็บปักถักร้อย การอ่านตำราหลักการสอนหญิง ตำราข้อกำหนดหญิง ท่าทางกิริยาจะต้องนุ่มนวลงดงามราวกิ่งหลิว...งานอดิเรกที่ชอบหากไม่ใช่ดนตรี หมาก อักษรและภาพวาดที่สง่างามอย่างนี้ ก็น่าจะเป็นพวกการปักผ้า เย็บผ้า หากไม่ไหวจริงๆ เย็บถุงถักหรือทำอาหารไม่กี่อย่างก็ยังดี!"
นางกล่าวอย่างปวดใจว่า "คุณหนูใหญ่พูดมาได้เลยว่า ของพวกนี้ มีอันไหนบ้างที่คุณหนูใหญ่พอจะทำได้?!"
"...พวกนี้มากเกินไปแล้ว!" คุณหนูใหญ่เว่ยสีหน้าเข้มขึ้นแล้วกล่าว "น้อยลงหน่อย!"
แม่นมเฮ่อเช็ดน้ำตาที่ดวงตาแล้วกล่าวอย่างยินดีว่า "ถ้าอย่างนั้นคุณหนูใหญ่จะเรียนถักถุงก่อนหรือเรียนทำอาหารก่อน?"
...เว่ยฉางอิ๋งมองไปยังหลังคาเรือนอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่า "มีอะไรที่ขยับตัวได้มากหน่อยไหม? ข้าไม่อยากอึดอัดอยู่ในห้องทั้งวัน"
"งั้น..." แม่นมเฮ่อนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า "ปลูกต้นไม้ดอกไม้ล่ะเป็นอย่างไร? นี่ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่งามสง่า อีกอย่าง หากว่าทำได้ดี วันหลังยังสามารถทำและเอาไปให้พ่อแม่สามีและเหล่าสะใภ้ได้บ่อยครั้ง และทำให้มีชื่อเสียงที่ดีงาม รวมถึงยังสามารถเชื่อมสัมพันธ์ฝั่งญาติสามีได้อีก..."
เว่ยฉางอิ๋งมีสีหน้าไร้อารมณ์แล้วกล่าวว่า "คนอย่างพวกเรายังขาดคนสวนหรือ? อีกอย่าง ต่อให้ข้าสามารถปลูกต้นไม้ดอกไม้ได้ดี หากว่าภายหลังไปพบกับคนที่ล้วนแต่ไม่ชอบต้นไม้ใบหญ้าเข้าล่ะ นั่นไม่ใช่ว่าข้าต้องเสียเวลาไปเปล่าๆ หรือ?"
แม่นมเฮ่อคิดแล้วก็ว่าใช่ "คุณหนูใหญ่คิดได้รอบคอบ งั้น...เรียนดนตรีเป็นอย่างไร?" นางเสียงต่ำลง "ฉินเซ่อร่วมบรรเลง[2]สามีภรรยามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน อนาคตหากว่าได้บรรเลงดนตรีร่วมกับท่านเขยสักเพลง ก็นับว่าเป็นเรื่องดี!"
"เสิ่นจั้งเฟิงสามีนักรบนั่นจะรู้เรื่องฉินเซ่อร่วมบรรเลงอะไรนั่นหรือ?" เว่ยฉางอิ๋งฮึ่มออกมาเสียงเย็นแล้วกล่าวว่า "อย่าให้พอถึงเวลากลายเป็นเล่นดนตรีให้วัวฟังไปเสีย เขายังมารังเกียจว่าน่ารำคาญ แล้วยกเท้าเตะเอาฉินพร้อมแท่นกระเด็นไป!" แม่นมเฮ่อกำลังจะปลอบใจนาง คิดไม่ถึงว่าเว่ยฉางอิ๋งพลันกำหมัดแน่นแล้วกล่าวราวพูดกับตนเองว่า "ข้าไม่ใช่พวกที่จะรังแกได้ง่ายๆ! เขากล้าทำอย่างนั้น ข้าจะต้องเอาทั้งฉินทั้งแท่นฟาดหน้าเขาจนจมูกช้ำหน้าบวมแน่! กล้า..."
"คุณหนูใหญ่!" แม่นมเฮ่อสีหน้าเขียวคล้ำ แล้วคำรามดุดัน "คุณหนูใหญ่ที่น่าสงสาร! เป็นเพราะเจ้าเฒ่าแซ่เจียงน่าตายนั่นที่ควรถูกฟันสักพันครั้งร้อยครั้ง! คุณหนูใหญ่ท่านคือคุณหนูสูงศักดิ์ศักดิ์ที่อ่อนแอบอบบาง กิริยาท่าทางราวกับกิ่งหลิวที่ลู่ตามลม น้ำเสียงก็ราวกับเสียงลมฝนปรอยลงมา ไม่ว่าจะพูดจาหรือแย้มยิ้มก็ระวังนุ่มนวลงามสง่า...ท่าน ทำไมท่านถึง! ท่านจะลงมือกับท่านเขยได้อย่างไรกัน! หืม?!"
"อย่างข้าเรียกว่าเตรียมตัวให้พร้อมล่วงหน้า!" เว่ยฉางอิ๋งถอนหายใจ "ท่านอาเฮ่อตีข้าตั้งแต่ยังเล็ก ท่านลุงก็ถูกมีดมาหลายครั้งแล้วสินะ? แต่ว่าตอนนี้เขาก็ยังดีอยู่ ท่านอาเฮ่อท่านอย่าไปสนใจเขาเลย... โอ๊ะ กินหมดแล้ว ข้ายังอยากกินอีก!"
แม่นมเฮ่อพลันลืมลุงเจียงไปทันที นางรีบเช็ดหน้าแล้วกล่าวถามเสียงนุ่มว่า "เอาองุ่นมากหน่อยเหมือนเดิมหรือ?"
"เอาองุ่นมากหน่อย!" เว่ยฉางอิ๋งพยักหน้า
แม่นมเฮ่อกล่าวเสียงปรานีว่า "น้ำแข็งใส่ให้น้อยลงหน่อยเถอะ ทุกวันนี้ในห้องก็วางน้ำแข็งไว้แล้ว ระวังจะเป็นหวัด"
เว่ยฉางอิ๋งยกมือลูบไปที่ผมยาว นางรู้สึกว่าใกล้แห้งแล้วก็กล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า "ได้สิ"
ครู่หนึ่ง แม่นมเฮ่อก็ไปยกเอาองุ่นมากน้ำแข็งน้อยแช่เย็นมาชุดหนึ่ง เว่ยฉางอิ๋งเลือกกินองุ่นไปเม็ดหนึ่ง แม่นมเฮ่อก็ตั้งสติแล้วม้วนแขนเสื้อด่าต่อไป "เจ้าโง่เง่าน่าตายแซ่เจียงนั่น! คุณหนูใหญ่จะไปเรียนกับเขาต่อไม่ได้เด็ดขาด! คนชั้นต่ำอย่างนี้ อีกแปดชาติก็ยังขอหญิงที่เข้าท่าไม่ได้! เขาจะเข้าใจอะไร? คุณหนูใหญ่คือคนที่จะเป็นนายหญิงของตระกูล ท่านจะให้เจ้าน่าตายนั่นมาพาเสียไม่ได้นะ..."
เว่ยฉางอิ๋งใช้มือข้างหนึ่งเท้าคาง แววตาก็จับจ้องไปที่ชามพลางยิ้มแล้วกล่าวว่า "ลุงเจียงก็เพียงสอนวิชาต่อสู้ข้าเท่านั้น พาเสียอะไรกัน?"
"สรุปแล้วก็คือเจ้าน่าตายนั่นคือคนสารเลว..." แม่นมเฮ่อคือข้ารับใช้ตระกูลเว่ย ซื่อสัตย์ภักดีต่อเว่ยฉางอิ๋งที่ตนเลี้ยงมาตั้งแต่เล็กมาก มองนางราวกับอัญมณีล้ำค่า ความผิดพลาดทั้งหมดของเว่ยฉางอิ๋ง นางล้วนแต่ต้องหาให้คนอื่นผิด และสรุปเป็นเหตุผลที่ว่า ‘คุณหนูใหญ่ที่แสนดี กลับถูกเจ้าพวกใจคิดไม่ดีเหล่านั้นพาเสีย’ อยู่เสมอ!
เพราะเว่ยฉางอิ๋งดื้อดึงอยากจะเรียนต่อสู้ หลายครั้งที่ถูกฮูหยินซ่งตำหนิ แม่นมเฮ่อจึงแค้นใจคนแซ่เจียงเสียจนแยกเขี้ยวยิงฟัน เว่ยฉางอิ๋งยังอยู่ดี นางก็จะเช้าด่าครั้งเย็นด่าครั้ง แบ่งเป็นช่วงเวลาตอนเช้าที่เตรียมจะไปฝึกฝนกับเย็นหลังจากกลับมาแล้ว
หากเว่ยฉางอิ๋งเกิดอะไรขึ้น อย่างเช่นที่ถูกลงโทษวันนี้ แม่นมเฮ่ออย่างน้อยๆ ก็ต้องด่าไปหลายชั่วยามถึงจะยอมหยุดลง
จุดนี้ ตั้งแต่เว่ยฉางอิ๋งจนไปถึงเหล่าข้ารับใช้ต่างก็คุ้นชินกันหมดแล้ว
เว่ยฉางอิ๋งกำลังฟังไปอย่างรู้สึกน่าขันและกินวุ้นผลไม้ไปด้วย ด้านนอกพลันมีเสียงเคาะดังขั้น นางรีบวางช้อนลงแล้วกล่าวสั่งไปว่า "ลวี่อีรีบไปดูเร็วเข้า!"
สาวใช้ลวี่อีวางค้อนสาวงามที่ใช้ทุบขานางอยู่ลง แล้วเดินไปเปิดประตูด้านนอก ได้ยินเสียงซ่งไจ้สุ่ยถามอย่างขัดเคืองมาตลอดทางว่า "ดีนี่นาฉางอิ๋ง! ข้านอนของข้าอยู่ดีๆ ฉางเฟิงกลับไปปลุกข้าให้ตื่นแล้วไปขอร้องให้เจ้า ข้าต้องไปเอาเจ้ากลับมาท่ามกลางอาทิตย์ยามบ่าย เจ้ากลับมาพักผ่อนอย่างกินดีอยู่ดีที่นี่ ไม่สนใจข้าเลย?"
เว่ยฉางอิ๋งรีบเรียกนางให้มานั่ง แล้วสั่งให้สาวใช้ลวี่ปิ้นที่นวดไหล่ให้นางอยู่หยุดมือก่อน แล้วไปเอาวุ้นผลไม้มาชุดหนึ่ง นางยิ้มแล้วกล่าว "พี่สาวที่แสนดี ท่านอยู่กับท่านแม่ตรงนั้นต้องกลัวอะไรกัน? ท่านแม่ชอบท่านที่สุดแล้ว ยังบอกให้ข้าเรียนรู้จากท่านบ่อยๆ เลย!"
ซ่งไจ้สุ่ยปั้นหน้า โทสะยังไม่คลาย แล้วกล่าวเสียงเย็นว่า "ทำไมข้าจะไม่กลัวท่านอา? หรือว่าเจ้าไม่รู้ ข้าไม่อยากจะกลับไปเมืองหลวงที่สุด หากนับเวลาที่ผ่านมาแล้ว ข้าใช้เหตุผลมากมากมาอ้างไม่ไปพบหน้าท่านย่ากับท่านอา! สุดท้ายก็เป็นพวกเจ้าสองพี่น้อง เจ้าไม่ยอมก้มหัว ฉางเฟิงสงสารเจ้า จึงไปเรียกข้าให้ไปขอร้องท่านอาให้เจ้า พอขอจบ ข้าคิดว่าพวกเจ้าสองพี่น้องน่าจะจำข้าได้บ้าง? หากไม่ได้ไปเอง ก็น่าจะให้คนหาเหตุผลไปและพาข้าออกมาด้วยสิ!"
นางโมโหแล้วตบลงไปบนโต๊ะไม้ประดู่สลักบนที่นอน นางกัดฟันถาม "เจ้าพวกไม่มีน้ำใจทั้งสองคนทำอะไร? ฉางเฟิงพอเห็นข้าไปหาท่านอาที่นั่นก็รู้สึกว่าหมดเรื่องของเขาแล้ว! ส่วนเจ้าล่ะ? เจ้าบอกว่าจะไปก็ไป นานขนาดนี้ยังไม่คิดถึงข้า! ทำให้ข้าต้องถูกท่านอาถามอยู่หลายครั้งว่าจะกลับเมืองหลวงเมื่อไหร่!"
ซ่งไจ้สุ่ยกล่าวอย่างมีโทสะว่า "เดิมข้ามาขออาศัยอยู่สี่เดือนก็เรียกว่าไม่รู้จักอายแล้ว เจ้ายังคิดว่าข้าข้ายังอับอายไม่พอใช่ไหม?!"
................................................
[1] ปากทรงดอกชบา : หนึ่งในรูปทรงปากชามกระเบื้องเคลือบ เรียกอีกอย่างว่าทรงขุยโข่ว มีทั้งห้ากลีบและหกกลีบ พบในสมัยราชวงศ์ถัง เป็นที่นิยมแพร่หลายในสมัยซ่ง หมิงและชิง และยังมีการพัฒนาจนงดงามยิ่งขึ้น
[2] ฉินเซ่อร่วมบรรเลง : เครื่องดนตรีสองชนิดของประเทศจีน มีความนัยแฝงว่าสามีภรรยามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้นำมาจากแหล่งอื่นและได้รับการอนุญาตจากเจ้าของแล้ว
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ