ยอดสตรีฉางอิ๋ง
เขียนโดย Xiaobei
วันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เวลา 17.20 น.
แก้ไขเมื่อ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 17.21 น. โดย เจ้าของนิยาย
29) ความคิดสับสน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความฮูหยินผู้เฒ่าซ่งตัดสินใจว่าจะจัดการดูบ้านสอง เพื่อไม่ให้คิดมาทำร้ายเลือดเนื้อเชื้อไขที่รักของตนเองอีก โดยใช้แผนการสายฟ้าแลบบังคับบ้านสอง นางต้องการที่จะจัดการบ้านสองหนักๆ แน่นอนว่าไม่สามารถให้เว่ยฮ่วนรู้เรื่องได้
ดังนั้นเมื่อหันไปเห็นเว่ยฮ่วนที่ใส่ยาเรียบร้อยแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งจึงเปลี่ยนวิธีการพูดใหม่ "นางลู่เสียไปนานแล้ว เซิ่งอี้ข้าเองก็เลี้ยงดูมาจนโต หากว่าเขาดีข้าจะยอมปล่อยเขาไม่ได้หรือ เซิ่งเหนียนกับเซิ่งเหอ ข้าเคยพูดไม่ดีกับพวกเขาเมื่อไหร่กัน?" ยกฐานะของแม่ใหญ่ออกมาเพื่อให้เว่ยเซิ่งอี้ต้องรับชื่อลูกอกตัญญูก่อน นางกล่าวต่อไปด้วยท่าทีสลด เศร้าสร้อยว่า "ท่านมองแค่ตอนนั้นที่เขาพูดว่าจะยกฉางซุ่ยให้กับเจิ้งหง ท่านว่าเขาคิดอะไรอยู่?"
เว่ยฮ่วนถอนหายใจ "นั่นเพราะเจิ้งหงไม่มีบุตร เขาก็แค่หวังดี"
"หวังดีหรือ?" ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งรีบโยนท่าทีเศร้าสร้อยทิ้งไปแล้วยิ้มเย็นออกมาพลางกล่าวอย่างไม่แยแสว่า "ถ้าอย่างนั้นข้าถามท่าน เรื่องการยกบุตรให้ พวกเราทั้งสองคนยังอยู่ แล้วเขามีฐานะมาพูดอะไรเรื่องพวกนี้กัน เขาเป็นหัวหน้าตระกูลหรือว่าท่านที่เป็นหัวหน้าตระกูล เรื่องใหญ่ขนาดต้องเปิดประชุมใหญ่อย่างนี้ พวกเราไม่ได้ออกปาก เขากลับวางแผนเอาไว้ก่อนแล้ว นี่คือคนที่รู้ตัวเองดีหรือ ข้ากล่าวหาเขาหรือ?! ตระกูลเว่ยของพวกเราแต่ละรุ่นแต่ละยุคต่างก็เป็นขุนนางพิธีการ ท่านอย่าได้บอกข้าว่าเขาไม่รู้เรื่องพิธีการมารยาท! เขาจงใจชัดๆ!"
"...ล้วนแต่เป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว" เว่ยฮ่วนรู้สึกปวดหัว "จากที่เจ้าพูดว่าเขาไม่ดี มีใจคิดวางแผนพี่น้อง แต่ว่าก็ยังไม่ถึงขั้นจะเป็นจะตายต่อกัน อีกอย่างตอนนี้รุ่ยอวี่ถังก็มีเพียงเขาเท่านั้นที่คอยควบคุมอยู่ที่นั่น หากว่าสายของพวกเราตัดขาดจากขุนนางราชสำนัก หากฉางเฟิงคิดอยากจะไปตำแหน่งบรรดาศักดิ์หรือควบคุมรุ่ยอวี่ถังก็ยังไม่เป็นไร แต่ว่าเสาหลักประเทศคงหวังไม่ได้ เจ้าว่าเซิ่งเหนียนกับเซิ่งเหอ ใครบ้างจะแทนที่เขาได้ ทางฝั่งจิ้งผิงกงยังไม่ยอมรับเป็นขุนนางอีก! ข้าว่าตักเตือนเสียหน่อยก็คงพอแล้ว หลายปีมานี้พวกเรากลับมาที่เฟิ่งโจว พวกเขาอยู่ที่เมืองหลวง ยากจะไม่มีคนมายั่วยุ ยังดีว่าเรื่องตอนนี้ยังไม่ถึงกับเรียกกลับคืนมาไม่ได้ เจ้ากลับทำเป็นเรื่องใหญ่อย่างนี้..."
เขาลูบไปที่แผลบนศีรษะแล้วฝืนยิ้มพลางกล่าวว่า "เจ้ารักฉางอิ๋ง แต่อย่างไรก็ต้องคิดถึงฉางเฟิงบ้าง หากว่าไม่มีท่านอาคนนี้แล้ว วันหลังเขาไปเป็นขุนนางจะไปอาศัยพึ่งใครได้ ข้าว่าครั้งนี้ไม่แน่ว่าเป็นฝั่งจิ่งเฉิงโหวที่เป็นฝ่ายยั่วยุมา เซิ่งอี้กลัวเจ้ามาตลอด เกรงว่าทางฝั่งพวกเขาคงมีคนไม่ระวังจึงถูกหลอกถามความไปได้ ผลคือฝั่งจิ้งเฉิงโหวได้ไปเปล่าๆ...หากว่าเซิ่งเหนียนเป็นขุนนางต่อไม่ได้ หรือไม่สามารถเป็นขุนนางได้อย่างสงบ ผู้ที่เสียเปรียบก็ต้องเป็นพวกเรารุ่ยอวี่ถัง ส่วนจือเปิ่นถังกลับสามารถอาศัยโอกาสนี้ว่าเป็นตระกูลเดียวกันเข้าไปแทนที่ฐานะของพวกเราได้"
พูดไปสีหน้าของเว่ยฮ่วนก็เข้มงวดขึ้นมาแล้วกล่าวว่า "ด้านนอกต่างก็กล่าวกันว่าเว่ยฉีสามารถรับตำแหน่งเสนาบดีฝ่ายปกครองได้เพราะข้าแนะนำ แต่ว่าเจ้าก็รู้ แม้ว่าจือเปิ่นถังจะเป็นสายหนึ่งของเฟิ่งโจว แต่ว่าอย่างไรสายเลือดก็ห่างไกล สาขาห่างไกลของฝั่งรุ่ยอวี่ถังของพวกเราก็ใช่ว่าจะไม่มีขุนนางราชสำนักที่สามารถอบรมขึ้นมาได้ แล้วข้าจะเสนอแนะชื่อของเขาไปยังฮ่องเต้ได้อย่างไร ตอนนั้นเขาอยู่ในใจของฮ่องเต้อยู่แล้ว แค่ข้าอ่านจิตใจของฮ่องเต้ออกจึงได้แต่ต้องทำอย่างนั้น...ไม่อย่างนั้นเขาจะสามารถรับตำแหน่งเสนาบดีฝ่ายปกครองแล้วยังทำตำแหน่งเยี่ยนโจวสิงไถได้หรือ แต่แม้ว่าฮ่องเต้จะเชื่อใจเขา แต่ก็ยังเชื่อใจข้า ดังนั้นตำแหน่งเสาหลักประเทศจึงยังอยู่ที่ข้า! เว่ยฉีก็อยากจะได้มันมาอีก!"
ทุกคนในแผ่นดินต่างคิดว่ามาจากตระกูลเดียวกัน ดังนั้นรุ่ยอวี่ถังและจือเปิ่นถังก็น่าจะไปมาหาสู่กันอย่างสนิทสนมรักใคร่ แต่กลับไม่คิดว่าเว่ยฮ่วนกับเว่ยฉีลอบสู้กันมาไม่ใช่แค่วันสองวันแล้ว แต่เพราะว่าต้าเว่ยมีเสาหลักเพียงหกมาตลอด หนึ่งแซ่หนึ่งคน อย่างแซ่เสิ่นของซีเหลียงมีเพียงหนึ่งคนที่รับตำแหน่งนี้ไป ไม่มีสาขาที่มีอำนาจอีกจึงไม่เป็นอะไร แต่ว่าตระกูลเว่ยกลับมีสาขาแบ่งอย่างจือเปิ่นถังที่อำนาจไม่ได้ด้อยไปกว่าสาขาหลัก แม้ว่าตำแหน่งเสาหลักประเทศจะยังคงสืบทอดในสาขาของรุ่ยอวี่ถังมาหลายต่อหลายรุ่นแล้ว ทางฝั่งจิ้งผิงกงเพราะจิ้งผงกงในปัจจุบันความสามารถธรรมดา จือเปิ่นถังจึงคิดอยากจะได้ขึ้นมา
หากว่าไม่ใช่ผู้เฒ่าจิ้งผิงกงตัดได้ทันเวลา และนำรุ่ยอวี่ถังมาให้กับบุตรอนุภรรยาอย่างเว่ยฮ่วนที่มีความสามารถ รุ่ยอวี่ถังก็คงไม่มีทางที่จะอยู่ในราชสำนักและเฟิ่งโจวได้อย่างมั่นคงเหมือนในตอนนี้
เพราะว่าครั้งนี้เว่ยฉางอิ๋งถูกแม่สามีในอนาคตตักเตือน ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งจึงรีบร้อนจะออกหน้าแทนหลานสาว แต่ว่าเว่ยฮ่วนกลับคิดถึงแผนการของจิ้งผิงกงมากกว่า
ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งทำหน้าเข้มแล้วกล่าวว่า "ใช่แล้ว หากว่าไม่ใช่บ้านสองที่ปล่อยข่าวออกมา จือเปิ่นถังจะมีโอกาสอย่างนี้ได้อย่างไร อย่างไรพวกเขาก็ไม่ดี!"
"ใช่ๆ พวกเขาไม่ดี" เว่ยฮ่วนถอนหายใจแล้วกล่าว "แต่ว่าไม่ต้องเรียกฉางอวิ๋นกับฉางซุ่ยกลับมาหรอกไหม เจ้าทำอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าไปเข้าตามที่จือเปิ่นถังต้องการหรือ กลัวแต่ว่าพวกเรารุ่ยอวี่ถังหากไม่เข้าใจผิดกันจะไม่แตกกัน?"
"ดังนั้นจดหมายนี้ ข้าคิดแล้ว ให้ท่านเขียนจะดีกว่า" ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งกล่าวอย่างไม่รีบร้อนว่า "บอกว่าอยากจะให้พวกเขาได้ฟังบรรยายจากเว่ยซือกู่ อย่างไรเป็นตระกูลสำนักที่มีชื่อเสียง ท่านค่อยคิดหาทางให้พวกเขาได้ชื่อเสียงดีงาม ทำอย่างนี้จะยิ่งเลื่อนขั้นได้เร็วขึ้น ใช้ฐานะอย่างนี้เรียกกลับมา ข้าต้องถามให้ชัดเจน! จะได้เตือนเขาได้ว่าอะไรควรพูด อะไรไม่ควรพูด!"
เว่ยฉางอวิ๋นกับเว่ยฉางซุ่นอายุยี่สิบปีไปแล้ว ต่างก็แต่งงานแล้ว ได้รับความสัมพันธ์จากบิดาทำให้เป็นขุนนางตั้งแต่อายุได้สิบหกสิบเจ็ดปี แม้ว่าจะไม่ได้เฉลียวฉลาดอย่างท่านปู่และท่านพ่อ แต่อาศัยตระกูลชาติกำเนิดตอนนี้เองก็มีตำแหน่งอยู่บ้าง ดังนั้นเว่ยฮ่วนจึงไม่อยากจะต้องเรียกพวกเขากลับมาเพียงเพราะเรื่องงานแต่งงานของหลานสาว ไม่เพียงแต่จะทำให้เว่ยเซิ่งอี้ยิ่งแตกแยกมากยิ่งขึ้นเท่านั้น ยังเป็นการทำให้หลานชายทั้งสองก้าวหน้าช้าไปด้วย
แต่จากที่ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งกล่าวมา...
เว่ยซือกู่มีชื่อเสียงโด่งดังมาก หากว่าได้ฟังบรรยายจากเขา อย่างไรก็ได้ความรู้ และหลานชายทั้งสองกลับมา จากฐานะของตระกูลเว่ยในเฟิ่งโจว ไม่ยากที่จะคิดหาชื่อเสียงดีงามอย่างกตัญญูรู้คุณให้กับพวกเขาได้...หากว่าฮูหยินผู้เฒ่าซ่งจะใช้คุณธรรมตอบแทนความแค้นจริงๆ ให้หลานชายทั้งสองได้สะสมเรื่องเล็กๆ อย่างชื่อเสียงนี้ ที่สำคัญคือเป็นการช่วยให้ภรรยาลดความแค้นที่มีต่อบุตรอนุภรรยาลงได้ ต่อให้ไม่สามารถลดไม่ได้หมด แต่อย่างไรก็ยังดีขึ้นบ้าง
ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งยังไม่ยอมถอย หากไม่เรียกหลานชายบ้านสองกลับมาเกรงว่าอย่างไรฮูหยินผู้เฒ่าซ่งก็ต้องคิดว่าเป็นแผนการให้ร้ายบ้านใหญ่ของบ้านสองแน่ แต่เว่ยฮ่วนกลับรู้สึกว่าคราวนี้อย่างไรแปดเก้าในสิบส่วนก็ต้องเป็นแผนการของจือเปิ่นถัง ต่อให้บ้านสองคิดอย่างนั้น แต่ว่าแผนการครั้งนี้ก็ยังง่ายเกินไป ยิ่งไปกว่านั้นพูดไปแล้วการทำอย่างนี้ก็ไม่ได้เป็นการทำให้บ้านใหญ่หรือฮูหยินผู้เฒ่าซ่งเจ็บอะไรมาก กลับเป็นการล่วงเกินแม่ใหญ่และสะใภ้ใหญ่มากขึ้นมากกว่า
บุตรชายของเว่ยฮ่วนเขารู้ดี เว่ยเซิ่งอี้ไม่มีทางเป็นคนที่โง่งมอย่างนี้แน่
คิดไปคิดมา เว่ยฉางอวิ๋นกับเว่ยฉางซุ่ยไม่กลับมาคงไม่มีทางที่จะอธิบายกับฮูหยินผู้เฒ่าซ่งให้เข้าใจได้ชัดเจน แต่ว่าหากหลานชายทั้งสองคนกลับมาพร้อมกันก็จะเป็นการเคลื่อนไหวที่เด่นชัดเกินไป...สู้เรียกกลับมาก่อนคนหนึ่งเพื่ออธิบายให้เข้าใจดีกว่า ถึงตอนนั้นตนเองคอยตักเตือนอยู่ข้างๆ เรื่องนี้ก็ต้องผ่านไป รวมใจมารับมือกับจือเปิ่นถังถึงจะเป็นเรื่องสำคัญกว่า
แน่นอนว่าเว่ยฮ่วนเองก็รู้ดีว่าตอนนี้ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งพูดจาน่าฟัง แต่เมื่อหลานชายกลับมาแล้วก็ไม่แน่ แต่ว่าหากตนเองอยู่ที่เฟิ่งโจวตลอดล่ะก็...การที่หลานชายจากอนุภรรยากลับมาจะต้องได้รับความไม่เป็นธรรมบ้างก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้เสียเปรียบมากนักแน่
ในฐานะผู้น้อยถูกผู้ใหญ่ใส่อารมณ์บ้างก็เป็นเรื่องธรรมดา หากว่าฮูหยินผู้เฒ่าซ่งรู้ว่าบ้านสองถูกใส่ความ ก็คงไม่ได้ทำอะไรจริงๆ หรอก
เมื่อคิดได้อย่างนี้ ทั้งยังถูกฮูหยินผู้เฒ่าซ่งเร่งแล้วเร่งอีก ในที่สุดเว่ยฮ่วนจึงพยักหน้า
เพราะต้องอยู่รักษาความสัมพันธ์ของภรรยาและหลานจากอนุภรรยาที่กลับมาเฟิ่งโจว จึงไม่สามารถไปที่เมืองเหลียวเฉิงได้ เว่ยฮ่วนเขียนจดหมายเรียกเว่ยฉางซุ่ยกลับมาบ้านที่เฟิ่งโจวตามที่ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งต้องการเสร็จ จากนั้นก็สั่งให้คนไปเรียกบุตรคนที่สาม เว่ยเซิ่งเหนียนมา "เจ้าบอกซ่งหานว่า เรื่องของโจวเป่ยให้เขาจัดการให้ดี นอกจากทหารแล้ว นักรบทั้งหมดจากก็สามารถเรียกไปได้ทั้งหมด ส่วนทหารรักษาเมือง ให้ทหารอารักขาของพวกเราตระกูลเว่ยรับหน้าที่ก่อน เขาไม่ต้องกังวล! หากว่าต้องการเงินและอาหาร ข้าก็จะรวบรวมให้เขา ขอแค่จะยอมให้เผ่าหรงมาเหิมเกริมในแผ่นดินต้าเว่ยของพวกเราไม่ได้! หากว่าคราวนี้เผ่าหรงสร้างจิงกวนได้อีก อย่าหาว่าข้าไร้น้ำใจ!"
เว่ยเซิ่งเหนียนทำความเคารพรับทราบ ราวกับจะกล่าวอะไรแล้วหยุดไป
เว่ยฮ่วนรับรู้ได้ จึงขมวดคิ้วแล้วถาม "เจ้ามีเรื่องอะไร?"
"ตอบท่านพ่อ ตงหูยังไม่แตก แต่เฟิ่งโจวกลับมีร่องรอยของเผ่าหรงแล้ว ทั้งยังทำให้เมืองเหลียวเฉิงต้องส่งข่าวด่วนมา แสดงว่าไม่ได้มีเผ่าหรงเข้ามาแค่จำนวนน้อยๆ" เว่ยเซิ่งเหนียนกล่าว "ลูกคิดว่า ทางฝั่งตระกูลหลิวอาจจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น หากว่าเป็นอย่างนั้น ยิ่งต้องเรียกนักรบมาให้มากขึ้น ทั้งยังต้องร้องขอความช่วยเหลือจากราชสำนัก อย่างไรเผ่าหรงก็ได้ผ่านแม่น้ำนู่มาแล้ว ไม่ใช่เรื่องเล็กแน่นอน!"
เดิมเขาก็เป็นคนที่นุ่มนวลและตัดสินใจไม่เด็ดขาด จิตใจก็ขลาดเขลา ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าเมืองเหลียวเฉิงถูกเผ่าหรงบุกโจมตี จึงทำให้ตกใจจนวิญญาณแทบหลุดจากร่าง และเสียมารยาทออกมา ตอนนั้นซ่งหานเองก็ยังอยู่ ทำให้ถูกเว่ยฮ่วนสั่งสอนไปอย่างหนัก แต่แม้อย่างนั้น กลับยิ่งคิดยิ่งกังวล ตอนนี้อดไม่ได้และกล่าวเตือนให้เพิ่มทหารป้องกันให้แข็งแกร่งขึ้นอีก
"แน่นอนว่าตระกูลหลิวเกิดเรื่องแล้ว" เว่ยฮ่วนได้ยินแล้วพ่นลมหายใจหนักออกมา ลมหายใจของเว่ยเซิ่งเหนียนเบาลงไปหลายส่วน และได้ยินเสียงของเว่ยฮ่วนกล่าวเสียงเย็นว่า "แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะคิดบัญชี อย่าเพิ่งไปสนใจ...แต่ว่าคราวนี้แม้ว่าเผ่าหรงแทรกซึมเข้ามาไม่น้อย แต่ว่าก็คงไม่ได้มาก ไม่อย่างนั้นพวกเขากับเผ่าหรงทางเหนือโจมตีทั้งเหนือใต้ ไม่ใช่ว่าตระกูลหลิวคงได้จบแน่หรือ เพียงแต่เผ่าหรงเชี่ยวชาญการต่อสู้ แล้วประชาชนในแคว้นจะต้านได้อย่างไร ถึงได้เร่งให้ซ่งหานนำทหารไป! ส่วนเรื่องราชสำนักนั้นข้ารู้ดีว่าจะทำอย่างไร!"
แม้ว่าเว่ยเซิ่งเหนียนจะไม่ฉลาดเท่าไหร่นัก แต่ว่าอยู่ข้างกายท่านพ่อมาหลายปี คำพูดอย่างนี้ก็ยังฟังเข้าใจ จึงอดที่จะตกใจไปน้อยๆ ไม่ได้ "ท่านพ่อหมายความว่าตระกูลหลิว...เพราะอะไร?"
"เรื่องนี้เดี๋ยวค่อยพูดกัน" เว่ยฮ่วนขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า "ทหารสำคัญคือความเร็ว เจ้ารีบไปพูดกับซ่งหาน ให้เขารีบนำทหารไปทางเหนือ! จะผิดพลาดไม่ได้! ใช่แล้ว เรื่องของตระกูลหลิว ไม่ต้องให้เขารู้!"
"รับทราบ!" แม้ว่าเว่ยเซิ่งเหนียนจะประหลาดใจว่าทำไมอยู่ดีๆ สกุลหลิวของตงหูถึงได้มางัดกับตระกูลเว่ยได้ แต่ว่ากลับไม่กล้าขัดคำสั่งของท่านพ่อ จึงรีบเก็บความคิดไปพลางคารวะแล้วถอยออกไปนอกประตู พลางก้าวไปหาซ่งหาน
...ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งภายในห้องได้ยินบ่าวไพร่รายงานสิ่งที่เว่ยฮ่วนกับเวิ่ยเซิ่งเหนียนพูดคุยกัน ก็ขมวดคิ้วน้อยๆ เฉินหรูผิงให้หญิงรับใช้ถอยออกไป ส่วนตนเองก็หยิบเอาค้อนสาวงามบนเตียงขึ้นมาแล้วทุบขาให้ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งพลางกล่าวเสียงนุ่มว่า "ฮูหยินผู้เฒ่า บ่าวกลับรู้สึกว่าคราวนี้บ้านสองคงถูกกล่าวหาจริงๆ แล้ว"
ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งกล่าวเสียงเข้มว่า "เหมือนว่าจะเป็นอย่างนั้น...แต่ว่าอย่างไรบ้านสองก็ต้องมีใจคิดนอกทาง หากว่าไม่ตักเตือนเป็นระยะๆ ใครจะรู้ว่าจะทำเรื่องอะไรบ้าง?" เพราะว่าตอนนั้นที่เว่ยเซิ่งอี้คิดจะให้เจิ้งหงรับเอาฉางซุ่ยมาเลี้ยง ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งมองเห็นบ้านสองเป็นหนามทิ่มแทงตาอยู่ตลอด
เมื่อมีหลานชายแท้ๆ อย่างฉางเฟิงแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งก็ยิ่งระแวงบ้านสองและไม่ชอบขึ้นอีกมาก เกรงว่าหลานชายเพียงคนเดียวของตนจะถูกทำร้าย ถึงตอนนั้นยศตำแหน่งของเว่ยฮ่วน ตระกูลเว่ย และทั้งหมดทุกอย่างจะกลายเป็นของเว่ยเซิ่งอี้ไป ความเป็นไปได้นี้ แค่คิดฮูหยินผู้เฒ่าซ่งก็แค้นจนแทบอยากจะกระอักเลือดแล้ว
ตอนนี้แม้จะรู้ว่าบ้านสองอาจจะอยากไปพูดจาใส่ร้ายต่อหน้าฮูหยินซู แต่ว่าฮูหยินผู้เฒ่าซ่งก็ไม่รู้สึกว่าตนเองวางแผนบ้านสองทำให้บ้านสองได้รับความไม่ยุติธรรม แล้วกล่าวออกมาอย่างสบายๆ ว่า "จดหมายส่งออกไปแล้ว เมื่อเรียกกลับมาถามแล้วค่อยว่ากัน แต่ว่าคราวนี้เรื่องของโจวเป่ย ถือว่าน่าสนใจมาก!"
"ตระกูลหลิวของตงหูจงใจปล่อยให้คนเผ่าหรงกลุ่มนี้เข้ามา ก่อนหน้านี้ยังมีคลื่นเรื่องงานแต่งงานของคุณหนูใหญ่อีก เห็นชัดๆ ว่าอยากจะให้หัวหน้าตระกูลที่รู้ชัดว่าโจวเป่ยเกิดเรื่องได้แต่ต้องอยู่ที่เฟิ่งโจว" เฉินหรูผิงหยุดทุบขาแล้วกล่าวอย่างสงสัย "แต่ไม่รู้ว่าที่โจวเป่ยเกิดอะไรขึ้นกันแน่?"
"ต่อให้เว่ยฉางอวิ๋นกับเว่ยฉางซุ่ยกลับมาด้วยกัน แต่โจวเป่ยเกิดเรื่องจริงๆ ก็ไม่แน่ว่าจะสามารถให้จงอี้อยู่ที่เฟิ่งโจวได้ อย่างไรหากว่าจงอี้ไม่วางใจข้า จะไม่สามารถเอาทั้งสองคนมาได้หรือ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่หวังว่าทำอย่างนี้จะทำให้จงอี้อยู่ที่เฟิ่งโจวต่อไปได้" ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งส่ายหัวแล้วกล่าวว่า "ตระกูลหลิวอยู่ห่างไปเป็นพันลี้ แม้ว่าสามารถทำเรื่องเหล่านี้ลับหลังได้ แต่ทว่ากลับไม่พอที่จะทำให้สถานการณ์ใหญ่เปลี่ยนไปได้ แค่จัดโอกาสบางอย่างเท่านั้น ตอนนี้คนที่ต้องสนใจ คือคนที่อยู่ใกล้ตัว"
เฉินหรูผิงกล่าว "บ่าวเข้าใจแล้ว"
.........................................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้นำมาจากแหล่งอื่นและได้รับการอนุญาตจากเจ้าของแล้ว
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ