ยอดสตรีฉางอิ๋ง
-
เขียนโดย Xiaobei
วันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เวลา 17.20 น.
35 ตอน
0 วิจารณ์
28.23K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 17.21 น. โดย เจ้าของนิยาย
34) เว่ยฉางเสียน (1)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความระหว่างทางไปจวนจิ้งผิงกง ซ่งไจ้สุ่ยทำหน้าเข้มตลอด ทำให้เว่ยฉางอิ๋งกระทั่งสาวใช้ที่คอยปรนนิบัติรินชาภายในรถม้าต่างก็ต้องก้มหน้าก้มตาด้วยท่าทีเรียบร้อยมาก เพียงแต่ว่าอย่างไรนางก็ถูกอบรมเป็นว่าที่ฮองเฮาในอนาคตมาจนโต จึงรู้สถานการณ์มาก แม้ว่าตลอดทางจะมีสีหน้าเข้มมาก แต่เมื่อถึงจวนจิ้นผิงกง เมื่อเปิดม่านออกแล้ว ซ่งไจ้สุ่ยก็พลันเปลี่ยนเป็นท่าทีนุ่มนวลสูงศักดิ์ในทันที มุมปากยังแฝงไปด้วยรอยยิ้ม นางมีท่าทีประหนึ่งสตรีสูงศักดิ์เหลือก็แต่บนร่างเท่านั้นที่ยังไม่ได้เขียนว่า ‘เปี่ยมคุณธรรมเมตตา นุ่มนวลเรียบร้อย สูงศักดิ์เป็นมิตร’ คำพวกนี้
พี่น้องทั้งสองถูกประคองลงจากรถ ยังไม่ทันจะจัดกระโปรงก็ได้ยินเสียงคนเป่าปากมาราวกับนกขมิ้นดังมาจากบนบันไดที่ห่างออกไปไม่ไกลว่า "เอ๋ น้องหญิงสามเจ้ายังพาแขกมาด้วยหรือ ท่านนี้ใช่คุณหนูตระกูลซ่งไหม?"
ซ่งไจ้สุ่ยมองไปทางเสียง แล้วจึงเห็นว่าบนบันไดมีคนยืนอยู่กลุ่มหนึ่ง ผู้ที่ถูกสาวใช้ล้อมอยู่ตรงกลางคือสตรีอายุน้อยที่แต่งงานแล้วคนหนึ่งในชุดกระโปรงสีอ่อนลายดอกไม้ ด้านบนสวมเสื้อหรูทรงแขนกว้างที่ปกเสื้อซ้อนปิดทับกันลายดอกบัวสีฟ้าอ่อนเอาไว้ ในจวนมีวันเกิดคนยังแต่งตัวเรียบอย่างนี้ จะต้องเป็นเจ้างานในวันนี้แน่ ซึ่งก็คือเว่ยฉางเสียนที่ยังคงอยู่ในช่วงไว้ทุกข์อยู่
เว่ยฉางอิ๋งคารวะสตรีอายุน้อยคนนั้นแล้วกล่าวอย่างมีมารยาทว่า "พี่หญิงรองสบายดีไหม นี่ก็คือท่านพี่จากตระกูลซ่งจริงๆ"
"ข้าสบายดี" เว่ยฉางเสียนยิ้มบางๆ เพียงแต่รอยยิ้มนั้นไปไม่ถึงดวงตา มันแฝงไปด้วยมารยาทและความเรียบเฉย แววตามองไปที่ร่างของซ่งไจ้สุ่ยแล้วยกแขนเสื้อขึ้นน้อยๆ มาปิดที่ปากพลางกล่าวว่า "ข้าก็ว่า ดูรูปโฉมและกิริยาท่าทาง ล้วนแต่ต่างไปจากหญิงตระกูลสูงทั่วๆ ไป บุคลิกดีสง่ามาก...หลายวันก่อนก็ได้ยินว่าตอนนี้คุณหนูซ่งอยู่ที่จวนของท่านปู่รองระยะหนึ่งแล้ว แต่ว่าข้าเป็นผู้ไม่มงคล ไม่กล้าส่งบัตรเชิญให้กับคุณหนูซ่งผู้สูงศักดิ์ง่ายๆ อย่างนี้ คิดไม่ถึงว่าคุณหนูซ่งกลับมาด้วยตนเอง ช่างทำให้ข้าทั้งประหลาดใจและรู้สึกผิดจริงๆ"
พูดแล้วก็จะคารวะขอโทษให้กับซ่งไจ้สุ่ย
ซ่งไจ้สุ่ยรีบห้ามเอาไว้แล้วกล่าวว่า "คุณหนูรองเว่ยพูดอะไรอย่างนั้นกัน พี่สาวไม่รังเกียจข้าที่มาเอง ข้าก็ดีใจมากแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นสามีท่านเสียสละชีพเพื่อชาติ เป็นวีรบุรุษที่กล้าหาญ แม้ว่าไจ้สุ่ยจะแค่ได้ยินมา แต่ว่าก็รู้สึกเคารพอย่างลึกซึ้ง! พี่สาวไว้ทุกข์ให้สามี มีจิตใจบริสุทธิ์ ยิ่งเป็นแบบอย่างให้กับสตรีแต่งงานแล้ว แล้วจะกล่าวว่า 'ไม่เป็นมงคล' ได้อย่างไร?"
นางกล่าวไปก็สังเกตคุณหนูรองเว่ยคนนี้อย่างละเอียดไปด้วย แม้ว่าซ่งไจ้สุ่ยจะได้รับอิทธิพลมาจากน้องสาวอย่างเว่ยฉางอิ๋งที่ต้องเป็นฝ่ายจู่โจมก่อนและไม่มีความรู้สึกดีๆ กับเว่ยฉางเสียน แต่ก็ยังอดที่จะเสียดายไม่ได้ เว่ยฉางเสียนดูไปแล้วมีอายุอย่างมากก็แค่ประมาณยี่สิบเท่านั้น นางมีใบหน้าขาวกลมดั่งพระจันทร์เต็มดวง คิ้วทั้งสองเรียวยาว ดวงตาประหนึ่งน้ำในฤดูใบไม้ร่วง[1] ปากแดงเรื่อจมูกงดงาม รูปร่างท้วมสมบูรณ์ แต่ไม่ได้ดูมากเกินไป กลับดูมีน้ำมีนวลมาก
เพราะไว้ทุกข์นางจึงไม่ได้ทาเล็บ ภายใต้ทางเดินท่ามกลางแสงอาทิตย์ แม้ว่าสาวใช้จะยกน้ำเย็นมา แต่ว่าปลายจมูกก็ยังมีเหงื่อซึมออกมาน้อยๆ ยิ่งทำให้ผิวดูขาวเนียนละเอียดมากขึ้น ผมสีดำสนิทม้วนเป็นทรงมวยผมแบบกระดูกสันหลัง[2]เอาไว้อย่างง่ายๆ เสียบปิ่นที่ไร้ลวดลายเอาไว้สองอันเท่านั้น ดูแล้วเป็นผู้สบายๆ ใจกว้างมาก ทั้งยังงามสง่าใจกว้าง ไม่คล้ายกับสตรีในเรือนที่เจ้าคิดเจ้าแค้นอย่างที่ซ่งไจ้สุ่ยจินตนาการเอาไว้ก่อนหน้านี้เลยสักนิด นางไม่ได้ดูผิดแบบไปจากหญิงตระกูลสูงเลย...เมื่อคิดว่านางถือกำเนิดในตระกูลสูงศักดิ์ อายุยังน้อยเพียงนี้กลับต้องไว้ทุกข์ให้สามีแล้ว และยังต้องดำเนินชีวิตไปเพียงลำพังกับชีวิตที่ยังเหลืออยู่อีกหลายสิบปี ซ่งไจ้สุ่ยยังรู้สึกชะตาชีวิตของคุณหนูรองเว่ยนั้นช่างเต็มไปด้วยอุปสรรค
ได้ยินคำของซ่งไจ้สุ่ย แววตาของเว่ยฉางเสียนก็พลันมีแววเศร้าขึ้นมา ดวงตาแดงระเรื่ออย่างอดไม่ได้แล้วกล่าวเสียงกล้ำกลืนว่า "คุณหนูซ่งพูดหนักไปแล้ว ข้าก็แค่คนที่สามีเสียไปคนหนึ่งเท่านั้น จะเป็นแบบอย่างไปได้อย่างไร" หลิวหลี่เจ้าสละชีพเพื่อชาติ แม้ว่าเว่ยฉางเสียนจะเสียใจมาก แต่ก็ยังภาคภูมิใจ ดังนั้นวันนี้แม้ว่าจะเป็นวันเกิดของนาง แต่ซ่งไจ้สุ่ยกล่าวถึงเรื่องนี้ขึ้นมานางก็ยังไม่รู้สึกว่าล่วงเกินนาง กลับกันนางยิ่งมีน้ำเสียงอ่อนลงแล้วกล่าวว่า "ตอนนี้อากาศร้อน พวกเราไปพบท่านแม่ก่อนเถอะ"
เว่ยฉางอิ๋งมองไปที่ซ่งไจ้สุ่ย ในใจก็คิดว่าข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านพี่ที่เจอคนพูดภาษาคนเจอผีพูดภาษาผีนั้นหากคิดจะหลอกล่อให้พี่หญิงรองดีใจก็เป็นแค่เรื่องง่ายๆ ประโยคเหล่านี้ยังดีว่าเพราะเว่ยฉางเสียนอยู่ทำให้ไม่ได้กล่าวออกมาอีก ไม่อย่างนั้นจะต้องทำให้นางโมโหมากอีกแน่นอน
ตลอดทางคิดว่าเว่ยฉางเสียนคงพยายามควบคุมอารมณ์ตนเอง จึงไม่กล่าวอะไรออกมาอีก กระทั่งมาถึงเบื้องหน้าภรรยาของจิ้นผิงกงถึงได้เก็บอารมณ์และกล่าวแนะนำทั้งสองฝ่าย
แน่นอนว่าท่านป้าคนนี้ไม่ได้แปลกหน้าสำหรับเว่ยฉางอิ๋ง แต่ว่าซ่งไจ้สุ่ยกลับได้พบกับนางหลิวคนน้องครั้งแรก ที่เรียกน้องว่านางหลิวคนน้องลับหลังก็เพราะว่านางคือซวี่เสียน[3] นางหลิวคนพี่ ภรรยาคนแรกของเว่ยเจิ้งหย่า ทายาทจิ้นผิงกงนั้นเสียไปเพราะป่วยตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อน หลังจากที่เว่ยเจิ้งหย่าไว้ทุกข์ให้กับภรรยาหนึ่งปี เพราะฮูหยินจิ้นผิงกงเสียไป ส่วนบุตรสาวเว่ยฉางเสียนก็ยังอายุน้อยมาก ต้องการผู้ใหญ่ที่เป็นผู้หญิงมาคอยเลี้ยงดู จึงได้สู่ขอน้องสาวนางหลิวคนพี่ต่อ
ดังนั้นแม้ว่านางหลิวคนน้องจะมีชื่อว่าเป็นมารดาของพวกเว่ยฉางเสียน แต่จริงๆ แล้วนางยังอายุไม่ถึงสามสิบเลย ดูแลตนเองอย่างดีทั้งยังมีหน้าตางดงาม ดูแล้วราวกับเป็นพี่สาวน้องสาวกับเว่ยฉางเสียนมากกว่า
ได้ยินว่าว่าที่ชายารัชทายาทมางานวันเกิดของเว่ยฉางเสียนเป็นเพื่อนน้องสาว แน่นอนว่านางหลิวคนน้องจึงเข้มงวดและเคารพมาก ทั้งยังกล่าวขอบคุณซ่งไจ้สุ่ยอย่างมีมารยาทมาก
ซ่งไจ้สุ่ยเชี่ยวชาญการรับมือกับสถานการณ์แบบนี้มาตลอด แค่พูดไม่กี่คำก็สามารถทำให้ทุกคนเกิดความรู้สึกดีกับนางได้ และรู้สึกว่าราวกับนั่งอยู่ท่ามกลางลมใบไม้ผลิ[4] แต่ละคนต่างก็ลอบคิดว่าเป็นผู้ที่ถูกคนของราชวงศ์จับจ้องมาแต่เล็ก ช่างเป็นผู้ที่มีใจกระจ่างใสตั้งแต่กำเนิดเสียจริง แต่ว่าได้พบหน้ากันครั้งแรกก็ทำให้คนทั้งห้องโถงต่างก็ไปไหนไม่ได้ กลมกลืนกับทุกคนราวกับรู้จักคบหากันมาหลายสิบปีเสียอย่างนั้น
มีซ่งไจ้สุ่ยคอยช่วยรับหน้าทุกคนให้ เว่ยฉางอิ๋งก็ไปหลบอย่างเกียจคร้าน และเอาแต่เด็ดองุ่นในจานกิน ตอนกำลังกิน พวกเว่ยฉางเฟิงที่เข้ามาทางหน้าประตูก็มาคารวะนางหลิวคนน้อง
เดิมก็เป็นลูกหลานตระกูลเว่ย ที่รายงานก็เพียงแค่ทำไปตามมารยาทเท่านั้น แค่เรียกเข้ามาก็ได้แล้ว ทว่าวันนี้ซ่งไจ้สุ่ยอยู่ด้วย แขกหญิงที่อายุน้อยทั้งยังมีหน้าตาดี และยังเป็นคนที่ถูกราชวงศ์กำหนดไว้แล้วอยู่ นางหลิวจึงอดจะลังเลไม่ได้ คิดแล้วจึงกล่าวว่า "ล้วนแต่เป็นเลือดเนื้อในตระกูล ทั้งยังอยู่ในเฟิ่งโจวอีก ไม่ได้ว่าจะไม่ได้พบกันมานานเมื่อไหร่ ทำไมต้องเกรงใจอย่างนั้นด้วย อากาศร้อน พวกเจ้ายังขี่ม้ากันมา เข้ามาพักก่อนเถอะ อย่าให้ไม่สบายไป"
แม้ว่าจะพูดไปอย่างนี้ แต่ว่าทุกคนก็ฟังออกว่าเป็นการเกรงกลัวที่ซ่งไจ้สุ่ยอยู่ด้วย จึงไม่อยากจะให้ผู้ชายคนอื่นได้มาเจอนางเข้า
เพื่อไม่ให้ซ่งไจ้สุ่ยต้องเก้อเขิน นางหลิวคนน้องกำลังคิดจะรีบเปลี่ยนหัวข้อไป คิดไม่ถึงว่าเว่ยฉางเสียนกลับกล่าวเสียงเรียบว่า "ไม่ต้องเกรงใจจริงๆ เดิมข้ายังว่าวันเกิดของข้าไม่ดี อากาศร้อนจัด ตอนถือกำเนิดมาก็ทำให้ท่านแม่แท้ๆ ต้องทุกข์ทรมาน หลังคลอดหนึ่งเดือนยิ่งลำบากมาก! แต่งงานไปไม่กี่ปีก็กลับมาอีก...ตอนนี้วันเกิดยังจะมีอะไรต้องฉลองกัน?"
.............................................
[1] น้ำในฤดูใบไม้ร่วง : เปรียบเปรยดวงตาของสตรีว่ากระจ่างบริสุทธิ์
[2] มวยผมแบบกระดูกสันหลัง : มีลักษณะมวยมัดเป็นท่อนๆ คล้ายกระดูกสันหลัง นับว่าเป็นทรงผมที่เก่าแก่ของจีนทรงหนึ่ง ไล่มาตั้งแต่สมัยซ่างโจว สมัยฉินฮั่น สมัยสุยถัง สมัยซ่ง สมัยเหวี่ยน สมัยหมิง สมัยชิง เป็นต้น เพียงแต่มีการจัดแต่งทรงผมที่มีลักษณะความสูง ต่ำ เอนซ้ายขวา ไปทางข้างหน้าหรือข้างหลัง ต่างกันแค่นั้น
[3] ซวี่เสียน : ภรรยาที่แต่งเข้ามาหลังจากที่ภรรยาของผู้ชายเสีย
[4] นั่งท่ามกลางลมฤดูใบไม้ผลิ : ได้รับการสั่งสอนและได้รับการขัดเกลา
พี่น้องทั้งสองถูกประคองลงจากรถ ยังไม่ทันจะจัดกระโปรงก็ได้ยินเสียงคนเป่าปากมาราวกับนกขมิ้นดังมาจากบนบันไดที่ห่างออกไปไม่ไกลว่า "เอ๋ น้องหญิงสามเจ้ายังพาแขกมาด้วยหรือ ท่านนี้ใช่คุณหนูตระกูลซ่งไหม?"
ซ่งไจ้สุ่ยมองไปทางเสียง แล้วจึงเห็นว่าบนบันไดมีคนยืนอยู่กลุ่มหนึ่ง ผู้ที่ถูกสาวใช้ล้อมอยู่ตรงกลางคือสตรีอายุน้อยที่แต่งงานแล้วคนหนึ่งในชุดกระโปรงสีอ่อนลายดอกไม้ ด้านบนสวมเสื้อหรูทรงแขนกว้างที่ปกเสื้อซ้อนปิดทับกันลายดอกบัวสีฟ้าอ่อนเอาไว้ ในจวนมีวันเกิดคนยังแต่งตัวเรียบอย่างนี้ จะต้องเป็นเจ้างานในวันนี้แน่ ซึ่งก็คือเว่ยฉางเสียนที่ยังคงอยู่ในช่วงไว้ทุกข์อยู่
เว่ยฉางอิ๋งคารวะสตรีอายุน้อยคนนั้นแล้วกล่าวอย่างมีมารยาทว่า "พี่หญิงรองสบายดีไหม นี่ก็คือท่านพี่จากตระกูลซ่งจริงๆ"
"ข้าสบายดี" เว่ยฉางเสียนยิ้มบางๆ เพียงแต่รอยยิ้มนั้นไปไม่ถึงดวงตา มันแฝงไปด้วยมารยาทและความเรียบเฉย แววตามองไปที่ร่างของซ่งไจ้สุ่ยแล้วยกแขนเสื้อขึ้นน้อยๆ มาปิดที่ปากพลางกล่าวว่า "ข้าก็ว่า ดูรูปโฉมและกิริยาท่าทาง ล้วนแต่ต่างไปจากหญิงตระกูลสูงทั่วๆ ไป บุคลิกดีสง่ามาก...หลายวันก่อนก็ได้ยินว่าตอนนี้คุณหนูซ่งอยู่ที่จวนของท่านปู่รองระยะหนึ่งแล้ว แต่ว่าข้าเป็นผู้ไม่มงคล ไม่กล้าส่งบัตรเชิญให้กับคุณหนูซ่งผู้สูงศักดิ์ง่ายๆ อย่างนี้ คิดไม่ถึงว่าคุณหนูซ่งกลับมาด้วยตนเอง ช่างทำให้ข้าทั้งประหลาดใจและรู้สึกผิดจริงๆ"
พูดแล้วก็จะคารวะขอโทษให้กับซ่งไจ้สุ่ย
ซ่งไจ้สุ่ยรีบห้ามเอาไว้แล้วกล่าวว่า "คุณหนูรองเว่ยพูดอะไรอย่างนั้นกัน พี่สาวไม่รังเกียจข้าที่มาเอง ข้าก็ดีใจมากแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นสามีท่านเสียสละชีพเพื่อชาติ เป็นวีรบุรุษที่กล้าหาญ แม้ว่าไจ้สุ่ยจะแค่ได้ยินมา แต่ว่าก็รู้สึกเคารพอย่างลึกซึ้ง! พี่สาวไว้ทุกข์ให้สามี มีจิตใจบริสุทธิ์ ยิ่งเป็นแบบอย่างให้กับสตรีแต่งงานแล้ว แล้วจะกล่าวว่า 'ไม่เป็นมงคล' ได้อย่างไร?"
นางกล่าวไปก็สังเกตคุณหนูรองเว่ยคนนี้อย่างละเอียดไปด้วย แม้ว่าซ่งไจ้สุ่ยจะได้รับอิทธิพลมาจากน้องสาวอย่างเว่ยฉางอิ๋งที่ต้องเป็นฝ่ายจู่โจมก่อนและไม่มีความรู้สึกดีๆ กับเว่ยฉางเสียน แต่ก็ยังอดที่จะเสียดายไม่ได้ เว่ยฉางเสียนดูไปแล้วมีอายุอย่างมากก็แค่ประมาณยี่สิบเท่านั้น นางมีใบหน้าขาวกลมดั่งพระจันทร์เต็มดวง คิ้วทั้งสองเรียวยาว ดวงตาประหนึ่งน้ำในฤดูใบไม้ร่วง[1] ปากแดงเรื่อจมูกงดงาม รูปร่างท้วมสมบูรณ์ แต่ไม่ได้ดูมากเกินไป กลับดูมีน้ำมีนวลมาก
เพราะไว้ทุกข์นางจึงไม่ได้ทาเล็บ ภายใต้ทางเดินท่ามกลางแสงอาทิตย์ แม้ว่าสาวใช้จะยกน้ำเย็นมา แต่ว่าปลายจมูกก็ยังมีเหงื่อซึมออกมาน้อยๆ ยิ่งทำให้ผิวดูขาวเนียนละเอียดมากขึ้น ผมสีดำสนิทม้วนเป็นทรงมวยผมแบบกระดูกสันหลัง[2]เอาไว้อย่างง่ายๆ เสียบปิ่นที่ไร้ลวดลายเอาไว้สองอันเท่านั้น ดูแล้วเป็นผู้สบายๆ ใจกว้างมาก ทั้งยังงามสง่าใจกว้าง ไม่คล้ายกับสตรีในเรือนที่เจ้าคิดเจ้าแค้นอย่างที่ซ่งไจ้สุ่ยจินตนาการเอาไว้ก่อนหน้านี้เลยสักนิด นางไม่ได้ดูผิดแบบไปจากหญิงตระกูลสูงเลย...เมื่อคิดว่านางถือกำเนิดในตระกูลสูงศักดิ์ อายุยังน้อยเพียงนี้กลับต้องไว้ทุกข์ให้สามีแล้ว และยังต้องดำเนินชีวิตไปเพียงลำพังกับชีวิตที่ยังเหลืออยู่อีกหลายสิบปี ซ่งไจ้สุ่ยยังรู้สึกชะตาชีวิตของคุณหนูรองเว่ยนั้นช่างเต็มไปด้วยอุปสรรค
ได้ยินคำของซ่งไจ้สุ่ย แววตาของเว่ยฉางเสียนก็พลันมีแววเศร้าขึ้นมา ดวงตาแดงระเรื่ออย่างอดไม่ได้แล้วกล่าวเสียงกล้ำกลืนว่า "คุณหนูซ่งพูดหนักไปแล้ว ข้าก็แค่คนที่สามีเสียไปคนหนึ่งเท่านั้น จะเป็นแบบอย่างไปได้อย่างไร" หลิวหลี่เจ้าสละชีพเพื่อชาติ แม้ว่าเว่ยฉางเสียนจะเสียใจมาก แต่ก็ยังภาคภูมิใจ ดังนั้นวันนี้แม้ว่าจะเป็นวันเกิดของนาง แต่ซ่งไจ้สุ่ยกล่าวถึงเรื่องนี้ขึ้นมานางก็ยังไม่รู้สึกว่าล่วงเกินนาง กลับกันนางยิ่งมีน้ำเสียงอ่อนลงแล้วกล่าวว่า "ตอนนี้อากาศร้อน พวกเราไปพบท่านแม่ก่อนเถอะ"
เว่ยฉางอิ๋งมองไปที่ซ่งไจ้สุ่ย ในใจก็คิดว่าข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านพี่ที่เจอคนพูดภาษาคนเจอผีพูดภาษาผีนั้นหากคิดจะหลอกล่อให้พี่หญิงรองดีใจก็เป็นแค่เรื่องง่ายๆ ประโยคเหล่านี้ยังดีว่าเพราะเว่ยฉางเสียนอยู่ทำให้ไม่ได้กล่าวออกมาอีก ไม่อย่างนั้นจะต้องทำให้นางโมโหมากอีกแน่นอน
ตลอดทางคิดว่าเว่ยฉางเสียนคงพยายามควบคุมอารมณ์ตนเอง จึงไม่กล่าวอะไรออกมาอีก กระทั่งมาถึงเบื้องหน้าภรรยาของจิ้นผิงกงถึงได้เก็บอารมณ์และกล่าวแนะนำทั้งสองฝ่าย
แน่นอนว่าท่านป้าคนนี้ไม่ได้แปลกหน้าสำหรับเว่ยฉางอิ๋ง แต่ว่าซ่งไจ้สุ่ยกลับได้พบกับนางหลิวคนน้องครั้งแรก ที่เรียกน้องว่านางหลิวคนน้องลับหลังก็เพราะว่านางคือซวี่เสียน[3] นางหลิวคนพี่ ภรรยาคนแรกของเว่ยเจิ้งหย่า ทายาทจิ้นผิงกงนั้นเสียไปเพราะป่วยตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อน หลังจากที่เว่ยเจิ้งหย่าไว้ทุกข์ให้กับภรรยาหนึ่งปี เพราะฮูหยินจิ้นผิงกงเสียไป ส่วนบุตรสาวเว่ยฉางเสียนก็ยังอายุน้อยมาก ต้องการผู้ใหญ่ที่เป็นผู้หญิงมาคอยเลี้ยงดู จึงได้สู่ขอน้องสาวนางหลิวคนพี่ต่อ
ดังนั้นแม้ว่านางหลิวคนน้องจะมีชื่อว่าเป็นมารดาของพวกเว่ยฉางเสียน แต่จริงๆ แล้วนางยังอายุไม่ถึงสามสิบเลย ดูแลตนเองอย่างดีทั้งยังมีหน้าตางดงาม ดูแล้วราวกับเป็นพี่สาวน้องสาวกับเว่ยฉางเสียนมากกว่า
ได้ยินว่าว่าที่ชายารัชทายาทมางานวันเกิดของเว่ยฉางเสียนเป็นเพื่อนน้องสาว แน่นอนว่านางหลิวคนน้องจึงเข้มงวดและเคารพมาก ทั้งยังกล่าวขอบคุณซ่งไจ้สุ่ยอย่างมีมารยาทมาก
ซ่งไจ้สุ่ยเชี่ยวชาญการรับมือกับสถานการณ์แบบนี้มาตลอด แค่พูดไม่กี่คำก็สามารถทำให้ทุกคนเกิดความรู้สึกดีกับนางได้ และรู้สึกว่าราวกับนั่งอยู่ท่ามกลางลมใบไม้ผลิ[4] แต่ละคนต่างก็ลอบคิดว่าเป็นผู้ที่ถูกคนของราชวงศ์จับจ้องมาแต่เล็ก ช่างเป็นผู้ที่มีใจกระจ่างใสตั้งแต่กำเนิดเสียจริง แต่ว่าได้พบหน้ากันครั้งแรกก็ทำให้คนทั้งห้องโถงต่างก็ไปไหนไม่ได้ กลมกลืนกับทุกคนราวกับรู้จักคบหากันมาหลายสิบปีเสียอย่างนั้น
มีซ่งไจ้สุ่ยคอยช่วยรับหน้าทุกคนให้ เว่ยฉางอิ๋งก็ไปหลบอย่างเกียจคร้าน และเอาแต่เด็ดองุ่นในจานกิน ตอนกำลังกิน พวกเว่ยฉางเฟิงที่เข้ามาทางหน้าประตูก็มาคารวะนางหลิวคนน้อง
เดิมก็เป็นลูกหลานตระกูลเว่ย ที่รายงานก็เพียงแค่ทำไปตามมารยาทเท่านั้น แค่เรียกเข้ามาก็ได้แล้ว ทว่าวันนี้ซ่งไจ้สุ่ยอยู่ด้วย แขกหญิงที่อายุน้อยทั้งยังมีหน้าตาดี และยังเป็นคนที่ถูกราชวงศ์กำหนดไว้แล้วอยู่ นางหลิวจึงอดจะลังเลไม่ได้ คิดแล้วจึงกล่าวว่า "ล้วนแต่เป็นเลือดเนื้อในตระกูล ทั้งยังอยู่ในเฟิ่งโจวอีก ไม่ได้ว่าจะไม่ได้พบกันมานานเมื่อไหร่ ทำไมต้องเกรงใจอย่างนั้นด้วย อากาศร้อน พวกเจ้ายังขี่ม้ากันมา เข้ามาพักก่อนเถอะ อย่าให้ไม่สบายไป"
แม้ว่าจะพูดไปอย่างนี้ แต่ว่าทุกคนก็ฟังออกว่าเป็นการเกรงกลัวที่ซ่งไจ้สุ่ยอยู่ด้วย จึงไม่อยากจะให้ผู้ชายคนอื่นได้มาเจอนางเข้า
เพื่อไม่ให้ซ่งไจ้สุ่ยต้องเก้อเขิน นางหลิวคนน้องกำลังคิดจะรีบเปลี่ยนหัวข้อไป คิดไม่ถึงว่าเว่ยฉางเสียนกลับกล่าวเสียงเรียบว่า "ไม่ต้องเกรงใจจริงๆ เดิมข้ายังว่าวันเกิดของข้าไม่ดี อากาศร้อนจัด ตอนถือกำเนิดมาก็ทำให้ท่านแม่แท้ๆ ต้องทุกข์ทรมาน หลังคลอดหนึ่งเดือนยิ่งลำบากมาก! แต่งงานไปไม่กี่ปีก็กลับมาอีก...ตอนนี้วันเกิดยังจะมีอะไรต้องฉลองกัน?"
.............................................
[1] น้ำในฤดูใบไม้ร่วง : เปรียบเปรยดวงตาของสตรีว่ากระจ่างบริสุทธิ์
[2] มวยผมแบบกระดูกสันหลัง : มีลักษณะมวยมัดเป็นท่อนๆ คล้ายกระดูกสันหลัง นับว่าเป็นทรงผมที่เก่าแก่ของจีนทรงหนึ่ง ไล่มาตั้งแต่สมัยซ่างโจว สมัยฉินฮั่น สมัยสุยถัง สมัยซ่ง สมัยเหวี่ยน สมัยหมิง สมัยชิง เป็นต้น เพียงแต่มีการจัดแต่งทรงผมที่มีลักษณะความสูง ต่ำ เอนซ้ายขวา ไปทางข้างหน้าหรือข้างหลัง ต่างกันแค่นั้น
[3] ซวี่เสียน : ภรรยาที่แต่งเข้ามาหลังจากที่ภรรยาของผู้ชายเสีย
[4] นั่งท่ามกลางลมฤดูใบไม้ผลิ : ได้รับการสั่งสอนและได้รับการขัดเกลา
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้นำมาจากแหล่งอื่นและได้รับการอนุญาตจากเจ้าของแล้ว
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ