ยอดสตรีฉางอิ๋ง
-
เขียนโดย Xiaobei
วันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เวลา 17.20 น.
35 ตอน
0 วิจารณ์
28.25K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 17.21 น. โดย เจ้าของนิยาย
4) ไม่ยอมรับผิดห้ามลุกขึ้น (2)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความฐานะอย่างแม่นมซือที่เป็นข้ารับใช้เก่าแก่มานาน แม้แต่คุณหนูใหญ่บุตรสาวสายตรงตระกูลเว่ยนางยังตำหนิว่ากล่าวราวกับเป็นลูกหลาน แต่เมื่อพบซ่งไจ้สุ่ยกลับยังต้องมีท่าทีเคารพนบนอบ
แต่ว่าซ่งไจ้สุ่ยที่มาจากตระกูลสูงศักดิ์และมีอนาคตไกลกลับไม่มีนิสัยเอาแต่ใจไม่ฟังเหตุผลเลย กลับกันนางมีนิสัยนุ่มนวลถ่อมตนสมกับที่มาจากตระกูลใหญ่มาก นางได้ยินแม่นมซือกล่าวก็พยักหน้ารับแล้วกล่าวเสียงเบาว่า "ข้ายังจะไม่รู้เรื่องนี้หรือ เมื่อครู่น้องห้ามาหาข้า...ท่านอาอยู่ด้านในหรือ? นอนหลับไปแล้ว?"
แม่นมซือลอบชื่นชมความฉลาดของเว่ยฉางเฟิงจริงๆ แล้วนางก็ไม่ใช่ว่า ไม่คิดจะไปเชิญหลานสาวสายตรงของฮูหยินซ่งคนนี้ แต่ซ่งไจ้สุ่ยคือว่าที่ชายาของรัชทายาท นอกจากเว่ยฉางเฟิงแล้ว ข้ารับใช้อย่างพวกนางใครจะกล้าไปรบกวน?
จึงรีบกล่าวทันทีว่า "คุณหนูใหญ่คุกเข่าอยู่ด้านนอก ฮูหยินยังจะนอนหลับที่ไหน? คุณหนูเชิญเข้าไปด้านในเถอะ!"
ฮูหยินซ่งนอนไม่หลับจริงๆ ไม่เพียงแต่จะนอนไม่หลับเท่านั้น นางยังคอยเงี่ยหูฟังเสียงอีกด้วย ได้ยินเสียงฝีเท้าอื่นนอกจากแม่นมซือกับข้ารับใช้เดินเข้ามาในห้อง ฮูหยินซ่งไม่ได้พลิกตัวกลับมา แต่กลับแสร้งทำท่าไอค่อกแค่กแล้วกล่าวเสียงเย็นว่า "เจ้ายอมรับผิดแล้วรึ?"
ถึงจะเป็นการถามอย่างตำหนิ แต่น้ำเสียงที่กล่าวออกมาไม่ว่าใครก็ฟังออกว่า ที่ถามออกมาเร็วอย่างแทบอดรนทนไม่ไหวเช่นนี้ สู้พูดว่าเป็นการพูดเป็นนัยเสียมากกว่า...เหล่าข้ารับใช้ต่างก็ก้มหัวลงต่ำแล้วกัดริมฝีปากแน่น
ซ่งไจ้สุ่ยเองก็กลั้นแทบไม่ไหวแล้วเม้มปากแน่น จึงกล่าวอย่างปกติออกมาได้ว่า "ท่านอา?"
"ไจ้สุ่ย?" ฮูหยินซ่งผิดหวังขึ้นมาทันที นางไม่สนมาดอะไรอีกแล้วพลิกตัวขึ้นนั่ง มองไปเมื่อเห็นด้านหลังหลานสาวไม่มีเงาบุตรสาวอยู่ก็ถามไปอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า "แดดแรงอย่างนี้ ทำไมเจ้าถึงออกมาข้างนอก?"
"เมื่อครู่นอนไม่หลับ อยากจะไปคุยกับน้องหญิงฉางอิ๋งเสียหน่อย แต่คิดไม่ถึงว่าคนข้างกายนางต่างก็อยู่ในห้อง แต่กลับบอกว่าตัวนางอยู่กับท่านอาตรงนี้" ซ่งไจ้สุ่ยเดินไปนั่งลงข้างกายฮูหยินซ่งอย่างสนิทสนม ทั้งยังคล้องแขนนางกล่าวอย่างแง่งอนว่า "คฤหาสน์เงียบอย่างนี้ ข้าจึงสงสัยว่า คงไม่ใช่เพราะท่านอากับน้องหญิงแอบซ่อนของดีอะไรไว้ ข้าจึงรีบมาดูเท่านั้น!"
แม้ว่าฮูหยินซ่งจะขัดเคืองความแข็งขืนของบุตรสาวขนาดไหน ตอนนี้พอได้ยินก็ยังอดหัวเราะออกมาไม่ได้ "ฉางอิ๋งเชื่อฟังรู้เรื่องอย่างเจ้าที่ไหน? หากข้ามีของดีอะไรก็มีแต่จะเอาให้เจ้าไม่ให้นางหรอก!"
"ท่านพูดอย่างนี้คงต้องเรียกให้น้องหญิงมาฟัง!" ซ่งไจ้สุ่ยยิ้มน้อยๆ แล้วกล่าวออกมา "ให้นางอิจฉาเสีย!"
ฮูหยินซ่งกล่าวอย่างขัดเคืองว่า "ไม่ต้องเรียกนางมา เมื่อครู่ข้าพูดแล้ว! หากนางยังไม่ยอมรับผิด ก็ห้ามลุกขึ้นมา!"
คำพูดนี้ฟังดูโหดร้าย แต่จากที่แม่นมซือหรือซ่งไจ้สุ่ยผู้รู้จักนิสัยของฮูหยินซ่งดีได้ยินอย่างนี้ ความหมายจริงๆ ของมันก็คือ เมื่อครู่ข้าพูดแบบนี้ไป แต่ก็จนใจ ฉางอิ๋งเจ้าเด็กนี่ไม่ยอมอ่อนข้อ จะต้องทำอย่างไรถึงจะให้นางยอมโอนอ่อนแล้วลุกขึ้นได้?
ในใจซ่งไจ้สุ่ยไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี แต่เบื้องหน้านางยังคงกล่าวอย่างจริงจังว่า "น้องหญิงยอมรับผิดนานแล้วไม่ใช่หรือ?"
"เอ๋?" ฮูหยินซ่งกับแม่นมซือชะงักไป
ซ่งไจ้สุ่ยกล่าว "เมื่อครู่ที่ข้าเดินมาน้องหญิงยังกล่าวขอโทษท่านอาอยู่ตรงนั้นเลย!"
"จริงหรือ?" ฮูหยินซ่งนิ่งไป บุตรสาวนางเป็นเด็กดีอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?
"ไม่ใช่หรือ?" ซ่งไจ้สุ่ยแสดงท่าทางลังเล "หากท่านอาไม่เชื่อ ลองถามชุนอิ่งกับเซี่ยอิ่งดู"
สาวใช้ชุดฟ้าพยักหน้าพร้อมกัน "ข้าน้อยได้ยินคุณหนูเว่ยกล่าวออกมาอย่างนั้นจริงๆ"
ซ่งไจ้สุ่ยกล่าวอย่างนุ่มนวลไปว่า "อากาศอย่างตอนนี้ ด้านนอกร้อนจัด ท่านอาดูชุดของข้า นี่ข้าเพิ่งจะเปลี่ยนก่อนออกมา เดินมาถึงนี่กลับเปียกชุ่มจนเป็นแบบนี้แล้ว น้องหญิงอยู่ข้างนอกนั่นมาไม่รู้นานขนาดไหน...คงถูกแดดเผาแย่!"
ฮูหยินซ่งหน้าเข้มขึ้นแล้วร้องฮึอย่างไม่พอใจ "หากโดดเผาก็ต้องสมน้ำหน้านาง! นางทำตัวเองทั้งนั้น!" เพิ่งจะกล่าวจบ นางก็พลันเปลี่ยนเรื่องไปอย่างรวดเร็ว "ในเมื่อนางยอมรับผิดแล้ว เห็นแก่หน้าของไจ้สุ่ยที่มาช่วยขอร้องให้นาง ครั้งนี้ข้าจะปล่อยนางไปก่อน...แม่นมซือ เจ้าไปเรียกนางกลับห้องเสีย! เจ้าเด็กไม่รู้ภาษา! ตอนนี้ข้ายังไม่อยากเห็นหน้านาง!" กล่าวประโยคสุดท้ายจบ ยังตบโต๊ะอย่างแรงไปอีกครั้ง! เกรงว่าคนอื่นจะมองไม่ออกว่าจริงๆ แล้วนางเป็นแม่ที่ ‘เคร่งครัด’ คนหนึ่ง
แม่นมซือพยายามกลั้นหัวเราะเต็มที่ แล้วกล่าวเสียงจริงจังว่า "ข้าน้อยจะไปเดี๋ยวนี้"
ออกไปจากห้อง แม่นมซือพลันใช้มือข้างหนึ่งอุดปากไว้ แต่ต่อให้เป็นอย่างนั้น ก็ยังมีเสียงหัวเราะคิกคักเล็ดลอดออกมาอยู่ดี ฮูหยินซ่งมองออกชัดๆ ว่าหลานสาวกับสาวใช้เปิดตาแต่ปากกล่าวว่าตาบอด[1]อยู่แท้ๆ นางแค่รอทางลงอยู่ชัดๆ เลย จึงรีบกล่าวว่าเชื่อพวกนางอย่างแทบทนไม่ไหว แต่ว่านางกลับคิดว่าทำอย่างนี้ดูเสียหน้าเกินไป ทั้งๆ ที่กลัวบุตรสาวล้มลงไปแท้ๆ ถึงได้ไม่เปิดโปงคำโกหกของซ่งไจ้สุ่ย ทั้งยังจงใจวางมาดทำทีว่ายังคงโมโหบุตรสาวอยู่ และรีบไล่บุตรสาวกลับห้อง...
ช่างน่าสงสารนัก ฮูหยินซ่งเองก็ไม่มีทางเลือก เว่ยเจิ้งหง นายใหญ่ตระกูลเว่ยที่นางแต่งงานด้วย แม้ว่าจะเป็นบุตรคนโตสายตรงของหัวหน้าตระกูลเว่ยฮ่วน แต่เขากลับร่างกายอ่อนแอตั้งแต่ยังเล็ก ทำให้ฮูหยินซ่งแต่งเข้ามานานเกือบสิบปียังไม่มีบุตร กระทั่งปีที่เก้า จึงได้ขอสูตรยาชั้นยอดมาจากหมอ รักษาร่างกายแล้วจึงเริ่มดีขึ้น จึงมีเว่ยฉางอิ๋งและเว่ยฉางเฟิงสองพี่น้องได้ ทุกวันนี้เว่ยเจิ้งหงยังคงแยกเรือนกับฮูหยินซ่ง ไม่ใช่เพราะสามีภรรยาทะเลาะอะไรกัน แต่เป็นเพราะเว่ยเจิ้งหงต้องใช้เวลารักษาตัว และไม่ให้คนรบกวน
ในฐานะสะใภ้ใหญ่แล้ว ฮูหยินซ่งที่แต่งเข้ามาเก้าปีแรกนั้นอยากได้บุตรชายบุตรสาวจนแทบคลั่ง ดังนั้นเมื่อมีบุตรชายบุตรสาวแล้ว จึงเรียกว่าแทบจะประคองไว้บนฝ่ามือ ทั้งรักทั้งทะนุถนอมอย่างดี จึงทำให้บุตรสาวคนโตของตระกูลเว่ยอย่างเว่ยฉางอิ๋งมีนิสัยแข็งกร้าว หากเรื่องไหนตัดสินใจไปแล้ว ต่อให้เอาวัวเก้าตัวมาฉุดก็ยังไม่คิดเปลี่ยนใจ ตั้งแต่ยังเล็กไม่รู้นางไปถูกใครสั่งสอนเข้าว่าวิชาต่อสู้คือทางที่ถูกต้อง นางจึงไม่แม้แต่จะมองวิชางานบ้านงานเรือนของหญิงตระกูลสูงเรียนกันทั้งหลายไป และในใจจดจ่ออยู่แต่การร่ำเรียนวิชาต่อสู้ คิดแต่จะใช้หมัดไปเบิกทางให้ตนที่ตระกูลฝั่งสามีและเรียกความคิดนั่นว่า ‘ความคิดที่ดี’
"คุณหนูใหญ่เฉลียวฉลาดอย่างนั้น สิบปีก่อนก็มองออกแล้วว่าฮูหยินไม่มีทางจะใจแข็งกับเลือดเนื้อเชื้อไขตนได้ลง" แม่นมซือหลบอยู่หลังประตูแล้วหัวเราะอยู่นานถึงหยุดได้ นางเช็ดหยดน้ำตาที่หางตาจากการหัวเราะแล้วเริ่มทุกข์ขึ้นมา "แต่ว่าปีหน้าคุณหนูใหญ่ก็จะออกเรือนแล้ว หากว่านางไม่รู้อะไรเลยนอกจากวิชาต่อสู้ แล้วต่อไปจะทำอย่างไร? ฮูหยินยังทำอะไรคุณหนูใหญ่ไม่ได้อีก..."
.............................................
[1] เปิดตาแต่ปากกล่าวว่าตาบอด หมายถึง พูดโกหกบิดเบือนความจริง พูดจามั่วซั่ว
แต่ว่าซ่งไจ้สุ่ยที่มาจากตระกูลสูงศักดิ์และมีอนาคตไกลกลับไม่มีนิสัยเอาแต่ใจไม่ฟังเหตุผลเลย กลับกันนางมีนิสัยนุ่มนวลถ่อมตนสมกับที่มาจากตระกูลใหญ่มาก นางได้ยินแม่นมซือกล่าวก็พยักหน้ารับแล้วกล่าวเสียงเบาว่า "ข้ายังจะไม่รู้เรื่องนี้หรือ เมื่อครู่น้องห้ามาหาข้า...ท่านอาอยู่ด้านในหรือ? นอนหลับไปแล้ว?"
แม่นมซือลอบชื่นชมความฉลาดของเว่ยฉางเฟิงจริงๆ แล้วนางก็ไม่ใช่ว่า ไม่คิดจะไปเชิญหลานสาวสายตรงของฮูหยินซ่งคนนี้ แต่ซ่งไจ้สุ่ยคือว่าที่ชายาของรัชทายาท นอกจากเว่ยฉางเฟิงแล้ว ข้ารับใช้อย่างพวกนางใครจะกล้าไปรบกวน?
จึงรีบกล่าวทันทีว่า "คุณหนูใหญ่คุกเข่าอยู่ด้านนอก ฮูหยินยังจะนอนหลับที่ไหน? คุณหนูเชิญเข้าไปด้านในเถอะ!"
ฮูหยินซ่งนอนไม่หลับจริงๆ ไม่เพียงแต่จะนอนไม่หลับเท่านั้น นางยังคอยเงี่ยหูฟังเสียงอีกด้วย ได้ยินเสียงฝีเท้าอื่นนอกจากแม่นมซือกับข้ารับใช้เดินเข้ามาในห้อง ฮูหยินซ่งไม่ได้พลิกตัวกลับมา แต่กลับแสร้งทำท่าไอค่อกแค่กแล้วกล่าวเสียงเย็นว่า "เจ้ายอมรับผิดแล้วรึ?"
ถึงจะเป็นการถามอย่างตำหนิ แต่น้ำเสียงที่กล่าวออกมาไม่ว่าใครก็ฟังออกว่า ที่ถามออกมาเร็วอย่างแทบอดรนทนไม่ไหวเช่นนี้ สู้พูดว่าเป็นการพูดเป็นนัยเสียมากกว่า...เหล่าข้ารับใช้ต่างก็ก้มหัวลงต่ำแล้วกัดริมฝีปากแน่น
ซ่งไจ้สุ่ยเองก็กลั้นแทบไม่ไหวแล้วเม้มปากแน่น จึงกล่าวอย่างปกติออกมาได้ว่า "ท่านอา?"
"ไจ้สุ่ย?" ฮูหยินซ่งผิดหวังขึ้นมาทันที นางไม่สนมาดอะไรอีกแล้วพลิกตัวขึ้นนั่ง มองไปเมื่อเห็นด้านหลังหลานสาวไม่มีเงาบุตรสาวอยู่ก็ถามไปอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า "แดดแรงอย่างนี้ ทำไมเจ้าถึงออกมาข้างนอก?"
"เมื่อครู่นอนไม่หลับ อยากจะไปคุยกับน้องหญิงฉางอิ๋งเสียหน่อย แต่คิดไม่ถึงว่าคนข้างกายนางต่างก็อยู่ในห้อง แต่กลับบอกว่าตัวนางอยู่กับท่านอาตรงนี้" ซ่งไจ้สุ่ยเดินไปนั่งลงข้างกายฮูหยินซ่งอย่างสนิทสนม ทั้งยังคล้องแขนนางกล่าวอย่างแง่งอนว่า "คฤหาสน์เงียบอย่างนี้ ข้าจึงสงสัยว่า คงไม่ใช่เพราะท่านอากับน้องหญิงแอบซ่อนของดีอะไรไว้ ข้าจึงรีบมาดูเท่านั้น!"
แม้ว่าฮูหยินซ่งจะขัดเคืองความแข็งขืนของบุตรสาวขนาดไหน ตอนนี้พอได้ยินก็ยังอดหัวเราะออกมาไม่ได้ "ฉางอิ๋งเชื่อฟังรู้เรื่องอย่างเจ้าที่ไหน? หากข้ามีของดีอะไรก็มีแต่จะเอาให้เจ้าไม่ให้นางหรอก!"
"ท่านพูดอย่างนี้คงต้องเรียกให้น้องหญิงมาฟัง!" ซ่งไจ้สุ่ยยิ้มน้อยๆ แล้วกล่าวออกมา "ให้นางอิจฉาเสีย!"
ฮูหยินซ่งกล่าวอย่างขัดเคืองว่า "ไม่ต้องเรียกนางมา เมื่อครู่ข้าพูดแล้ว! หากนางยังไม่ยอมรับผิด ก็ห้ามลุกขึ้นมา!"
คำพูดนี้ฟังดูโหดร้าย แต่จากที่แม่นมซือหรือซ่งไจ้สุ่ยผู้รู้จักนิสัยของฮูหยินซ่งดีได้ยินอย่างนี้ ความหมายจริงๆ ของมันก็คือ เมื่อครู่ข้าพูดแบบนี้ไป แต่ก็จนใจ ฉางอิ๋งเจ้าเด็กนี่ไม่ยอมอ่อนข้อ จะต้องทำอย่างไรถึงจะให้นางยอมโอนอ่อนแล้วลุกขึ้นได้?
ในใจซ่งไจ้สุ่ยไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี แต่เบื้องหน้านางยังคงกล่าวอย่างจริงจังว่า "น้องหญิงยอมรับผิดนานแล้วไม่ใช่หรือ?"
"เอ๋?" ฮูหยินซ่งกับแม่นมซือชะงักไป
ซ่งไจ้สุ่ยกล่าว "เมื่อครู่ที่ข้าเดินมาน้องหญิงยังกล่าวขอโทษท่านอาอยู่ตรงนั้นเลย!"
"จริงหรือ?" ฮูหยินซ่งนิ่งไป บุตรสาวนางเป็นเด็กดีอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?
"ไม่ใช่หรือ?" ซ่งไจ้สุ่ยแสดงท่าทางลังเล "หากท่านอาไม่เชื่อ ลองถามชุนอิ่งกับเซี่ยอิ่งดู"
สาวใช้ชุดฟ้าพยักหน้าพร้อมกัน "ข้าน้อยได้ยินคุณหนูเว่ยกล่าวออกมาอย่างนั้นจริงๆ"
ซ่งไจ้สุ่ยกล่าวอย่างนุ่มนวลไปว่า "อากาศอย่างตอนนี้ ด้านนอกร้อนจัด ท่านอาดูชุดของข้า นี่ข้าเพิ่งจะเปลี่ยนก่อนออกมา เดินมาถึงนี่กลับเปียกชุ่มจนเป็นแบบนี้แล้ว น้องหญิงอยู่ข้างนอกนั่นมาไม่รู้นานขนาดไหน...คงถูกแดดเผาแย่!"
ฮูหยินซ่งหน้าเข้มขึ้นแล้วร้องฮึอย่างไม่พอใจ "หากโดดเผาก็ต้องสมน้ำหน้านาง! นางทำตัวเองทั้งนั้น!" เพิ่งจะกล่าวจบ นางก็พลันเปลี่ยนเรื่องไปอย่างรวดเร็ว "ในเมื่อนางยอมรับผิดแล้ว เห็นแก่หน้าของไจ้สุ่ยที่มาช่วยขอร้องให้นาง ครั้งนี้ข้าจะปล่อยนางไปก่อน...แม่นมซือ เจ้าไปเรียกนางกลับห้องเสีย! เจ้าเด็กไม่รู้ภาษา! ตอนนี้ข้ายังไม่อยากเห็นหน้านาง!" กล่าวประโยคสุดท้ายจบ ยังตบโต๊ะอย่างแรงไปอีกครั้ง! เกรงว่าคนอื่นจะมองไม่ออกว่าจริงๆ แล้วนางเป็นแม่ที่ ‘เคร่งครัด’ คนหนึ่ง
แม่นมซือพยายามกลั้นหัวเราะเต็มที่ แล้วกล่าวเสียงจริงจังว่า "ข้าน้อยจะไปเดี๋ยวนี้"
ออกไปจากห้อง แม่นมซือพลันใช้มือข้างหนึ่งอุดปากไว้ แต่ต่อให้เป็นอย่างนั้น ก็ยังมีเสียงหัวเราะคิกคักเล็ดลอดออกมาอยู่ดี ฮูหยินซ่งมองออกชัดๆ ว่าหลานสาวกับสาวใช้เปิดตาแต่ปากกล่าวว่าตาบอด[1]อยู่แท้ๆ นางแค่รอทางลงอยู่ชัดๆ เลย จึงรีบกล่าวว่าเชื่อพวกนางอย่างแทบทนไม่ไหว แต่ว่านางกลับคิดว่าทำอย่างนี้ดูเสียหน้าเกินไป ทั้งๆ ที่กลัวบุตรสาวล้มลงไปแท้ๆ ถึงได้ไม่เปิดโปงคำโกหกของซ่งไจ้สุ่ย ทั้งยังจงใจวางมาดทำทีว่ายังคงโมโหบุตรสาวอยู่ และรีบไล่บุตรสาวกลับห้อง...
ช่างน่าสงสารนัก ฮูหยินซ่งเองก็ไม่มีทางเลือก เว่ยเจิ้งหง นายใหญ่ตระกูลเว่ยที่นางแต่งงานด้วย แม้ว่าจะเป็นบุตรคนโตสายตรงของหัวหน้าตระกูลเว่ยฮ่วน แต่เขากลับร่างกายอ่อนแอตั้งแต่ยังเล็ก ทำให้ฮูหยินซ่งแต่งเข้ามานานเกือบสิบปียังไม่มีบุตร กระทั่งปีที่เก้า จึงได้ขอสูตรยาชั้นยอดมาจากหมอ รักษาร่างกายแล้วจึงเริ่มดีขึ้น จึงมีเว่ยฉางอิ๋งและเว่ยฉางเฟิงสองพี่น้องได้ ทุกวันนี้เว่ยเจิ้งหงยังคงแยกเรือนกับฮูหยินซ่ง ไม่ใช่เพราะสามีภรรยาทะเลาะอะไรกัน แต่เป็นเพราะเว่ยเจิ้งหงต้องใช้เวลารักษาตัว และไม่ให้คนรบกวน
ในฐานะสะใภ้ใหญ่แล้ว ฮูหยินซ่งที่แต่งเข้ามาเก้าปีแรกนั้นอยากได้บุตรชายบุตรสาวจนแทบคลั่ง ดังนั้นเมื่อมีบุตรชายบุตรสาวแล้ว จึงเรียกว่าแทบจะประคองไว้บนฝ่ามือ ทั้งรักทั้งทะนุถนอมอย่างดี จึงทำให้บุตรสาวคนโตของตระกูลเว่ยอย่างเว่ยฉางอิ๋งมีนิสัยแข็งกร้าว หากเรื่องไหนตัดสินใจไปแล้ว ต่อให้เอาวัวเก้าตัวมาฉุดก็ยังไม่คิดเปลี่ยนใจ ตั้งแต่ยังเล็กไม่รู้นางไปถูกใครสั่งสอนเข้าว่าวิชาต่อสู้คือทางที่ถูกต้อง นางจึงไม่แม้แต่จะมองวิชางานบ้านงานเรือนของหญิงตระกูลสูงเรียนกันทั้งหลายไป และในใจจดจ่ออยู่แต่การร่ำเรียนวิชาต่อสู้ คิดแต่จะใช้หมัดไปเบิกทางให้ตนที่ตระกูลฝั่งสามีและเรียกความคิดนั่นว่า ‘ความคิดที่ดี’
"คุณหนูใหญ่เฉลียวฉลาดอย่างนั้น สิบปีก่อนก็มองออกแล้วว่าฮูหยินไม่มีทางจะใจแข็งกับเลือดเนื้อเชื้อไขตนได้ลง" แม่นมซือหลบอยู่หลังประตูแล้วหัวเราะอยู่นานถึงหยุดได้ นางเช็ดหยดน้ำตาที่หางตาจากการหัวเราะแล้วเริ่มทุกข์ขึ้นมา "แต่ว่าปีหน้าคุณหนูใหญ่ก็จะออกเรือนแล้ว หากว่านางไม่รู้อะไรเลยนอกจากวิชาต่อสู้ แล้วต่อไปจะทำอย่างไร? ฮูหยินยังทำอะไรคุณหนูใหญ่ไม่ได้อีก..."
.............................................
[1] เปิดตาแต่ปากกล่าวว่าตาบอด หมายถึง พูดโกหกบิดเบือนความจริง พูดจามั่วซั่ว
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้นำมาจากแหล่งอื่นและได้รับการอนุญาตจากเจ้าของแล้ว
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ