ยอดสตรีฉางอิ๋ง
-
เขียนโดย Xiaobei
วันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เวลา 17.20 น.
35 ตอน
0 วิจารณ์
28.27K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 17.21 น. โดย เจ้าของนิยาย
19) การกลับมาของเว่ยฮ่วน (2)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความแม้ว่าจ่างสื่อของเฟิ่งโจว ซ่งหานจะเป็นลูกหลานของแซ่ซ่งแห่งเจียงหนาน แต่ว่าเขาถือกำเนิดในสายรอง และยังเป็นเพียงแค่จ่างสื่ออีก พูดถึงศักดิ์ฐานะแล้ว เว่ยเซิ่งเหนียนออกไปรับหน้าต้อนรับเขาถือว่าเพียงพอแล้ว จากระดับของคนคนนี้แล้วการที่เขาได้เจอหน้าเว่ยฮ่วนนับว่าโชคดี
เว่ยฉางอิ๋งคิดในใจแล้วพลันคิดไปถึงว่า "หรือว่าการปราบโจรจะมีอะไรเกิดขึ้น ท่านปู่ถึงต้องไปพูดคุยกับซ่งจ่างสื่อที่เรือนหน้าด้วยตนเอง?" อย่างไรความสามารถของเว่ยเซิ่งเหนียนไม่พอก็ไม่ใช่ความลับอะไร
หากว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น เว่ยฮ่วนไม่อยากจะไปจัดการด้วยตนเองก็คงไม่ได้
นางคิดอย่างนี้ คนที่เหลือเองก็รู้สึกกังวล ยังดีที่รู้ว่าเว่ยฮ่วนกับเว่ยเซิ่งเหนียนกลับมาแล้วอย่างปลอดภัย ทุกคนในห้องโถงจึงเพียงมีสีหน้าเคร่งเครียด แต่ยังไม่ถึงกับคิดเรื่องอะไรไม่ดี
รออยู่อย่างนี้ถึงครึ่งชั่วยามเต็มๆ ด้านนอกจึงมีคนมารายงาน "ผู้นำตระกูลกับซ่งจ่างสื่อคุยธุระกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้นายท่านสามกำลังนำทางมาที่ห้องโถง"
ทุกคนได้ยินเข้าต่างก็พลันตื่นเต้นขึ้นมา
ไม่นาน ด้านนอกก็มีเสียงไอดังขึ้น ตามมาด้วยกลุ่มบ่าวรับใช้ในชุดฮั่นที่ห้อมล้อมคนสองคนเข้ามาในประตู
ผู้ที่เข้ามาก่อนมีคิ้วหนาดวงตาหงส์ ใบหน้าขาว โครงหน้ายาวเรียว รูปร่างสูงใหญ่ มองออกว่าหากอายุน้อยกว่านี้สักสี่สิบห้าสิบปี รูปหน้าไม่ได้ต่างไปจากเว่ยฉางเฟิงเท่าไหร่นักเลย เขาสวมชุดคลุมปกกลมสีม่วง คาดเข็มขัดหยก และห้อยถุงจินอวี๋[1]บนศีรษะสวมหมวกฝู[2]สีดำเอาไว้ ที่เท้าสวมรองเท้าหุ้มข้อแพรหลากสีที่งดงามเอาไว้ นี่ก็คือหนึ่งในเสาหลักทั้งหกของต้าเว่ย เว่ยฮ่วน ฉางซานกงที่มีอายุได้หกสิบสามปี แต่เพราะถือกำเนิดในตระกูลสูงศักดิ์ร่ำรวย จึงดูแลรักษาตนเองได้ดี เขายังคงมีผมสีดำสนิท คิ้วดำราวกับน้ำหมึก ดูแล้วกลับเหมือนอายุยังไม่ถึงครึ่งร้อยเลย
ไม่เพียงแต่มองดูแล้วอายุน้อยกว่าความจริงมากเท่านั้น ท่วงท่าการเดินของเว่ยฮ่วนยังคล่องแคล่วอยู่มาก กลับเป็นท่านสามที่เดินตามหลังเขา เว่ยเซิ่งเหนียนผู้ตรวจการของเฟิ่งโจวมากกว่า ที่อายุยังไม่ทันจะถึงสามสิบกว่าปี แต่เพราะความสามารถธรรมดาไม่สูงส่งและขลาดกลัว อยู่ต่อหน้าท่านพ่อเขาสงบเสงี่ยมมาก ทำให้ถูกเปรียบเทียบเสียจนดูไม่กล้าทำอะไร ท่วงท่าเชื่องช้า พ่อลูกทั้งสองราวกับมีอายุสลับกันอย่างไรอย่างนั้น
ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งถือกำเนิดในตระกูลไม่ต่างกับเว่ยฮ่วน เป็นสามีภรรยามาหลายสิบปีนับว่าสงบราบรื่น นิสัยของฮูหยินผู้เฒ่าซ่งคนนี้เองก็แข็งกร้าว มีหลายจุดที่เว่ยฮ่วนต้องยอมให้นาง อย่างครั้งนี้ที่เว่ยฮ่วนออกไปปราบโจรกลับมา นางกลับเพียงรออยู่ที่เรือนด้านหลังพร้อมกับบุตรหลานเท่านั้น ไม่ยอมออกไปด้านนอก เว่ยฮ่วนคุ้นชินมานานแล้ว จึงไม่รู้สึกว่าเป็นอะไร เมื่อเข้ามานั่งและทุกคนคารวะเสร็จแล้ว ก็กล่าวเสียงนุ่มว่า "ลุกขึ้นได้"
เมื่อทุกคนลุกขึ้นแล้ว เว่ยฮ่วนก็รับเอาชากฤษณาที่ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งส่งมาให้จิบไปคำหนึ่ง แล้วจึงหันไปกล่าวอธิบายกับนาง "ทางเขาเฟิ่งฉีถือว่าชนะแล้ว แต่ว่าทางเมืองเหลียวเฉิงรายงานว่าไม่สามารถกำราบกลุ่มโจรได้หมด จึงได้แต่ต้องกลับมาจัดการก่อน...เมื่อครู่ก็คุยกับซ่งหานเรื่องนี้"
ก่อนหน้านี้ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งมีสีหน้าเรียบเฉยมาตลอด มองไม่ออกว่ายินดีหรือโมโห ตอนนี้ได้ยินที่อธิบายเมื่อครู่ถึงได้ขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า "เมืองเหลียวเฉิง?" ฮูหยินผู้เฒ่ารู้จักกาลเทศะดีมาก พื้นที่ของเมืองเหลียวเฉิงไม่ใหญ่ พื้นที่กลับอันตรายมาก อยู่ชายแดนของแม่น้ำนู่ หากข้ามผ่านแม่น้ำนู่ไปก็จะมองเห็นตงหู
ตงหูนั้นนับตั้งแต่ต้นราชวงศ์นี้ก็ถูกเผ่าหรงทางเหนือบุกรุกและคอยก่อกวนมาตลอด ...เว่ยฮ่วนกล่าวถึงตรงนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งก็พอจะรู้เนื้อหาในข่าวด่วนนี้พอสมควรแล้ว นางมีท่าทีเคร่งขรึมขึ้นมา แต่ว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับการทหาร แน่นอนว่าฮูหยินผู้เฒ่าซ่งไม่มีทางถามต่อหน้าทุกคนแน่ นางขมวดคิ้วและคลายออกพลางกล่าวว่า "ท่านกับเซิ่งเหนียนเหนื่อยแล้ว ตอนนี้เด็กๆ ต่างก็มาถึงแล้ว ไปพักผ่อนก่อนสักครู่ แล้วค่อยมาคุยกันให้ละเอียดดีไหม?"
แม้ว่าเว่ยฮ่วนจะยังดูแจ่มใส แต่ว่าในฤดูที่อากาศร้อนจัด รีบร้อนเดินทางกลับมาจากเขาเฟิ่งฉี และยังต้องไปปรึกษากับซ่งหานอยู่นาน จะบอกว่าไม่เหนื่อยล้าก็คงเป็นไปไม่ได้ พอได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าซ่งกล่าวออกมา ก็นิ่งคิดไป มองไปยังบุตรหลานแล้วจึงพยักหน้าน้อยๆ แล้วกล่าวว่า "เกาชวน ฉางเฟิงพวกเจ้าอยู่ก่อน ที่เหลือออกไปก่อนเถอะ"
ทุกคนต่างฟังออกว่านี่คือกำลังจะตรวจดูการเรียนของคุณชายสี่เว่ยเกาชวนและคุณชายห้าเว่ยฉางเฟิง เมื่อได้ยินเข้าเว่ยฉางเฟิงยังมีท่าทีปกติ ส่วนเว่ยเกาชวนกลับแสดงสีหน้ายุ่งยากใจขึ้นมา เพราะกลัวผู้ใหญ่จึงรีบปกปิดมันไว้ แต่ท่าทางก้มหน้าอย่างเศร้าสร้อยไม่ว่าใครก็มองออก นางเผยแม่ใหญ่ของเขา ฮูหยินสามเห็นท่าทางอย่างนั้นเข้าก็ลอบถอนใจในใจ แอบมองไปทางฮูหยินซ่งก็รู้สึกทุกข์ขึ้นมาน้อยๆ
เดิมนางเผยแต่งงานมาในตระกูลเว่ยนั้นถือว่าแต่งงานเหนือกว่าตนแล้ว นับตั้งแต่ที่แต่งเข้ามาก็ทำอะไรอย่างระมัดระวังมาตลอด แต่ว่าตลอดระยะเวลาที่แต่งเข้ามาสิบกว่าปีนี้นางกลับให้กำเนิดเพียงคุณหนูห้าเว่ยฉางเยียนเพียงคนเดียวเท่านั้น บ้านสามในตอนนี้บุตรสาวสองคนบุตรชายสองคนมีสามคนที่ถือกำเนิดมาจากอนุภรรยา นางเผยยิ่งรู้สึกผิดในใจ ไม่เพียงแต่จะมองบุตรสาวบุตรชายจากอนุภรรยาราวกับบุตรของตนเท่านั้น นางยังสั่งสอนบุตรชายจากอนุภรรยาทั้งสองอย่างเข้มงวดด้วย
แต่เว่ยเกาชวนกลับมีพรสวรรค์จำกัด ความสนใจก็ไม่ได้อยู่กับการเรียนหนังสือ นางเผยคอยสั่งสอนอย่างเอาใจใส่ แต่ความก้าวหน้าก็ยังธรรมดา เขากับเว่ยฉางเฟิงอายุห่างกันหนึ่งปี เรียนหนังสือก่อนเว่ยฉางเฟิงหนึ่งปี แต่ว่าเมื่อสองปีก่อนในด้านการเรียนเขากลับถูกเว่ยฉางเฟิงนำหน้าไปไกลแล้ว แม้ว่าจะบอกว่าตอนนี้คือเวลาที่ผู้เกิดตระกูลสูงไร้คนต่ำศักดิ์ คนเกิดตระกูลต่ำศักดิ์ไม่มีทางมีศักดิ์สูง แค่อาศัยฐานะว่าเป็นบุตรหลานของตระกูลเว่ย เว่ยเกาชวนก็ไม่จำเป็นต้องเรียนรู้ให้เก่งกาจ ก็สามารถอาศัยตระกูลบรรพบุรุษมีศักดิ์ฐานะที่สูงส่งได้ ไม่ต้องกลัวไม่มีอนาคต แต่ว่าเว่ยฮ่วนกลับภาคภูมิในตระกูลของตนมาก จึงให้ความสำคัญและเข้มงวดกับการเรียนของบุตรหลานตนมาก
โดยเฉพาะตอนนี้บ้านสามไร้บุตรสายตรง บุตรชายจากอนุภรรยาอีกคน คุณชายเจ็ดอย่างเว่ยเกาหยาเพิ่งอายุได้สิบปี ภายหลังบ้านสามต้องให้เว่ยเกาชวนเป็นผู้ค้ำจุน เว่ยฮ่วนคิดเผื่อบ้านสาม จึงสั่งสอนเว่ยเกาชวนกับเว่ยฉางเฟิงด้วยตนเอง แต่ว่าแม้เว่ยฉางเฟิงจะไม่ใช่หลานชายคนโต แต่กลับเป็นผู้ที่โดดเด่นในรุ่นหลานของรุ่ยอวี่ถัง ไม่เพียงแต่จะมีพรสวรรค์สูงส่งและเฉลียวฉลาดเท่านั้น ยังขยันพากเพียรเรียนวิชาอีก ทั้งยังเป็นหลายชายสายตรงเพียงคนเดียวด้วย
เมื่อมีเว่ยฉางเฟิงคอยเปรียบเทียบแล้ว เว่ยเกาชวนในฐานะที่เป็นพี่ชายไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถทำให้เว่ยฮ่วนพอใจได้ ดังนั้นทุกครั้งที่เว่ยฮ่วนเรียกหลานชายมาตรวจสอบการเรียน เว่ยเกาชวนถึงคิดจะหลบตามสัญชาตญาณ หากหลบไม่พ้นส่วนมากก็คือการถูกลงโทษจากกฎตระกูล ดังนั้นแม้ว่าคราวนี้เว่ยฮ่วนจะเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง แต่เมื่อกลับมาแล้วก็ยังไม่ลืมที่จะสั่งสอนหลานชายทั้งสองด้วยตนเอง เว่ยเกาชวนไม่รู้สึกว่าตนถูกให้ความสำคัญ แต่กลับลอบร้องในใจ
เพื่อสั่งสอนบุตรจากอนุภรรยาคนนี้ไม่รู้ว่านางเผยลงแรงไปมากเท่าไหร่ แต่ก็จนใจที่ผลไม่ได้ดีมากนัก กลับเป็นเว่ยฉางเฟิงที่มีพรสวรรค์และเฉลียวฉลาดชอบการเรียนรู้ ไม่จำเป็นต้องให้ฮูหยินซ่งมาเดือดเนื้อร้อนใจเลยสักนิด
ยากนักที่จะไม่ให้นางเผยรู้สึกทุกข์ใจได้
.............................................
[1] จินอวี๋ : ป้ายปลาสีทอง ในสมัยโบราณขุนนางที่มียศสูงกว่าขั้นที่สามขึ้นไปจะสวมชุดสีม่วงและห้อยถุงปลาทองเอาไว้
[2] หมวกฝู : หมวกที่ผู้ชายจีนโบราณสวมใส่ คล้ายผ้าโพกหัว
เว่ยฉางอิ๋งคิดในใจแล้วพลันคิดไปถึงว่า "หรือว่าการปราบโจรจะมีอะไรเกิดขึ้น ท่านปู่ถึงต้องไปพูดคุยกับซ่งจ่างสื่อที่เรือนหน้าด้วยตนเอง?" อย่างไรความสามารถของเว่ยเซิ่งเหนียนไม่พอก็ไม่ใช่ความลับอะไร
หากว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น เว่ยฮ่วนไม่อยากจะไปจัดการด้วยตนเองก็คงไม่ได้
นางคิดอย่างนี้ คนที่เหลือเองก็รู้สึกกังวล ยังดีที่รู้ว่าเว่ยฮ่วนกับเว่ยเซิ่งเหนียนกลับมาแล้วอย่างปลอดภัย ทุกคนในห้องโถงจึงเพียงมีสีหน้าเคร่งเครียด แต่ยังไม่ถึงกับคิดเรื่องอะไรไม่ดี
รออยู่อย่างนี้ถึงครึ่งชั่วยามเต็มๆ ด้านนอกจึงมีคนมารายงาน "ผู้นำตระกูลกับซ่งจ่างสื่อคุยธุระกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้นายท่านสามกำลังนำทางมาที่ห้องโถง"
ทุกคนได้ยินเข้าต่างก็พลันตื่นเต้นขึ้นมา
ไม่นาน ด้านนอกก็มีเสียงไอดังขึ้น ตามมาด้วยกลุ่มบ่าวรับใช้ในชุดฮั่นที่ห้อมล้อมคนสองคนเข้ามาในประตู
ผู้ที่เข้ามาก่อนมีคิ้วหนาดวงตาหงส์ ใบหน้าขาว โครงหน้ายาวเรียว รูปร่างสูงใหญ่ มองออกว่าหากอายุน้อยกว่านี้สักสี่สิบห้าสิบปี รูปหน้าไม่ได้ต่างไปจากเว่ยฉางเฟิงเท่าไหร่นักเลย เขาสวมชุดคลุมปกกลมสีม่วง คาดเข็มขัดหยก และห้อยถุงจินอวี๋[1]บนศีรษะสวมหมวกฝู[2]สีดำเอาไว้ ที่เท้าสวมรองเท้าหุ้มข้อแพรหลากสีที่งดงามเอาไว้ นี่ก็คือหนึ่งในเสาหลักทั้งหกของต้าเว่ย เว่ยฮ่วน ฉางซานกงที่มีอายุได้หกสิบสามปี แต่เพราะถือกำเนิดในตระกูลสูงศักดิ์ร่ำรวย จึงดูแลรักษาตนเองได้ดี เขายังคงมีผมสีดำสนิท คิ้วดำราวกับน้ำหมึก ดูแล้วกลับเหมือนอายุยังไม่ถึงครึ่งร้อยเลย
ไม่เพียงแต่มองดูแล้วอายุน้อยกว่าความจริงมากเท่านั้น ท่วงท่าการเดินของเว่ยฮ่วนยังคล่องแคล่วอยู่มาก กลับเป็นท่านสามที่เดินตามหลังเขา เว่ยเซิ่งเหนียนผู้ตรวจการของเฟิ่งโจวมากกว่า ที่อายุยังไม่ทันจะถึงสามสิบกว่าปี แต่เพราะความสามารถธรรมดาไม่สูงส่งและขลาดกลัว อยู่ต่อหน้าท่านพ่อเขาสงบเสงี่ยมมาก ทำให้ถูกเปรียบเทียบเสียจนดูไม่กล้าทำอะไร ท่วงท่าเชื่องช้า พ่อลูกทั้งสองราวกับมีอายุสลับกันอย่างไรอย่างนั้น
ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งถือกำเนิดในตระกูลไม่ต่างกับเว่ยฮ่วน เป็นสามีภรรยามาหลายสิบปีนับว่าสงบราบรื่น นิสัยของฮูหยินผู้เฒ่าซ่งคนนี้เองก็แข็งกร้าว มีหลายจุดที่เว่ยฮ่วนต้องยอมให้นาง อย่างครั้งนี้ที่เว่ยฮ่วนออกไปปราบโจรกลับมา นางกลับเพียงรออยู่ที่เรือนด้านหลังพร้อมกับบุตรหลานเท่านั้น ไม่ยอมออกไปด้านนอก เว่ยฮ่วนคุ้นชินมานานแล้ว จึงไม่รู้สึกว่าเป็นอะไร เมื่อเข้ามานั่งและทุกคนคารวะเสร็จแล้ว ก็กล่าวเสียงนุ่มว่า "ลุกขึ้นได้"
เมื่อทุกคนลุกขึ้นแล้ว เว่ยฮ่วนก็รับเอาชากฤษณาที่ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งส่งมาให้จิบไปคำหนึ่ง แล้วจึงหันไปกล่าวอธิบายกับนาง "ทางเขาเฟิ่งฉีถือว่าชนะแล้ว แต่ว่าทางเมืองเหลียวเฉิงรายงานว่าไม่สามารถกำราบกลุ่มโจรได้หมด จึงได้แต่ต้องกลับมาจัดการก่อน...เมื่อครู่ก็คุยกับซ่งหานเรื่องนี้"
ก่อนหน้านี้ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งมีสีหน้าเรียบเฉยมาตลอด มองไม่ออกว่ายินดีหรือโมโห ตอนนี้ได้ยินที่อธิบายเมื่อครู่ถึงได้ขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า "เมืองเหลียวเฉิง?" ฮูหยินผู้เฒ่ารู้จักกาลเทศะดีมาก พื้นที่ของเมืองเหลียวเฉิงไม่ใหญ่ พื้นที่กลับอันตรายมาก อยู่ชายแดนของแม่น้ำนู่ หากข้ามผ่านแม่น้ำนู่ไปก็จะมองเห็นตงหู
ตงหูนั้นนับตั้งแต่ต้นราชวงศ์นี้ก็ถูกเผ่าหรงทางเหนือบุกรุกและคอยก่อกวนมาตลอด ...เว่ยฮ่วนกล่าวถึงตรงนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งก็พอจะรู้เนื้อหาในข่าวด่วนนี้พอสมควรแล้ว นางมีท่าทีเคร่งขรึมขึ้นมา แต่ว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับการทหาร แน่นอนว่าฮูหยินผู้เฒ่าซ่งไม่มีทางถามต่อหน้าทุกคนแน่ นางขมวดคิ้วและคลายออกพลางกล่าวว่า "ท่านกับเซิ่งเหนียนเหนื่อยแล้ว ตอนนี้เด็กๆ ต่างก็มาถึงแล้ว ไปพักผ่อนก่อนสักครู่ แล้วค่อยมาคุยกันให้ละเอียดดีไหม?"
แม้ว่าเว่ยฮ่วนจะยังดูแจ่มใส แต่ว่าในฤดูที่อากาศร้อนจัด รีบร้อนเดินทางกลับมาจากเขาเฟิ่งฉี และยังต้องไปปรึกษากับซ่งหานอยู่นาน จะบอกว่าไม่เหนื่อยล้าก็คงเป็นไปไม่ได้ พอได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าซ่งกล่าวออกมา ก็นิ่งคิดไป มองไปยังบุตรหลานแล้วจึงพยักหน้าน้อยๆ แล้วกล่าวว่า "เกาชวน ฉางเฟิงพวกเจ้าอยู่ก่อน ที่เหลือออกไปก่อนเถอะ"
ทุกคนต่างฟังออกว่านี่คือกำลังจะตรวจดูการเรียนของคุณชายสี่เว่ยเกาชวนและคุณชายห้าเว่ยฉางเฟิง เมื่อได้ยินเข้าเว่ยฉางเฟิงยังมีท่าทีปกติ ส่วนเว่ยเกาชวนกลับแสดงสีหน้ายุ่งยากใจขึ้นมา เพราะกลัวผู้ใหญ่จึงรีบปกปิดมันไว้ แต่ท่าทางก้มหน้าอย่างเศร้าสร้อยไม่ว่าใครก็มองออก นางเผยแม่ใหญ่ของเขา ฮูหยินสามเห็นท่าทางอย่างนั้นเข้าก็ลอบถอนใจในใจ แอบมองไปทางฮูหยินซ่งก็รู้สึกทุกข์ขึ้นมาน้อยๆ
เดิมนางเผยแต่งงานมาในตระกูลเว่ยนั้นถือว่าแต่งงานเหนือกว่าตนแล้ว นับตั้งแต่ที่แต่งเข้ามาก็ทำอะไรอย่างระมัดระวังมาตลอด แต่ว่าตลอดระยะเวลาที่แต่งเข้ามาสิบกว่าปีนี้นางกลับให้กำเนิดเพียงคุณหนูห้าเว่ยฉางเยียนเพียงคนเดียวเท่านั้น บ้านสามในตอนนี้บุตรสาวสองคนบุตรชายสองคนมีสามคนที่ถือกำเนิดมาจากอนุภรรยา นางเผยยิ่งรู้สึกผิดในใจ ไม่เพียงแต่จะมองบุตรสาวบุตรชายจากอนุภรรยาราวกับบุตรของตนเท่านั้น นางยังสั่งสอนบุตรชายจากอนุภรรยาทั้งสองอย่างเข้มงวดด้วย
แต่เว่ยเกาชวนกลับมีพรสวรรค์จำกัด ความสนใจก็ไม่ได้อยู่กับการเรียนหนังสือ นางเผยคอยสั่งสอนอย่างเอาใจใส่ แต่ความก้าวหน้าก็ยังธรรมดา เขากับเว่ยฉางเฟิงอายุห่างกันหนึ่งปี เรียนหนังสือก่อนเว่ยฉางเฟิงหนึ่งปี แต่ว่าเมื่อสองปีก่อนในด้านการเรียนเขากลับถูกเว่ยฉางเฟิงนำหน้าไปไกลแล้ว แม้ว่าจะบอกว่าตอนนี้คือเวลาที่ผู้เกิดตระกูลสูงไร้คนต่ำศักดิ์ คนเกิดตระกูลต่ำศักดิ์ไม่มีทางมีศักดิ์สูง แค่อาศัยฐานะว่าเป็นบุตรหลานของตระกูลเว่ย เว่ยเกาชวนก็ไม่จำเป็นต้องเรียนรู้ให้เก่งกาจ ก็สามารถอาศัยตระกูลบรรพบุรุษมีศักดิ์ฐานะที่สูงส่งได้ ไม่ต้องกลัวไม่มีอนาคต แต่ว่าเว่ยฮ่วนกลับภาคภูมิในตระกูลของตนมาก จึงให้ความสำคัญและเข้มงวดกับการเรียนของบุตรหลานตนมาก
โดยเฉพาะตอนนี้บ้านสามไร้บุตรสายตรง บุตรชายจากอนุภรรยาอีกคน คุณชายเจ็ดอย่างเว่ยเกาหยาเพิ่งอายุได้สิบปี ภายหลังบ้านสามต้องให้เว่ยเกาชวนเป็นผู้ค้ำจุน เว่ยฮ่วนคิดเผื่อบ้านสาม จึงสั่งสอนเว่ยเกาชวนกับเว่ยฉางเฟิงด้วยตนเอง แต่ว่าแม้เว่ยฉางเฟิงจะไม่ใช่หลานชายคนโต แต่กลับเป็นผู้ที่โดดเด่นในรุ่นหลานของรุ่ยอวี่ถัง ไม่เพียงแต่จะมีพรสวรรค์สูงส่งและเฉลียวฉลาดเท่านั้น ยังขยันพากเพียรเรียนวิชาอีก ทั้งยังเป็นหลายชายสายตรงเพียงคนเดียวด้วย
เมื่อมีเว่ยฉางเฟิงคอยเปรียบเทียบแล้ว เว่ยเกาชวนในฐานะที่เป็นพี่ชายไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถทำให้เว่ยฮ่วนพอใจได้ ดังนั้นทุกครั้งที่เว่ยฮ่วนเรียกหลานชายมาตรวจสอบการเรียน เว่ยเกาชวนถึงคิดจะหลบตามสัญชาตญาณ หากหลบไม่พ้นส่วนมากก็คือการถูกลงโทษจากกฎตระกูล ดังนั้นแม้ว่าคราวนี้เว่ยฮ่วนจะเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง แต่เมื่อกลับมาแล้วก็ยังไม่ลืมที่จะสั่งสอนหลานชายทั้งสองด้วยตนเอง เว่ยเกาชวนไม่รู้สึกว่าตนถูกให้ความสำคัญ แต่กลับลอบร้องในใจ
เพื่อสั่งสอนบุตรจากอนุภรรยาคนนี้ไม่รู้ว่านางเผยลงแรงไปมากเท่าไหร่ แต่ก็จนใจที่ผลไม่ได้ดีมากนัก กลับเป็นเว่ยฉางเฟิงที่มีพรสวรรค์และเฉลียวฉลาดชอบการเรียนรู้ ไม่จำเป็นต้องให้ฮูหยินซ่งมาเดือดเนื้อร้อนใจเลยสักนิด
ยากนักที่จะไม่ให้นางเผยรู้สึกทุกข์ใจได้
.............................................
[1] จินอวี๋ : ป้ายปลาสีทอง ในสมัยโบราณขุนนางที่มียศสูงกว่าขั้นที่สามขึ้นไปจะสวมชุดสีม่วงและห้อยถุงปลาทองเอาไว้
[2] หมวกฝู : หมวกที่ผู้ชายจีนโบราณสวมใส่ คล้ายผ้าโพกหัว
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้นำมาจากแหล่งอื่นและได้รับการอนุญาตจากเจ้าของแล้ว
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ