ยอดสตรีฉางอิ๋ง
เขียนโดย Xiaobei
วันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เวลา 17.20 น.
แก้ไขเมื่อ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 17.21 น. โดย เจ้าของนิยาย
17) เรื่องราว
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความแม่นมเฮ่อเพิ่งจะขึ้นบันไดไปก็ได้ยินเสียงพูดคุยดังมาจากด้านใน
"...จากที่ลุงเจียงกล่าวมา ในเมื่อผู้คุ้มกันหลายคนมีฝีมือดีอย่างนี้ มีพวกเขาคุ้มกัน ไม่ใช่ว่าราบรื่นไร้อุปสรรคหรือ?" นี่คือเสียงของเว่ยฉางอิ๋ง
ดูแล้วคงกำลังฟังเจ้าคนน่าตายนั่นเล่าเรื่องการเป็นผู้คุ้มกัน
แม่นมเฮ่อขมวดคิ้ว ในใจก็คิดว่า คุณหนูใหญ่ฐานะอะไร มาฟังเรื่องป่าเถื่อนในแผ่นดินอย่างนี้เรียกว่าแสลงหูยิ่งนัก! เจ้าคนน่าตายเจียงเจิงสมควรตายจริงๆ ทั้งๆ ที่รู้ว่าคุณหนูใหญ่จะต้องแต่งงานออกไปปีหน้าแล้ว ยังไม่รู้จักพูดเรื่องที่มีประโยชน์ให้ฟังอีก มาพูดเรื่องฆ่าๆ ฟันๆ กัน...นี่มันมีใจคิดไม่ดีชัดๆ!
นางกำลังจะเข้าไปต่อว่าเจียงเจิง แต่คิดดูแล้ว ไปว่าเจียงเจิงอย่างนี้ก็ไม่ได้นัก คิดว่าเว่ยฉางอิ๋งจะต้องช่วยพูดให้กับเจ้าคนน่าตายนี่แน่ จึงยืนฟังที่นอกประตูเสียเลย นางตัดสินใจว่าเมื่อหาโอกาสได้แล้วค่อยเข้าไป จะได้ไปทำให้เจ้าคนน่าตายนั่นไร้ข้อแก้ตัว
ได้ยินเจียงเจิงกล่าวเสียงกังวานว่า "คุณหนูพูดอย่างนี้ผิดแล้ว"
แม่นมเฮ่อที่ไม่เคยทนฟังคนอื่นว่าเว่ยฉางอิ๋งไม่ดีหน้าคล้ำทันที ลอบด่าในใจว่าแซ่เจียงช่างสมควรตายนัก อ้าปากก็กล่าวหาว่าเจ้านายผิด นี่มันกฎของผู้คุ้มกันตระกูลไหนกัน?
เว่ยฉางอิ๋งไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่นัก แล้วถามอย่างแปลกใจว่า "เอ๋?"
"ผู้คุ้มกันหลายคนนี้คือผู้คอยดูแลของหน่วยองครักษ์ เวลาไม่มีอะไรจะใช้พวกเขาไปคุ้มกันที่ไหน ดังนั้นเหล่าผู้คุ้มกันเหล่านี้ แม้ว่าจะห้าวหาญเต็มไปด้วยพลัง แต่คำว่าคนตายเพื่อทรัพย์ นกตายเพื่ออาหาร โจรที่สงสัยว่าสิ่งที่พวกเขาคุ้มกันคือของล้ำค่ามีแต่จะมากกว่าเดิม" เจียงเจิงกล่าวไม่ช้าไม่เร็ว "ยิ่งไปกว่านั้น เดินในแผ่นดิน ฝีมือยุทธ์กลับไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด แต่ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือประสบการณ์"
"ลุงเจียงพูดให้ชัดเจนหน่อยสิ!" เว่ยฉางอิ๋งกล่าวเร่ง
เจียงเจิงกล่าว "ผู้คุ้มกันฝีมือดีส่วนมาก โจรจะไม่อยากมาสู้ด้วยตรงๆ ส่วนมากมักจะลอบโจมตีมากกว่า" เขายกตัวอย่าง "อย่างเช่นว่า ไปซื้อโรงเตี๊ยมหรือร้านอาหารตามรายทางให้ใส่ยาสลบไว้ก่อน หากที่เหี้ยมโหดหน่อยก็เอายาพิษให้เลย บ้างก็ส่งคนไปคอยรบกวนตลอดทั้งคืนเพื่อให้เหนื่อยอ่อน หรืออาจจะเตรียมคนไว้ในหน่วยองครักษ์ก่อนแล้ว..."
ได้ยินที่เจียงเจิงกล่าว แม่นมเฮ่อเกิดความคิดมากมายขึ้นมา เวยฉางอิ๋งแต่งงานออกไปแล้ว ใส่ยาสลบลงในอาหารของเสิ่นจั้งเฟิง รอให้เขาสลบไปแล้ว ค่อยจัดการเสิ่นจั้งเฟิง...จากนั้นทุกวันก็ปิดประตูตีเสิ่นจั้งเฟิงไม่หยุด ทำให้เหนื่อยล้าอ่อนเพลีย ได้แต่ต้องร้องวิงวอน...ขณะเดียวกันก็ซื้อคนข้างกายของเสิ่นจั้งเฟิง ให้เขาจัดการคุณชายสามของตระกูลเสิ่นให้ยังดีกว่าใช้วิธีป่าเถื่อนอย่างที่คิดจะตีก็ตี คิดจะด่าก็ด่า...
...นี่ เรียกว่าเหลวไหลที่สุด!!!
นางฟังไม่ไหวอีกแล้ว นางผลักประตูอย่างแรงแล้วรีบเดินเข้าไป!
เรือนหลังที่มีไว้เพื่อให้เว่ยฉางอิ๋งเรียนวิชายุทธ์โดยเฉพาะนี้กว้างใหญ่มาก รอบด้านมีระเบียงสูงจากพื้นไปสามก้าว
ทางมุมทิศตะวันออกของเรือน ปลูกต้นอูถงที่มีใบหน้าทึบเอาไว้หลายต้น ทุกวันนี้ใบไม้แน่นหนาทำให้เรือนทั้งเรือนถูกเงาบดบังจนไม่เห็นท้องฟ้า เพราะเป็นยามตะวันขึ้นสูงที่สุด ในเรือนจึงไม่ได้มืด แสงอาทิตย์สาดส่องผ่านใบไม้ของต้นอูถงลงมา เงยหน้ามองไปราวกับเป็นท้องฟ้าสีเขียวมรกต กลับทำให้เรือนทั้งเรือนดูนุ่มนวลและสว่างไสว
ใต้ต้นอูถง มีสือสั่ว[1]กระสอบทราย ชั้นวางอาวุธต่างๆ ที่ต้องใช้สำหรับฝึกวิชายุทธ์
ตรงกลางของเรือน เด็กสาวในชุดสีแดงกำลังชกหมัดอย่างเชื่องช้าชุดหนึ่งอยู่ เดิมเว่ยฉางอิ๋งก็มีรูปโฉมงดงามอยู่แล้ว เมื่อมาสวมใส่ชุดสีแดงอย่างนี้ ในเรือนเดือนห้าที่ร้อนอย่างนี้ ขับให้กิ่งไม้สีเขียวมรกตเหนือหัวของนางโดดเด่นมากขึ้น งดงามมาก งดงามสว่างไสวคำนี้สร้างมาเพื่อนางจริงๆ
โดยเฉพาะตอนนี้แม้ว่าเว่ยฉางอิ๋งจะออกหมัดไม่เร็ว แต่กลับเป็นจังหวะ ท่วงท่าลื่นไหลราวกับสายน้ำ ทั้งออกและหยุดเฉียบคมเด็ดขาด นอกจากสว่างไสวแล้ว ยังเพิ่มความสง่างามกล้าหาญเข้าไปด้วย
แม่นมเฮ่อเห็นคุณหนูใหญ่ที่น่าดึงดูดอย่างนี้ รู้สึกว่าใจแทบแตกสลาย คุณหนูใหญ่ที่งดงาม! มีต้นตระกูลที่ดี องค์หญิงนางสนมยังมีชาติตระกูลภูมิฐานสู้นางไม่ได้ รูปโฉมงดงามแต่กำเนิด หากนับหญิงงามของตระกูลเว่ยรุ่นนี้แล้ว เว่ยฉางอิ๋งเองก็ถือว่าเป็นอันดับหนึ่ง! ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนิสัยของตระกูลเว่ย เหล่าคุณหนูทั้งหลายต่างก็นุ่มนวลอ่อนหวานงามสง่าตามระเบียบแบบแผนทั้งนั้น ไม่ว่าจะมองอย่างไร ทั้งชีวิตนี้เว่ยฉางอิ๋งก็ควรจะมีนิสัยนุ่มนวลงดงามเป็นกุลสตรีอ่อนหวานอย่างคุณหนูผู้สูงศักดิ์ตามแบบแผน แต่ว่ากลับมาถูกแซ่เจียงทำให้เสียไป!
คิดได้ดังนี้แล้ว แม่นมเฮ่อก็กัดฟันแน่น! นางปราดตามองไปยังคนในเรือนอีกคน
เจียงเจิงถือไม้ไผ่เรียวยาวสามฉื่อเอาไว้ในมือ เขาเอามือไพล่หลังไว้แล้วยืนอยู่ข้างๆ แม้ว่าอายุเขาจะเกินครึ่งร้อยแล้ว แต่เพราะฝึกยุทธ์มาหลายปี วิชาที่สืบทอดของตระกูลก็ถือว่ายอดเยี่ยมในแผ่นดิน ถือได้ว่าเป็นยอดฝีมือ เว่ยฉางอิ๋งที่ยามนี้หน้าผากเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ แต่เขากลับยังมีท่าทีราบเรียบ ชุดคลุมเยวี่ยลั่ว[2]บนร่างที่เว่ยฉางอิ๋งให้เขาเมื่อตอนตรุษจีนลอยไปตามลมน้อยๆ เขากลับไม่มีเหงื่อออกเลย
ตอนนี้แม้ว่าเขาจะเพียงแค่สั่งสอนเว่ยฉางอิ๋ง แต่ว่าการที่ถือไม้ไผ่ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างตามสบายแบบนั้น กลับทำให้ดูเหมือนยอดฝีมือที่สูงส่งลึกล้ำ มิน่าตอนนั้นเว่ยฉางอิ๋งถึงได้อยากจะเรียนวิชายุทธ์ ไปตามตื๊อฮูหยินซ่งและฮูหยินผู้เฒ่าซ่งเสียจนทำลายกฎได้ เลือกผู้คุ้มกันของตระกูลเว่ยไปมา สุดท้ายกลับสนใจเจียงเจิงผู้เข้ามาในตระกูลเว่ยอย่างบังเอิญและไม่มีรากฐานในตระกูลเว่ย
แน่นอนว่าจะพูดไม่ได้ว่าเพลงยุทธ์ของเจียงเจิงในตระกูลเว่ยนั้นแย่ จริงๆ แล้วเขานับได้ว่าเป็นบุคคลที่โดดเด่นของผู้คุ้มกันตระกูลเว่ยเลย แต่เพราะเว่ยฉางอิ๋งมีฐานะสูงส่ง สั่งสอนคุณหนูใหญ่คนนี้เรียนวิชายุทธ์ แม้ว่าคุณหนูใหญ่จะทนความลำบากไม่ได้ เรียนเพียงวันสองวันก็ไม่เรียนแล้ว แต่ก็ถือว่ามีความผูกพันกันอยู่ ยิ่งกว่านั้นตอนนั้นเว่ยฉางอิ๋งยังอายุน้อยมาก ฮูหยินซ่งกับฮูหยินผู้เฒ่าซ่งให้ความสำคัญกับนางมาก การสั่งสอนเว่ยฉางอิ๋งก็เท่ากับเข้าไปอยู่ในสายตาของทั้งสองท่าน ทั้งสองคนคือเจ้าบ้านที่พูดหนึ่งไม่มีสองของเรือนหลังตระกูลเว่ย กระทั่งฉางซานกงอย่างเว่ยฮ่วนเองก็ยังทำอะไรไม่ได้
ดังนั้นเมื่อได้ยินว่าเว่ยฉางอิ๋งอยากจะเรียนวิชายุทธ์แล้ว เหล่าบ่าวใช้ตระกูลเว่ยทั้งหลายจึงสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย คิดไม่ถึงว่าภายหลังไปแพ้ให้ผู้ไร้รากฐานและบังเอิญเข้ามาในตระกูลเว่ยอย่างเจียงเจิงไปแทน
หลายปีมานี้ผู้ที่อิจฉาเจียงเจิงไม่รู้มีมากมายเท่าไหร่แล้ว
แน่นอนว่าแม่นมเฮ่อไม่มีทางที่จะอยู่ในผู้ที่อิจฉาแน่นอน เพียงแต่ว่า ตอนนั้นเพื่อให้ได้รับโอกาสสอนคุณหนูใหญ่ ผู้คุ้มกันบางคนนำเอาทรัพย์ที่สะสมมาตลอดยี่สิบกว่าปีไปซื้อผู้ดูแลหลายคนของเรือนในแต่สุดท้ายก็ยังกลับไปอย่างไม่ได้อะไร กระทั่งเงินที่ลงไปก็ไม่ได้กลับมา ความแค้นที่มีต่อเจียงเจิงยังเทียบกับแม่นมเฮ่อไม่ได้เลย...
ลานในเรือนนี้มีเพียงสองคน ใต้ระเบียงกลับมีสาวใช้หน้าตางดงามในชุดสีแดงสีเขียวกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ พวกลวี่ปิ้นตามมารับใช้เพื่อป้องกันไม่ให้หนึ่งแก่หนึ่งเด็กอยู่กันลำพังและถูกพูดในทางไม่ดี พวกนางถืออ่างน้ำและผ้าเช็ดหน้าไว้ในมือ รวมถึงผลไม้แช่เย็น ชนมน้ำชา พวกนางยืนอย่างเป็นระเบียบที่ระเบียงเพื่อรอรับใช้
แม้ว่าทุกวันนี้เจียงเจิงกับเว่ยฉางอิ๋งจะไม่ได้มองที่พวกนางเลย ทั้งสี่กลับยังคงมีท่าทีเคร่งขรึมตามแบบแผน ท่าทีเคารพนบนอบ เห็นได้ว่าขุมของตระกูลเว่ยนั้น กระทั่งบ่าวไพร่ก็ยังไม่ใช่บ่าวไพร่ธรรมดาๆ
แม่นมเฮ่อเข้ามา เหล่าลวี่ปิ้นที่ยืนตรงข้ามกับประตูก็มองเห็นได้ทันที ลวี่ฝางที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดเกือบจะลงบันไดมาและเข้าไปรับอย่างไม่รู้ตัว แต่กลับถูกลวี่ฉือที่อยู่ด้านหลังดึงเอาไว้ จึงพลันตั้งสติได้ทันทีว่าสิ่งที่คุณหนูใหญ่เกลียดที่สุดก็คือเวลาฝึกวิชายุทธ์ถูกคนมารบกวน สาวใช้ใหญ่ทั้งสี่แม้ว่าจะหวาดกลัวแม่นมเฮ่อมาก แต่ว่าก็ยังเพียงทำความเคารพจากไกลๆ อย่างพร้อมเพรียงเท่านั้น
เพียงแต่ว่าแม่นมเฮ่อที่ปกติมักจะให้ความสำคัญกับการจัดการสาวใช้ใหญ่เล็กทั้งหลายและไม่ยอมให้พวกนางทำให้เว่ยฉางอิ๋งต้องขายหน้ากลับไม่มีเวลาจะไปสนใจพวกลวี่ปิ้นเหล่านั้น นางแทบจะวิ่งลงไปจากระเบียงและลงไปยังกลางลาน ในที่สุดเจียงเจิงกับเว่ยฉางอิ๋งที่กำลังสั่งสอนและฝึกซ้อมท่าหมัดอย่างจดจ่อก็มองเห็นเข้า เมื่อเห็นแม่นมเฮ่อ คิ้วยาวหนาของเจียงเจิงก็พลันขมวดแน่นทันที เขาโมโหมาก ไม่สนใจเว่ยฉางอิ๋งแล้วกล่าวอย่างเดือดดาลว่า "เจ้าเข้ามาทำอะไร!"
ท่าหมัดของเว่ยฉางอิ๋งพลันเปลี่ยนไป นางออกท่าจบออกไปแล้วประสานมือทั้งสองพร้อมชูขึ้นด้านบน แขนคล้ายกอดพระจันทร์ไว้แล้วจึงค่อยๆ ลดลงมาช้าๆ นางกดลมหายใจกลับไปยังจุดตันเถียน แล้วจึงลดท่วงท่าลงพลางถามอย่างสงสัยว่า "ท่านอาเฮ่อ มีเรื่องอะไรหรือ?"
เพราะตอนนั้นแม่นมเฮ่อทนเห็นเว่ยฉางอิ๋งลำบากไม่ได้ แต่การฝึกวิชายุทธ์จะไม่ลำบากนั้นไม่ได้ เจียงเจิงรังเกียจนางที่เอาแต่คอยรบกวนตลอด จึงออกปากแล้วให้นางออกไป ตลอดสิบสองปีมานี้แม่นมเฮ่อไม่เคยมาที่เรือนนี้อีกเลย
ตอนนี้นางกลับมาที่นี่ หลายปีนี้แม่นมเฮ่อทั้งด่าทอเขาทั้งลับหลังและต่อหน้าไม่เคยหยุดเลย เจียงเจิงไม่ใช่คนหูหนวก ตอนนี้เมื่อเห็นนางเข้าก็รู้สึกว่าจะต้องมาหาเรื่องเขาแน่นอน ในใจจึงหงุดหงิดมาก
แต่ว่าเว่ยฉางอิ๋งกลับคิดมากกว่า นางคิดว่าแม่นมเฮ่อพลันมาหานางเพราะมีเรื่องอะไร ดังนั้นจึงไม่ออกหมัดต่อแล้วหยุดท่วงท่ามาถาม
เมื่อถูกเว่ยฉางอิ๋งเตือนเข้า ใบหน้าของเจียงเจิงก็แดงขึ้น ในใจพลันคิดว่าตนเองคงจะแก่จนเหลวไหลแล้ว ทำไมถึงไม่คิดว่าแม่นมเฮ่อถึงจะด่าทอเขามาตลอดไม่เคยหยุดปากเลย แต่ว่าสิบสองปีมานี้กลับไม่เคยเข้ามาในเรือนมาก่อน เห็นได้ว่าน่าจะเป็นอย่างที่คุณหนูใหญ่กล่าวมากกว่า คงมีเรื่องที่จะต้องรายงานจึงได้มา
แต่แล้ว แม่นมเฮ่อที่ถูกเว่ยฉางอิ๋งมองอย่างสงสัยกลับลากนางไปแล้วพิจารณานางอย่างละเอียด จ้องไปที่ใบหน้าแดงก่ำราวกับกุหลาบและเกลี้ยงเกลาอ่อนนุ่มมีน้ำมีนวลของเว่ยฉางอิ๋งอยู่ชั่วอึดใจ เมื่อแน่ใจแล้วว่าเว่ยฉางอิ๋งไม่ได้เป็นอะไร จึงได้ถามอย่างสงสารรักใคร่ว่า "คุณหนูใหญ่ เจ้าเฒ่าเจียงน่าตายนี่ ทารุณท่านอย่างไรหรือ?"
หญิงไร้เหตุผลนี่มาหาเรื่องเขาจริงๆ!
เจียงเจิงสีหน้าเปลี่ยนไป พลันระแวงขึ้นมาทันที!
เว่ยฉางอิ๋งชะงักไปแล้วกล่าวว่า "ข้ามาเรียนวิชายุทธ์กับลุงเจียง ทารุณอะไรกัน?"
แม่นมเฮ่อมองนางอย่างนุ่มนวลราวกับสายน้ำ เมื่อหันกลับไปมองเจียงเจิง พลันเย็นเฉียบราวกับมีดน้ำแข็งที่คมกริบและงดงาม สายตาของนางมีมีดลอยออกมาหลายต่อหลายเล่ม แทบอยากจะแทงเขาตรงนั้น คำพูดที่กล่าวออกมายิ่งฝึกมาเพื่อทำร้ายคนโดยเฉพาะ "เจ้าคนน่าตายนี่! ฮูหยินผู้เฒ่ากับฮูหยินไม่รังเกียจฝีมืออย่างกับแมวสามขา[3]ของเจ้า ทั้งยังให้เจ้าคอยสั่งสอนคุณหนูใหญ่คลายเบื่อ เจ้ากลับทำว่าเป็นเรื่องจริงจังหรือ ยังเห็นคุณหนูใหญ่ผู้สูงศักดิ์เป็นลูกศิษย์โง่งมของเจ้าจริงๆ คิดจะตีก็ตี คิดจะด่าก็ด่าหรือ เจ้า..."
เจียงเจิงไม่ใช่บ่าวตระกูลเว่ย หลายปีก่อนติดตามพ่อไปทั่วทั้งแผ่นดินมาแล้ว แม้ว่าทุกวันนี้จะเป็นผู้คุ้มกันของตระกูลเว่ยได้สิบกว่าปีแล้ว แต่ว่าในกระดูกก็ยังคงมีความหยิ่งยโสของผู้ฝึกยุทธ์อยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่เขาอยู่ในตระกูลเว่ยและหน่วยองครักษ์ เขาก็อาศัยวิชาสืบทอดและฝีมือที่ดีของตระกูล วิชาฝีมือเขานั้นกระทั่งเจ้านายของตระกูลเว่ยยังชมเชยว่าดี แต่ตอนนี้กลับถูกแม่นมเฮ่อกล่าวว่าเป็นแมวสามขา แล้วเขาจะทนได้อย่างไร
แต่พูดถึงการทะเลาะ อย่างแรกเขาไม่เคยสู้แม่นมเฮ่อได้ อย่างที่สองนิสัยของเขาก็ไม่ใช่ว่าจะไปทะเลาะกับหญิงไม่รู้ความได้ ดังนั้นการจัดการกับการด่าทอของแม่นมเฮ่อ เจียงเจิงจึงใช้วิธีการลงมือเลยแทน!
คนในเรือนยังไม่ทันเห็นว่าเขาลงมืออย่างไร ก็เห็นว่าชั้นวางอาวุธที่ห่างจากเขาไปห้าหกก้าว หอกเงินสีขาวเรียบง่ายอันหนึ่งลอยเข้าไปในมือเขาแล้ว! ทุกคนตาลาย ตัวหอกก็ราวกับมังกร แทบจะในชั่วพริบตาที่ทุกคนยังไม่ทันได้รู้ตัว มันก็ไปจ่อเข้าที่คอของแม่นมเฮ่อแล้ว!
...และในตอนนี้เอง เว่ยฉางอิ๋งที่ตกตะลึงและคิดจะช่วยเหลือแม่นมเฮ่อถึงได้พุ่งไปหยิบเอามีดยาวที่ชั้นวางอาวุธ
.............................................
[1] สือสั่ว : กุญแจหิน อุปกรณ์ฝึกร่างกาย เป็นอุปกรณ์เวทเทรนนิ่งดั้งเดิมของชาวจีน
[2] เยวี่ยลั่ว : ผ้าไหมจากเผ่าไป๋เยวี่ย
[3] แมวสามขา : เปรียบเป็นวิชาที่รู้เพียงผิวเผิน
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้นำมาจากแหล่งอื่นและได้รับการอนุญาตจากเจ้าของแล้ว
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ